ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 291 จากทั้งหมด 567 หน้า แสดงรายการที่ 5801 - 5820 จากข้อมูลทั้งหมด 11339 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
5801 | ข้อเสนอเพื่อพิจารณาการกำหนดค่าตอบแทนกำลังคนด้านการสาธารณสุข | สธ | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการกำหนดค่าตอบแทนกำลังคนด้านการสาธารณสุข ซึ่งประกอบด้วย ๓ ส่วนหลักการสำคัญ คือ ส่วนที่ ๑ เป็นเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง ส่วนที่ ๒ เป็นค่าตอบแทนตามระดับวิชาชีพและความแตกต่างของระดับพื้นที่ และส่วนที่ ๓ เป็นค่าตอบแทนตามภาระและผลการปฏิบัติงาน โดยให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนควรมีความเหมาะสมกับภาระงานและเพียงพอที่จะจูงใจให้บุคลากรอยู่ในระบบพร้อมทั้งพิจารณาปรับปรุงสิ่งจูงใจอื่น ๆ เช่น โครงสร้างระบบการบริหาร ความก้าวหน้าสายงาน การมีตำแหน่งราชการรองรับ กฎระเบียบที่เอื้อต่อการปฏิบัติงาน ระบบสวัสดิการพื้นฐานที่เหมาะสม ทั้งสถานที่ ความปลอดภัย สิ่งอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน เป็นต้น ทั้งนี้ ควรมีการกำหนดตัวชี้วัดประสิทธิภาพของงานในแต่ละระดับบริการให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อเป็นค่าตอบแทนกำลังคนด้านการสาธารณสุข จำนวน ๔,๒๐๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง ข้อเสนองบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับวงเงินงบประมาณ จำนวน ๔,๒๐๐ ล้านบาท ให้กระทรวงสาธารณสุขปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของกระทรวงสาธารณสุขก่อน หากไม่เพียงพอให้เบิกจ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้กระทรวงสาธารณสุขทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๓. อนุมัติในหลักการให้มีการตั้งกรรมการเพื่อศึกษาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดค่าตอบแทนกำลังคนด้านการสาธารณสุข ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาค่าตอบแทนสำหรับกำลังคนด้านการสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในพื้นที่พิเศษ และในพื้นที่ที่มีปัญหาความขาดแคลน ควรบูรณาการเป็นคณะเดียวกันเพื่อให้มีการประสานแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีเอกภาพ รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันศึกษาวิเคราะห์เพื่อพิจารณาปรับค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขให้มีความเหมาะสม เป็นธรรม โดยคำนึงถึงภาระงบประมาณของภาครัฐในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงสาธารณสุขขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รองรับตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
5802 | ขอความเห็นชอบวงเงินโครงการใหม่ พร้อมขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ | มท | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ดำเนินการและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเฉพาะโครงการก่อสร้างอาคาร Futsal Stadium บริเวณที่ดินศูนย์ฝึกอบรมข้าราชการ กรุงเทพมหานคร เขตหนองจอก วงเงินโครงการ ๑,๒๓๙,๔๖๔,๐๐๐ บาท โดยใช้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลร้อยละ ๑๐๐ ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖) ส่วนรายละเอียดงบประมาณในการดำเนินการให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ไปตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าในการลงทุนให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) จัดทำแผนการใช้ประโยชน์ของอาคาร Futsal Stadium ร่วมกับการกีฬาแห่งประเทศไทยภายหลังการเสร็จสิ้นการแข่งขันด้วย ๒. ส่วนโครงการก่อสร้างถนนศรีนครินทร์ - ร่มเกล้า ให้คงหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ (เรื่อง ขออนุมัติเพิ่มวงเงินขยายระยะเวลาโครงการ เปลี่ยนชื่อ และผูกพันงบประมาณข้ามปี จำนวน ๑๓ โครงการ) |
||||||||||||||||||||||||
5803 | ขออนุมัติจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอำเภอ | มท | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้มีการจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา แทนการจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอำเภอ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอเพิ่มเติม และให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นเจ้าภาพในการพิจารณาคัดเลือกพื้นที่จังหวัดรวมถึงจำนวนจังหวัดที่เหมาะสมที่จะจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสาขาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกพื้นที่ ไปดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการขออนุมัติอัตรากำลังของข้าราชการเพิ่มอำเภอละ ๓ อัตรา จะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖) ซึ่งมาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐดังกล่าวได้กำหนดมาตรการปกติ โดยไม่ให้เพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ยกเว้นกรณีจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ โดยให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เน้นการให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างเครือข่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อมของประชาชนในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตลอดจนฝึกอบรมและฝึกปฏิบัติในการป้องกันบรรเทาสาธารณภัย การช่วยเหลือผู้ประสบภัยและฟื้นฟูสภาพพื้นที่ให้ท้องถิ่น นอกจากนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยควรมีบทบาทในการพัฒนาศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถตอบสนองวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการจัดการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ ตามกรอบแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ รวมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติระดับอำเภอที่ชัดเจน เพื่อให้การบูรณาการเพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินการจัดตั้งให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
5804 | ขออนุมัติโครงการถนนต่อเชื่อมถนนราชพฤกษ์ - ถนนกาญจนาภิเษก (แนวตะวันออก - ตะวันตก) พร้อมสะพานกลับรถ 4.60 กิโลเมตร ของกรมทางหลวงชนบท | คค | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการถนนต่อเชื่อมถนนราชพฤกษ์ - ถนนกาญจนาภิเษก (แนวตะวันออก - ตะวันตก) พร้อมสะพานกลับรถ ๔.๖๐ กิโลเมตร วงเงินก่อหนี้ผูกพันรวม ๒,๔๔๔,๗๔๔,๑๓๒ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๗ ของกรมทางหลวงชนบท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงชนบท) เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๓๕๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งได้จัดสรรงบประมาณให้แล้ว ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๒,๐๙๒,๒๔๔,๑๓๒ บาท ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ โดยให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับเพื่อให้ครบค่างานต่อไป ทั้งนี้ ให้พิจารณาการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเป็นค่างานในรายการงานทั่วไป และค่าใช้จ่ายที่เบิกจ่ายในลักษณะเงินจร (Provisional Sum) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
5805 | การดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบบริการการเดินอากาศของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด | คค | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบบริการการเดินอากาศของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) และให้กระทรวงคมนาคม และ บวท. ดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้
๑. ให้คงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๕ เกี่ยวกับการให้ผู้ใช้ประโยชน์ (สายการบิน) เป็นผู้รับภาระการดำเนินงานและการลงทุนของ บวท. โดยยังคงยึดหลักการและวัตถุประสงค์ของการเป็นรัฐวิสาหกิจที่ไม่แสวงหากำไร ทั้งนี้ ให้ บวท. เป็นผู้รับภาระการลงทุนตามโครงการ โดยเร่งจัดเก็บค่าบริการรอเรียกเก็บสะสมจากสมาชิกสายการบินผู้ถือหุ้น ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน ๘๒๘ ล้านบาท เพื่อนำมาสมทบการลงทุนตามโครงการและจัดหาแหล่งเงินกู้เพื่อการลงทุนในส่วนที่เหลือ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาปรับปรุงอัตราค่าบริการควบคุมจราจรทางอากาศให้สะท้อนต้นทุนการดำเนินการและภาระการลงทุนด้านการให้บริการจราจรทางอากาศ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่ใช้บริการควบคุมจราจรทางอากาศและบริการการบินทดสอบต้องชำระค่าบริการให้กับ บวท. ๓. ให้ บวท. จัดทำแผนการดำเนินธุรกิจในระยะยาว โดยพิจารณาการเพิ่มรายได้จากการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและอื่น ๆ โดยอาจปรับโครงสร้างหน่วยธุรกิจเพื่อให้สามารถแยกบัญชีให้ชัดเจนระหว่างกิจกรรมที่ให้บริการเชิงสังคมและกิจกรรมที่สร้างรายได้ในเชิงธุรกิจให้กับ บวท. ควบคู่กับการพิจารณาแนวทางการลดรายจ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายบุคลากร ๔. ให้กระทรวงคมนาคมจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมการบิน และแนวทางการพัฒนาส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องให้มีความเชื่อมโยงและบูรณาการอย่างเป็นระบบ สามารถแข่งขันได้ และสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค รวมทั้งสร้างความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจสาขาขนส่งทางอากาศในการเป็นพันธมิตรและสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน ๕. ให้กระทรวงคมนาคมปรับโครงสร้างและพัฒนากลไกการกำกับดูแลสาขาการขนส่งทางอากาศ โดยกรมการบินพลเรือนควรพัฒนาองค์กรให้มีความพร้อมเพื่อรองรับการขยายตัวของปริมาณการจราจรทางอากาศ และยกระดับการเป็นองค์กรกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานด้านการขนส่งทางอากาศที่มีประสิทธิภาพและมีความเป็นสากล |
||||||||||||||||||||||||
5806 | การจัดตั้งส่วนราชการประจำจังหวัดบึงกาฬ | นร | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการในการประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๔ เกี่ยวกับหลักการกำหนดส่วนราชการประจำจังหวัดบึงกาฬ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยมติคณะกรรมการฯ มี ดังนี้
๑. กรณีที่กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ มีการกำหนดให้มีราชการบริหารส่วนภูมิภาค และไม่ได้กำหนดจำนวนหรือเงื่อนไขไว้ เนื่องจากเป็นภารกิจพื้นฐานที่จำเป็นต้องมีในพื้นที่ทุกจังหวัด ก็ให้ส่วนราชการดำเนินการจัดตั้งส่วนราชการประจำจังหวัดบึงกาฬขึ้นได้ทันที โดยให้เกลี่ยอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการที่มีอยู่ไปปฏิบัติหน้าที่ในส่วนราชการประจำจังหวัดบึงกาฬที่ตั้งขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ....) ๒. กรณีที่กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ มีการกำหนดให้มีราชการบริหารส่วนภูมิภาค และไม่ได้กำหนดจำนวนหรือเงื่อนไขไว้ แต่มีกฎหมายเฉพาะในการกำหนดให้มีการจัดตั้งส่วนราชการประจำจังหวัด ซึ่งเป็นกรณีของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ดังนั้น การจัดตั้งส่วนราชการประจำจังหวัดบึงกาฬของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ด้วย ๓. กรณีที่กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ มีการกำหนดให้มีราชการบริหารส่วนภูมิภาค แต่มีการกำหนดเงื่อนไขให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ๓.๑ กรณีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงพลังงาน หากส่วนราชการวิเคราะห์และเห็นควรจัดตั้งส่วนราชการประจำจังหวัดบึงกาฬ เป็นราชการบริหารส่วนภูมิภาคเพิ่มขึ้น ส่วนราชการจะต้องดำเนินการตามแนวทางหนังสือสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ นร ๑๒๐๐๐/ว ๑๗ ลงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ ๓.๒ กรณีกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมโดยที่รัฐมนตรีได้มีการประกาศกำหนดให้มีเรือนจำอำเภอบึงกาฬแล้ว กรณีนี้ให้รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้ส่วนราชการดังกล่าวเป็นเรือนจำจังหวัดได้ทันที ๔. ทั้ง ๓ กรณีข้างต้น ไม่ต้องแก้ไขกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของกรมต่าง ๆ แต่ประการใด
|
||||||||||||||||||||||||
5807 | (ร่าง) รายงานผลการดำเนินงานตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ฉบับที่ 3-4 | พม | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) รายงานผลการดำเนินงานตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ฉบับที่ ๓ - ๔ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยเนื้อหาของ (ร่าง) รายงานฯ ฉบับที่ ๓ - ๔ ประกอบด้วย ๑.๑ มาตรการทั่วไป : ข้อสงวนข้อ ๗ และข้อ ๒๒ กฎหมายการประสานงาน นโยบายด้านเด็กและเยาวชน กระบวนการติดตามอิสระ การจัดสรรงบประมาณ การรวบรวมข้อมูลสถิติ การเผยแพร่อนุสัญญา ๑.๒ หลักการทั่วไป : การไม่เลือกปฏิบัติ สิทธิในการมีชีวิต การอยู่รอดและการพัฒนา การเคารพความคิดเห็นของเด็ก ๑.๓ สิทธิพลเมืองและเสรีภาพ : การจดทะเบียนการเกิด ชื่อ สัญชาติและสถานะบุคคล การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การเฆี่ยนตีเด็ก ๑.๔ สภาพแวดล้อมทางครอบครัวและการเลี้ยงดูรูปแบบอื่น : การเลี้ยงดูรูปแบบอื่น ความรุนแรง การกระทำมิชอบ การปฏิบัติที่เลวร้ายและการทอดทิ้งเด็ก เด็กติดมารดาในเรือนจำ ๑.๕ สุขภาพพื้นฐานและสวัสดิการ : เด็กทุพพลภาพ สุขภาพและบริการด้านสุขภาพ สุขภาพเด็กวัยรุ่น สุขภาวะแวดล้อม เอชไอวี/เอดส์ คุณภาพชีวิต ๑.๖ การศึกษา เวลาว่าง และกิจกรรมทางวัฒนธรรม : การศึกษา การฝึกอบรมและการแนะแนว จุดมุ่งหมายของการศึกษา ๑.๗ มาตรการปกป้องพิเศษ : เด็กในพื้นที่พักพิงของผู้หนีภัยจากการสู้รบ เด็กที่เป็นบุตรของแรงงานโยกย้ายถิ่นฐาน แรงงานเด็ก การแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็กและการค้าเด็ก เด็กในกระบวนการยุติธรรม เด็กชนพื้นเมืองดั้งเดิมและชนกลุ่มน้อย เด็กในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอ (ร่าง) รายงานฯ ฉบับที่ ๓ - ๔ ต่อคณะกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ พร้อมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับการยกเลิกข้อสงวนข้อ ๗ ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๓ เนื่องจากข้อสงวนดังกล่าวถือได้ว่าเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญของประเทศไทยด้านสิทธิมนุษยชน หากสามารถระบุเพิ่มเติมไว้ในร่างรายงานฯ ได้ ก็จะเป็นผลดีต่อภาพลักษณ์และการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนของไทยในโอกาสต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการปรับแก้ไขข้อความในรายละเอียดต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
5808 | ขอความเห็นชอบการปรับปรุงโครงสร้างของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง | กค | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการปรับปรุงโครงสร้างสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ด้วยการจัดตั้งสำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ทั้งนี้ การดำเนินการดังล่าวต้องไม่มีการเพิ่มอัตรากำลังและงบประมาณด้านบุคลากรภาครัฐ ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง นโยบายการพัฒนาระบบราชการ) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑.๑ เพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เกี่ยวกับการเสนอแนะนโยบายและมาตรการ ตรวจสอบ และติดตามการกระทำความผิดเกี่ยวกับธุรกิจการเงินนอกระบบ และเป็นศูนย์ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องปรามการกระทำความผิดอันเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ๒.๑.๒ กำหนดให้มีสำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนในสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ๒.๑.๓ กำหนดอำนาจหน้าที่ของสำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน ๒.๒ ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิก (๘) ของข้อ ๒ แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ และกำหนดให้มีกลุ่มงานด้านวิชาการขึ้นตรงต่อปลัดกระทรวงการคลัง และกำหนดอำนาจหน้าที่ของกลุ่มงานด้านวิชาการ |
||||||||||||||||||||||||
5809 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการเครือข่ายการศึกษาแห่งชาติ ปี 2555 - 2556 | ศธ | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการขยายโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงภายใต้โครงการเครือข่ายการศึกษาแห่งชาติ (NEdNet) ปี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ ในวงเงิน ๓,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ดำเนินการโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๐๐ ล้านบาท จากวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ ให้กระทรวงศึกษาธิการ ตามที่กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) เสนอ ส่วนที่เหลือให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ๒. รับทราบผลการหารือร่วมระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้แทนบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ผู้แทนบริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และผู้แทนสำนักงบประมาณ ในการกำหนดพื้นที่ดำเนินการให้ชัดเจนและมิให้เกิดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน และรายชื่อโรงเรียนในกลุ่มเป้าหมายโครงการเจ็ดพันกว่าโรงเรียน เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ ผลการหารือพบว่า ตามแผนงานโครงการจากเป้าหมายโรงเรียนดีประจำตำบลจำนวน ๗,๐๐๐ แห่ง (จากโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วประเทศ ๓๒,๑๘๒ แห่ง) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้จัดให้บริการเชื่อมต่อเครือข่ายสารสนเทศโดยเป็นสายสื่อสัญญาณประเภทสายเคเบิลโยแก้วนำแสงแล้ว (ซึ่งเป็นเครือข่ายลักษณะเดียวกับรายละเอียดโครงการ NEdNet ที่จะดำเนินการ) จำนวน ๓๙๑ แห่ง ที่ประชุมได้ให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) จัดส่งรายชื่อโรงเรียนที่ได้ให้บริการฯ พร้อมเส้นทางเพื่อพิจารณาปรับเปลี่ยนรายชื่อโรงเรียนในกลุ่มเป้าหมายไปยังโรงเรียนอื่นที่ใกล้เคียงทดแทนที่ยังไม่สามารถได้รับบริการเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสอดคล้องกับนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติ และแผนปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่สองของกระทรวงศึกษาธิการต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
5810 | การปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2552 เรื่อง ราษฎร "กลุ่มแผ่นดินของเรา" ร้องเรียนเกี่ยวกับการขอออกโฉนดที่ดินในเขตพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน อำเภอปากน้ำโพ อำเภอพยุหะคีรี อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. 2479 | มท | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) รับเรื่อง การปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง ราษฎร "กลุ่มแผ่นดินของเรา" ร้องเรียนเกี่ยวกับการขอออกโฉนดที่ดินในเขตพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน อำเภอปากน้ำโพ อำเภอพยุหะคีรี อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ไปหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายมั่น พัธโนทัย) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายถาวร เสนเนียม) โดยให้นำเอกสารข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมาประกอบการพิจารณาให้ครบถ้วนด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
5811 | เงินชดเชยค่าดำเนินการในการให้บริการเชิงสังคมประจำปีงบประมาณ 2552 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเงินชดเชยค่าดำเนินการในการให้บริการเชิงสังคมของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๘๐๒.๘๐๓ ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ที่ให้ชดเชยเฉพาะส่วนต่างระหว่างอัตราค่าน้ำที่ต่ำกว่าต้นทุนค่าน้ำจริงเฉลี่ยต่อหน่วยคูณด้วยปริมาณการใช้น้ำ และให้เฉพาะกลุ่มผู้ใช้น้ำเพื่อการดำรงชีพไม่เกิน ๓๐ ลูกบาศก์เมตร/ราย/เดือน ตามแนวทางเดียวกับหลักเกณฑ์การขอรับเงินชดเชยค่าดำเนินการในการให้บริการเชิงสังคมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยค่าดำเนินการให้บริการเชิงสังคมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้ กปภ. ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ กปภ. เร่งรัดจัดทำระบบบัญชีโดยแยกบัญชีรายได้และค่าใช้จ่ายของการให้บริการเชิงพาณิชย์และเชิงสังคม และการให้ความสำคัญในการบริหารต้นทุนการผลิตและการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
5812 | ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พม | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดให้ยกเลิกและเพิ่มเติมมาตรา ๑๗ (๖) แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยกำหนดให้มีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กรมกิจการผู้สูงอายุ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กรมประชาสงเคราะห์ และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ๑.๒ กำหนดให้โอนบรรดากิจการ อำนาจหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ ภาระผูกพัน ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ และอัตรากำลัง ให้สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างของการปรับปรุง ๑.๓ กำหนดให้แก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่า กรมกิจการผู้สูงอายุเป็นส่วนราชการที่มีบทบาท ภารกิจหลักเกี่ยวกับการกำหนดนโยบาย มาตรการ มาตรฐาน รวมถึงการส่งเสริมสนับสนุนการประสานความร่วมมือกับภาคส่วนอื่นในการดำเนินงานตามนโยบายเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ซึ่งงานลักษณะดังกล่าวตามหลักการกำหนดชื่อส่วนราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๒๕ ควรกำหนดชื่อเป็น “สำนักงาน” และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการเรียกชื่อตำแหน่งระหว่างผู้อำนวยการซึ่งมีฐานะเทียบเท่าอธิบดีกับผู้อำนวยการกอง/ผู้อำนวยการสำนัก ในกรณีของหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่อเป็นสำนักงาน จึงเสนอให้ใช้ชื่อว่า “ผู้อำนวยการใหญ่” และให้หน่วยงานดังกล่าวเน้นงานเชิงนโยบาย กำหนดมาตรการ รูปแบบ แนวทาง การส่งเสริมศักยภาพและสวัสดิการของผู้สูงอายุ ในส่วนของสวัสดิการสังคมที่เป็นงานให้บริการ เช่น งานสงเคราะห์ผู้สูงอายุ เป็นต้น ควรดำเนินการโดยอาจใช้วิธีการโอนถ่ายหรือซื้อบริการจากภาคส่วนอื่น เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ชุมชน ภาคประชาสังคม สมาคม หรือมูลนิธิที่มีความพร้อม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
5813 | บัตรประจำตัวประชาชนอิเล็กทรอนิกส์แบบอเนกประสงค์ (Smart Card) | มท | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ยกเลิกข้อ ๒ ของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ เรื่อง บัตรประจำประชาชนอิเล็กทรอนิกส์แบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ที่ระบุว่า “ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เช่น กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) ได้ชี้แจงว่าขั้นตอนในการดำเนินการเพื่อจัดหาบัตรดังกล่าวได้มีการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างถูกต้องตามระเบียบ ข้อกฎหมาย และขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง และเป็นไปตาม TOR (Terms of Reference) ที่กำหนดตามกฎกระทรวงเดิมแล้ว แต่ในขณะดำเนินการกระทรวงมหาดไทยได้มีการออกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๒ (พ.ศ. ๒๕๕๐)ฯ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงแบบบัตรท้ายกฎกระทรวง จึงทำให้รูปแบบบัตรที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดหาไว้ ไม่เป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๒ (พ.ศ. ๒๕๕๐)ฯ” ซึ่งกระทรวงมหาดไทยแจ้งว่าไม่ได้ชี้แจงข้อมูลตามข้อความที่ปรากฏในมติคณะรัฐมนตรีนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการชี้แจงของเจ้าหน้าที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ประกอบกับข้อความดังกล่าวเป็นเพียงคำชี้แจงประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเท่านั้น ไม่ได้เป็นส่วนที่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||
5814 | การทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดโครงการของหน่วยงานของรัฐที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (วันที่ 13 กันยายน 2537) | ทส | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยคณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบ ดังนี้
๑. การทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดโครงการของหน่วยงานของรัฐที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (๑๓ กันยายน ๒๕๓๗) ดังนี้ ๑.๑ โครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (environmental impact assessment) จำนวน ๕ โครงการ ๑.๒ โครงการที่ต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (initial environmental examination) จำนวน ๘ โครงการ ๑.๓ โครงการที่ต้องจัดทำรายการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม (environmental checklist) พร้อมมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ โครงการทุกชนิดที่ไม่เข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น ให้จัดทำรายการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ๒. กลไกการดำเนินงานด้านการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ โครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและโครงการที่ต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น ให้เสนอคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบ ๒.๒ โครงการที่ต้องจัดทำรายการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม เสนอให้กรมป่าไม้พิจารณาให้ความเห็นชอบ ๒.๓ การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น ให้นำแนวทางการจัดทำรายงานตามเอกสารท้ายประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาใช้โดยอนุโลม ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น ที่ได้รับความเห็นชอบ และจัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการเสนอต่อสำนักงานนโยบายแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกรมป่าไม้ อย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
5815 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ และขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีในการเข้าใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 | กษ | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เริ่มดำเนินการโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยสาระสำคัญของโครงการฯ ประกอบด้วย แผนการดำเนินงานโครงการฯ ระยะ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๐) กรอบวงเงินลงทุนทั้งสิ้น ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้กรมชลประทานดำเนินการเตรียมความพร้อมโครงการด้านการจัดหาที่ดินและก่อสร้างส่วนประกอบอื่นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ ผ่อนผันให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) สามารถใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ในการดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ได้ ๑.๓ ให้กรมชลประทาน สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการตามแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ๑.๔ ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมายและระยะเวลาที่กำหนด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่เห็นควรชี้แจงทำความเข้าใจกับราษฎรในลุ่มน้ำแม่แตงซึ่งเป็นลำน้ำที่ถูกใช้ในการผันน้ำ และดำเนินงานร่วมกับราษฎรในพื้นที่ในการจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกัน แก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เพื่อลดความขัดแย้ง สร้างความเชื่อมั่นต่อราษฎรในพื้นที่ และเป็นตัวอย่างที่ดีในการพัฒนาแหล่งน้ำที่คำนึงถึงระบบนิเวศต่อไป นอกจากนี้ เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมของโครงการฯ ทั้งในแง่ของขนาดการลงทุนที่เหมาะสม (economy of scale) และลำดับความสำคัญในการพัฒนาระบบชลประทานในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. งบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการ ฯ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
5816 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนปรับปรุงการบริหารจัดการ และบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) | กค | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เรื่อง แผนปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการ กนร. เสนอ โดยที่ประชุม กนร. ได้มีมติเห็นชอบตามคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาการปฏิรูปองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ดังนี้ ๑.๑ ไม่สมควรนำโครงการรถโดยสารประจำทางฟรีเข้าสู่ระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (Public Service Obligation : PSO) หากรัฐบาลประสงค์จะดำเนินบริการรถโดยสารประจำทางฟรีเป็นนโยบายระยะยาวอาจพิจารณานำระบบคูปองรถโดยสารที่สามารถใช้ได้ในทุกเส้นทางทั้งเส้นทางของ ขสมก. และเส้นทางของเอกชนมาใช้ทดแทน ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการให้บริการของ ขสมก. โดยการจัดหารถโดยสารใหม่ทดแทนรถโดยสารเก่าที่ปลดระวาง เสียหาย ซ่อมบำรุงไม่ได้ และมีอายุการใช้งานเกิน ๑๗ ปี ขึ้นไป ในจำนวนไม่เกิน ๑,๙๕๗ คัน ประกอบด้วย รถธรรมดา ๑,๕๗๙ คัน และรถปรับอากาศ ๓๗๘ คัน ทั้งนี้ ให้ใช้บริการอุตสาหกรรมการต่อรถและซ่อมบำรุงรถในประเทศเป็นสำคัญ เพื่อส่งเสริมการจ้างงานภายในประเทศสำหรับในส่วนของเครื่องยนต์แชสซีส์ (Chassis) ให้ดำเนินการโดยจัดประมูลเป็นการทั่วไป เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและยุติธรรมในกระบวนการสรรหา ๑.๓ เห็นชอบการปรับบทบาทการกำกับดูแลระบบขนส่งมวลชนของ ขสมก. โดยให้กระทรวงคมนาคมทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๒๖ (เรื่อง นโยบายการเดินรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานคร) พร้อมทั้งจัดทำแนวทางการปรับบทบาทการกำกับดูแลและการดำเนินงานระบบการเดินรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานคร และนำเสนอ กนร. ในคราวต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงการคลังรับข้อเสนอขอความอนุเคราะห์ยกเว้นภาษีอากรขาเข้าของบริษัท เอส วี ลิสซิ่ง ไชน่ามอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ไปพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับเรื่องนี้ไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาระบบขนส่งมวลชนและการปฏิรูปองค์กร ขสมก. ทั้งระบบ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดหารถโดยสารทดแทนดังกล่าวควรอยู่บนหลักการของการแข่งขันด้านราคาที่มีความโปร่งใส เป็นธรรม และส่งเสริมอุตสาหกรรมการต่อรถโดยสารในประเทศเป็นสำคัญ รวมทั้งเร่งศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างการดำเนินงานระบบการเดินรถโดยสารประจำทางและการกำกับดูแลการให้บริการรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลด้วย สำหรับกรณีที่ กนร. เห็นว่าไม่สมควรนำโครงการรถโดยสารประจำทางฟรีเข้าสู่ระบบ PSO นั้น ให้กระทรวงการคลังประสานกับกระทรวงคมนาคมดำเนินการศึกษาความคุ้มค่าและความเหมาะสมในการดำเนินการตามมติ กนร. โดยเฉพาะความครอบคลุมประชาชนที่ได้รับบริการและภาระทางการเงินของภาครัฐเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการในปัจจุบันและเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
5817 | การรายงานปิดการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งทะเล | กษ | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) รายงานปิดการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งทะเล สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงาน มีเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งทะเลสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๑๐๑ ราย สถานีบริการน้ำมัน จำนวน ๓ ราย และบริษัทน้ำมัน จำนวน ๒ ราย ปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ทั้งหมดมีจำนวน ๔๓๒,๐๐๐ ล้านลิตร โดยใช้งบประมาณจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน ๘๔๖,๐๐๐.๐๐ บาท ทั้งนี้ กรมประมงได้ปิดบัญชีกองทุนรวมฯ และนำเงินเหลือจ่ายคืนให้แก่กรมบัญชีกลาง จำนวน ๒๓,๒๐๓,๖๐๐.๒๒ บาท ประกอบด้วย เงินคงเหลือจากการชดเชยค่าน้ำมันในโครงการฯ จำนวน ๒๓,๑๓๖,๐๐.๐๐ บาท และดอกเบี้ย จำนวน ๖๗,๖๐๐.๒๒ บาท ๒. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ อาทิ มีพลังงานทางเลือกชนิดอื่นและน้ำมันนอกระบบที่มีราคาถูกกว่าน้ำมันในโครงการฯ อากาศร้อนจัดเป็นระยะเวลาหลายเดือนทำให้เกิดภาวะเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหาย เกษตรกรจึงชะลอการเลี้ยงกุ้งส่งผลให้ปริมาณน้ำมันที่เกษตรกรซื้อน้อยกว่าที่ได้จัดสรรไปแล้ว ส่วนต่างของราคาน้ำมันไม่คุ้มต้นทุนค่าขนส่ง เกษตรกรหันไปเลี้ยงสัตว์น้ำชนิดอื่นแทน และในบางพื้นที่มีจำนวนเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ น้อย ทำให้ยอดการจัดสรรน้ำมันไม่เพียงพอต่อการขนส่ง เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
5818 | มาตรการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ | รง | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการเปิดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่ลักลอบทำงานอยู่ในประเทศไทย ดำเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่อยู่ในประเทศไทยซึ่งมีผู้ประสงค์จะจ้างงาน รวมทั้งผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรอายุไม่เกิน ๑๕ ปี โดยใช้มาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๕๒ ผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับไม่เกิน ๑ ปี และไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และใช้มาตรา ๕ และมาตรา ๘/๒ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ จัดทำทะเบียนประวัติราษฎรคนต่างด้าว รวมทั้งใช้มาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ อนุญาตให้ทำงานชั่วคราวในระหว่างรอการส่งกลับ ๑.๒ มาตรการป้องกันสกัดกั้น และการปราบปราม จับกุม ดำเนินคดีแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง เน้นดำเนินการในการสกัดกั้นและป้องกันการเข้าใหม่อย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่องทั้งก่อนการจดทะเบียน ระหว่างการจดทะเบียน และหลังสิ้นสุดการจดทะเบียนและเน้นการปราบปราม จับกุม และดำเนินคดีที่ไม่มาเข้าระบบ รวมทั้งเน้นดำเนินการมิให้มีการลักลอบกลับเข้ามาใหม่อีก ๑.๓ มาตรการนำเข้าแรงงานต่างด้าวรายใหม่อย่างถูกกฎหมายดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๘ โดยเร่งรัดดำเนินการนำเข้าแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมายจากประเทศพม่า ลาว และกัมพูชาให้สามารถตอบสนองความต้องการของนายจ้างผู้ประกอบการได้อย่างทันท่วงที ๑.๔ มาตรการปรับโครงสร้างคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง (กบร.) โดยปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๔๔ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๖ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ให้ครอบคลุมการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ รวมทั้งการปรับโครงสร้าง กบร. ให้มีคณะอนุกรรมการทั้งในส่วนกลาง และในระดับจังหวัด ๑.๕ มาตรการยกระดับหน่วยงานเลขานุการ กบร. เพื่อให้สามารถดำเนินการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองได้อย่างเบ็ดเสร็จทั้งระบบ โดยการยกระดับสถานะสำนักบริหารแรงงานต่างด้าวขึ้นเป็นหน่วยงานระดับกรม สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้มีหน่วยงานทั้งในส่วนกลาง และระดับจังหวัด ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับการเปิดจดทะเบียนแรงงานรอบใหม่ ควรสำรวจความต้องการแรงงานของผู้ประกอบการในภาคต่าง ๆ เพื่อเป็นฐานข้อมูลความต้องการแรงงาน อย่างไรก็ตาม การเปิดจดทะเบียนแรงงานที่ผ่านมายังไม่สามารถนำแรงงานเข้าสู่ระบบการจ้างงานที่ถูกต้องและยังคงมีการลักลอบจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง จึงควรให้ความสำคัญกับการสกัดกั้นและป้องกันการอพยพเข้ามาใหม่ รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นภายหลังการจดทะเบียน เพื่อมิให้เป็นปัจจัยดึงดูดให้มีการอพยพเข้ามาใหม่มากขึ้น โดยการจดทะเบียนต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินมาตรการพิสูจน์สัญชาติและการนำเข้าแรงงานอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ เห็นควรให้มีการศึกษาวิจัยความต้องการแรงงานต่างด้าวในแต่ละประเภทให้เกิดความชัดเจน เพื่อประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการในระยะต่อไปให้เกิดความสมดุลทั้งทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
5819 | แนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการทบทวนความจำเป็นในการคงอยู่ของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง (ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2553) | นร | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) เสนอ ดังนี้
๑. ให้ ปคค. ไม่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ที่ให้ ปคค. พิจารณาผลการทบทวนความจำเป็นที่จะคงอยู่ของคณะกรรมการตามมติคณะรัฐมนตรีของหน่วยงาน โดยวิเคราะห์และจัดทำบทสรุปในภาพรวมแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. ให้ ปคค. ส่งผลการทบทวนคณะกรรมการของหน่วยงานทั้งหมดให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการตามขั้นตอนปกติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
5820 | การดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ ของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ดินโคลนถล่ม วาตภัย และคลื่นเซาะชายฝั่ง | นร | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อฟื้นฟูเส้นทางคมนาคมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ จำนวนทั้งสิ้น ๙๓๕,๓๖๔,๐๓๒ บาท โดยขอเพิ่มเติมให้ใช้งบประมาณดังกล่าวจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ อนุมัติการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคใต้ ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ให้ครอบคลุมถึงผู้ประสบคลื่นลมแรงเกิดคลื่นเซาะชายฝั่ง ทั้งนี้ โดยไม่เพิ่มกรอบจำนวนครัวเรือน และกรอบวงเงินงบประมาณ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขบรรจุแผนการจัดสร้างอาคารผู้ป่วย ๗ ชั้น ขนาด ๑๔๔ เตียง ของโรงพยาบาลท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช วงเงิน ๙๔,๕๑๘,๕๐๐ บาท ไว้ในคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๘,๙๐๐,๐๐๐ บาท และผูกพันข้ามปีงบประมาณ ๑.๔ อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อฟื้นฟูความเสียหายจากเหตุอุทกภัย ดินโคลนถล่ม คลื่นลมแรงเกิดคลื่นเซาะชายฝั่งในพื้นที่ภาคใต้ ให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ จำนวน ๗ หน่วยงาน รวมกรอบวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๒,๑๙๖.๑๘๓๓ บาท ๑.๕ รับทราบผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยของคณะกรรมการอำนวยการกำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ๒. สำหรับงบประมาณในการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย ๗ ชั้น ของโรงพยาบาลท่าศาลา วงเงิน ๙๔,๕๑๘,๕๐๐ บาท ให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๘,๙๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือให้กระทรวงสาธารณสุขเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามขั้นตอนต่อไป โดยอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปปรับปรุงรูปแบบการก่อสร้างอาคารให้สามารถรองรับสถานการณ์น้ำท่วมในอนาคตได้ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาผ่อนผันให้ผู้ประสบอุทกภัย ดินโคลนถล่ม วาตภัย และคลื่นเซาะชายฝั่ง เข้าไปใช้ประโยชน์ในการอยู่อาศัยในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย
|
.....