ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 300 จากทั้งหมด 567 หน้า แสดงรายการที่ 5981 - 6000 จากข้อมูลทั้งหมด 11339 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
5981 | ขออนุมัติการจัดหาแหล่งเงินสำหรับค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ (งานโยธา) และที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค | 07/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศ และให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กู้ต่อ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ (งานโยธา) และที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงาน โยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ จำนวน ๗๓๒ ล้านบาท และที่ ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานโยธา จำนวน ๑,๒๒๑ ล้านบาท รวมเป็นเงิน ๑,๙๕๓ ล้านบาท และรัฐบาลรับภาระ การลงทุนค่าใช้จ่ายดังกล่าว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ โดยให้สำนักงบประมาณ พิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟม. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้ทั้งใน ส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลง กับ รฟม. ต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำ เงินส่วนต่อขยายทั้ง ๒ เส้นทางในส่วนที่เหลือ ให้กระทรวงคมนาคมจัดทำรายละเอียดเสนอสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อพิจารณาตามขั้นตอนก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้ รฟม. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับ การจัดทำแผนธุรกิจในการพัฒนาเชิงพาณิชย์ในสถานีรถไฟฟ้าและตัวรถไฟฟ้า ของโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ที่ให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP Gross Cost ต้องมีความชัดเจนในเรื่องการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ รูปแบบ การพัฒนาธุรกิจและกลยุทธ์ทางการตลาด รวมทั้งประมาณการรายรับและรายจ่ายจากการดำเนินการตามแผน ธุรกิจดังกล่าว เพื่อเพิ่มรายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของ รฟม. และลดภาระในการสนับสนุนทางการเงินของ ภาครัฐต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5982 | โครงการไปรษณีย์เพื่อสินเชื่อรายย่อย | กค | 07/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการ อนุมัติ และเห็นชอบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักการในการจัดตั้งบริษัทในเครือของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เพื่อดำเนิน โครงการไปรษณีย์เพื่อสินเชื่อรายย่อย โดยมีหลักการสำคัญในการจัดตั้งบริษัท ดังนี้ ๑.๑.๑ รูปแบบโครงการ ในเบื้องต้นให้ ปณท จัดตั้งบริษัทในเครือโดยถือหุ้นร้อยละ ๑๐๐ และถือ ปฏิบัติตามแนวทางการจัดตั้งบริษัทในเครือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ รวมถึงการดำเนิน การตามขั้นตอนของกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องในการจัดตั้งบริษัท ตลอดจนการดำเนินธุรกิจในการให้สินเชื่อส่วน บุคคล ๑.๑.๒ รูปแบบผลิตภัณฑ์เป็นการให้สินเชื่อตามประเภทกลุ่มเป้าหมายโดยวงเงินกู้และอัตราดอก เบี้ยจะขึ้นอยู่กับการพิจารณารูปแบบของผลิตภัณฑ์ ซึ่งควรมีความหลากหลายเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย สำหรับ การชำระคืนเงินกู้ อาจพิจารณาให้ชำระเป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ส่วนหลักประกันในการกู้เงินอาจจะ มีรูปแบบที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ หรือประเภทของผลิตภัณฑ์ ๑.๑.๓ เขตพื้นที่การให้บริการในเบื้องต้นจะดำเนินการในลักษณะนำร่องให้ทั่วทุกภาคของประเทศ ไทยประมาณ ๑๐ สาขา (กรุงเทพฯ ภาคเหนือ กลาง ใต้ ตะวันออก ตะวันตก และตะวันออกเฉียงเหนือ) โดยให้ บริษัทในเครือของ ปณท มีสิทธิในการใช้สถานที่และเครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์ของ ปณท ได้ ๑.๑.๔ งบประมาณดำเนินการ ประกอบด้วย ทุนจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ๕๐ ล้านบาท ของ ปณท และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาจัดหาเงินทุนหมุนเวียนสำหรับดำเนินโครงการฯ ตามความเหมาะสม ๑.๒ อนุมัติร่างบันทึกข้อตกลงร่วมระหว่างกระทรวงการคลัง และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องการควบคุมและบริหารงานบริษัทในครือของ ปณท ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโครงการไปรษณีย์ เพื่อสินเชื่อรายย่อย ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับ ปณท รับไปดำเนินการในการ จัดตั้งบริษัทในเครือและดำเนินการจัดทำรายละเอียดแผนธุรกิจโครงการฯ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ ปณท ดำเนินการให้ถูกต้องตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนัก งานอัยการสูงสุด และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรจัดทำแผนธุรกิจที่สอดรับกับแผนบริหารความเสี่ยงอย่างรัด กุมก่อนขยายผลเมื่อมีพันธมิตรร่วมลงทุน และควรประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่นำร่องอย่างใกล้ชิด หาก ประสบปัญหาในทางปฏิบัติทั้งในส่วนของการอนุมัติสินเชื่อและการติดตามหนี้ หรือแนวโน้มที่จะเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิด รายได้ และปรับรูปแบบการดำเนินโครงการโดยเร็ว โดยอาจพิจารณาทางเลือกในการให้ธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัท เอกชนเข้าร่วมดำเนินการในบริษัทในเครือของ ปณท เพื่อลดผลกระทบต่อฐานะการเงินในภาพรวมของ ปณท ต่อไป นอกจากนี้ ในการจัดตั้งบริษัทในเครือตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เป็นที่แน่ชัดว่า เป็นกรณีที่อยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของ ปณท ที่ได้จดทะเบียนไว้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5983 | การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย | อก | 07/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงิน (Straight loan) จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตามมาตรา ๒๗ (๖) แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ในอัตราดอกเบี้ย ผ่อนปรน เพื่อนำมาช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในอัตราตันอ้อยละ ๑๐๕.๐๐ บาท โดยให้จ่ายตรงให้กับชาวไร่อ้อยในทุก ตันอ้อยที่ส่งเข้าหีบในโรงงานน้ำตาลทรายในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๓/๒๕๕๔ จากประมาณการผลผลิตอ้อยเบื้องต้น ที่ ๖๖ ล้านตัน รวมเป็นจำนวนเงินประมาณ ๖,๙๓๐ ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) หรือจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายตาม ปริมาณอ้อยเข้าหีบจริงฤดูการผลิตปี ๒๕๕๓/๒๕๕๔ ๒. เห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๑ ที่เห็น ชอบให้ปรับขึ้นราคาขายน้ำตาลทรายอีกกิโลกรัมละ ๕.๐๐ บาท เพื่อเป็นรายได้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย สำหรับนำไปชำระหนี้ให้แก่ชาวไร่อ้อย โดยให้กองทุนฯ สามารถนำเงินรายได้จากส่วนที่ปรับขึ้นราคาน้ำตาลทราย ไปใช้ในการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยที่ส่งอ้อยเข้าหีบในโรงงานน้ำตาลทรายฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๓/๒๕๕๔ ด้วย ๓. อนุมัติแนวทางการจัดการภาระหนี้ของกองทุนฯ ซึ่งมีอยู่เดิม ณ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ จำนวน ๔.๐๖๒ ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) รวมกับที่จะขอกู้เพิ่มจากการประมาณการเบื้องต้นอีกจำนวน ๖,๙๓๐ ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) รวมเป็นเงินประมาณ ๑๐,๙๙๒ ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) โดยให้กองทุนฯ ดำเนินการปรับ โครงสร้างหนี้กับ ธ.ก.ส. ให้สอดคล้องกับสถานะทางการเงินของกองทุนฯ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5984 | การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทยเป็นองค์การมหาชน | สบร | 30/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ดังนี้ ๑.๑ ให้จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทยเป็นองค์การมหาชนในกำกับของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๑.๒ กำหนดเงื่อนไขในการจัดตั้งให้มีการประเมินความคุ้มค่าของศูนย์ความเป็นเลิศฯ เมื่อดำเนินการ ครบ ๓ ปี หากพบว่าไม่คุ้มค่าก็ให้ยุบเลิก โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง และ ก.พ.ร. กำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายสำหรับใช้ในการประเมินความคุ้มค่าอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม ๑.๓ ให้ศูนย์ความเป็นเลิศฯ เป็นองค์การมหาชนในกลุ่มที่ ๒ ประเภทบริการที่ใช้เทคนิควิชาการเฉพาะ ด้านหรือสหวิทยาการ โดยมีอัตราเงินเดือนผู้อำนวยการอยู่ระหว่างขั้น ๑๐๐,๐๐๐-๒๕๐,๐๐๐ บาท และอัตราเบี้ย ประชุมกรรมการอยู่ระหว่างขั้น ๖,๐๐๐-๑๖,๐๐๐ บาท ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ เกี่ยวกับการขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย และให้ศูนย์ความเป็นเลิศฯ ดำเนินการจัดทำแผนการ ปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับบทบาทภารกิจที่ปรับใหม่ และเสนอขอตั้งงบประมาณ รายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5985 | การจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง | นร | 30/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการกำหนด ราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้าง ซึ่งจะใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดราคากลาง โดยสำนักงบประมาณได้ทบทวน รายการตามบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างที่ได้กำหนดไว้และใช้อ้างอิงในปัจจุบัน ฉบับเดือนมีนาคม ๒๕๕๓ เพื่อ ยกเลิก หรือเพิ่มเติม ปรับปรุงแก้ไข รวมทั้งกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างของ สำนักงบประมาณให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะเศรษฐกิจ มีวิธีการคำนวณที่โปร่งใสและเป็นธรรม และ เป็นราคามาตรฐานที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ตลอดจนกำหนดแนวทางในการปรับปรุงราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้าง ให้เชื่อมโยงกับราคาวัสดุของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้สามารถปรับราคาได้โดยอัตโนมัติตามราคาปัจจุบัน ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าวสำนักงบประมาณได้กำหนดแผนการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.๑ จัดทำฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย รายการวัสดุมาตรฐาน รายการวัสดุมวลรวม รายการ งานมาตรฐาน หน่วยนับที่ใช้ในบัญชีแสดงปริมาณงานและราคา (BOQ) รวมทั้งกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของแต่ละ รายการให้ชัดเจน และกำหนดรหัสรายการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ๑.๒ สร้างระบบงานการคำนวณเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสำหรับพัฒนาบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างเป็น โปรแกรมอัตโนมัติ ๑.๓ พัฒนาระบบการเผยแพร่ข้อมูลบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างในเครือข่าย Internet ๒. ให้สำนักงบประมาณประสานงานกับกระทรวงการคลังเพื่อทบทวนระยะเวลาในการจัดทำราคากลาง ตามที่ได้รับมอบหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง วาระแห่งชาติการส่งเสริมคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตและต่อต้านการทุจริตของคนไทย และโครงการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในกระบวนการ จัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ) ให้แล้วเสร็จเร็วกว่าที่กำหนดไว้เดิมในเดือนเมษายน ๒๕๕๔ โดยให้เชิญผู้แทนจาก สภาหอการค้าและภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5986 | การทบทวนแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการติดตามและการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องสำคัญ (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2550) | นร | 30/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๐ เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการติดตามและการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องสำคัญ ๒. เห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการติดตามและรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีและแบบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5987 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (ครั้งที่ 7) | วท | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) ครั้งที่ ๗ โดยมีผลการดำเนินงานสรุปได้ ดังนี้
๑. สนับสนุนนักเรียนห้องเรียนวิทยาศาสตร์ของโครงการ วมว. ไปแล้ว ๓ รุ่น (ปีการศึกษา ๒๕๕๑, ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓) รวม ๑๓ ห้องเรียน คือ ชั้น ม.๔ ม.๕ และ ม. ๖ ใน ๕ โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย โรงเรียนดรุณสิกขาลัย โรงเรียน มอ. วิทยานุสรณ์ และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มีเฉพาะชั้น ม.๔ รุ่นที่ ๓) ๒. จัดตั้งคณะกรรมการ ๒ ส่วน ได้แก่ คณะกรรมการบริหารโครงการ วมว. เป็นคณะกรรมการในระดับนโยบาย ทำหน้าที่วางนโยบายและแนวทางการดำเนินงาน รวมทั้งติดตามประเมินผลการดำเนินงานจัดทำห้องเรียนวิทยาศาสตร์ และคณะกรรมการ/คณะทำงานของมหาวิทยาลัย-โรงเรียน ที่เข้าร่วมโครงการ เป็นคณะกรรมการในระดับปฏิบัติการในการบริหาร/กำกับดูแลการจัดทำห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ๓. ผลการดำเนินงานโดยสรุป ดังนี้ พัฒนาหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนห้องเรียนวิทยาศาสตร์โครงการ วมว. ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๑, ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ของทั้ง ๕ โรงเรียน จัดทำมาตรฐานหลักสูตรห้องเรียนวิทยาศาสตร์โครงการ วมว. จัดกิจกรรมร่วมระหว่างมหาวิทยาลัย-โรงเรียนในโครงการ วมว. จัดสัมมนา “การบริหารโครงการ วมว.” ดำเนินงานสนับสนุนและส่งเสริมให้นักเรียนโครงการ วมว. เข้าสู่มาตรฐานระดับนานาชาติ (World Class) และประสานขอความร่วมมือมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีคณะวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์อยู่ในที่ประชุมคณบดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยให้มีการรับนักเรียนโครงการ วมว. เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาโดยวิธีรับตรง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5988 | กิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์และศึกษาดูงานเกี่ยวกับสถาบันการเงินชุมชนในระบบอิสลาม (Islamic Micro Credit) ประเทศอินโดนีเซีย | นร | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการดำเนินกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์และศึกษาดูงานเกี่ยว
กับสถาบันการเงินชุมชนในระบบอิสลาม (Islamic Micro Credit) ขององค์กรมูฮัมมาดียาห์ ณ ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อนำมาปรับใช้ในการพัฒนาสถาบันการเงินชุมชนในระบบอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่ศูนย์อำนวยการ บริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอ ทั้งนี้ ให้ ศอ.บต. รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่า ใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี หรือแนว ทางปฏิบัติของทางราชการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งกำหนดจำนวนผู้เดินทางไปราชการต่างประเทศเท่าที่ จำเป็นต่อภารกิจครั้งนี้ เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณรายจ่าย ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5989 | การขออนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพกู้เงินชดเชยรายได้จากการดำเนินการตามมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชน | คค | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อชดเชยรายได้จากการดำเนินการตามมาตร การลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓ จำนวน ๖๐๔.๙๙๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และรัฐบาลเป็นผู้รับภาระในการชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ยเงินกู้ และ ค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และรัฐบาลเป็นผู้รับภาระในการชำระคืนเงินต้น ดอก เบี้ยเงินกู้ และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน เพื่อชดเชยรายได้จากการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของ ประชาชนของ ขสมก. ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ วงเงิน ๑,๒๕๙.๓๖๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ กิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการตรวจสอบวงเงินชดเชยรายได้จากการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครอง ชีพของประชาชนในระยะที่ ๓ และระยะที่ ๕ ให้ตรงตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและกู้เงินชดเชยให้กับ ขสมก. ต่อไป เพื่อมิให้เป็นภาระทางการเงินแก่องค์กร รวมทั้งช่วยให้ ขสมก. สามารถบริหารความเสี่ยงในการจัดการสภาพคล่อง ทางการเงินขององค์กรได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ ภาระหนี้ของ ขสมก. ที่ดำเนินการกู้ เงินเพื่อชดเชยรายได้จากการดำเนินการมาตรการลดภาระค่าครองชีพตามมติคณะรัฐมนตรี ภายในกรอบวงเงินทั้ง สิ้น ๖,๐๙๘.๙๐๖๕ ล้านบาท สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑- ๒๕๕๔ แล้ว จำนวน ๒,๗๘๕,๕๙๑ ล้านบาท สำหรับส่วนที่เหลือจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อ ชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าใช้จ่ายใด ๆ อันเกิดจากการกู้เงินให้ ขสมก. ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อ ไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5990 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตร มีบัตรใหม่หรือเปลี่ยนบัตรสำหรับผู้ประสบภัยธรรมชาติ ระหว่างวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ถึงปัจจุบัน ในท้องที่ 45 จังหวัด | มท | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตรสำหรับผู้ประสบภัยธรรมชาติ ระหว่างวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ถึงปัจจุบัน ในท้องที่ ๔๕ จังหวัด มีสาระสำคัญคือ ให้ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตร ขอมีบัตรใหม่ หรือขอเปลี่ยนบัตรแก่ผู้ซึ่งมีชื่ออยู่ใน ทะเบียนบ้าน ในท้องที่ประสบภัยธรรมชาติ (อุทกภัย) ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ถึงปัจจุบัน รวม ๔๕ จังหวัด จากภายในกำหนดหกสิบวัน เป็นภายในกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ต้องมีบัตร มีบัตร ใหม่หรือเปลี่ยนบัตร และให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกบัตรใหม่หรือเปลี่ยนบัตร ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับอำนาจ ของคณะรัฐมนตรีที่จะมีมติอนุมัติในหลักการเพื่อออกประกาศในท้องที่จังหวัดอื่นที่ยังไม่ประสบภัยธรรมชาติ (อุทก ภัย) รวมทั้งให้มติคณะรัฐมนตรีครอบคลุมถึงภัยธรรมชาติประเภทอื่นที่ไม่ใช่อุทกภัย เช่น วาตภัย ด้วย ได้หรือไม่ ไปพิจารณาด้วย หากเห็นว่าคณะรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะมีมติอนุมัติในหลักการเพื่อออกประกาศในท้องที่จังหวัดอื่น ที่ยังไม่ประสบภัยธรรมชาติ (อุทกภัย) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ก็อนุมัติในหลักการให้กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาจัดทำร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย โดยให้มี หลักการตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5991 | ขอปรับปรุงโครงสร้างกรมสอบสวนคดีพิเศษ | ยธ | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงยุติธรรมปรับปรุงโครงสร้างกรมสอบสวนคดีพิเศษ
โดยให้ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง นโยบายการพัฒนาระบบราชการ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงานมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒) โดยให้ปรับปรุงโครงสร้างกรมสอบสวนคดีพิเศษให้เป็นไปตามมติคณะ กรรมการพัฒนาระบบราชการ ครั้งที่ ๗/๒๕๕๓ และครั้งที่ ๘/๒๕๕๓ ซึ่งได้ให้ความเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่ง ส่วนราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. .... ด้วยแล้ว ทั้งนี้ การยุบรวมสำนัก/กอง ตามที่คณะ กรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ให้คงกรอบอัตรากำลังเพิ่มใหม่จำนวน ๓๐๐ อัตรา ตามนัยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง ขออนุมัติการปรับปรุงโครงสร้างกรมสอบสวนคดีพิเศษขออัตราข้าราชการ และพนักงานราชการ) และคงภารกิจเดิม รวมทั้งคงสิทธิประโยชน์ของข้าราชการไม่ให้น้อยไปกว่าเดิมด้วยโดยให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จโดยด่วนต่อไปเพื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้เริ่มปฏิบัติ งานตามโครงสร้างที่ปรับปรุงนี้ก่อน หากมีปัญหาหรืออุปสรรคในการดำเนินการประการใด ให้นำเสนอคณะ รัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5992 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ครัวเรือนละ 5,000 บาท (เพิ่มเติม) | มท | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท) โดยให้ผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดมุกดาหารได้รับการช่วยเหลือ ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ด้วย และตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ไปแล้ว ๒ ครั้ง ดังนั้น หากมีเงินเหลืออยู่ก็จะจัดสรรให้กระทรวงมหาดไทยต่อไป ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติม ๒. อนุมัติให้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท (เพิ่มเติม) จำนวน ๒๒ จังหวัด ๓,๖๖๔ ครัวเรือน รวมเป็นเงิน ๑๘,๓๒๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5993 | ขอรับการสนับสนุนกรอบอัตรากำลังข้าราชการเพื่อดำเนินภารกิจแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2552 | ยธ | 16/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการกำหนดเป้าหมาย และนโยบายกำลังคนภาครัฐรับเรื่องขอรับการสนับสนุนกรอบอัตรากำลังข้าราชการเพื่อดำเนินภารกิจแผนสิทธิ มนุษยชนแห่งชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง ร่างแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฉบับที่ ๒ ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน) ไปประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อตรวจสอบให้ได้ข้อ ยุติว่ากระทรวงการต่างประเทศจะให้การสนับสนุนอัตรากำลังข้าราชการ รวม ๒๐ อัตรา แก่กระทรวงยุติธรรม เพื่อดำเนินภารกิจแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดังกล่าว ได้เพียงใด หากกระทรวงการต่างประเทศให้การสนับ สนุนอัตรากำลังดังกล่าวได้ก็ให้กระทรวงยุติธรรมประสานในรายละเอียดกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ในกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศไม่สามารถให้การสนับสนุนอัตรากำลังจำนวนดังกล่าวได้ ก็ อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยว ข้องเพื่อบรรจุแต่งตั้งผู้มีคุณสมบัติและความรู้ความสามารถให้สอดคล้องกับภารกิจที่จะปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ ให้คณะ กรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ และสำนักงาน ก.พ. รับไปพิจารณาการปรับลดกรอบ อัตรากำลังข้าราชการของกระทรวงการต่างประเทศที่ขอรับการจัดสรรในโอกาสต่อไป ตามความเหมาะสมด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5994 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2553 โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ | คค | 16/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๓) ที่ให้มีเอกชนเข้าร่วมลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและบริหารจัดการเดินรถของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ในรูปแบบ PPP Gross Cost นั้น ให้สามารถดำเนินการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ สำหรับช่วงบางใหญ่-เตาปูน ๑ ราย ทั้งนี้ เป็นไปตามมติคณะกรรมการตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ส่วนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ ช่วงเตาปูน-บางซื่อ เห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินการศึกษาให้ได้ข้อยุติในประเด็นต่าง ๆ เช่น ประเด็นกฎหมาย และข้อดี-ข้อเสียในการดำเนินการตามแนวทางต่าง ๆ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ หาก รฟม. และกระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้วได้ข้อยุติว่ามีรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน (PPP) อื่นที่มีความเหมาะสมและสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระทางการเงินของภาครัฐแล้ว ก็ให้เร่งเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนเพื่อให้สามารถเปิดให้บริการรถไฟฟ้า ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ได้พร้อมกันกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน ตามเป้าหมายเวลาที่กำหนดไว้ต่อไป รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ของรูปแบบในการลงทุนและการให้บริการผู้โดยสารแต่ละรูปแบบ รวมทั้งปรับกรอบระยะเวลาและการดำเนินงานแต่ละกิจกรรมให้ชัดเจน และควรศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบทางเลือกต่าง ๆ ให้รอบคอบและชัดเจนโดยให้ครอบคลุมถึงการบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5995 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2553 โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ | คค | 16/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะ กรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๓) ที่ให้มีเอกชนเข้าร่วมลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและบริหารจัดการ เดินรถของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ในรูปแบบ PPP Gross Cost นั้น ให้สามารถดำเนิน การคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ สำหรับช่วงบางใหญ่-เตาปูน ๑ ราย ทั้งนี้ เป็นไปตามมติคณะกรรมการตาม มาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ส่วนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ ช่วงเตาปูน-บางซื่อ เห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน แห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินการศึกษาให้ได้ข้อยุติในประเด็นต่าง ๆ เช่น ประเด็นกฎหมาย และข้อดี-ข้อเสีย ในการดำเนินการตามแนวทางต่าง ๆ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน -บางซื่อ หาก รฟม. และกระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้วได้ข้อยุติว่ามีรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน (PPP) อื่นที่มีความเหมาะสมและสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระ ทางการเงินของภาครัฐแล้ว ก็ให้เร่งเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนเพื่อให้สามารถเปิด ให้บริการรถไฟฟ้า ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ได้พร้อมกันกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน ตาม เป้าหมายเวลาที่กำหนดไว้ต่อไป รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณา คัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ของรูปแบบใน การลงทุนและการให้บริการผู้โดยสารแต่ละรูปแบบ รวมทั้งปรับกรอบระยะเวลาและการดำเนินงานแต่ละกิจกรรม ให้ชัดเจน และควรศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบทางเลือกต่าง ๆ ให้รอบคอบและชัดเจนโดยให้ครอบคลุมถึงการ บริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ไปพิจารณา ดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5996 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 16/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบให้จัดตั้งสำนักบังคับคดีอาญาและบังคับใช้กฎหมาย ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๕ สิงหาคม ๒๕๕๒) เห็นชอบในหลักการไว้แล้ว ๒. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยจัดตั้งสำนักบังคับคดีอาญาและบังคับใช้กฎหมาย เป็นส่วนราชการภายในสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ทำหน้าที่ในการสนับสนุนการบังคับคดีอาญาและการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมและเพิ่มหลักประกันความยุติธรรมให้แก่ประชาชน ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในกรม เป็นการเฉพาะราย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5997 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 16/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันที่มีวงเงินรวมไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๙๑๘ รายการ เป็นงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๕,๕๐๙ ล้านบาท จากวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้นจำนวน ๙๒,๑๕๐.๒ ล้านบาท สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไปจำนวน ๒๒ รายการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเจ้าของเรื่องดำเนินการตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป็นกรณี ๆ ไปอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ สามารถก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณได้ ๓. รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีเป็นรายการที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ สามารถปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีก ๔. ให้สำนักพระราชวังและมหาวิทยาลัยศิลปากรเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รายการอาคารเรียนสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา โดยมีวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีตามผลการพิจารณาความเหมาะสมของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5998 | การทบทวนความจำเป็นในการคงอยู่ของคณะกรรมการชุดต่างๆ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง | นร | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการทบทวนความจำเป็นในการคงอยู่ของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ดังนี้
๑. อนุมัติให้ยกเลิกคณะกรรมการ จำนวน ๙ คณะ ได้แก่ ๑.๑ คณะกรรมการกลั่นกรองการดำเนินการทางวินัยและการพิจารณาอุทธรณ์ ๑.๒ คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ๑.๓ คณะกรรมการประสานนโยบายและดำเนินการตามโครงการในกรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (BIMSTEC) ๑.๔ คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยกรอบสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย (India Ocean Rim Association for Regional Cooperation : IOR-ARC) ๑.๕ คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนาระหว่างประเทศ ๑.๖ คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ๑.๗ คณะกรรมการด้านความมั่นคงและรักษาความปลอดภัยผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ๑.๘ คณะกรรมการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ ๑.๙ คณะกรรมการจัดทำข้อมูลกำลังแรงงาน การมีงานทำ และการว่างงาน ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเสนอผลการทบทวนความจำเป็นที่จะคงอยู่ของคณะกรรมการตามมติคณะรัฐมนตรีของหน่วยงาน ให้คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) เพื่อวิเคราะห์และจัดทำบทสรุปในภาพรวม แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5999 | การแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่ตกต่ำตามมติคณะรัฐมนตรี (ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม - 30 พฤศจิกายน 2553) | ยธ | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์ รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาไข่ไก่ตกต่ำตามมติคณะรัฐมนตรี โดยกำหนดให้เรือนจำ/ทัณฑสถานปรับเปลี่ยนรายการอาหารให้ผู้ต้องขังบริโภคไข่ไก่เฉลี่ยจากเดิมคนละ ๒ ฟองต่อสัปดาห์ เป็นคนละ ๕ ฟองต่อสัปดาห์ ตามหลักโภชนาการของกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมราชทัณฑ์สามารถสั่งซื้อไข่ไก่ได้เพิ่มขึ้นจำนวน ๔.๒ ล้านฟองต่อเดือน ทั้งนี้ เมื่อปรับเปลี่ยนรายการอาหารให้ผู้ต้องขังบริโภคไข่ไก่ปริมาณ ๕ ฟองต่อสัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๓-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ จะสามารถช่วยรับซื้อไข่ไก่ได้ประมาณ ๕.๒๕ ล้านฟอง ในราคาระหว่างฟองละ ๒.๐๐-๓.๑๐ บาท หรือเฉลี่ยราคาฟองละ ๒.๕๐ บาท ซึ่งจะช่วยลดปริมาณไข่ไก่ออกจากตลาดได้ในระดับหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6000 | การแต่งตั้งข้าราชการตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงมหาดไทย (จำนวน 57 ราย 1. นายขวัญชัย วงศ์นิติกร ฯลฯ) | มท | 02/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง) ที่เหลืออีก ๘ ราย และยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงมหาดไทย) จำนวน ๔๘ ราย ๒. แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๕๕ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เป็นต้นไป ได้แก่ ๒.๑ ตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๓ ราย ๒.๒ ตำแหน่งอธิบดี จำนวน ๓ ราย ๒.๓ ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๕ ราย ๒.๔ ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จำนวน ๔๔ ราย
|
.....