ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 292 จากทั้งหมด 567 หน้า แสดงรายการที่ 5821 - 5840 จากข้อมูลทั้งหมด 11339 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
5821 | การออกสลากการกุศลงวดพิเศษ | กค | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การออกสลากการกุศลงวดพิเศษสำหรับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต สุขภาพ และการศึกษาของประชาชน จำนวน ๘ หน่วยงาน วงเงินรวม ๖,๙๙๙ ล้านบาท ประกอบด้วยการออกสลากการกุศลงวดพิเศษของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, มูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์, คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, มูลนิธิวชิรพยาบาล ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี, กระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๑.๒ ไม่สนับสนุนการออกการกุศลงวดพิเศษ จำนวน ๖ หน่วยงาน วงเงินจำนวน ๑๗,๐๕๖ ล้านบาท ประกอบด้วยการออกสลากการกุศลงวดพิเศษของมูลนิธิอนุรักษ์และพัฒนาอากาศยานไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, มูลนิธิพระรัตนตรัย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร, มูลนิธิราชสกุลอาภากร ในพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และมูลนิธิส่งเสริมการพัฒนาบุคคล ในพระอุปถัมภ์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ๑.๓ ยุติการพิจารณาการออกสลากการกุศลไว้ก่อน จนกว่าจะดำเนินการออกสลากการกุศลตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแล้วเสร็จ ๑.๔ การออกสลากการกุศลตามข้อ ๑.๑ ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นผู้จัดพิมพ์ จัดจำหน่ายและจ่ายรางวัล ทั้งนี้ ในการจัดจำหน่าย สำนักงานสลากฯ ควรพิจารณาแนวทางการจำหน่ายสลากการกุศลในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย ๒. ให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๑ (เรื่อง การออกสลากการกุศลงวดพิเศษ) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ หากในระยะต่อไปมีการพิจารณาการออกสลากการกุศลงวดพิเศษเพิ่มเติมอีก ให้กระทรวงการคลังนำเรื่องเกี่ยวกับการออกสลากการกุศลเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการของกระทรวงศึกษาธิการที่ได้เสนอไปที่กระทรวงการคลังแล้ว มาพิจารณาในโอกาสแรก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5822 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2554 | กค | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธาน กนร. เสนอ โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความคืบหน้าการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการกำกับและพัฒนานโยบายรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำความเห็นของ กนร. เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานตามร่างกฎหมายฉบับนี้ ควรมีอำนาจอย่างเหมาะสมในการกำกับดูแลและแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ไม่ใช่เพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ ไปประกอบการพิจารณาในการร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวต่อไป ๑.๒ รับทราบการติดตามความคืบหน้าการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อพลิกฟื้นฐานะทางการเงินขององค์การตลาด องค์การคลังสินค้า องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร องค์การสะพานปลา และบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด ๑.๓ เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาผลขาดทุนของบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด (มอท.) โดยพิจารณาแนวทางการจัดการสินทรัพย์ หนี้สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับพนักงานของ มอท. ที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้นำนัยของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๘๔ (๑) พิจารณาประกอบด้วย และให้นำเสนอ กนร. พิจารณาภายใน ๓ เดือน ๑.๔ เห็นชอบผลการศึกษาของฝ่ายเลขานุการฯ ในเรื่องอัตราส่วนลด (Discount Rate) ในการคำนวณมูลค่าผลตอบแทนปัจจุบัน (Present Value) ของโครงการในอัตราร้อยละ ๑๐ ว่าเป็นอัตราที่ยอมรับได้ และความสามารถในการรับตู้สินค้า (Capacity) ของท่าเรือแหลมฉบังว่ายังคงมีปริมาณส่วนเกิน (Excess Capacity) แม้จะมีการขยายระยะเวลาก่อสร้างท่าเทียบเรือชุด D (D1 D2 และ D3) จากเดิมที่จะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ทั้งนี้ การแก้ไขสัญญาจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๕ ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อพลิกฟื้นฐานะทางการเงินของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดังนี้ ๑.๕.๑ เห็นชอบแผนพลิกฟื้นของ กคช. โดยให้คงธุรกรรมโครงการบ้านเอื้ออาทรไว้กับ กคช. และเห็นชอบในหลักการสำหรับการลงทุนพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพ โดยให้ กคช. เสนอหลักเกณฑ์รายละเอียดและกรอบการลงทุนตามขั้นตอน รวมทั้งระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๕.๒ เห็นชอบมาตรการอุดหนุนหรือชดเชยเพิ่มเติมจากรัฐ สำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทรที่ยังคงไว้ที่ กคช. โดยขยายวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนจากสถาบันการเงินเพิ่มเติมจากเดิม ๗๘๐ ล้านบาท เป็น ๒,๒๔๐ ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้ออาคารคืนจากสถาบันการเงินและนำกลับมาขายใหม่ในกรณีผู้ซื้อที่ขาดการชำระติดต่อกัน ๓ เดือน และการอุดหนุนเงินชดเชยดอกเบี้ยเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นสำหรับหน่วยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จแต่ยังไม่สามารถขายได้ และที่ยังไม่เคยได้รับการอุดหนุนตามจำนวนดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจริง จำนวน ๒๙๗ ล้านบาท และการอุดหนุนชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับสินทรัพย์รอการพัฒนาในลักษณะเงินยืมไม่เกิน ๒ ปี เพื่อให้ กคช. นำทรัพย์สินดังกล่าวมาจำหนายให้เกิดรายได้โดยเร็ว ๑.๕.๓ สำหรับการขอเสนอขายโครงการในลักษณะยกอาคารหรือยกขายทั้งโครงการโดยสามารถขายในราคาที่ต่ำกว่า ๓๙๐,๐๐๐ บาท แต่ต้องไม่ต่ำกว่าราคาประเมินโดยบริษัทกลาง ๒. สำหรับเรื่องการดำเนินการของคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาการปฏิรูปองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ [เรื่อง รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง แผนปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)]
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5823 | การทบทวนการดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว | กก | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ดังนี้ ๑.๑ ไม่ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง รายงานสถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๒) ในเรื่องดังต่อไปนี้ ๑.๑.๑ การยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ๑.๑.๒ การลดหย่อนค่าธรรมเนียมการขึ้นลงของอากาศยานและที่เก็บอากาศยาน (Landing & Parking Fee) ๑.๑.๓ การประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยกรณีเกิดจลาจล ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ๑.๑.๔ การลดหย่อนค่าประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม ๑.๒ ให้ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง รายงานสถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในปี ๒๕๕๒) ในเรื่องดังต่อไปนี้ ๑.๒.๑ การปรับแผนการฝึกอบรม จัดประชุมสัมมนาและดูงานในประเทศให้มากขึ้นแทนการฝึกอบรม จัดประชุมสัมมนา และดูงานในต่างประเทศ ให้ขยายระยะเวลาดำเนินการออกไปอีก ๑ ปี จนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๒ การให้ผู้ประกอบการสามารถนำค่าใช้จ่ายการจัดประชุม สัมมนา อบรม และการจัดการท่องเที่ยวเป็นรางวัลในประเทศแก่พนักงานมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ ๒ เท่าของที่จ่ายจริง ซึ่งเป็นมาตรการเดียวกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓) ซึ่งกำหนดสิ้นสุดภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ อยู่แล้ว จึงให้มาตรการนี้สิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ และให้กระทรวงการคลังประเมินผลการใช้มาตรการดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๑.๓ ให้เพิ่มมาตรการเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยว และให้หน่วยงานและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ในเรื่องดังต่อไปนี้ ๑.๓.๑ การปรับปรุงบริการการตรวจลงตรา ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ให้มีความสะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและเป็นการสร้างรายได้เข้าประเทศ และการเพิ่มช่องทางพิเศษในการตรวจลงตราให้แก่คนพิการและคนชรา เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ซึ่งให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พิจารณาแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ท่าอากาศยานให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เต็มตามศักยภาพ รวมทั้งการพัฒนาระบบข้อมูลการตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้าให้เป็นมาตรฐานสากล ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๓.๒. ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงสนามบินสุวรรณภูมิตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเห็นชอบดำเนินโครงการสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างประเทศ (Transfer Passenger) ต่อไปได้ โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการฯ ๒. ในส่วนของมาตรการอื่น ๆ ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้ ๒.๑ กรณียกเว้นการตรวจลงตราสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนและไต้หวันต้องยึดหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกัน โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนกรณีการให้การตรวจลงตราแบบ Visa on Arrival แก่ชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคตะวันออกกลาง ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติที่เหมาะสมต่อไป ๒.๒ การเปิดสถานกงสุล (ใหญ่) และสถานกงสุล (กิตติมศักดิ์) ในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณา ๒.๓ การให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการสนับสนุนให้สถานประกอบการโรงแรมมีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งให้ผู้ประกอบการด้าน Service Apartment ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาดำเนินการ ๒.๔ การให้ภาครัฐไม่ควรจัดนำเที่ยวแข่งขันกับภาคเอกชน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) รับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากข้างต้นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ อาทิ ความเห็นของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการไม่ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๓ กรณีการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการขึ้นลงของอากาศยานและที่เก็บอากาศยาน (Landing and Parking Fee) และมาตรการเพื่อส่งเสริมกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยปรับปรุงบริการตรวจลงตรา ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้มีความสะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และการเพิ่มช่องทางพิเศษในการตรวจลงตราให้แก่คนพิการและคนชราเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5824 | หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล | นร | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๗ ธันวาคม ๒๕๕๓) เกี่ยวกับข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่กลุ่มเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคลจะได้รับ เช่น ที่ทำกิน การศึกษา การรักษาพยาบาล เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นต้น รวมทั้งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ ๒. ผลการพิจารณาเกี่ยวกับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล โดยสำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็น สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายภายใต้ยุทธศาสตร์ฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี (๗ ธันวาคม ๒๕๕๓) มีเงื่อนไขที่สำคัญคือ ต้องเป็นบุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นเวลานาน ไม่มีจุดเกาะเกี่ยวและไม่ถือสัญชาติของประเทศต้นทาง รวมทั้งไม่มีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ๒.๒ การจะได้รับการกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายจะต้องยื่นคำร้องขอมีสถานะเป็นบุคคลต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนบุตรที่เกิดในประเทศไทยต้องยื่นขอสัญชาติไทย มิใช่เป็นการได้สัญชาติไทยโดยทันที ซึ่งกลุ่มเป้าหมายจะต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดซึ่งจะมีเงื่อนไขและกระบวนการคัดกรองบุคคลอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันมิให้เกิดช่องว่างหรือเป็นสาเหตุจูงใจให้ผู้หลบหนีเข้าเมืองใช้เป็นแบบอย่างในการขอสัญชาติ และป้องกันปัญหาสองสัญชาติ ทั้งนี้ หากบุคคลเป้าหมายมีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงก็สามารถเพิกถอนสถานะได้ ๒.๓ ประเด็นสิทธิพิเศษ ในทางกฎหมายมิได้ระบุเป็นการเฉพาะเจาะจงที่จะให้สิทธิดังกล่าวแต่มุ่งหมายคุ้มครองสิทธิในการอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชนกลุ่มน้อยเป็นการทั่วไปไม่ว่าจะมีสัญชาติไทยหรือไม่ก็ตาม หากบุคคลเหล่านี้ผ่านกระบวนการคัดกรองอย่างเข้มงวดตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดจนได้รับสถานะเป็นบุคคลต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือได้รับสัญชาติไทยแล้ว ในหลักการย่อมมีความชอบธรรมที่จะได้รับสิทธิในเรื่องต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด ๒.๔ ประเด็นเกี่ยวกับข้อเสนอการแก้ปัญหาด้วยการเจรจาในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศต้นทาง รวมถึงการเสนอเรื่องไปยังองค์การสหประชาชาติเพื่อนำไปสู่การส่งกลับผู้หลบหนีเข้าเมือง ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความสำคัญและพยายามดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องในระดับหนึ่ง แต่ด้วยข้อจำกัดเนื่องจากสถานการณ์และปัญหาภายในของประเทศต้นทางไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งเป็นประเด็นที่มีความสุ่มเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การแก้ปัญหาจำเป็นต้องพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5825 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินเกษตรกรสภาประชาชน 4 ภาค (ครั้งที่ 3) | กษ | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินเกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค (ครั้งที่ ๓) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค สรุปผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ จนถึงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔ ดังนี้ ๑.๑ รับคำเสนอขายที่ดิน จำนวน ๒๑ จังหวัด เนื้อที่ ๒๖,๕๕๔ - ๓ - ๖๙ ไร่ ๑.๒ เกษตรกรมาตรวจสอบสิทธิ จำนวน ๑,๖๙๐ ราย มีคุณสมบัติครบ จำนวน ๑,๔๗๓ ราย ๑.๓ เกษตรกรแสดงความประสงค์และพึงพอใจในที่ดิน จำนวน ๘๘๗ ราย เนื้อที่ ๑๒,๙๗๙ - ๒ - ๑๖ ไร่ ๑.๔ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด (คปจ.) เห็นชอบแผนการจัดซื้อที่ดิน จำนวน ๒๐ จังหวัด เกษตรกร จำนวน ๗๘๘ ราย เนื้อที่ ๑๑,๓๖๗ - ๓ - ๑๔ ไร่ จำแนกเป็น ๑.๔.๑ ที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ประกอบด้วย คปจ. เห็นชอบแผนการจัดซื้อ จำนวน ๓๘๖ ราย เนื้อที่ ๕,๔๒๗ - ๓ - ๕๙ ไร่ จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ ส.ป.ก. แล้ว จำนวน ๒๘๓ ราย เนื้อที่ ๓,๙๐๘ - ๐ - ๙๓ ไร่ และจัดทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินกับเกษตรกรแล้ว จำนวน ๘๑ ราย เนื้อที่ ๑,๒๑๕ - ๑ - ๕๔ ไร่ ๑.๔.๒ ที่ดินตั้งอยู่นอกเขตปฏิรูปที่ดิน ประกอบด้วย คปจ. เห็นชอบแผนการจัดซื้อ จำนวน ๑๑ จังหวัด เกษตรกร จำนวน ๔๐๒ ราย เนื้อที่ ๕,๙๓๙ - ๓ - ๕๕ ไร่ และ คปก. มีมติอนุมัติให้กำหนดเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน จำนวน ๗ จังหวัด เกษตรกร จำนวน ๓๘๘ ราย เนื้อที่ ๕,๗๘๔ - ๐ - ๔๐ ไร่ ๒. ส.ป.ก. ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎรของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และดำเนินการออกประกาศ ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ให้เกษตรกรแสดงตน ณ ส.ป.ก. จังหวัดที่ประสงค์จะให้จัดซื้อที่ดินภายใน ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ รวมทั้งมีหนังสือแจ้งเกษตรกรที่ยังไม่มาแสดงตนให้มาแสดงตน ทั้งนี้ ในกรณีที่เกษตรกรแสดงตนแล้วได้เร่งรัดดำเนินการเพื่อให้เกษตรกรคัดเลือกแปลงที่ดินให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ เพื่อให้การพิจารณาจัดซื้อที่ดินทั้งที่อยู่ในและนอกเขตปฏิรูปที่ดินเสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5826 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุตรดิตถ์ และขออนุมัติผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีในการขอใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ | กษ | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กรมชลประทานดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุตรดิตถ์ ภายใต้แผนการดำเนินงานโครงการ ๘ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๑) กรอบวงเงินของโครงการรวมทั้งสิ้น ๔,๘๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ กรณีการขอเข้าใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อให้กรมชลประทานสามารถเข้าใช้พื้นที่สำหรับการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุตรดิตถ์ ๑.๓ ให้กรมชลประทาน สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ๑.๔ ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาจัดหางบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการให้เป็นไปตามเป้าหมายและระยะเวลาที่กำหนด ๒. งบประมาณเพื่อการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เสนอขอตั้งงบประมาณตามขั้นตอน ตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละปีงบประมาณต่อไป และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีมาตรการลดผลกระทบจากการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีให้เหมาะสมตามสภาพความเป็นจริงและเป็นธรรมต่อผู้ได้รับผลกระทบ ส่วนค่าชดเชยที่ดินและทรัพย์สินสำหรับราษฎรที่เข้าไปทำกินในบริเวณหัวงานและอ่างเก็บน้ำที่ต้องอพยพจากพื้นที่ ให้เร่งดำเนินการพิสูจน์สิทธิ์เพื่อป้องกันการอ้างสิทธิโดยไม่ได้มีการครอบครองที่ดินและทรัพย์สินอย่างแท้จริง และให้มีการจัดทำข้อตกลงเรื่องค่าชดเชยให้ชัดเจนเพื่อป้องกันการเรียกร้องค่าชดเชยเพิ่มในภายหลัง รวมทั้งดำเนินการตามแผนป้องกันและแก้ไขผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5827 | รายงานการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2554 | กษ | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองประธานกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวงเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมคณะกรรมการ กปส. มีมติรับทราบผลการดำเนินงาน จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ ผลการดำเนินงานของโครงการหลวง ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ รายงานการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบนพื้นที่สูงภาคเหนือ และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพบนพื้นที่สูง ๑.๒ ที่ประชุมคณะกรรมการ กปส. มีมติเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้มูลนิธิโครงการหลวงขอตั้งงบประมาณประจำปีเพื่อดำเนินงานวิจัย งานพัฒนา และการตลาด ที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒.๒ เห็นชอบในหลักการแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวงและแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) โดยให้ฝ่ายเลขานุการนำแผนแม่บทฯ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ๑.๒.๓ เห็นชอบในหลักการแผนงานและงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่สนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวงและโครงการขยายผลโครงการหลวง โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาให้การสนับสนุนตามความเหมาะสมต่อไป ๑.๒.๔ เห็นชอบในหลักการการปรับปรุงถนนในพื้นที่โครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดตาก จำนวน ๙ เส้นทาง โดยให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) รับโครงการปรับปรุงเส้นทางดังกล่าวไว้ในแผนพัฒนาเพื่อความมั่นคงและจัดหางบประมาณให้กับหน่วยงานทหารในพื้นที่เป็นผู้ปฏิบัติงานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป และให้หน่วยงานที่ร่วมดำเนินงานภายใต้แผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงฯ ให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานตามแผนแม่บทดังกล่าว ๑.๒.๕ ที่ประชุมคณะกรรมการ กปส. มีมติเรื่อง การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาชุมชนในพื้นที่โครงการหลวง โดยให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนแผนงาน และงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกรมทางหลวงชนบท และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สำหรับปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่โครงการหลวงตามความเหมาะสม และให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบว่า “โครงการพระราชดำริ” ที่ระบุในมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๖ (ข้อ ๒.๑) หมายรวมถึงงานของมูลนิธิโครงการหลวงด้วย กับเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่โครงการหลวง ภายใต้คณะกรรมการ กปส. และให้ กฟภ.รวบรวมความจำเป็นโครงการก่อสร้างขยายระบบจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ภายในพื้นที่โครงการหลวง และโครงการขยายผลโครงการหลวง ทั้งที่ไม่เกินและเกิน ๕๐,๐๐๐ บาทต่อครัวเรือนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๑.๒.๖ เห็นชอบในหลักข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ไทย - โคลอมเบีย (Technical Cooperation Agreement) ระหว่างมูลนิธิโครงการหลวง สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และ Accion Social สาธารณรัฐโคลอมเบีย และหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ระหว่างมูลนิธิโครงการหลวง สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และ UNODC สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยให้ฝ่ายเลขานุการนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป ๒. ให้เปลี่ยนชื่อข้อความตามหนังสือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ สวพส./๑๐๘๔ ลงวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๔ ข้อ ๒.๒.๕ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาชุมชนในพื้นที่โครงการหลวง ๒) มติคณะกรรมการ กปส. (๒) จากเดิม “...โครงการพระราชดำริ นั้น หมายรวมถึง งานของมูลนิธิโครงการหลวงด้วย” เป็น “...โครงการพระราชดำริ นั้น หมายรวมถึงงานโครงการหลวงด้วย” และให้เปลี่ยนข้อความดังกล่าวที่ปรากฏในข้ออื่น ๆ ให้สอดคล้องกันด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ดำเนินงานตามแผนแม่บทโครงการหลวงเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานให้มากขึ้น ตลอดจนเร่งประชาสัมพันธ์ให้ อปท. ทั่วประเทศเข้ามาศึกษา ดูงาน เพื่อนำความรู้จากโครงการหลวงไปต่อยอดการพัฒนาในพื้นที่ อปท. แต่ละแห่งได้ นอกจากนี้ เห็นควรเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการ กปส. พร้อมทั้งจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป สำหรับการดำเนินงานตามแผนงานและงบประมาณภายใต้แผนแม่บทฯ ควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5828 | ขออนุมัติเงินอุดหนุนองค์การระหว่างประเทศ | สธ | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินอุดหนุนแก่โครงการพิเศษขององค์การอนามัยโลกในด้านการวิจัยและฝึกอบรมเกี่ยวกับโรคเมืองร้อน (WHO Special Programme for Research and Training in Tropical Diseases : TDR) เป็นปีละ ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มาดำเนินการต่อไป ๒. อนุมัติขยายระยะเวลาและเพิ่มวงเงินอุดหนุนแก่กองทุนโลกเพื่อการต่อสู้โรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย (Global Fund to Fight AIDS, Tuberculosis and Malaria : GF) เป็นปีละ ๑,๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ เป็นระยะเวลา ๕ ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๖๒ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ [เรื่อง เงินอุดหนุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ของกระทรวงสาธารณสุข (เรื่อง การสนับสนุนงบประมาณให้แก่คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ และกองทุน GFATM)] โดยเริ่มสนับสนุนเงินอุดหนุนอัตราใหม่ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5829 | การออกสลากการกุศลงวดพิเศษ | กค | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สนับสนุนการออกสลากการกุศลงวดพิเศษ จำนวน ๓ หน่วยงาน ดังนี้ ๑.๑.๑ โครงการจัดหารายได้สมทบทุนมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ วงเงินจำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ของมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ๑.๑.๒ โครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร วงเงินจำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ของมูลินิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) ๑.๑.๓ โครงการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)ยามยาก เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วงเงินจำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ของมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)ยามยาก สภากาชาดไทย ๑.๒ ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นผู้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย และจ่ายรางวัลสลากการกุศลงวดพิเศษดังกล่าว ทั้งนี้ ในการจัดจำหน่าย ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลพิจารณาแนวทางการจำหน่ายสลากการกุศลในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย ๒. ให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๑ (เรื่อง การออกสลากการกุศลงวดพิเศษ) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. หน่วยงานใดที่ได้รับรายได้จากการออกสลากการกุศลงวดพิเศษเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินโครงการใด ๆ แล้ว ไม่ควรเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีในโครงการเดียวกันอีก โดยให้แจ้งข้อมูลการได้รับรายได้ดังกล่าวให้สำนักงบประมาณทราบ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาและตรวจสอบความซ้ำซ้อนของการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานต่าง ๆ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5830 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ | คค | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงคมนาคมได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ (สัญญาที่ ๑ - ๕) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยมีรองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวงเป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้ตรวจสอบในประเด็นต่าง ๆ แล้ว และรายงานว่าการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินฯ ได้มีการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี และดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนการประกวดราคาสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ ระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ๒. รฟม. ได้รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ เกี่ยวกับค่าเงินบาทที่มีอัตราแข็งขึ้นสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินฯ โดยได้ประชุมเจรจากับบริษัทผู้รับจ้างงานโยธา (สัญญาที่ ๑ - ๕) ปรากฏผลว่าผู้รับจ้างของทุกสัญญายืนยันว่าไม่สามารถปรับลดราคาลงได้ อย่างไรก็ตาม รฟม. พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า ค่าเงินบาทที่มีอัตราแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน ยังไม่มีผลกระทบกับราคาค่าจ้างงานโยธา และหากมีความผันผวนของค่าเงินบาทก็จะมีกลไกการปรับราคาค่าจ้างด้วยดัชนีเพื่อใช้ประกอบการคำนวณหา Escalation Factors (K) สำหรับสัญญาแบบปรับราคาได้ตามหลักเกณฑ์ของสำนักงบประมาณ ๓. รฟม. ได้ดำเนินการลงนามในสัญญาว่าจ้างก่อสร้างงานโยธาทั้ง ๕ สัญญา เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และได้มีหนังสือถึงสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ชี้แจงผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ และขอให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสมและค้ำประกันเงินกู้ สำหรับค่าก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินฯ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5831 | แก้ไขมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2554 (ครั้งที่ 11) | นร | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ [เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๑)] ในส่วนของข้อ ๒ เป็นดังนี้ “เห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์มกับต้นทุนการผลิตให้แก่สมาชิกสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มที่ผลิตน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์จากน้ำมันปาล์มดิบแยกไขนำเข้า ๓๐,๐๐๐ ตัน ในอัตราชดเชยลิตรละ ๓.๒๐ บาท เป็นเงิน ๗๒.๓๒ ล้านบาท และน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มดิบในประเทศ ๑๕,๐๐๐ ตัน จำนวน ๙.๗ ล้านลิตร อัตราชดเชยลิตรละ ๙.๕๐ บาท บนพื้นฐานราคาน้ำมันปาล์มดิบ ๔๔.๗๕ บาทต่อกิโลกรัม เป็นเงิน ๙๒.๑๕ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินชดเชยทั้งหมดจำนวน ๑๖๔.๔๗ ล้านบาท” ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ขอตกลงในรายละเอียดของค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๑) เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๔ ได้มีมติเห็นชอบให้โรงกลั่นน้ำมันปาล์มรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มในราคากิโลกรัมละ ๓๖.๒๘ บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๔ - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ โดยให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มรับซื้อผลปาล์มอัตราน้ำมันร้อยละ ๑๗ ในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ ๖ บาท ในจำนวน ๔๐,๐๐๐ ตันน้ำมันปาล์มดิบต่อเดือน และรัฐชดเชยส่วนต่างของราคาจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์มชนิดบรรจุขวด ถุง และปี๊บกับต้นทุนการผลิตในอัตราลิตรละ ๑.๗๙ บาท (ไม่รวมภาคอุตสาหกรรม) และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติรับไปขอตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการชดเชยกับสำนักงบประมาณ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5832 | การแก้ไขมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2554 (เรื่อง ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553) | นร | 12/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔ ที่เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (เรื่อง รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาและพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) จาก “...มอบหมายให้หน่วยงานที่เคยสนับสนุนงบประมาณในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจท่องเที่ยวที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เช่น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) พิจารณาให้ความสนับสนุนงบประมาณดังกล่าวแก่สถานีตำรวจท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไปด้วย” เป็น “...มอบหมายให้หน่วยงานที่เคยสนับสนุนงบประมาณในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจท่องเที่ยวที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เช่น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) พิจารณาให้ความสนับสนุนงบประมาณดังกล่าวแก่สถานีตำรวจท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้ยกเว้นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา” ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5833 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนสวัสดิการชาวนา พ.ศ. .... | กษ | 12/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนสวัสดิการชาวนา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยกองทุนสวัสดิการชาวนา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้กรมการข้าวบริหารจัดการภารกิจกองทุนสวัสดิการชาวนา โดยไม่จำเป็นต้องจัดตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ ซึ่งสอดคล้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษารายละเอียดให้ชัดเจนเกี่ยวกับอัตราการจ่ายเงินสมทบของชาวนา (ร้อยละ ๓ ของการขายข้าวในแต่ละปี) การจ่ายเงินสมทบของรัฐบาลจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่ง การกำหนดให้สมาชิกต้องมีพื้นที่เพาะปลูกไม่เกิน ๑๕ ไร่ เงินบำเหน็จบำนาญที่จ่ายให้สมาชิกต่อเดือนและระยะเวลาการเริ่มได้สิทธิรับเงินบำเหน็จบำนาญเพื่อให้ชาวนาได้รับประโยชน์ที่คุ้มค่า มีแรงจูใจในการเข้าร่วมเป็นสมาชิก และมีความสามารถในการจ่ายเงินสมทบของทั้งชาวนาและรัฐบาล ตลอดจนมีแนวทางในการบริหารจัดการกองทุนที่ชัดเจนในกรณีที่ชาวนาเป็นสมาชิกในหลายกองทุน นอกจากนี้ ร่างพระราชบัญญัติฯ ควรมีมาตรการและกลไกด้านอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมให้ชาวนามีผลผลิตเพิ่มมากขึ้น และลดต้นทุนการทำนา ตลอดจนเข้ามาดูแลกลไกตลาดข้าวเปลือกเพื่อให้ชาวนาได้รับความเป็นธรรมไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง และข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติกองทุนสวัสดิการชาวนา พ.ศ. .... อาจซ้ำซ้อนกับร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. .... ในบางประเด็น จึงควรให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปตรวจพิจารณาไม่ให้ร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับมีความซ้ำซ้อนกัน และควรพิจารณากำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินสมทบ เพดานการเก็บเงินเข้ากองทุน สิทธิประโยชน์ และการบริหารจัดการกองทุน โดยให้คำนึงถึงข้อดีข้อเสียในการมีกองทุนสวัสดิการเป็นการเฉพาะ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาด้วยว่า หากผู้ประกอบอาชีพทำนาซึ่งไม่มีรายได้ประจำได้ประสงค์จะเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ เพียงใด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5834 | การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย (เพิ่มเติม) | พณ | 12/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ครั้งที่ ๓ ระหว่างเดือนกันยายน - ธันวาคม ๒๕๕๓ มีผู้ยื่นคำขอกู้ จำนวน ๑,๔๑๖ ราย วงเงิน ๔,๓๐๘.๑๘ ล้านบาท ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) อนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้ที่ยื่นคำขอกู้ จำนวน ๑,๐๓๐ ราย วงเงิน ๒,๙๗๙.๓๗ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายเงินกู้แล้ว จำนวน ๖๗๕ ราย วงเงิน ๑,๙๘๘.๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติวงเงินสินเชื่อ (เพิ่มเติม) จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสภาพคล่องเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ และเพื่อเป็นเงินลงทุน และเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์ ธุรกิจขายตรง รวมทั้งผู้ที่ต้องการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยหลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทยเพิ่มเติม ได้แก่ นายกสมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์ นายกสมาคมธุรกิจแฟรนไชส์และเอ็สเอ็มอีไทย นายกสมาคมแฟรนไชส์ไทย และนายกสมาคมการขายตรงไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๔. การชดเชยในกรณีต่าง ๆ ให้แก่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๕. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เสนอเพิ่มเติม ๖. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดจัดทำรายงานผลการดำเนินการเกี่ยวกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสถาบันการเงิน วงเงินรวม ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5835 | รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2553 เรื่อง ขออนุมัติจัดตั้งบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และอนุมัติเงินทุนจดทะเบียนในการจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อให้บริการโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และขอรับจัดสรรเงินกู้จำนวน 1,860 ล้านบาท เพื่อมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนบริหารงานภายในบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด | คค | 12/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. เห็นชอบการจัดสรรเงินกู้ จำนวน ๑,๘๖๐ ล้านบาท ให้แก่บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เพื่อมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนบริหารงานภายในบริษัทฯ โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการดำเนินการโครงการ Airport Rail Link โดยให้รัฐบาลเป็นผู้รับภาระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นในการกู้เงินแทนบริษัทฯ ทั้งนี้ ให้รัฐบาล (กระทรวงการคลัง) เข้าไปร่วมถือหุ้นในบริษัทฯ ตามภาระการชดเชยที่สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการกู้เงินในแต่ละปีทันที ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๓. ส่วนข้อเสนอการแปลงหนี้สินที่มีอยู่กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จำนวน ๗,๐๓๕ ล้านบาท ให้เป็นทุนของบริษัทฯ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ ร.ฟ.ท. และบริษัทฯ ร่วมกันหารือเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับการรับภาระการลงทุนของโครงการ Airport Rail Link ทั้งในส่วนโครงสร้างพื้นฐานและระบบการเดินรถให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ ซึ่งกำหนดให้รัฐบาลเป็นผู้รับภาระการลงทุนเฉพาะในส่วนโครงสร้างพื้นฐานของโครงการ Airport Rail Link และนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๔. ให้กระทรวงคมนาคม ร.ฟ.ท. และบริษัทฯ รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการเร่งรัดแก้ไขปัญหาการให้บริการและให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ของพื้นที่ในบริเวณสถานีและการส่งเสริมการขายบัตรโดยสารในรูปแบบต่าง ๆ รวมไปถึงให้มีข้อตกลงร่วมระหว่างบริษัทฯ ร.ฟ.ท. และกระทรวงการคลัง ในกรณีที่บริษัทฯ มีฐานะการเงินดีขึ้นและมีเงินสดปลายงวดคงเหลือในกิจการเพียงพอ จะต้องนำเงินสดดังกล่าวมาชำระหนี้สินที่มีอยู่ให้แก่ ร.ฟ.ท. และหนี้ที่จะเกิดขึ้นจากการกู้เงินของกระทรวงการคลังในครั้งนี้เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ นอกจากนี้ ควรพิจารณาปรับแผนการใช้ประโยชน์จากขบวนรถ Express Line ไปเสริมขบวนรถ City Line เพื่อให้การบริหารจัดการเดินรถที่มีอยู่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้บริษัทฯ หาพันธมิตรร่วมทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและความเข้มแข็งทางการเงินเพื่อให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วยว่า การดำเนินโครงการเกี่ยวกับระบบขนส่งทางรถไฟ ภาครัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบเฉพาะในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น ส่วนการบำรุงรักษา (maintenance) โครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวรวมทั้งระบบรางเป็นความรับผิดชอบของ ร.ฟ.ท. และบริษัทที่เกี่ยวข้อง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5836 | การขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 ในการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ ที่มีกระแสไฟฟ้าใช้แล้ว (เกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง) | มท | 12/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่องการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๓ เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ) เฉพาะการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่างๆ ที่มีไฟฟ้าใช้แล้ว (เกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคควรดำเนินการด้วยความระมัดระวังและหามาตรการป้องกัน แก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นให้มีผลกระทบน้อยที่สุด รวมทั้งควรดำเนินการติดตามการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในช่วงก่อน ระหว่างภายหลังการดำเนินการวางสายเคเบิลใต้น้ำอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยควรประสานกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของเกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง ในการจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินและแผนการจัดการสิ่งแวดล้อมร่วมกับชุมชนในพื้นที่ เพื่อกำหนดทิศทางและควบคุมการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และธุรกิจ ท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นภายหลังการพัฒนาโครงการฯ ในส่วนของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคควรดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินโครงการอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเล ตลอดจนเพื่อให้การดำเนินโครงการอยู่บนฐานของการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อมกัน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ไปพิจารณาด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5837 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง | นร | 12/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง สรุปได้ ดังนี้
๑. กำหนดราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างซึ่งจะใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดราคากลาง ได้ว่าจ้างคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นที่ปรึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกำหนดราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้าง โดยทำการศึกษา พิจารณา วิเคราะห์ จัดกลุ่ม และกำหนดรหัสมาตรฐานรายการงานก่อสร้างเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งกำหนดรหัสมาตรฐานรายการวัสดุก่อสร้างขึ้นมาใหม่เชื่อมโยงกับราคาวัสดุก่อสร้างของกระทรวงพาณิชย์ และการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดทำและปรับปรุงบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้าง โดยพัฒนาโปรแกรมต้นแบบให้สอดคล้องกับระบบโครงสร้างรายการงาน และสามารถที่จะดึงข้อมูลราคาวัสดุจากกระทรวงพาณิชย์มาใช้ในการปรับปรุงราคาในบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ๒. ศึกษารายละเอียดรายการงานในบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้าง ได้ดำเนินการศึกษารายละเอียดรายการงานในบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างของสำนักงบประมาณ จำนวน ๒๓๐ รายการ เพื่อให้ทราบถึงรูปแบบปริมาณและลักษณะการถอดแบบของผู้ประมาณราคา ศึกษาฐานข้อมูลราคาวัสดุของกระทรวงพาณิชย์ และนำรายละเอียดมาจัดกลุ่ม กำหนดโครงสร้าง รหัสมาตรฐานรายการงาน ราคาต่อหน่วย รายการวัสดุก่อสร้างให้เป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐาน ๓. กำหนดราคากลางให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเป็นจริง ได้มีการเชื่อมโยงกับราคาวัสดุจากกระทรวงพาณิชย์เพื่อให้ปรับราคาได้โดยอัตโนมัติ โดยประสานงานกับสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และกำลังดำเนินการวางระบบเพื่อจัดกลุ่มวัสดุก่อสร้าง กำหนดรหัสมาตรฐานรายการวัสดุก่อสร้าง ซึ่งจะต้องตรวจสอบรวบรวมรายการวัสดุที่จะต้องใช้ในการก่อสร้างเพื่อกำหนดให้เป็นฐานข้อมูลที่มีมาตรฐานเดียวกัน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5838 | ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับกรอบอัตรากำลังข้าราชการพลเรือนสามัญในภาพรวม รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐเพื่อย้ายข้าราชการไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ด้านสังคม กลุ่มงานยุทธศาสตร์และการวางแผน | นร | 12/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับกรอบอัตรากำลังข้าราชการพลเรือนสามัญในภาพรวม รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐเพื่อย้ายนายจรัสโรจน์ บถดำริห์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (อำนวยการระดับสูง) ตำแหน่งเลขที่ ๒๙๕ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ด้านสังคม (อำนวยการระดับสูง) ตำแหน่งเลขที่ ๓๑๖ กลุ่มงานยุทธศาสตร์และการวางแผน สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5839 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการประปานครหลวง (จำนวน 5 ราย 1. นายสุรพล พงษ์ทัดศิริกุล ฯลฯ) | มท | 12/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการประปานครหลวงแทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน ๕ คน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ เมษายน ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นายสุรพล พงษ์ทัดศิริกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ๑.๒ นายวัลลภ พริ้งพงษ์รอง ปลัดกระทรวงมหาดไทย ๑.๓ นายขวัญชัย วงศ์นิติกร อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ๑.๔ นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน ๑.๕ พล.อ. ภาษิต สนธิขันธ์ ข้าราชการบำนาญ ๒. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการประปานครหลวง (นายวิชาญ ธรรมสุจริต อัยการพิเศษ ฝ่ายคดีปกครอง ๑ สำนักงานอัยการสูงสุด)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5840 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่องสถานที่สร้างสนามแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลก พ.ศ. 2555 (FIFA FUTSAL WORLD CUP 2012) (การแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ฯ) | นร | 12/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ที่ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) รับไปพิจารณาดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สนามแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลก พ.ศ. ๒๕๕๔ (FIFA FUTSAL WORLD CUP 2012) แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ในการแต่งตั้งกรรมการควรคำนึงถึงความเหมาะสมของตำแหน่งของผู้ที่จะแต่งตั้งเป็นกรรมการด้วย นั้น เพื่อความเหมาะสม จึงขอตัดข้อความว่า “โดยมีองค์ประกอบตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓” ออก
|