ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 24 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 461 - 480 จากข้อมูลทั้งหมด 1093 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
461 | สรุปผลการประเมินการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 - 2557 | นร12 | 10/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประเมินการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กลุ่มที่ ๑ ดีเด่น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้แก่ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้แก่ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) ๑.๒ กลุ่มที่ ๒ ทั่วไป ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้แก่ องค์การมหาชน จำนวน ๒๗ แห่ง ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้แก่ องค์การมหาชน จำนวน ๒๙ แห่ง ๑.๓ กลุ่มที่ ๓ ควรพัฒนา ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้แก่ สำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้แก่ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณากำหนดตัวชี้วัดการปฏิบัติงานขององค์การมหาชนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์การมหาชนและผลสัมฤทธิ์ในการบรรลุภารกิจขององค์การมหาชนแต่ละแห่งประกอบการประเมินการปฏิบัติงานขององค์การมหาชนในครั้งต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
462 | แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ) | กษ | 03/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแต่งตั้งนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร แทนนายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คนเดิม ซึ่งพ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร บริหารจัดการเงินทุนของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ในลักษณะการบูรณาการการวิจัยและพัฒนาให้เหมาะสมและชัดเจน โดยกำหนดสิ่งที่ต้องการวิจัย ห้วงระยะเวลาในการดำเนินการเพื่อนำไปสู่การผลิตและสร้างรายได้ให้ประเทศ รวมตลอดถึงการกำหนดค่าตอบแทนให้แก่นักวิจัยด้วย
|
||||||||||||||||||
463 | รายงานผลการจัดประชุมระดับชาติและนานาชาติ เรื่อง การประกันคุณภาพการศึกษา ประจำปี พ.ศ. 2558 | อื่นๆ | 03/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) ได้จัดการประชุมระดับชาติและนานาชาติ เรื่อง การประกันคุณภาพการศึกษา ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๕ ปี ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพมหานคร โดยมีกรอบแนวคิดหลักคือ การก้าวข้ามขีดจำกัดเพื่อมุ่งสู่สหัสวรรษแห่งการยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศและเพื่อพัฒนาศักยภาพและสมรรถนะของประชากรให้พร้อมต่อการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมทั้งประชาคมนานาชาติต่อไป ผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูง นักวิชาการ ครู คณาจารย์ ผู้ประเมินภายนอก ผู้ประเมินอภิมาน ศูนย์เครือข่าย สมศ. และบุคลากรทางการศึกษาจากสถานศึกษาทุกระดับการศึกษา หน่วยงานทางการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. เทียนฉาย กีระนันทน์ อดีตประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ในการปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การประกันคุณภาพการศึกษาไทย” และศาสตราจารย์ ดร. ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการ สมศ. เป็นวิทยากรนำในการบรรยายพิเศษ เรื่อง “ก้าวข้ามขีดจำกัด สู่สหัสวรรษแห่งคุณภาพ” ในส่วนของการประชุมวิชาการระดับชาติ มีจำนวน ๕๕ เรื่อง มีวิทยากรและผู้ดำเนินรายการที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒๐๖ คน สำหรับการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ (ICQA 2015) มีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศ จำนวน ๓ หน่วยงาน ได้แก่ TWAEA ABEST21 และ NTS-Pakistan มีผู้ทรงคุณวุฒิในระดับนานาชาติร่วมเป็นวิทยากรบรรยาย จำนวน ๖ เรื่อง และมีการนำเสนอผลงานวิจัยด้านการประกันคุณภาพการศึกษา จำนวน ๘ เรื่อง โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม จำนวน ๑๒๐ คน จาก ๑๖ ประเทศ ทั้งในภูมิภาคเอเชีย สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ในภาพรวมของการจัดงานมีผู้เข้าร่วมการประชุมทั้งสิ้นกว่า ๑๓,๓๔๖ คน ประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา นักการศึกษา นักวิชาการ นักวิจัย นิสิต-นักศึกษา และครู-อาจารย์ทั่วประเทศ ๒. ให้ สมศ. พิจารณาทบทวนแนวทางประเมินผลคุณภาพการศึกษาโดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ครู นักเรียน ผู้ปกครอง และบุคลากรทางการศึกษาร่วมดำเนินการให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นด้วย ทั้งนี้ ให้เน้นการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่เกิดกับนักเรียนเป็นหลักและมีความสอดคล้องตามมาตรฐานสากลด้วย
|
||||||||||||||||||
464 | รายงานประจำ 2557 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | ศธ | 20/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๗ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (สคพ.) (องค์การมหาชน) มีสาระสำคัญประกอบด้วย ความเป็นมา อำนาจหน้าที่ วิสัยทัศน์ พันธกิจ วัตถุประสงค์ โครงสร้างองค์กร คณะกรรมการ สคพ. คณะอนุกรรมการ รายงานคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผล พ.ศ. ๒๕๕๗ ผลผลิตและกิจกรรมหลัก แนวทางการดำเนินงานตามแผนงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ รายงานการประเมินผลปฏิบัติงานตามคำรับรองขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ผลการดำเนินงานที่สำคัญตามแผนยุทธศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๔-พ.ศ. ๒๕๕๗ แนวทางการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๑ กิจกรรมต่าง ๆ และรายงานการเงิน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||
465 | การจัดทำความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่น | ทส | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่น ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำ โดยทั้งสองฝ่ายร่วมกันจัดตั้งกลไก JCM เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในประเทศไทยและดำเนินงานกลไกให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบในประเทศที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนามความร่วมมือฝ่ายไทย ๑.๒ ร่างองค์ประกอบคณะกรรมการร่วม (Joint Committee) ฝ่ายไทย ๑.๓ ให้จัดตั้งสำนักเลขาธิการกลไก JCM (Thailand JCM Secretariat) เพื่อดำเนินงานดังกล่าวต่อไป โดยมอบหมายให้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ทำหน้าที่สำนักเลขาธิการกลไก JCM ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสนับสนุนเงินลงทุนแก่โครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นโครงการ JCM การถ่ายทอดองค์ความรู้และการพัฒนาความสามารถ/โครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในโครงการ JCM ภายใต้ร่างความร่วมมือ การกำหนดกลไกในการศึกษา รวบรวมข้อมูล และการมีส่วนร่วมของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อนการพิจารณาดำเนินโครงการ ภายใต้กลไก JCM การเพิ่มผู้แทนและระบุหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานหลักในการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมฝ่ายไทย ให้ครอบคลุมการทำงานของแต่ละกิจกรรม และการปรับปรุงเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการร่วมดังกล่าวในอนาคต เพื่อให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับประเภทของโครงการที่จะเข้าร่วมภายใต้ความร่วมมือ โดยเฉพาะโครงการที่ประเทศไทยมีความพร้อมและความเหมาะสม ได้แก่ โครงการในภาคพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม และภาคการจัดการของเสีย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
466 | การปรับปรุงเพิ่มเติมองค์ประกอบและแก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ภาครัฐ | ทก | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงเพิ่มเติมองค์ประกอบและแก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เสนอ ดังนี้
๑. ปรับปรุงเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการฯ ๑.๑ ปรับปรุงประธานกรรมการ จาก “ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” แก้ไขเป็น “ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงที่ปลัดกระทรวงมอบหมาย” ๑.๒ เพิ่มเติมกรรมการ จำนวน ๑ คน คือ พลเอก ดร. วิชิต สาทรานนท์ โดยให้รายชื่อกรรมการและองค์ประกอบอื่นคงเดิม ๒. ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ จาก ๑. “พิจารณากลั่นกรองความเหมาะสม เสนอแนะแนวทางการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของส่วนราชการที่ใช้งบประมาณแผ่นดินในการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีมูลค่าเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะการบูรณาการงบประมาณ เทคโนโลยี และการใช้ข้อมูลร่วมกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ รวมทั้งให้มีการใช้เกณฑ์มาตรฐานเดียวกันในการพิจารณาการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ” แก้ไขเป็น ๑. “พิจารณากลั่นกรองความเหมาะสม เสนอแนะแนวทางการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของส่วนราชการ องค์การมหาชน ที่ใช้งบประมาณแผ่นดิน รวมถึงแหล่งเงินอื่นที่นอกเหนือจากงบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นภาระที่รัฐจะต้องตั้งงบประมาณชดใช้ในการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีมูลค่าเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะการบูรณาการงบประมาณ เทคโนโลยี และการใช้ข้อมูลร่วมกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ รวมทั้งให้มีการใช้เกณฑ์มาตรฐานเดียวกันในการพิจารณาการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ” โดยให้อำนาจหน้าที่ข้ออื่นคงเดิม
|
||||||||||||||||||
467 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (จำนวน 6 คน 1. นายชาคร วิภูษณวนิช ฯลฯ) | ศธ | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ จำนวน ๖ คน ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. ประธานกรรมการ นายชาคร วิภูษณวนิช ๒. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมิใช่ข้าราชการที่มีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำหรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ ๒.๑ นายจอมพงศ์ มงคลวนิช ๒.๒ นางศิริพรรณ ชุมนุม ๒.๓ นางอารยา จาติเสถียร ๓. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นข้าราชการที่มีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำหรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ ๓.๑ นางวราภรณ์ สีหนาท ๓.๒ นายสุรพล นิติไกรพจน์
|
||||||||||||||||||
468 | รายงานการประชุมระหว่างประเทศ เรื่อง การบังคับคดีแพ่งในบริบทของการผนวกรวมตัวทางเศรษฐกิจที่เป็นพลวัตร | ยธ | 06/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการจัดประชุมระหว่างประเทศ เรื่อง การบังคับคดีแพ่งในบริบทของการผนวกรวมตัวทางเศรษฐกิจที่เป็นพลวัตร เมื่อวันที่ ๒๖-๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ โรงแรมสุโกศล กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการประชุมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศคู่เจรจาของประชาคมอาเซียน (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี) ธนาคารโลก และสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนางานด้านการบังคับคดีแพ่ง โดยที่ประชุมได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ การบังคับคดีทางแพ่งให้มีประสิทธิภาพ การเข้าถึงข้อมูลและการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานต่าง ๆ การส่งเสริมกลไกการระงับข้อพิพาททางเลือก กลไกการขายทอดตลาดต้องมีประสิทธิภาพ การประสานความร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านการบังคับคดีในสมาชิกกลุ่มประเทศอาเซียน รวมทั้งการเสริมสร้างศักยภาพให้กับบุคลากรด้านการบังคับคดีอย่างต่อเนื่อง ๑.๒ กระทรวงยุติธรรมได้นำผลจากการจัดประชุมมาพิจารณาปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานของกรมบังคับคดีให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดย (๑) ร่วมพัฒนาการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์กับหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจดทะเบียนสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมาย เช่น กรมที่ดิน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมป่าไม้ กรมธนารักษ์ กรมสรรพากร กรมการปกครอง กรมการขนส่งทางบก สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และศาลยุติธรรม (๒) ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ให้ความสำคัญกับกระบวนการยุติธรรมทางแพ่งและพิจารณาความเป็นไปได้ในการสนับสนุนการพัฒนาระบบศาลอิเล็กทรอนิกส์และการบังคับคดีอิเล็กทรอนิกส์ และให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณแก่การดำเนินงานในเรื่องนี้ด้วย และ (๓) ให้กระทรวงการต่างประเทศสนับสนุนประเด็นความจำเป็นในการให้ความร่วมมือระหว่างกันด้านการบังคับคดีแพ่งและการบังคับคดีล้มละลาย เป็นหัวข้อการพิจารณาในกรอบความร่วมมือด้านต่าง ๆ รวมทั้งด้านกฎหมายของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และกรอบอื่น ๆ เช่น ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) เป็นต้น ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงบประมาณรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
469 | การขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในเรื่องการส่งเสริมการเกษตรให้เป็นแปลงใหญ่ โดยยึดระบบ Zoning และการบริหารจัดการน้ำ | นร | 06/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในเรื่องการส่งเสริมการเกษตรให้เป็นแปลงใหญ่ โดยยึดระบบ Zoning และการบริหารจัดการน้ำ ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การส่งเสริมการเกษตรให้เป็นแปลงใหญ่ โดยยึดระบบ Zoning ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพื่อพิจารณาเรื่องการส่งเสริมสนับสนุนภาคเอกชนเพื่อช่วยขับเคลื่อนการส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำรายงานการประเมินผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดการดำเนินการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ ได้แก่ (๑) ต้นทุนการผลิตลดลง (๒) ผลผลิตต่อหน่วยหรือไร่เพิ่มขึ้น (๓) สินค้ามีระบบมาตรฐาน/คุณภาพปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น (๔) เทคโนโลยีการเกษตรเปลี่ยนแปลงดีขึ้น และ (๕) มีตลาดรองรับ (PPP CSR Social Business/Enterprise) โดยให้รายงานคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลทราบผลการประเมินอีกครั้งในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ๑.๒ การบริหารจัดการน้ำ ให้มีการประชาสัมพันธ์การสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชนทั้งในภาพรวมและในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ให้ตระหนักถึงสถานการณ์และทราบข้อมูลปริมาณน้ำ รวมถึงมาตรการการบริหารจัดการน้ำที่กำลังจะดำเนินการ และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประสานงานกับกรมประชาสัมพันธ์ในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เรื่องดังกล่าว โดยเน้นให้ประชาชนสามารถเข้าใจได้โดยง่ายและรับทราบได้อย่างทั่วถึง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำกิจกรรมโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง เช่น การสนับสนุนส่งเสริมการหารายได้เสริม หรือแนวทางการประกอบอาชีพอื่น รวมถึงการปลูกพืชใช้น้ำน้อย และการดำเนินการตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๒. ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการส่งเสริมการเกษตรให้เป็นแปลงใหญ่โดยยึดระบบ Zoning ควรมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพิ่มเติม เพื่อให้การดำเนินงานครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ รวมทั้งในการติดตามประเมินผลควรประสานสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเข้าร่วมในการจัดทำระบบติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน สำหรับการบริหารจัดการน้ำ ควรมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมศึกษาและขยายผลการบริหารจัดการน้ำในชุมชนโดยอาศัยหลักการตามแนวพระราชดำริ ซึ่งยึดหลักเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา โดยประชาชนมีส่วนร่วมคิดร่วมทำและเป็นเจ้าของ เพื่อเกษตรกรจะได้มีแหล่งน้ำไว้อุปโภคบริโภค และติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมการปรับแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตลอดจนการดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบควรให้ลำดับความสำคัญกับพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลองก่อนเป็นลำดับแรก เนื่องจากไม่สามารถเพาะปลูกข้าวนาปรังได้จากปัญหาภัยแล้ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
470 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (จำนวน 6 คน 1. นายชวลิต พิชาลัย ฯลฯ) | พน | 06/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน จำนวน ๖ คน ตามนัยมาตรา ๑๐ (๑) และ (๓) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ ตุลาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. นายชวลิต พิชาลัย ประธานกรรมการ ๒. นายชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายเจน นำชัยศิริ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นายมนูญ ศิริวรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นางพูนทรัพย์ สกุณี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นายอำนวย ทองสถิต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||
471 | สรุปรายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร12 | 30/09/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอสรุปรายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งได้รับรายงานการประเมินผล จำนวน ๑๓ แห่ง จำแนกเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ๑ องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่อยู่ในระบบการประเมินทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง จำนวน ๘ แห่ง และกลุ่มที่ ๒ องค์การมหาชนฯ ที่มีระบบการประเมินผลตนเอง จำนวน ๕ แห่ง โดยองค์การมหาชนฯ จำนวน ๑๓ แห่ง มีผลงานบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้ง และพันธกิจที่ได้รับมอบหมาย ส่วนใหญ่ (๑๐ แห่ง) มีผลการประเมินการปฏิบัติงานในภาพรวมสูงกว่าเป้าหมาย (คะแนนมากกว่า ๓.๐๐๐๐ คะแนนขึ้นไป) คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ ๔.๒๗๕๖ จากคะแนนเต็ม ๕.๐๐๐๐ คะแนน โดยองค์การมหาชนฯ ที่มีผลคะแนนรวมสูงสุด คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (๔.๘๔๗๓ คะแนน) และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเป็นหน่วยงานเดียวที่มีผลการประเมินต่ำกว่าเป้าหมาย (๒.๖๙๔๒ คะแนน)
|
||||||||||||||||||
472 | รายงานผลการดำเนินการพัฒนาศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (Government Access Channels ) | ทก | 22/09/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินการพัฒนาศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (G-Channels) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการเข้าถึงข้อมูลและบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐของหน่วยงานต่าง ๆ ได้จากจุดเดียว ซึ่งมีช่องทางในการให้บริการของศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน ๓ ช่องทาง ได้แก่ ๑.๑ การให้บริการผ่านเว็บไซต์ (website) โดยประชาชนสามารถเข้าใช้บริการจาก ๑.๑.๑ เว็บไซต์กลางบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ https://www.egov.go.th ซึ่งมีหน่วยงานของรัฐที่เข้าร่วม จำนวน ๔๔๔ หน่วยงาน ๑.๑.๒ ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการผ่านเว็บไซต์ https://info.go.th ๑.๑.๓ ศูนย์รวมข้อมูลเปิดภาครัฐ https://data.go.th ซึ่งเป็นการให้บริการข้อมูลเชิงสถิติ ๑.๒ การให้บริการผ่านโปรแกรมเข้าถึงจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Application) ซึ่งสามารถดาวน์โหลด Application ผ่านทางเว็บไซต์ https://apps.go.th และใช้ได้ทันที ปัจจุบันมีการบริการ จำนวน ๑๐๘ บริการ ๑.๓ ช่องทางอื่น ๆ ได้แก่ ๑.๓.๑ การให้บริการผ่านจุดบริการข้อมูลประชาชนผ่านบัตรประชาชน Government Kiosk ซึ่งได้มีการติดตั้งแล้ว ๒ แห่ง ณ ศูนย์ G-Point สาขาศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์และศูนย์การค้าเซ็นทรัลศาลายา ๑.๓.๒ จุดบริการข้อมูลข่าวสาร Set Top Box หรือ Smart Box โดยมีแนวคิดการให้บริการเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ของส่วนราชการ และเป็นช่องทางในการให้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เช่น ข้อมูลเศรษฐกิจ ข้อมูลทางการเกษตร เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการพัฒนาช่องทางในการเข้าถึงและเชื่อมโยงข้อมูลของการบริการภาครัฐ รวมถึงการพัฒนาโปรแกรมการใช้งาน เช่น Software หรือ Application ให้มีความน่าสนใจ ทันสมัย และสามารถจูงใจให้ประชาชนเข้ามาใช้บริการ เป็นต้น ทั้งนี้ ในการดำเนินการให้คำนึงถึงประชาชนผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐได้โดยง่าย ไม่ซับซ้อน สะดวก และสามารถเรียนรู้ได้เร็ว ทั้งนี้ ให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินการของศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชนด้วย ๓. ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ให้การสนับสนุนการดำเนินการของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ในการนำข้อมูลและบริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มาเผยแพร่และให้บริการผ่านศูนย์กลางข้อมูลและบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (G-Channels) ในช่องทางต่าง ๆ ๔. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (G-Channels) ให้ประชาชนได้ทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งานและการเข้าถึงศูนย์บริการภาครัฐดังกล่าวให้แก่นักเรียน นักศึกษา เพื่อถ่ายทอดและสร้างการรับรู้ไปยังครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่นของตนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
473 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง แผนปฏิรูปสัมมาชีพชุมชน) | สผ | 15/09/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เรื่อง แผนปฏิรูปสัมมาชีพชุมชน ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วยเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องปฏิรูปเกี่ยวกับปัญหาความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม และข้อเสนอปฏิรูปและแนวทางการดำเนินการ พร้อมทั้งได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมสัมมาชีพชุมชน (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม สนับสนุนและให้การช่วยเหลือแก่องค์กรสัมมาชีพชุมชนเพื่อให้เกิดการพัฒนาอาชีพ จัดหาทุนในการส่งเสริมอาชีพ ตลอดจนประสานความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐและองค์กรภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรภาคธุรกิจในลักษณะภาคียุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาให้เกิดสัมมาชีพชุมชนโดยยึดพื้นที่เป็นตัวตั้งผ่านกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติจริง อันนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนมาเป็นแนวทาง และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน และสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
474 | ร่างพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 09/09/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๘ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติรวม ๒ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||
475 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | วท | 08/09/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) รวมถึงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรตัดวัตถุประสงค์ในร่างมาตรา ๕ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๘ (๓) เกี่ยวกับการเข้าร่วมทุนโดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้นไม่เกินห้าร้อยล้านบาทต่อโครงการตามวิธีการดำเนินการที่คณะรัฐมนตรีกำหนดออก และตัดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศในการจัดสวัสดิการ และสิทธิประโยชน์อื่นนอกเหนือจากสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่สำนักงานจัดให้ตามปกติ ตามร่างมาตรา ๗ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๙ (๓) (จ) ออก เพื่อให้การใช้ทุนและทรัพย์สินเป็นไปตามหลักการของการจัดตั้งองค์การมหาชนที่ต้องใช้เพื่อประโยชน์ของรัฐเท่านั้น และความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดขอบเขต เงื่อนไขและวิธีการของนิติบุคคลที่จะจัดตั้งให้ชัดเจน รวมทั้งควรแก้ไขวัตถุประสงค์ของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ในเรื่องของการตรวจสอบมาตรฐานกลางซึ่งจะต้องสอดคล้องกับภารกิจที่มีอยู่ นอกจากนี้ อำนาจหน้าที่ในการพัฒนาและสร้างดาวเทียมขึ้นเองได้ นั้น ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเป็นการพัฒนาและสร้างระบบดาวเทียมสำรวจอวกาศและภูมิสารสนเทศ จึงอาจทับซ้อนกับดาวเทียมสื่อสารที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับผิดชอบ ควรกำหนดแนวทางการดำเนินงานให้เชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่วนการเข้าร่วมทุนโดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้นไม่เกิน ๕๐๐ ล้านบาทต่อโครงการตามวิธีการดำเนินการที่คณะรัฐมนตรีกำหนด เห็นควรให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และการจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นแก่ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้าง ควรให้ดำเนินการบนพื้นฐานความเหมาะสมและประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||
476 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปองค์การมหาชน) | สผ | 08/09/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง การปฏิรูปองค์การมหาชน ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลักไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าวและสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีประเด็นปฏิรูปที่สำคัญ ดังนี้
๑. หลักการและแนวคิดในการจัดตั้งองค์การมหาชน ๒. การกำหนดและจัดบทบาทภารกิจ และการให้บริการสาธารณะ ๓. ระบบการบริหารและโครงสร้าง ๔. ระบบค่าตอบแทน ๕. ระบบการติดตามและประเมินผล ๖. ข้อเสนอการดำเนินการในลำดับต่อไป ประกอบด้วย การดำเนินงานระยะเร่งด่วน (ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘) ระยะสั้น (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐) ระยะกลาง (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒) และระยะยาว (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๘)
|
||||||||||||||||||
477 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 08/09/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๘ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติรวม ๒ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับโทษปรับ การรอการกำหนดโทษและรอการลงโทษ และแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทษของผู้ใช้และผู้ถูกใช้) ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. เห็นชอบให้ส่งร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นผู้เสนอ) ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับไปพิจารณาทบทวนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. เห็นชอบให้ถอนร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ) จากสภานิติบัญญัติแหงชาติ เพื่อให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนำมารวมพิจารณาทบทวนกับร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นผู้เสนอ) อีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||
478 | ประสิทธิภาพการดำเนินงานวิจัยของหน่วยงานภาครัฐประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 - 2555 | นร | 08/09/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบประสิทธิภาพการดำเนินงานวิจัยของหน่วยงานภาครัฐประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๕ จากการติดตามผลการดำเนินงานการใช้จ่ายงบประมาณการวิจัยของหน่วยงานภาครัฐยังมีโครงการวิจัยจำนวนมากที่มีความล่าช้าในการรายงานผลการดำเนินงาน ซึ่งผลการติดตามพบว่าประสิทธิภาพการดำเนินงานวิจัยของหน่วยงานภาครัฐมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ๑.๒ เห็นชอบมาตรการในการเร่งรัดหน่วยงานภาครัฐที่ยังคงค้างรายงานผลการดำเนินการวิจัยในระบบบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (National Research Project Management System : NRPM) ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จนถึงปีปัจจุบัน โดยหากนักวิจัยในหน่วยงานใดไม่รายงานผลการดำเนินงานดังกล่าว นักวิจัยผู้นั้นจะไม่สามารถของบประมาณการวิจัยในปีงบประมาณถัดไป ๑.๓ เห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐรายงานผลการดำเนินงานวิจัยในระบบ NRPM เป็นประจำรายไตรมาสอย่างเคร่งครัด เพื่อสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติจะได้ดำเนินการประมวลผลความสำเร็จของการวิจัยของหน่วยงานภาครัฐเพื่อการบริหารงบประมาณวิจัยของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการจัดการนำผลงานวิจัยมาใช้เพื่อการแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศได้อย่างสมบูรณ์ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานวิจัยและการจัดสรรงบประมาณวิจัย ให้หน่วยงานควรมีมาตรการผ่อนปรนในกรณีเกิดเหตุสุดวิสัยที่มีผลกระทบโดยตรงต่องานวิจัย และมีมาตรการจูงใจเพื่อเพิ่มสัดส่วนนักวิจัยในหน่วยงานให้มากขึ้น รวมทั้งระบบการรายงานผลการดำเนินการวิจัยควรเป็นระบบที่ไม่ซับซ้อนสะดวกต่อการใช้งาน ส่วนการใช้ข้อมูลในระบบ NRPM เป็นฐานในการประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานวิจัยของหน่วยงานเป็นหลัก ควรมีการพัฒนาระบบให้มีความเสถียรและให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งมีการจำแนกโครงการวิจัยที่มีการดำเนินงานในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อให้การติดตามและรายงานผลการดำเนินการวิจัยของหน่วยงานภาครัฐมีประสิทธิภาพและมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ให้ความสำคัญเร่งด่วนกับการติดตามโครงการที่อยู่ในแผนงานวิจัยเชิงบูรณาการที่ตอบสนองต่อนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล มีการรวบรวมแผนงานการวิจัยของหน่วยงานในระยะ ๓-๕ ปี เพื่อใช้ในการประเมินประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณวิจัยของภาครัฐ ควรบูรณาการแผนการวิจัยตามกลุ่มหัวข้อวิจัยหลักเป็นแผน ๕ ปี เพื่อใช้ในการเสนองบบูรณาการวิจัยรายปี ควรกำหนดช่วงระยะเวลาในการให้หน่วยงานภาครัฐรายงานผลการวิจัยในระบบ NRPM เป็นราย ๖ เดือน เพื่อให้การรายงานผลสามารถแสดงความก้าวหน้าของผลการวิจัยได้อย่างชัดเจน ตลอดจนกำหนดให้หน่วยงานที่ต้องรายงานสถานภาพการดำเนินการโครงการวิจัยครอบคลุมถึงองค์การมหาชนอื่น ๆ และมีการวัดสถานภาพการดำเนินงานโครงการวิจัยในเชิงคุณภาพของโครงการวิจัยในการนำไปใช้ประโยชน์ด้วย เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ ควรมีการรายงานผลประสิทธิภาพการดำเนินงานการวิจัยในปีงบประมาณที่ผ่านมา มีการพิจารณาในด้านประสิทธิผลของการวิจัยด้วย และมีการปรึกษาหารือกับหน่วยงานภาครัฐที่มีปัญหาความล่าช้าในการรายงานผลการดำเนินงานวิจัยเพื่อให้ทราบรายละเอียดของปัญหาและนำไปสู่การกำหนดแนวทางหาทางออกร่วมกัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
479 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การส่งเสริมการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทย) | สผ | 08/09/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง การส่งเสริมการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทย ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าวและสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอปฏิรูป ดังนี้
๑. การกำหนดให้นโยบาย/ยุทธศาสตร์การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทยเป็นแนวนโยบายทางเศรษฐกิจที่สำคัญของชาติ ๒. การกำหนดให้คณะอนุกรรมการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศของไทยเป็นองค์กรถาวรที่มีการดำเนินการต่อเนื่อง ๓. การใช้การเจรจาต่อรองในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) ในเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ ๔. การเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และกระทรวง/กรมที่ร่วมดำเนินงานอยู่ภายในศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุนที่เดียว (OSOS) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ๕. การสนับสนุนให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงการคลัง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม และธนาคารพาณิชย์ สนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศ ๖. การเสนอรัฐบาลให้พิจารณายกเว้น และ/หรือลดหย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศของไทย ๗. การเสนอรัฐบาล กระทรวงการคลัง สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) รัฐวิสาหกิจ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธุรกิจร่วมทุนต่าง ๆ มีมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิค/เงินทุน และ/หรือร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค นิคมอุตสาหกรรม และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนอื่น ๆ ในประเทศเป้าหมาย ๘. การเสนอให้รัฐบาลพิจารณากำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นแกนกลางร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องในการจัดตั้งคณะทำงานของแต่ละอุตสาหกรรม ๙. การเสนอให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยว สภาธุรกิจตลาดทุนไทย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และสมาคมธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันจัดตั้งคลัสเตอร์อุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อการลงทุนในต่างประเทศ ๑๐. การเสนอให้รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อรองรับการจัดตั้งองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศ (Thailand External Trade Organization : TETRO) ๑๑. การเสนอให้รัฐบาลมีการเจรจาในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) ในเรื่องการทำข้อตกลงต่าง ๆ เพื่อคุ้มครอง/ส่งเสริมการลงทุนและแก้ไขปัญหาของการลงทุนของไทยในประเทศเป้าหมายอย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุน ๑๒. การเสนอให้รัฐบาลเป็นศูนย์กลางของการสร้าง/ต่อเติมมาตรการอำนวยความสะดวกทางด้านการลงทุน (และด้านการค้าที่เกี่ยวข้อง) ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ๑๓. การเสนอให้รัฐบาลใช้สื่อต่าง ๆ ของรัฐบาลที่มีอยู่ การเจรจาระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) และใช้การจัดทำโรดโชว์ทางด้านการลงทุนของไทยในต่างประเทศแต่ละครั้ง ๑๔. การเสนอสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้แยกส่วนงานในการประชาสัมพันธ์และการให้ข้อมูล/ความรู้/คำปรึกษาที่เกี่ยวข้องกับความสำคัญ และนโยบาย/มาตรการในการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศออกมาเป็นการเฉพาะภายใต้ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุนที่เดียว (OSOS)
|
||||||||||||||||||
480 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง รายงานการศึกษาธนาคารที่ดินและร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. ....) | สผ | 08/09/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอเรื่อง รายงานการศึกษาธนาคารที่ดินและร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. .... ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ เกี่ยวกับการปรับปรุงกลไกและรูปแบบการบริหารจัดการที่ดิน เพื่อแก้ปัญหาและให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเหมาะสมและยั่งยืน ทั้งสนับสนุนการจัดตั้งธนาคารที่ดิน และตราเป็นพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. .... เพื่อเป็นกลไกให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรมและยั่งยืน สนับสนุนการเข้าถึงที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยสำหรับเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร ผู้ยากจน และชุมชนเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินทั้งของภาครัฐและเอกชนอย่างเหมาะสม ๒. มอบหมายให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะดังกล่าว ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทาง และความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
.....