ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 29 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 561 - 580 จากข้อมูลทั้งหมด 1093 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
561 | การขยายขอบเขตความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม 3 ประเทศ | กค | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ขยายขอบเขตความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) เพิ่มเติมไปยัง ๓ ประเทศ คือ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ราชอาณาจักรภูฏาน และสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ทั้งนี้ เพื่อใช้นโยบายการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและวิชาการเป็นกลไกและเครื่องมือในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และเพิ่มการขยายตัวทางด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้ง ๓ ประเทศ ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยไปทำงานในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ๒. ให้ส่งร่างประกาศคณะกรรมการบริหารสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (คพพ.) เรื่อง การขยายขอบเขตความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม ๓ ประเทศ (สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ราชอาณาจักรภูฏาน และสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต) ให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาในรายละเอียด แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความร่วมมือทางวิชาการ เห็นควรให้ สพพ. ประสานงานตรงกับสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศที่เกี่ยวข้อง และให้ สพพ. ควรพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศผู้ขอรับความช่วยเหลือ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืนแก่ประเทศนั้น นอกจากนี้ ควรกำหนดลำดับความสำคัญของประเทศและกลุ่มประเทศ รวมถึงสัดส่วนของการให้ความช่วยเหลือ ทั้งทางด้านการเงินและวิชาการแก่ประเทศและกลุ่มประเทศนั้น ๆ เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานด้านการให้ความช่วยเหลือกับประเทศเพื่อนบ้านให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และควรเน้นการให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีพรมแดนติดกับราชอาณาจักรไทยเป็นลำดับแรก เพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงตามแผนแม่บทการเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน เพื่อนำไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า โดยที่ปัจจุบันรัฐบาลมีการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์การร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับมิตรประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ นอกเหนือจากประเทศเพื่อนบ้านตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อให้มีการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนของประเทศทั้งในภูมิภาคต่าง ๆ และในเวทีการค้าโลกให้มากยิ่งขึ้น สมควรพิจารณาปรับปรุงชื่อ รวมทั้งขอบเขตและอำนาจหน้าที่ของ สพพ. และ คพพ. รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง จึงมอบให้กระทรวงการคลังและ สพพ. รับข้อสังเกตดังกล่าวข้างต้นไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
562 | รายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร12 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ เห็นชอบแผนการพัฒนาและปรับปรุงสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.) และความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ก.พ.ร. มีความเห็นต่อแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. ดังนี้ ๑.๒.๑ แผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ (ฉบับปรับปรุง) มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์จัดตั้งตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๔ และแผนยุทธศาสตร์ สคพ. ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๗ สาระสำคัญของผลสัมฤทธิ์ตามแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. และแผนยุทธศาสตร์ สคพ. เป็นประเด็นเดียวกัน แต่ในแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. จัดมิติในการปฏิบัติงานเป็น ๔ มิติ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับมิติการประเมินผลการปฏิบัติงานของสำนักงาน ก.พ.ร. และเพื่อประโยชน์ในการกำหนดตัวชี้วัดของ สคพ. ๑.๒.๒ สคพ. ต้องนำตัวชี้วัดต่าง ๆ ในแผนการพัฒนาฯ มาพิจารณาเป็นตัวชี้วัดตามคำรับรองการปฏิบัติงานของ สคพ. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ โดยจะต้องปรับปรุงตัวชี้วัดให้มีความท้าทาย ทันสมัย และเหมาะสมตามระยะเวลาที่ผ่านไป โดยมอบให้สำนักงาน ก.พ.ร. ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานดังกล่าว ๑.๒.๓ สคพ. จะต้องบริหารจัดการภารกิจที่อาจมีความซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น การวิจัยต่าง ๆ โดยใช้ยุทธศาสตร์ “ร่วมมือ” เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแผนพัฒนาและปรับปรุง สคพ. ควรปรับปรุงให้มีตัวชี้วัดเชิงคุณภาพมากขึ้นและเป็นตัวชี้วัดที่มีความท้าทาย รวมทั้งพัฒนาการบริหารจัดการภายในเพื่อผลักดันให้การปฏิบัติงาน สคพ. เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และเห็นควรปรับแก้ไขข้อมูลรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานฯ เกี่ยวกับการกำหนดให้มีแผนทิศทาง กลยุทธ์ นโยบายและเป้าหมาย ในส่วนของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ จากข้อความเดิม “... ทิศทาง กลยุทธ์ นโยบายและเป้าหมายของโรงเรียน ...” เป็น “... ทิศทาง กลยุทธ์ นโยบายและเป้าหมายของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ...” เพื่อให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการองค์ความรู้และการเผยแพร่ข้อมูลการค้าการลงทุนเพื่อการสนับสนุนกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายชัดเจนและเน้นการนำผลงานไปต่อยอดและใช้ประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ โดยนำจุดเน้นดังกล่าวมาประกอบการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพและสอดรับกันด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
563 | สรุปรายงานการประเมินผลหน่วยงานของรัฐ ที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร12 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบสรุปรายงานการประเมินผลหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๓ หน่วย ประกอบด้วย สรุปผลการประเมินในภาพรวม ซึ่งหน่วยงานของรัฐฯ มีผลงานบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งและพันธกิจที่ได้รับมอบหมาย คะแนนรวมของแต่ละแห่งค่อนข้างสูงกว่าเป้าหมาย (คะแนน ๓.๕๕๘๕-๔.๗๐๑๔ จากคะแนนเต็ม ๕ คะแนน) ผลงานที่สำคัญของหน่วยงานของรัฐฯ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และผลการศึกษาของสำนักงาน ก.พ.ร. และให้หน่วยงานของรัฐฯ แจ้งรายงานผลการประเมินให้รัฐมนตรีผู้กำกับดูแลทราบ ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติปรับกำหนดการประเมินให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง สรุปรายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔) เพื่อให้สามารถจัดส่งรายงานให้สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ตามกำหนด ๑.๓ ให้หน่วยงานของรัฐฯ รายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปยังสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการประมวลรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐฯ ในภาพรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับผลการวิจัยที่สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ควรเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงานให้มากกว่าที่ผ่านมา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือผู้สนใจนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างจริงจัง และให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเร่งจัดทำรายงานการประเมินผลตนเอง และจัดส่งรายงานให้สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ตามเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ ควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงผลการประเมินหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะกับการได้รับจัดสรรงบประมาณ เพื่อหน่วยงานของรัฐดังกล่าวจะได้ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติภารกิจให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งและพันธกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้ความสำคัญ/น้ำหนักในการกำหนดตัวชี้วัดที่แสดงถึงความสำเร็จของการบรรลุวัตถุประสงค์การให้บริการประชาชน/กลุ่มเป้าหมายตามภารกิจการจัดตั้งของแต่ละหน่วยงาน ตลอดจนสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ของประเทศ (Country Strategy) เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลังและกระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณาหาวิธีการประเมินผลที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถส่งรายงานการประเมินผลได้ตามกำหนด และโดยที่มีบางหน่วยงานมีระบบการประเมินผลของตนเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม หรือเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนได้ ดังนั้น ในระยะยาวให้สำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาทบทวนวิธีการประเมินผลให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
564 | แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหาร และบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด | นร12 | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๑๐๗/๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ และอำนาจหน้าที่ ดังนี้
๑. องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๑ และคนที่ ๒ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชน ผู้แทนจากหน่วยงานกลาง เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๒. ให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม จัดทำข้อเสนอการปรับปรุงอัตราค่าตอบแทนขั้นสูงและขั้นต่ำของผู้บริหารและบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์อัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบในเชิงเปรียบเทียบกับภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภาคเอกชน โดยให้ดำเนินการครอบคลุมส่วนราชการในราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนราชการในราชการบริหารส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายบริหาร หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายนิติบัญญัติ หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายตุลาการ และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
565 | รายงานความคืบหน้าการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของทางราชการ | กค | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานความคืบหน้าการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของทางราชการซึ่งเป็นผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางของทางราชการ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การเปิดเผยราคากลางของทางราชการ ในระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) กรมบัญชีกลางได้มีการพัฒนาระบบ e-GP เพื่อรองรับการเปิดเผยราคากลางที่มิใช่งานก่อสร้าง และได้มีหนังสือแจ้งเวียนแนวทางการเปิดเผยราคากลางของทางราชการในระบบ e-GP ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐให้ถือปฏิบัติ ๑.๒ การกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางยานอกบัญชียาหลักและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ในเบื้องต้นกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแผนการดำเนินงานโดยจะกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางยาในกลุ่มยาที่มีการใช้สูงมาประกาศใช้ก่อน สำหรับกลุ่มอื่นจะใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางยาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ไปก่อน สำหรับเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับหลักเกณฑ์กำหนดราคากลางยาในบัญชียาหลักและนอกบัญชียาหลัก ซึ่งคาดว่าสามารถจัดทำหลักเกณฑ์ให้แล้วเสร็จก่อนเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ๑.๓ การกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้จัดทำแนวทางปฏิบัติ หลักเกณฑ์ และคู่มือการประเมินราคาการพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ (Application Software) ดิจิตอลคอนเทนต์ (Digital Content) และสื่อสร้างสรรค์ (Animation) เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถนำไปใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างได้ ซึ่งแนวทางและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานพัฒนาซอฟต์แวร์ ประเภทโปรแกรมประยุกต์ดังกล่าว มีโปรแกรมให้หน่วยงานภาครัฐสามารถกรอกข้อมูลตามแนวทางที่กำหนด สามารถทราบจำนวนเงินที่เป็นราคากลางงานพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ได้ โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ก่อนเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ๑.๔ การกำหนดราคากลางการจ้างที่ปรึกษา สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางในการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา ซึ่งคาดว่าจะเสนอหลักเกณฑ์การกำหนดราคากลางการจ้างที่ปรึกษาต่อคณะรัฐมนตรีได้ภายในวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ เพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ๑.๕ การกำหนดราคามาตรฐานครุภัณฑ์ให้ครอบคลุมรายการครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ สำนักงบประมาณได้ปรับปรุงราคามาตรฐานครุภัณฑ์ให้ครอบคลุมรายการครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ และปัจจุบันสำนักงบประมาณอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบการจัดทำราคามาตรฐานครุภัณฑ์ให้สามารถรายงานผลการจัดซื้อครุภัณฑ์ตามบัญชีราคามาตรฐาน และนอกบัญชีราคามาตรฐานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดราคามาตรฐานครุภัณฑ์ให้เหมาะสม โปร่งใส เป็นธรรม และใช้ในการจัดทำงบประมาณของสำนักงบประมาณ รวมทั้งเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดราคากลางของหน่วยงานภาครัฐต่อไป ๒. เห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติมว่า โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ (เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการต่าง ๆ กรณีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต รวม ๒๙ ฉบับ) โดยเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการต่าง ๆ กรณีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ซึ่งมีหลักการให้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตขึ้นในทุกส่วนราชการ จึงสมควรที่ทุกส่วนราชการจะได้มอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตที่จะจัดตั้งขึ้นดังกล่าวไปดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของทางราชการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
566 | ผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาและสาธารณรัฐมัลดีฟส์ | นร04 | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาและสาธารณรัฐมัลดีฟส์อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๓๑ พฤษภาคม-๓ มิถุนายน ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. วันที่ ๓๑ พฤษภาคม-๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา เพื่อลงนามความตกลงร่วมกันทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการท่องเที่ยว ด้านการค้าการลงทุน และการเกษตรแปรรูป เป็นต้น และได้นำภาคเอกชนไทยเข้าร่วมหารือกับภาคเอกชนศรีลังกาเกี่ยวกับการค้าการลงทุน โดยสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาต้องการให้ภาคเอกชนไทยเข้าไปลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ การก่อสร้าง การโรงแรม รวมถึงการท่องเที่ยวในเชิงพุทธศาสนา จึงขอให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการโลจิสติกส์ (logistics) ทั้งระบบซึ่งเชื่อมโยงและเป็นประโยชน์ต่อการส่งออก รวมทั้งเป็นช่องทางในการขยายตลาดสินค้าของไทยในสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาและประเทศใกล้เคียงอื่น ๆ เช่น สาธารณรัฐอินเดีย เป็นต้น ๒. วันที่ ๑-๓ มิถุนายน ๒๕๕๖ ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐมัลดีฟส์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับสาธารณรัฐมัลดีฟส์ในด้านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้านเกษตรแปรรูป และพลังงานทางเลือก เป็นต้น ซึ่งเป็นโอกาสของนักธุรกิจไทยที่จะเข้าไปร่วมลงทุนในด้านต่าง ๆ ดังกล่าว รวมทั้งการลงทุนด้านพลังงานชีวมวล โดยเฉพาะการนำขยะมาแปรรูปและผลิตเป็นพลังงาน และในส่วนการท่องเที่ยวของมัลดีฟส์ซึ่งมีภูมิทัศน์เป็นหมู่เกาะที่สวยงาม มีการรักษาความสะอาด และการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ จึงมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจากหลากหลายประเทศที่มีกำลังซื้อสูงและพักอยู่ระยะยาวเข้ามาท่องเที่ยว ทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวมีความคุ้มทุนสูง จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นเจ้าภาพหลักพิจารณาร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจรายชื่อแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมดที่มีอยู่ในประเทศไทยและคัดเลือกพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวนำร่อง เช่น แหล่งท่องเที่ยวหมู่เกาะทางทะเลในจังหวัดต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการให้บริการให้เทียบเท่าระดับมาตรฐานสากล โดยเน้นการดึงดูดและสร้างแรงจูงใจกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงให้เข้ามาท่องเที่ยวและพำนักระยะยาว (Long Stay) ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้กำหนดมาตรการในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกต้อง และเหมาะสม โดยอาจจะพิจารณากำหนดเป็นโครงการที่ให้ภาคเอกชนเข้าร่วมด้วยก็ได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
567 | การโอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) เฉพาะในส่วนของสำนักงานพื้นที่พิเศษเชียงใหม่ ไนท์ซาฟารีให้กับสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) | นร | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) เฉพาะในส่วนของสำนักงานพื้นที่พิเศษเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ให้กับสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เสนอ ๒. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่เห็นควรให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ประสานสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการโอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เฉพาะในส่วนของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา ให้กับสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยเร็ว และให้มีการประเมินผลเพื่อแสดงความคุ้มค่าของการจัดตั้งหน่วยงานที่ชัดเจน เมื่อครบกำหนดระยะเวลา ๕ ปี ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
568 | ผลการประชุมคณะทำงานฝ่ายไทย - เมียนมาร์ (Myanmar-Thailand Taskforce) เพื่อวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงิน โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 2 | นร11 | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะทำงานฝ่ายไทย-เมียนมาร์ (Myanmar-Thailand Taskforce) ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๗-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ประธานคณะกรรมการประสานงานร่วมฯ ฝ่ายไทย เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างสัญญาข้อตกลงผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreement) สำหรับการจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle : SPV) โดยมีสำนักงานพัฒนาความร่วมมือเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) และ Foreign Economic Relation Department (FERD) เป็นผู้ถือหุ้นฝ่ายไทยและเมียนมาร์ตามลำดับ และร่างข้อบังคับของบริษัทจำกัด (Article of Association) รวมทั้งร่างกรอบความตกลง (Framework Agreement) สำหรับการลงนามระหว่าง SPV กับคณะกรรมการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย (Dawei Special Economic Zone Management Committee : DSEZ MC) เพื่อส่งเสริมให้มีการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในภาพรวมอย่างเป็นระบบ ๑.๒ ที่ประชุมรับทราบผลการศึกษาของคณะผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นที่ทำการศึกษาแนวทางการพัฒนาโครงการทวายในภาพรวม โดยเสนอให้รัฐบาลเมียนมาร์พิจารณารูปแบบการลงทุนแบบการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership : PPP) เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ สำหรับโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน คือ ท่าเรือและถนน เพื่อให้โครงการมีความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์และสามารถหาเอกชนเข้าร่วมลงทุนได้ โดยรูปแบบการลงทุนควรคำนึงถึงสถานะการคลังของรัฐบาลเมียนมาร์ และการลงทุนควรแบ่งออกเป็นระยะ ๆ ซึ่งฝ่ายไทยและเมียนมาร์ได้ชักชวนให้ภาครัฐและเอกชนญี่ปุ่นเข้ามามีส่วนร่วมให้การสนับสนุนต่อโครงการ อาทิ การให้ความช่วยเหลือการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (Official Development Assistant : ODA) แก่รัฐบาลเมียนมาร์ ๑.๓ ที่ประชุมได้ตกลงกันในเรื่อง Relocation ว่า รัฐบาลเมียนมาร์จะเป็นผู้วางแผนและดำเนินการโยกย้ายคน โดยที่ SPC จะเป็นผู้จ่ายเงินผ่าน SPV และแผนการเคลื่อนย้ายคนจะต้องได้รับความเห็นชอบโดย SPV และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ๒. เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. เข้าร่วมจัดตั้งและร่วมลงทุนในบริษัท ทวาย เอส อี แซด ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด (Dawei SEZ Development Company Limited) กับหน่วยงานของเมียนมาร์ ในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทฯ วงเงินไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท และให้ สพพ. พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
|||||||||||||||||||||||||||
569 | การแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม กรณีการดำเนินการโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง 5 ชุมชน | นร01 | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม กรณีการดำเนินการโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน ได้แก่ บ้านไร่ดง หมู่ที่ ๓ ตำบลน้ำดิบ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน บ้านแม่อาว หมู่ที่ ๓ ตำบลนครเจดีย์ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน บ้านแพะใต้ หมู่ที่ ๗ ตำบลหนองล่อง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน บ้านท่ากอม่วง ตำบลหนองปลาสะวาย อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน และบ้านโป่ง หมู่ที่ ๒ ตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบในการจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และแผนการสนับสนุนการจ่ายงบประมาณ รวมทั้งหลักเกณฑ์ในการจัดซื้อที่ดิน และหลักเกณฑ์อื่น ๆ ในการดำเนินการโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน โดยใช้จากกองทุนและงบประมาณโครงการบ้านมั่นคงของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินงบประมาณ ๑๖๗ ล้านบาท สำรองไปก่อนเป็นการเบื้องต้นเพื่อเป็นสินเชื่อในการจัดซื้อที่ดิน งบประมาณสนับสนุนการพัฒนาสาธารณูปโภค และอื่น ๆ ที่จำเป็น ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน เนื้อที่ประมาณ ๘๐๐ ไร่ ไปพลางก่อนในระยะแรกจนกว่าสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) จะดำเนินการจัดตั้งแล้วเสร็จ และเมื่อจัดตั้งสถาบันดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงให้โอนทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เพื่อดำเนินการตามโครงการต่อไป โดยให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) จัดงบประมาณชดเชยคืนให้แก่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ทั้งในส่วนของกองทุนและงบประมาณสนับสนุนเพื่อสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) จะได้นำไปดำเนินการโครงการบ้านมั่นคงต่อไป ๒. ให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เร่งดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมาย โดยประสานรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณในการดำเนินการกับสำนักงบประมาณ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. กรณีเกิดปัญหาข้อเรียกร้องเกี่ยวกับที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของประชาชนในพื้นที่ใด ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบติดตามสถานการณ์และดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เป็นที่ยุติโดยเร็ว แล้วรายงานข้อมูลให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยทราบโดยด่วนในโอกาสแรก ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้อง)
|
|||||||||||||||||||||||||||
570 | คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี (คำสั่ง นร ที่ 111/2556) | นร04 | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๑๑/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เรื่อง ปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรีและให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีและกำกับดูแลแทนนายกรัฐมนตรี สำหรับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐ โดยให้ยกเลิกข้อ ๙.๑.๔ ในส่วนที่ ๑๐ ของคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๖๘/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และมอบหมายและมอบอำนาจให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนของกรมประชาสัมพันธ์ เพิ่มเติม ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
571 | ประสิทธิภาพการดำเนินงานวิจัยของหน่วยงานภาครัฐ ปีงบประมาณ 2551 - 2553 | วช | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้เร่งรัดให้หน่วยงานภาครัฐติดตามการดำเนินงานวิจัยและรายงานผลสำเร็จของงานวิจัยปี ๒๕๕๑-๒๕๕๓ ในระบบบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (ระบบ National Research Project Management : NRPM) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) ประธานสภาวิจัยแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามระบบบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (ระบบ NRPM) อย่างเคร่งครัด และให้ถือปฏิบัติในการรายงานผลการดำเนินงานวิจัยในระบบ NRPM เป็นประจำทุกปีอย่างเคร่งครัด รวมทั้งการรายงานผลการดำเนินงานวิจัยดังกล่าวควรระบุให้ชัดเจนว่า เป็นการรายงานผลการดำเนินงานเฉพาะที่กำหนดเสร็จสิ้นในปีงบประมาณ ไม่รวมโครงการวิจัยที่ต่อเนื่องหรือผูกพันงบประมาณ เพื่อมิให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการนำข้อมูลไปใช้วิเคราะห์ และให้หน่วยงานระบุปัญหา/อุปสรรคที่ส่งผลต่อความล่าช้าในการส่งผลการดำเนินงานวิจัย เพื่อประโยชน์ในการหาแนวทางแก้ไข ตลอดจนมีการรายงานผลการดำเนินงานในกลุ่มโครงการวิจัยที่สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของประเทศ (Issue-based) และในระยะต่อไป ควรขยายการรายงานผลการดำเนินงานวิจัยไปสู่หน่วยงานของรัฐที่เป็นองค์กรอิสระ/องค์การมหาชน เพื่อให้ครอบคลุมการจัดสรรงบประมาณ และสะท้อนภาพรวมประสิทธิภาพการดำเนินงานวิจัยของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติแต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการด้านยุทธศาสตร์ของการวิจัย โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) เป็นประธานกรรมการ และมีอำนาจหน้าที่หลักในการรวบรวมงานวิจัยทั้งหมดของทุกภาคส่วนเพื่อนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์องค์ความรู้ และสนับสนุนการนำความรู้มาใช้ในการพัฒนางานต่าง ๆ อย่างจริงจัง การกำหนดยุทธศาสตร์การวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศของกระทรวง กรม รวมถึงภาคเอกชนให้ไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถตอบสนองความต้องการของหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างแท้จริง รวมทั้งการบูรณาการและเชื่อมโยงการดำเนินงานวิจัยของหน่วยงานวิจัยหลักของประเทศ เช่น สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข เป็นต้น ให้มีความสอดคล้องกันและไม่เกิดความซ้ำซ้อน และเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาและแก้ปัญหาในด้านต่าง ๆ ของประเทศได้ในภาพรวม
|
|||||||||||||||||||||||||||
572 | การจัดกลุ่มองค์การมหาชน กรณีสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) | นร12 | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้จัดสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เป็นองค์การมหาชนกลุ่มที่ ๑ (พัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐเฉพาะด้าน) ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ทั้งนี้ ในด้านโครงสร้างและอัตรากำลังให้พิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
573 | รายงานความก้าวหน้าการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ | ทก | 30/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) โดยผลการจัดอันดับ Waseda University International e-Government Ranking 2013 ของสถาบันรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยวาเซดะ ซึ่งประกาศผลเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ ๒๐ จาก ๕๕ ประเทศทั่วโลก มีลำดับที่ดีขึ้น ๓ อันดับ (ปี ค.ศ. ๒๐๑๒ ไทยจัดอยู่ในลำดับที่ ๒๓) และเป็นอันดับ ๒ ในภูมิภาคเอเชีย รองจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
574 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... | นร09 | 30/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๕๐ ๒. กำหนดภารกิจและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ๓. กำหนดให้ส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ประกอบด้วย สำนักงานเลขาธิการ กองกฎหมายและระเบียบราชการ กองกิจการองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐรูปแบบอื่น กองติดตามและประเมินผลการพัฒนาระบบราชการ กองบริหารการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรม กองเผยแพร่และสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบราชการ กองพัฒนาระบบราชการ ๑ กองพัฒนาระบบราชการ ๒ กองพัฒนาระเบียบราชการส่วนภูมิภาคและความสัมพันธ์กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกองส่งเสริมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ๔. กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายใน กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร และศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ในสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ขึ้นตรงต่อเลขาธิการ ก.พ.ร. |
|||||||||||||||||||||||||||
575 | ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศในการจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 | ทก | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศในการจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 โดยสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ประกอบด้วย สถานที่และวันในการจัดแสดง อำนาจหน้าที่ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศในการจัดงาน ภาระหน้าที่ของประเทศเจ้าภาพ รายได้ การจัดงานแสดงอื่น ๆ เอกสิทธิ์ ความคุ้มกัน และการอำนวยความสะดวก การยกเลิก การเลื่อน หรือการเปลี่ยนสถานที่จัดงาน/เหตุสุดวิสัย การบังคับใช้สัญญา การระงับข้อพิพาท การใช้ชื่อ คำย่อ สัญลักษณ์ หรือ ธง และภาคผนวกที่ระบุถึงภาระหน้าที่ของประเทศเจ้าภาพในเรื่องการส่งเสริมการจัดงานฯ การตรวจลงตรา การยกเว้นภาษี ศุลกากร การรักษาความปลอดภัย โรงแรม การขนส่งและที่พัก การประกันภัย ข้อกำหนดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร คุณลักษณะของสถานที่จัดงาน เป็นต้น ทั้งนี้ หากมีข้อแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ก่อนลงนามในความตกลงฯ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ลงนามความตกลงประเทศเจ้าภาพจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 ในนามของรัฐบาลไทย ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อลงนามในความตกลงฯ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรแก้ไขตัวบทของร่างความตกลงฯ โดยตัดข้อความ “of their exemption” ออก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. สำหรับงบประมาณรองรับการจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 ซึ่งประมาณการว่าจะใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น ๓๗๓.๗๕๐ ล้านบาท ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปรับแผนการใช้จ่ายมาดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๖๗.๗๕๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้แก่สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จำนวน ๒๒๖ ล้านบาท และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) จำนวน ๘๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกำกับ ติดตามและประสานการดำเนินการต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายไทยให้เป็นไปตามพันธกรณีอย่างถูกต้อง ครบถ้วน เพื่อมิให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
576 | แนวทางยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ | ทก | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานราชการนำ “มาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐ (Government Website Standard)” ที่สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) ดำเนินการ ไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ของหน่วยงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อก้าวไปสู่จุดมุ่งหมายของการบูรณาการเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ (Connected Government) ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ๑.๒ ให้ สรอ. จดทะเบียนชื่อและเป็นผู้ถือครองโดเมนเนม ภายใต้ชื่อ “data.go.th” และ “apps.go.th” ในการให้บริการเว็บไซต์ซึ่งเป็นศูนย์กลางข้อมูลภาครัฐ (Open Government Data) และเป็นศูนย์กลางของแอพพลิเคชั่นภาครัฐ (Government Application Center) ตามลำดับ ๑.๓ ให้เว็บไซต์ของ ๗ กระทรวง ๑ หน่วยงาน ซึ่งอยู่ในรายการที่องค์การสหประชาชาติจะทำการตรวจประเมินดำเนินการพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐ ภายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงแรงงานและกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้ สรอ. ทำการประเมินเว็บไซต์ของ ๗ กระทรวง ๑ หน่วยงาน ว่ามีส่วนใดที่จะต้องพัฒนา/ปรับปรุง ตามข้อกำหนดขององค์การสหประชาชาติ รวมทั้งเป็นหน่วยงานให้คำปรึกษาแนะนำและสนับสนุนการดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ดังกล่าว เพื่อให้ทันต่อการตรวจประเมินขององค์การสหประชาชาติ ภายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนบุคลากร เครื่องมือ เทคโนโลยี ในการพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการตรวจประเมินฯ ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานความก้าวหน้าการพัฒนามาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐของ ๗ กระทรวง ๑ หน่วยงานดังกล่าว ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ๔. สำหรับภาระงบประมาณที่จะใช้จ่ายเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ตามแนวทางมาตรฐานภาครัฐในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของหน่วยงานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรองรับภารกิจดังกล่าวให้แก่กระทรวงแรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับหน่วยงานที่เหลือ ให้พิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ หรือขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพิ่มเติม ตามความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
577 | แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ | นร04 | 09/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำตามพระราชดำรัสเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
๑. การบริหารจัดการน้ำ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเลือกใช้แผนที่ให้เหมาะสม โดยหากดำเนินการในเรื่องใดในพื้นที่ใดต้องใช้ข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงรายละเอียดต่าง ๆ ของพื้นที่ เช่น ลักษณะภูมิประเทศ ความสูงต่ำ ความลาดเอียง เป็นต้น ก็ให้ใช้แผนที่มาตราส่วน ๑ : ๔,๐๐๐ แต่ในกรณีพื้นที่ใดต้องการใช้ข้อมูลทั่วไปในภาพรวมเท่านั้น ก็ให้พิจารณาใช้แผนที่มาตราส่วน ๑ : ๕๐,๐๐๐ ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานปรับปรุงแผนที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน แล้วส่งให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เพื่อบูรณาการข้อมูลแผนที่ในภาพรวมและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาระบบน้ำและตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ๒. การนำเทคโนโลยีระบบโทรมาตร (telemetering) และกล้องวงจรปิด (Closed-Circuit Television : CCTV) มาใช้ให้เป็นประโยชน์ โดยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเทคโนโลยีระบบโทรมาตร (telemetering) และกล้องวงจรปิด (Closed-Circuit Television : CCTV) มาใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับอัตราการไหลของน้ำ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่รวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง (real-time data) และสามารถนำไปพยากรณ์ข้อมูลและคาดการณ์สถานการณ์น้ำล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
578 | แผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2557 - พ.ศ. 2561) | ยธ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๕) และเห็นชอบแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) เพื่อสอดรับผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๑ โดยอาศัยหลักการของการนำกรอบแนวคิดการดำเนินงานตามแนวทางของโครงการหลวงและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย การพัฒนาอาชีพและรายได้บนพื้นฐานความรู้ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและการสนับสนุนการเรียนรู้จากโครงการหลวง การจัดการเชิงพื้นที่ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และยึดถือกรอบนโยบายรัฐบาลด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นแนวทางในการดำเนินงาน โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาชุมชนเป้าหมายและชุมชนข้างเคียงที่ได้รับผลกระทบหรือสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของฝิ่นและยาเสพติดชนิดต่าง ๆ ครอบคลุม ๑๒๖ หมู่บ้าน ใน ๑๘ ตำบล ๗ อำเภอ ของ ๓ จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก ประชากรที่จะได้รับประโยชน์และมีส่วนร่วมในการพัฒนา จำนวน ๒๖,๗๐๗ คน ๕,๔๙๓ ครัวเรือน ๕ ชนเผ่า คือ กะเหรี่ยง ลีซอ มูเซอ ม้ง และจีนฮ่อ ๑.๒ เห็นชอบในหลักการกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ ตามที่ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอ ในวงเงิน ๑,๘๗๕,๐๕๖,๒๖๐ บาท เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการจัดทำคำของบประมาณประจำปี ภายใต้ชื่อรายการ “โครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน” เสนอต่อสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณารายละเอียดความเหมาะสมของแผนงานโครงการ เหตุผลความจำเป็น และความพร้อมในการดำเนินงาน ตามกระบวนการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) รับไปบูรณาการแผนงานโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่โครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ ๒ ร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณไม่เกิดความซ้ำซ้อนและเป็นประโยชน์สูงสุดและให้กระทรวงพาณิชย์สนับสนุนด้านการตลาดและระบบโลจิสติกส์เชื่อมโยงระบบทั้งในและนอกพื้นที่โครงการฯ |
|||||||||||||||||||||||||||
579 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น [สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการปรับปรุงศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดเชียงใหม่ ของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน)] | นร04 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ดำเนินการปรับปรุงศูนย์การประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรองรับการจัดประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The 2nd Asia-Pacific Water Summit : 2nd APWS) ระหว่างวันที่ ๑๔-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และเตรียมการสำหรับรองรับการประชุมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ในกรอบวงเงิน ๑๙๔,๐๐๒,๕๐๐ บาท โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณในการเบิกจ่ายงบประมาณ ได้แก่ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๑๒๑,๒๖๒,๑๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เฉพาะภารกิจที่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของ ททท. ที่จะสนับสนุนการจัดประชุมฯ ตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณในรายการค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการภาพรวมศูนย์ประชุมฯ จำนวน ๗๒,๗๔๐,๔๐๐ บาท โดยให้ดำเนินการในลักษณะการเบิกจ่ายงบประมาณแทนกัน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการศูนย์ประชุมฯ โดยเฉพาะการจัดทำแผนธุรกิจและคัดสรรผู้บริหารที่มีความสามารถเข้าดำเนินงานบริหารศูนย์ประชุมฯ โดยเร็ว เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนและไม่เป็นภาระงบประมาณของภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
580 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน | นร12 | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นรองประธาน คนที่ ๑ และคนที่ ๒ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชน ผู้แทนจากหน่วยงานกลาง เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม เพื่อให้อัตราค่าตอบแทนมีความเสมอภาค เป็นธรรมและเหมาะสม ไม่เหลื่อมล้ำ เทียบเท่ามาตรฐานการครองชีพ และให้สอดคล้องกับระบบการบริหารงานภาครัฐสมัยใหม่ จัดทำข้อเสนอการปรับปรุงอัตราค่าตอบแทนขั้นสูงและขั้นต่ำของผู้บริหารและบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมที่เป็นมาตรฐานกลางหรือบัญชีกลางต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์อัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบในเชิงเปรียบเทียบกับภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภาคเอกชน และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะทุกสิ้นปีงบประมาณหรือระยะเวลาอื่นตามที่เห็นสมควร โดยให้เพิ่มเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นกรรมการด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน ไปประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการดังกล่าวต่อไป |
.....