ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 26 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 501 - 520 จากข้อมูลทั้งหมด 1093 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
501 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง( กปส.) ครั้งที่ 1/2558 | สวพส. | 03/03/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ซึ่งที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และมีมติเห็นชอบ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ยุทธศาสตร์ แผนงาน และคำของบประมาณประจำปี ๒๕๕๘ การเพิกถอนพื้นที่ที่มูลนิธิโครงการหลวงและสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ใช้ประโยชน์ ออกจากเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย การสนับสนุนโครงการพัฒนาและติดตั้งระบบงาน ERP (Enterprise Resource Planning) ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) และการแต่งตั้งคณะทำงานศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ๒. เห็นชอบให้แต่งตั้ง “คณะทำงานสนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง” โดยมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานดังกล่าว ๓. เห็นชอบให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่สนับสนุนงานของศูนย์พัฒนาโครงการหลวง จำนวน ๓๘ แห่ง และโครงการขยายผลโครงการหลวง จำนวน ๒๙ แห่ง ในวงเงิน ๙๐๓,๙๙๒,๑๔๒ บาท โดยเฉพาะงบประมาณด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของกรมชลประทานและกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๔. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนพื้นที่ที่มูลนิธิโครงการหลวงและสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ใช้ประโยชน์ จำนวน ๓ แปลง ออกจากเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จำนวนพื้นที่ ๘๖๘-๑-๕๘ ไร่ มาเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ได้แก่ แปลงที่ดินด้านทิศเหนือ จำนวน ๒๙๕-๒-๒๖ ไร่ ซึ่งเป็นที่ตั้งมูลนิธิโครงการหลวงและสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) แปลงที่ดินด้านทิศใต้ จำนวน ๑๐๔-๐-๒๒ ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มูลนิธิโครงการหลวงและสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ใช้ประโยชน์ในการทำกิจกรรมอยู่ในปัจจุบัน และพื้นที่อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จำนวน ๔๖๘-๓-๑๐ ไร่ โดยให้ดำเนินการตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๕. เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติสนับสนุนโครงการพัฒนาและติดตั้งระบบงาน ERP (Enterprise Resource Planning) ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) ของมูลนิธิโครงการหลวงพร้อมทั้งจัดหางบประมาณสนับสนุนต่อไป ๖. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาในระดับพื้นที่เพื่อนำข้อเสนอแนะจากที่ประชุมไปดำเนินการเพื่อขยายผลให้เกิดเป็นรูปธรรมและเกิดประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการเกี่ยวกับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินงานตามที่ได้รับการพิจารณา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
502 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ | ทก | 03/03/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่ประชุมได้พิจารณายุทธศาสตร์ เป้าหมาย แผนงาน และกิจกรรมภายใต้แนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ ๑.๑ ดาวเทียมสื่อสาร ที่ประชุมได้พิจารณากรณีการประสานงานความถี่ข่ายสื่อสารดาวเทียมในระดับหน่วยงานอำนวยการ (Administration) และเห็นชอบในหลักการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในฐานะผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานอำนวยการของไทยให้ความเห็นชอบต่อรายงานการประชุมประสานงานความถี่ฯ ซึ่งเป็นการประชุมหารือเชิงเทคนิคและเป็นไปตามกฎข้อบังคับวิทยุคมนาคมแห่งสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ๑.๒ ดาวเทียมสำรวจทรัพยากร ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการพัฒนาและดำเนินโครงการลดความยากจนและเหลื่อมล้ำทางภูมิเศรษฐกิจโดยการรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (เดิมคือ โครงการระบบสำรวจโลกด้วยดาวเทียมของประเทศ ระยะที่ ๒) ใน ๒ ทางเลือกคือ (๑) ลักษณะกิจการร่วมค้า (Joint Venture หรือ PPP) โดยรัฐร่วมลงทุนกับบริษัทเอกชนของต่างประเทศ และ (๒) ลักษณะรัฐลงทุนเอง ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือกทางเลือกที่ ๒ คือ รัฐลงทุนเอง และมอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ไปศึกษาแนวทางการดำเนินงานและแผนปฏิบัติการที่จะพัฒนาดาวเทียมของไทยเอง โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ความคุ้มค่าที่จะได้รับ รวมทั้งความเหมาะสมเปรียบเทียบกับหลายประเทศเพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ ดาวเทียมเพื่อความมั่นคง ที่ประชุมให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีอวกาศมาประยุกต์ใช้งานด้านความมั่นคงเพื่อรองรับภัยคุกคามและสงครามในรูปแบบใหม่ ซึ่งพัฒนาไปสู่พื้นที่ปฏิบัติการ ๕ มิติ ประกอบด้วย มิติทางบก มิติทางทะเล มิติทางอากาศ มิติด้านไซเบอร์ และมิติด้านอวกาศ และนำเสนอต่อที่ประชุมในโอกาสต่อไป ๒. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย โดยมีประเด็นสำคัญ คือ แนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยดังกล่าวมีลักษณะค่อนข้างกว้าง เห็นควรให้มีการทบทวนปรับปรุงเพิ่มเติม และให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยขึ้นคณะหนึ่ง มีหน้าที่ปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยให้ทันสมัย รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะการดำเนินโครงการลดความยากจนและเหลื่อมล้ำทางภูมิเศรษฐกิจโดยการรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (THEOS-2) ในคราวเดียวกัน
|
||||||||||||||||||
503 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | วธ | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเปลี่ยนแปลงกรรมการในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร จาก “ผู้แทนสภาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมแห่งชาติ” เป็น “ผู้แทนกระทรวงวัฒนธรรม” ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
504 | สรุปรายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 - 2556 | นร12 | 18/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖ โดยการประเมินผลองค์การมหาชนฯ จำนวน ๑๔ หน่วยงาน ซึ่งจำแนกเป็น ๒ กลุ่ม คือ องค์การมหาชนฯ ที่อยู่ในระบบการประเมินทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง จำนวน ๘ แห่ง และองค์การมหาชนฯ ที่มีระบบการประเมินผลตนเอง จำนวน ๖ แห่ง มีผลงานบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งและพันธกิจที่ได้รับมอบหมาย โดยองค์การมหาชนฯ ส่วนใหญ่มีผลการประเมินสูงกว่าเป้าหมาย (คะแนนมากกว่า ๓.๐๐๐๐ คะแนนขึ้นไป) จากคะแนนเต็ม ๕.๐๐๐๐ คะแนน โดยคะแนนเฉลี่ยผลการประเมินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ คือ ๔.๑๙๙๑ คะแนน ซึ่งองค์การมหาชนฯ ที่มีผลคะแนนรวมสูงสุด คือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ ๔.๗๒๐๐ คะแนน และคะแนนเฉลี่ยผลการประเมินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ คือ ๔.๑๐๙๒ คะแนน ซึ่งองค์การมหาชนฯ ที่มีผลคะแนนรวมสูงสุด คือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้ ๔.๘๕๐๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
|
||||||||||||||||||
505 | นโยบายส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม จากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคเอกชน (Talent Mobility) | วท | 18/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้การปฏิบัติงานในโครงการส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐ ไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในภาคเอกชน (Talent Mobility) ของบุคลากรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐถือเป็นการปฏิบัติงานเต็มเวลาของหน่วยงานต้นสังกัด โดยให้นับเป็นอายุราชการหรืออายุงานของหน่วยงานต้นสังกัด ๑.๒ ให้การปฏิบัติงานในโครงการฯ ของบุคลากรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐที่มีข้อผูกพันตามสัญญาชดใช้ทุน นับเป็นระยะเวลาชดใช้ทุนตามสัญญาด้วย ทั้งนี้ ให้รวมถึงผู้รับทุนที่ต้องการเข้าร่วมโครงการฯ ก่อนเริ่มปฏิบัติงานในหน่วยงานต้นสังกัดสำหรับกรณีที่หน่วยงานต้นสังกัดเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ และองค์การมหาชน โดยครอบคลุมทั้งองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ที่เป็นหน่วยงานด้านวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ๑.๓ ให้บุคลากรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถใช้ผลการปฏิบัติงานในภาคเอกชนในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นผลงานในการขอตำแหน่งทางวิชาการหรือตำแหน่งงานอื่น ๆ รวมทั้งการขึ้นเงินเดือน โดยให้มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐจัดทำเกณฑ์การเลื่อนตำแหน่ง การเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ และการขึ้นเงินเดือนที่ชัดเจน ๑.๔ มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อผลักดันการดำเนินการตามนโยบายให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เกี่ยวกับการจัดทำรายละเอียดการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น การกำหนดสิ่งจูงใจ ค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์ การกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพการประเมินผลการปฏิบัติงาน ควรมีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานอื่นที่บุคลากรไปปฏิบัติงาน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวเกิดประสิทธิผลสูงสุด และให้มีการประเมินและติดตามผลของนโยบาย Talent Mobility อย่างสม่ำเสมอ โดยครอบคลุมถึงผลกระทบด้านความเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์ประเทศ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลภาครัฐด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน รวมทั้งผลกระทบต่อการบริหารทรัพยากรบุคคลของหน่วยงานที่นำนโยบายนี้ไปดำเนินการ นอกจากนี้ ควรปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเอื้อให้บุคลากรในสังกัดสามารถเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนา กำหนดกรอบและทิศทางการวิจัยและพัฒนาในเรื่องต่าง ๆ ให้สอดคล้อง สนับสนุน และเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ๑๑ กลุ่ม รวมทั้งกลุ่มธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้วย ๔. มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดทำทะเบียนบุคลากรที่ปฏิบัติงานทางด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งรวบรวมผลงานวิจัยต่าง ๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนเพื่อนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลในการต่อยอดการวิจัยและพัฒนาให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ต่อไป ๕. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการกำหนด ตรวจสอบ และรับรองคุณภาพมาตรฐานสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สถาบันมาตรวิทยา สถาบันทดสอบมาตรฐานอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เร่งรัดขั้นตอนดำเนินการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานสินค้าและผลิตภัณฑ์ตามอำนาจหน้าที่ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนการประกอบการของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องให้ได้รับความสะดวกรวดเร็วมากขึ้นด้วย |
||||||||||||||||||
506 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 03/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการพิจารณาโครงการภาคสมัครใจ และการพิจารณาให้ใช้เครื่องหมายรับรอง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
507 | ขอความเห็นชอบให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมและการฝึกอบรมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ | วท | 03/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมและการฝึกอบรมในประเทศไทย จำนวน ๓ รายการ เพื่อจะได้ดำเนินการประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ แจ้งให้คณะผู้แทนถาวรไทยประจำกรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ทราบและแจ้งทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ตามแนวทางปฏิบัติต่อไป โดย IAEA จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการดำเนินการจัดและผู้เข้าร่วมการประชุมและฝึกอบรม (ค่าโดยสารเครื่องบิน ค่าที่พัก และค่าเบี้ยเลี้ยง) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การประชุม IAEA Mid-Term Review Meeting ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๙-๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ โดยมีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ๑.๒ การฝึกอบรม IAEA Regional Training Course on Isotope and Geochemical Application in Flood Risk Mitigation ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ โดยมีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ๑.๓ การประชุม IAEA/RCA First Coordination Meeting ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๐ มีนาคม ๒๕๕๘ โดยมีสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอชื่อผู้เข้าร่วมประชุมและฝึกอบรมเพิ่มเติมตามจำนวนที่ IAEA กำหนด รวมทั้งให้รับความเห็น ข้อสังเกต และประสานกับกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องเอกสิทธิ์และความคุ้มกัน ไปดำเนินการด้วย ๓. ให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทราบถึงบทบาทอำนาจหน้าที่และผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เป็นประโยชน์และเกิดผลเป็นรูปธรรม เช่น ผลงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย การใช้เทคโนโลยีถนอมอาหารโดยการฉายรังสี การควบคุมคุณภาพของสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทั้งที่ใช้ภายในประเทศและเพื่อการส่งออกไปต่างประเทศ เป็นต้น |
||||||||||||||||||
508 | การเป็นเจ้าภาพจัดงานวันท่องเที่ยวโลกปี พ.ศ. 2559 | กก | 03/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานวันท่องเที่ยวโลกปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับรายละเอียดการดำเนินงาน ควรให้ความสำคัญกับการวางกรอบแผนการดำเนินงานที่บูรณาการระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนโดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการการท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม การเมืองและเศรษฐกิจของประเทศและโลกโดยรวม พร้อมทั้งการนำเสนอความเป็นไทยเพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ให้โดดเด่นและแตกต่างภายใต้การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกและสังคมโลกที่จะมีผู้สูงอายุมากขึ้น นอกจากนี้ ควรเร่งพัฒนาความพร้อมของบุคลากรในการจัดการประชุมให้เป็นมืออาชีพและความสามารถด้านภาษาในทุกสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดงานวันท่องเที่ยวโลกปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ประมาณการไว้จำนวนไม่ต่ำกว่า ๓๐ ล้านบาท (ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินของผู้เข้าร่วมประชุม) ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดทำรายละเอียดและเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ หากการดำเนินโครงการดังกล่าวมีผลให้ต้องผูกพันงบประมาณเกินกว่าที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้แจ้งไว้ หรือมีการลงนามความตกลงความร่วมมือต่าง ๆ ในการดำเนินงาน ซึ่งอาจมีผลผูกพันเป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ก่อนดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
509 | ร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... | ทส | 20/01/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ ประธานกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย ไปพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการกำหนดลุ่มน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อประชาชน แล้วส่งผลการหารือดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรการในการรับประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเข้าถึงน้ำ การควบคุมการใช้น้ำ การบริหารจัดการน้ำ การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน การพัฒนา การคุ้มครอง ฟื้นฟูและอนุรักษ์แหล่งน้ำ การป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำขาดแคลน การกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชนในลุ่มน้ำ ตลอดจนการจัดตั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำในระดับชาติและระดับลุ่มน้ำ รวมทั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาเกี่ยวกับบทเฉพาะกาลและองค์ประกอบของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในร่างพระราชบัญญัติฯ ๒.๑ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ๒.๒ ให้คงแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๙) และแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าว จนกว่าจะได้มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ฯ และแผนงาน/โครงการใหม่ หรือมีการปรับปรุงตามร่างพระราชบัญญัตินี้ ๒.๓ เพิ่มเติม “ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน)” เป็นกรรมการในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติด้วย และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการติดตามประเมินผลและกองทุนทรัพยากรน้ำ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ ประธานกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เร่งรัดการจัดทำรายละเอียดแผนปฏิบัติงาน รายงาน/วงเงิน และระยะเวลาของรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รวมทั้งรายละเอียดของรายการและวงเงินที่จะขอใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามแผนงาน/โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ชัดเจน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||
510 | การจัดทำความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่น | ทส | 20/01/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการจัดทำข้อตกลงทวิภาคีความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทยในการพัฒนากลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) โดยโครงการความร่วมมือทวิภาคี JCM มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ภายใต้ความร่วมมือทวิภาคีนี้ ญี่ปุ่นจะให้การสนับสนุนความรู้ทางเทคนิคและ/หรืองบประมาณบางส่วน (ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโครงการ) แก่โครงการที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือก โดยมีเงื่อนไขว่ารัฐบาลของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุดจะต้องทำการส่งมอบคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้กลไกนี้ในสัดส่วนที่ตกลงกันให้แก่รัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อใช้ประกอบเป็นส่วนหนึ่งในการรายงานผลการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของญี่ปุ่นภายใต้อนุสัญญาประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และมอบหมายให้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นผู้ดำเนินการในรายละเอียดตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาข้อตกลงความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในช่องทางอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย ส่วนของการถ่ายทอดเทคโนโลยี ควรมีกรอบข้อตกลงเรื่องลิขสิทธิ์ของเทคโนโลยีร่วมกัน และควรหารือเพิ่มเติมในรายละเอียดของสาขาเทคโนโลยี ประเภทของโครงการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ การเข้าร่วมโครงการ JCM ควรพิจารณาโครงการที่ประเทศไทยมีความพร้อมและความเหมาะสมที่จะเข้าร่วม เช่น โครงการในภาคพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม และภาคการจัดการของเสีย โดยไม่ควรรวมโครงการด้านป่าไม้ เนื่องจากไม่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งควรมีข้อตกลงในเรื่องลิขสิทธิ์เทคโนโลยีที่อาจจะมีการพัฒนาร่วมกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น และในระยะยาว ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีของตนเอง ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้นำร่างข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ การจัดทำความร่วมมือทวิภาคีดังกล่าวจะต้องอยู่บนพื้นฐานของการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกันและเป็นธรรมระหว่างกัน รวมทั้งต้องไม่ขัดกับกฎหมายภายในประเทศและไม่มีประเด็นเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ดำเนินการจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยให้ทันสมัย เป็นปัจจุบัน เพื่อใช้ประโยชน์ในการเจรจาข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดการด้านป่าไม้และคาร์บอนเครดิตของประเทศไทยต่อไป |
||||||||||||||||||
511 | รายละเอียดเกี่ยวกับความต้องการและแนวทางการใช้ประโยชน์ภาพถ่ายแผนที่จากการสำรวจระยะไกลทางอากาศและดาวเทียม | วท | 20/01/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการใช้ประโยชน์ภาพถ่ายแผนที่จากการสำรวจระยะไกลจากทางอากาศและดาวเทียม และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) เป็นหน่วยงานร่วมดำเนินการด้วย โดยข้อเสนอแนวทางการใช้ประโยชน์ภาพถ่ายแผนที่ฯ มีดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานที่เป็นเจ้าของภาพถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายดาวเทียมทุกประเภท เช่น กรมแผนที่ทหาร กองทัพอากาศ กรมที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เป็นต้น ร่วมกันหารือถึงปัญหาอุปสรรคที่ยังไม่สามารถให้บริการภาพถ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งแนวทางการจัดทำระบบเพื่อให้สามารถสืบค้นและให้บริการภาพในคลังข้อมูลของหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๑.๒ ให้หน่วยงานเจ้าของข้อมูลภูมิสารสนเทศพิจารณาเปิดให้หน่วยงานเข้าถึงและใช้งานข้อมูลของหน่วยงาน โดยในปี ๒๕๕๘ ให้เริ่มจากการบูรณาการข้อมูลข้ามหน่วยงานใน ๒ ประเด็น เพื่อเป็นการนำร่อง คือ (๑) การจัดการไฟป่าและหมอกควัน และ (๒) การจัดการที่ดินในเขตป่าไม้ โดยให้หน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกันกำหนดแนวปฏิบัติในการนำภูมิสารสนเทศจากภาพถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายดาวเทียมไปใช้งานร่วมกัน โดยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสนับสนุนข้อมูลและการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรของหน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาแนวทางการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๖ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศึกษาและเสนอแนะนวัตกรรม รวมทั้งแนวทางการพัฒนาและการลงทุนในระบบสำรวจและประยุกต์ใช้งานภูมิสารสนเทศของประเทศ ที่บูรณาการการถ่ายภาพทางอากาศ การถ่ายภาพด้วยดาวเทียมสำรวจโลก การใช้งานระบบดาวเทียมนำทางและเทคโนโลยีการประยุกต์ใช้งานภูมิสารสนเทศจากการสำรวจระยะไกลในภารกิจต่าง ๆ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เป็นต้น บูรณาการการดำเนินงานร่วมกัน โดยให้มีแผนงาน (Road Map) ที่ชัดเจนและปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้ได้ข้อมูลภาพถ่ายแผนที่ที่ถูกต้อง ครบถ้วน ทั้งจากการสำรวจระยะไกลทางอากาศ ดาวเทียม และจากภาคพื้นดิน และใช้ประโยชน์ร่วมกันต่อไปได้ สำหรับการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๖ นั้น มอบให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินการ |
||||||||||||||||||
512 | การใช้ระบบข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ในการป้องกันการทุจริตเป็นโครงการนำร่อง | สลธ.คสช. | 20/01/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๘ ให้นำหลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางในการใช้ระบบข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) มาบังคับใช้เป็นโครงการนำร่อง (Pilot Project) ใน ๒ โครงการ คือ โครงการจัดซื้อรถโดยสารก๊าซธรรมชาติ จำนวน ๔๘๙ คัน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตามที่คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินการกำหนดรายละเอียด หลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางในการนำระบบข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ไปใช้ในการป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ สำหรับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หน่วยงานของรัฐ และเอกชน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
513 | การแต่งตั้งประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ | นร | 13/01/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ จำนวน ๖ คน เนื่องจากประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมได้ลาออกจากตำแหน่ง ตามที่สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เสนอ โดยให้เริ่มนับวาระการดำรงตำแหน่งใหม่ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรี (๑๓ มกราคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายคณิต แสงสุพรรณ ประธานกรรมการ ๒. คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุยา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายเกริก วณิกกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นายรอม หิรัญพฤกษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. รองศาสตราจารย์บุญสนอง รัตนสุนทรากุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นายดิสทัต โหตระกิตย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||
514 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 06/01/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าวให้เกิดขึ้นภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ โดยให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งตรวจสอบราคาสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะรายการที่ยังมีราคาค่อนข้างสูง และกำหนดมาตรการในการดูแลระดับราคา ๒. ด้านสังคม ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) ประสานงานเพื่อให้มีการศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์ของจีนเกี่ยวกับงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและการพัฒนา (R&D) และนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำการวิจัยร่วมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๑ ปี ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศสำหรับปี ๒๕๕๘ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลเป็นรูปธรรม จึงมอบให้ทุกส่วนราชการพิจารณาว่าจะมีบทบาทหน้าที่ใดที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้การดำเนินการเกิดผลเป็นรูปธรรม บรรลุยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลกำหนดไว้ และให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับให้ทุกส่วนราชการที่อยู่ในการกำกับดูแลพิจารณาทบทวนและประเมินผลการดำเนินการในรอบ ๓ เดือนที่ผ่านมา และจัดทำแผนปฏิบัติการในระยะ ๓ เดือนข้างหน้าโดยมุ่งเน้นใน ๓ ประเด็น คือ ด้านความมั่นคงและการรักษาความปลอดภัย ด้านการปฏิรูป และด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งนี้ แผนดังกล่าวจะต้องมีความชัดเจนในเรื่องต่าง ๆ เช่น เป้าหมายที่เป็นรูปธรรม ลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนในการดำเนินการ แนวทางการใช้จ่ายงบประมาณและการหารายได้ ๓.๒ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ที่ผ่านมาพบว่า สถิติความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การลดความสูญเสียเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงยังต้องศึกษาข้อมูลและวางแผนการปรับปรุงการดำเนินการในปีต่อ ๆ ไป จึงให้กระทรวงมหาดไทย (ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) จัดทำข้อมูลและสถิติการเกิดอุบัติเหตุและการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินที่มาจากสาเหตุในกรณีต่าง ๆ และให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบเส้นทางที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และจัดทำข้อมูลว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด ทั้งนี้ ให้รายงานผลการรวบรวมข้อมูลและสถิติต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน ๓.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร ๓.๔ ให้ทุกส่วนราชการที่มีกำหนดกิจกรรมงานวันเด็กแห่งชาติดำเนินการจัดงาน โดยมุ่งเน้นการให้ความรู้และปลูกจิตสำนึกในการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาประเทศแก่เด็กและเยาวชน ๓.๕ ในปัจจุบันพบว่ามีอาคารที่หยุดการก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งส่วนใหญ่อาคารเหล่านี้ไม่สามารถปรับปรุง ทุบทิ้ง หรือดำเนินการใด ๆ ต่อไปได้ เนื่องจากติดปัญหาข้อกฎหมาย จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อให้สามารถนำอาคารหรือพื้นที่เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้ต่อไป รวมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมความปลอดภัยของอาคารเหล่านี้ด้วย ๓.๖ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมและจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับความต้องการและแนวทางการใช้ประโยชน์จากภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศร่วมกัน โดยให้สามารถตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ในการใช้งานของแต่ละหน่วยงานได้ เช่น การจัด Zoning พื้นที่ทางการเกษตร การจำแนกพื้นที่สำหรับการจัดเก็บภาษี และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์ต่อไป ๓.๗ ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการเผยแพร่ข้อมูลในความรับผิดชอบและติดตามข้อมูลข่าวสารและความคิดเห็นจากสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับภารกิจหรือการดำเนินงานในความรับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการติดตามข่าวสารที่เผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยหากข้อมูลใดที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงให้เร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนโดยเร็วด้วย ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีข้างต้นใช้เป็นแนวทางในการบริหารราชการให้เกิดประสิทธิภาพ ดังนั้น ในขั้นตอนปฏิบัติ หน่วยงานจะต้องดำเนินการโดยยึดถือกฎหมาย ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก
|
||||||||||||||||||
515 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. .... | สว | 06/01/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. .... และผลการดำเนินการตามข้อสังเกต ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกตว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ควรประสานความร่วมมือกันเพื่อรวบรวมและจัดประเภทของกฎหมายที่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้ชัดเจน เพื่อให้ส่วนราชการที่มีภารกิจตามกฎหมายว่าด้วยการอนุญาตได้เตรียมความพร้อมเพื่อดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เช่น การจัดทำคู่มือสำหรับประชาชน จัดตั้งศูนย์บริการร่วม การจัดระบบและกระบวนการในการทำงาน รวมทั้งรีบเร่งพัฒนาระบบงานเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานทางระบบสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ การสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่บุคลากรที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์บริการร่วมหรือศูนย์รับคำขออนุญาต เป็นต้น โดยควรจัดทำให้แล้วเสร็จก่อนที่พระราชบัญญัตินี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๑.๒ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงาน ก.พ.ร. ได้ประชุมร่วมกันเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการตามข้อสังเกตคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยวางแผนการดำเนินงานเป็นสามระยะ คือ ระยะที่หนึ่ง จะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบและจัดทำฐานข้อมูลกฎหมายที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการอนุมัติ อนุญาต ฯลฯ รวมทั้งกิจกรรมที่ต้องมีการอนุมัติ อนุญาต ฯลฯ ทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ระยะที่สอง จะแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำคู่มือประชาชนตามแบบที่กำหนดเพื่อเตรียมจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มและข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และระยะที่สาม ตรวจสอบความถูกต้องของคู่มือประชาชนแล้วให้เสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันครบกำหนดระยะที่สอง สำหรับการพัฒนาระบบการทำงานของส่วนราชการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ สมควรที่คณะรัฐมนตรีจะได้มอบหมายให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก โดยประสานข้อมูลกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อให้การบริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปตามมาตรฐาน (Platform) เดียวกัน ส่วนการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่บุคลากรที่เป็นพนักงานประจำ ศูนย์บริการร่วมหรือศูนย์รับคำขออนุญาต สำนักงาน ก.พ.ร. ได้เตรียมแผนการฝึกอบรมดังกล่าวไว้แล้ว ๒. มอบหมายให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบหลักสำหรับการพัฒนาระบบการทำงานของส่วนราชการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
|
||||||||||||||||||
516 | รายงานผลการดำเนินงานเทศกาลหุ่นโลกกรุงเทพฯ "Harmony World Puppet Carnival in Bangkok Thailand 2014" | วธ | 06/01/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานเทศกาลหุ่นโลกกรุงเทพฯ “Harmony World Puppet Carnival in Bangkok Thailand 2014” ที่จัดขึ้น ณ ท้องสนามหลวง และโรงละครรอบบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ ระหว่างวันที่ ๑-๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานตลอดการจัดงานเทศกาลหุ่นโลกกรุงเทพฯ มีผู้ชมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจเข้าร่วมชมการแสดงทั้ง ๑๓ พื้นที่ รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ได้แก่ ท้องสนามหลวง (เวทีใหญ่ ๑ เวที และเวทีเล็ก ๒ เวที) โรงละครแห่งชาติ (โรงเล็กและโรงใหญ่) โรงละครวังหน้าสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ ถนนเจ้าฟ้า หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุงฯ โรงละครศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และศูนย์การค้าสยามพารากอน รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ รวมจำนวนมากกว่า ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน เกิดรายได้หมุนเวียนในช่วงเวลาดังกล่าวกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ๒. จากผลสำเร็จการจัดงานเทศกาลหุ่นโลกกรุงเทพฯ และภาพความประทับใจในศิลปะและวัฒนธรรมไทย ทำให้มีคณะหุ่นนานาชาติหลายประเทศได้ร่วมกับคณะหุ่นไทย กำหนดจัดกิจกรรมและเข้าร่วมแสดงหุ่นในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย ได้แก่ (๑) เทศกาลหุ่นนานาชาติ 2014@เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม และโรงละครหอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (๒) เทศกาลหุ่นสายนานาชาติ ณ จังหวัดภูเก็ต “Phuket Harmony Puppet” วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ โรงเรียนสามกอง และถนนคนเดินหลาดใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต และ (๓) คาราวานหุ่นไทยสัญจรคืนสุข ๔ ภูมิภาค ประกอบด้วย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ภาคใต้ จังหวัดตรัง ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๗ ภาคเหนือ จังหวัดน่าน ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๘ มกราคม ๒๕๕๘ และภาคกลาง จังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||
517 | ขอความเห็นชอบร่างกฎหมายเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ จำนวน 8 ฉบับ | ทก | 06/01/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม ๗ ฉบับ เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. .... ๑.๗ ร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. ให้รับข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. .... มาตรา ๖ (๓) และมาตรา ๙ (๔) ที่กำหนดรายรับและการใช้จ่ายกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องจัดสรรเพื่อสมทบให้แก่กองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ จะต้องเป็นการส่งเสริม สนับสนุนโดยไม่ขัดแย้ง และซ้ำซ้อนกับการจัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่กำหนดให้มีการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล พ.ศ. .... ที่กำหนดให้จัดตั้งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งชาติเป็นองค์การมหาชน ไม่ควรกำหนดให้สำนักงานดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการถือหุ้น เข้าเป็นหุ้นส่วน เข้าร่วมทุนกับนิติบุคคล และการกู้ยืมเงิน รวมทั้งการจัดตั้งหน่วยงานควรคำนึงถึงการควบรวม ทบทวนภารกิจ หรือยุบเลิกโครงสร้างของหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว ให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ เพื่อไม่ให้มีการจัดตั้งหน่วยงานภาครัฐขึ้นใหม่เกินความจำเป็นเพื่อลดความซ้ำซ้อนของการใช้จ่ายงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... เป็นกฎหมายที่จัดทำขึ้นใหม่ มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายคล้ายคลึงกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ เห็นควรพิจารณาปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวให้อยู่ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติเดียวกัน ตลอดจนควรกำหนดให้มีความเชื่อมโยงของนโยบายด้านเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการเฉพาะด้าน ตามร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... กับคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่กำหนดให้มีขึ้นตามร่างกฎหมายเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศทั้ง ๘ ฉบับ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมภาคเศรษฐกิจดิจิทัลและการวางรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลให้แก่ประชาชนและภาคเอกชนด้วย |
||||||||||||||||||
518 | การดำเนินงานของกระทรวงแรงงานเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน | รง | 30/12/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินงานของกระทรวงแรงงานเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. จัดตั้ง “ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย” (Smart Job Center) เพื่อให้บริการด้านแรงงานแก่ประชาชนแบบครบวงจร โดยให้บริการตั้งแต่การบริการจัดหางานด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ผู้หางานสามารถสืบค้นตำแหน่งงานได้ด้วยตนเอง สามารถติดตามผลการบรรจุงานได้เป็นรายบุคคล และมีบริการแนะแนวและให้คำปรึกษาด้านอาชีพ การทดสอบความพร้อมทางวิชาชีพ รวมถึงห้องแสดงสินค้าของกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านและผู้ประกอบอาชีพอิสระ ห้องแสดงบทบาทอาชีพเสมือนจริง (Role Play) และการให้บริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมีงานทำ ๒. เพิ่มสิทธิประโยชน์กองทุนเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างที่ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน อยู่ระหว่างดำเนินการออกกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่ารักษาพยาบาลให้นายจ้างจ่ายตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. .... ๓. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินการเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด "ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น" อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ศูนย์ฟื้นฟูฯ จังหวัดขอนแก่น เป็นหนึ่งในโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๗ ครอบคลุมการให้บริการแก่ลูกจ้าง ผู้ประกันตนที่พิการ ทุพพลภาพ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๒๐ จังหวัด มุ่งเน้นการให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพแก่ลูกจ้าง ผู้ประกันตนที่สูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานและทุพพลภาพ โดยให้การฟื้นฟูฯ ที่เหมาะสมครบทุกด้าน ทั้งด้านการแพทย์ ด้านอาชีพ จิตใจและสังคม รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการเล่นกีฬาเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพ จนกระทั่งจบการฟื้นฟูสามารถกลับไปดำรงชีวิตประจำวันและประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองได้ ๔. จัดตั้ง “สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน)” เพื่อดำเนินการด้านการส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานให้กับแรงงานและคนทำงานทั้งในระบบและนอกระบบ ๕. การแก้ไขกฎหมายเพื่อการคุ้มครองแรงงาน ได้แก่ กฎกระทรวงว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานในงานเกษตรกรรม พ.ศ. .... และกฎกระทรวงว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ. .... ๖. ดำเนิน “โครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงานตามความต้องการของสถานประกอบกิจการ” เป็นการดำเนินงานเชิงรุกในการเข้าหาสถานประกอบกิจการ โดยให้คำปรึกษา แนะนำ แก่บุคลากรในสถานประกอบกิจการ ในการสร้างจิตสำนึกให้รู้คุณค่าของทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เข้าใจถึงความสูญเสียที่แฝงอยู่ในกระบวนการทำงานและดำเนินการแก้ไข ปรับปรุงได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง รวมถึงสามารถนำแนวทางไปปฏิบัติเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานในสถานประกอบกิจการ ๗. จัดทำโครงการคลินิกช่าง “กรมพัฒนาฝีมือแรงงานร่วมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่” โดยจัดบริการตรวจเช็คสภาพรถ ซ่อมบำรุงรักษารถยนต์ และรถจักรยานยนต์ แก่ประชาชนฟรี ในช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ ๑๕-๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ ที่ตั้งสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด และช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๗-๔ มกราคม ๒๕๕๘ ณ จุดบริการบนถนนสายหลักทั่วประเทศ และจัดให้มีบริการอื่น ๆ ที่นอกเหนือ เช่น ให้บริการเครื่องดื่ม ผ้าเย็น นวดแผนไทย และนวดฝ่าเท้า เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
519 | รายงานผลการดำเนินงานการเข้าร่วมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประจำปี พ.ศ. 2556 | ทก | 23/12/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานการเข้าร่วมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยมีสาระสำคัญว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ร่วมทุนจำนวน ๔ โครงการ งบประมาณรวมจำนวน ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่ได้ทำแล้วเสร็จ และได้นำไปใช้แล้วจำนวน ๓ โครงการ คือ การพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรบุคคลและเงินเดือน โดยบริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด โครงการภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง ปังปอนด์ จอมป่วน โดยบริษัท วิธิตาแอนิเมชั่น จำกัด และโครงการพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบ Internet Billing System โดยบริษัท เทอร์ราไบท์ เน็ท โซลูชั่น จำกัด ส่วนอีกโครงการ คือ โครงการภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Gabriel and the Christmas โดยบริษัท ดิจิดรีม จำกัด สำนักงานฯ ได้แจ้งบอกเลิกสัญญาเนื่องจากบริษัท ฯ ไม่คืนเงินร่วมทุนตามระยะเวลาที่กำหนด ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร [สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาขน)] รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ พร้อมทั้งปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจร่วมทุนให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีความคุ้มค่าในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
520 | การดำเนินโครงการ "เกษตรกรได้รับ ประชาชนได้รู้ คืนความสุขสู่คนไทย จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์" | กษ | 23/12/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการ “เกษตรกรได้รับ ประชาชนได้รู้ คืนความสุขสู่คนไทย จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ซึ่งเป็นโครงการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีแนวคิดในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๘ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เกษตรกรและประชาชนทั่วไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ การดำเนินงานสรุปได้เป็น ๓ กิจกรรมหลัก ดังนี้
๑. “เกษตรกรได้รับ” ๑.๑ เกษตรกรได้รับระบบชลประทาน แหล่งน้ำขนาดเล็ก ระบบส่งน้ำ สระน้ำในไร่นา และกรรมสิทธิ์ในโค-กระบือ หน่วยงานที่มีกิจกรรมดำเนินการ ได้แก่ กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน และกรมปศุสัตว์ ๑.๒ จัดแจกปัจจัยการผลิต หน่วยงานที่มีกิจกรรมดำเนินการ ได้แก่ กรมพัฒนาที่ดิน ๒. “ประชาชนได้รู้” ๒.๑ จัดสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรและให้ความรู้ด้านการเกษตร เช่น ศูนย์/สถาบัน/เครื่องมือด้านการเกษตร หน่วยงานที่มีกิจกรรมดำเนินการ ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมชลประทาน กรมการข้าว กรมวิชาการเกษตร และกรมหม่อนไหม ๒.๒ เปิดสถานที่เข้าชมโดยไม่เก็บค่าผ่านประตูช่วงเทศกาลปีใหม่ หน่วยงานที่มีกิจกรรมดำเนินการ ได้แก่ กรมประมง องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย สำนักงานพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) และอุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ ๓. “กระเช้าปีใหม่” ๓.๑ จัดกิจกรรมเลือกชมและเลือกซื้อกระเช้าสินค้าจากกลุ่มสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ ๓.๒ จัดกิจกรรมเลือกชมและเลือกซื้อของขวัญและของที่ระลึก โดยองค์การสะพานปลา
|
.....