ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 293 จากทั้งหมด 567 หน้า แสดงรายการที่ 5841 - 5860 จากข้อมูลทั้งหมด 11339 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
5841 | ขอความเห็นชอบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่ผู้ปฏิบัติงานภาครัฐอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ | กค | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการผลการประชุมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง การจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่ผู้ปฏิบัติงานภาครัฐอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป โดยมติที่ประชุมมี ดังนี้ ๑.๑ ให้แต่ละส่วนราชการที่มีระเบียบเกี่ยวกับเงินรายได้อยู่แล้วปรับแก้ไขระเบียบกำหนดให้สามารถจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ตามความเหมาะสมในแต่ละประเภทงานและข้อเท็จจริง และกรณีส่วนราชการที่ดำเนินการจ้างเป็น Unit Cost ให้ปรับ Unit Cost เฉพาะในเขตพื้นที่ ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สูงกว่าในเขตพื้นที่ปกติทั่วไปโดยระบุเป็นเงื่อนไขพิเศษ หรือกรณีจ้างแรงงานทั่วไปที่ทำงานในพื้นที่ ก็ให้พิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างเพิ่มขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติในเรื่องดังกล่าวสำหรับกรณีที่ส่วนราชการที่ได้รับเงินอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวต่อคนจากรัฐในการบริหารจัดการ ก็สามารถขอเพิ่มเงินอุดหนุนต่อสำนักงบประมาณได้ ทั้งนี้ การขอเพิ่มเงินอุดหนุนดังกล่าวต้องเท่าที่จำเป็น ๑.๒ ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รายงานผลการพิจารณาเรื่อง การจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน ภาครัฐอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังไม่ได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๒. หากส่วนราชการใดมีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ให้แจ้งข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไปยังสำนักงบประมาณโดยด่วน เพื่อให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาในภาพรวมให้เกิดความคล่องตัวและเหมาะสมเป็นธรรม แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
5842 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) | ทส | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช โดยในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการน้ำชุมชน และการบริหารจัดการพื้นที่ที่มีการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งมีผลความคืบหน้าในการดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ผลักดันโครงการที่เกี่ยวข้องตามพระราชดำริ ได้แก่ โครงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการฐานข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาออกแบบระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับรองรับการพัฒนาฐานข้อมูลและการบริหารจัดการฐานข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นระบบมีประสิทธิภาพและทันสมัย โดยจัดทำโปรแกรมระบบฐานข้อมูลและสารสนเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสามารถนำเข้า สืบค้น เชื่อมโยงข้อมูลเพื่อการบริหารตัดสินใจและบริการอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้ดำเนินการจัดทำแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๖๒ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความพร้อมของประเทศในการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นแนวทางการพัฒนารองรับสถานการณ์อย่างเป็นระบบในระยะยาว นอกจากนี้ ได้มีการประสานและเสนอผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ร่วมทำงานและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change - IPCC) ๒. การจัดการน้ำชุมชน ได้จัดทำโครงการการจัดการน้ำชุมชน เพื่อให้มีการบริหารจัดการและการแก้ไขปัญหาโดยกระบวนการของชุมชน โดยเปิดโอกาสให้ชุมชนซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่และเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้เข้ามามีส่วนร่วมและใช้สิทธิในการจัดการทรัพยากรในท้องถิ่นของตนเอง ๓. การบริหารจัดการพื้นที่ที่มีการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ได้ดำเนินการสร้างองค์ความรู้ให้แก่ประชาชน องค์กรชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ชายฝั่งของประเทศ และฟื้นฟูแนวชายฝั่งด้วยระบบธรรมชาติทั้งป่าชายเลน และป่าชายหาด รวมทั้งศึกษาวิจัยรูปแบบและวิธีป้องกัน รักษา และฟื้นฟูป่าชายเลนและป่าชายหาดที่เสื่อมโทรมจากการกัดเซาะชายฝั่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
5843 | ขอให้จัดสรรงบประมาณค่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช 1 เอ็น 1) และค่ายา Oseltamivir ตามมติคณะรัฐมนตรี | นร | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๕๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อชดใช้คืนเข้ากองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำหรับการจัดซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช ๑ เอ็น ๑) และค่าจัดซื้อยา Oseltamivir ขององค์การเภสัชกรรม ทั้งนี้ เพื่อให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสามารถจัดสรรเงินให้กับหน่วยบริการตามภาระผูกพันและสามารถบริการประชาชนได้ตามสิทธิประโยชน์ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
5844 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2553 - 2557 (เพิ่มเติม) | คค | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ (เพิ่มเติม) ณ เดือนมกราคม ๒๕๕๔ มีผลการดำเนินงาน ดังนี้
๑. แผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๑ รายการ วงเงินลงทุนรวม ๘๗,๕๒๙ ล้านบาท (รัฐรับภาระ ๘๔,๐๒๔ ล้านบาท รฟท. รับภาระ ๓,๕๐๕ ล้านบาท) ๒. โครงการที่จะต้องดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและจัดทำรายงาน EIA เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นรายโครงการ จำนวน ๑๐ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๘๙,๒๗๙ ล้านบาท (รัฐรับภาระ ๖๘,๓๑๐ ล้านบาท รฟท. รับภาระ ๒๐,๙๖๙ ล้านบาท) ๓. การก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ จำนวน ๑๑๒ แห่ง ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๙ ของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท วงเงินลงทุนรวม ๑๙,๔๗๕ ล้านบาท (เปลี่ยนแปลงจากเดิม จำนวน ๑๑๔ แห่ง วงเงินลงทุน ๑๙,๐๑๓ ล้านบาท) แบ่งเป็นงานของกรมทางหลวง ๘๒ แห่ง วงเงินลงทุน ๑๖,๕๕๐ ล้านบาท และงานของกรมทางหลวงชนบท ๓๐ แห่ง วงเงินลงทุน ๒,๙๒๕ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
5845 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2554 (ครั้งที่ 11) | กษ | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๑) เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลนและราคาผลปาล์มของเกษตรกร ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกมติ กนป. วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ที่ให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับการผลิตและจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์มชนิดบรรจุขวดขนาด ๐.๕ ลิตร และขนาด ๐.๒๕ ลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกไม่เกินลิตรละ ๔๗.๐๐ บาท ๑.๒ ให้ยกเลิกมติ กนป. วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ ที่ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน และสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ๔๐,๐๐๐ ตัน จากสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ในราคามาเลเซีย บวก ๒.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม และราคามาเลเซีย บวก ๓.๐๐ บาทต่อกิโลกรัม ในกรณีที่นำไปผลิตน้ำมันพืชเพื่อการบริโภค และผลิตไบโอดีเซล ตามลำดับ โดยรัฐชดเชยส่วนต่างราคาในอัตราลิตรละ ๙.๕๐ บาท บนพื้นฐานราคาน้ำมันปาล์มดิบกิโลกรัมละ ๔๔.๗๕ บาท ๑.๓ ให้คงราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันพืชปาล์มชนิดบรรจุขวดขนาด ๑ ลิตร ที่ ๔๗.๐๐ บาทต่อลิตร ต่อไปจนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๑.๔ ให้โรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ในราคากิโลกรัมละ ๓๖.๒๘ บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๔ เป็นต้นไป โดยรับซื้อผลปาล์มที่มีคุณภาพเท่านั้น พร้อมติดป้ายประกาศรับซื้อผลปาล์มน้ำมันในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ ๖.๐๐ บาท ที่อัตราน้ำมันจากผลปาล์มน้ำมันขั้นต่ำ ๑๗% หากอัตราน้ำมันจากผลปาล์มเกิน ๑๗% ให้ปรับราคารับซื้อในสัดส่วนที่สอดคล้องกัน รวมทั้งให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มมีสิทธิปฏิเสธการรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน หากเกษตรกรเก็บเกี่ยวผลปาล์มน้ำมันไม่มีคุณภาพ ๑.๕ ให้กระทรวงพลังงานกำหนดนโยบายการใช้ไบโอดีเซล B3 - B5 เพื่อดูดซับน้ำมันปาล์มส่วนเกินจากการบริโภค และใช้ในอุตสาหกรรม โดยสัดส่วนการใช้ไบโอดีเซลให้ยืดหยุ่น และปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม บนพื้นฐานของสถานการณ์ ปริมาณผลผลิต และสต็อกคงเหลือ ๑.๖ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมการลักลอบการนำเข้าน้ำมันปาล์มตามแนวชายแดน ๒. การชดเชยส่วนต่างของราคาจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์มชนิดบรรจุขวด ๑ ลิตร (๔๗.๐๐ บาทต่อลิตร) กับต้นทุนการผลิตในอัตราลิตรละ ๑.๗๙ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ให้กับโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ในจำนวน ๔๐,๐๐๐ ตันน้ำมันปาล์มดิบต่อเดือน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๔ อนุมัติให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงินรวมประมาณ ๑๖๔.๔๗ ล้านบาท นั้น เมื่อกระทรวงพาณิชย์ขอตกลงในรายละเอียดของค่าใช้จ่ายดังกล่าวกับสำนักงบประมาณแล้ว ให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. เห็นชอบให้เพิ่มเติมกรรมการใน กนป. จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๔ ที่อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมเป็นรองประธานกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าว โดยให้เพิ่มผู้อำนวยการสำนักงบประมาณและนายกสมาคมผู้ผลิตไบโอดีเซลไทยเป็นกรรมการด้วย และให้ฝ่ายเลขานุการ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) เร่งดำเนินการแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
5846 | ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ปี 2554 | นร | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตาม การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขยายการใช้อัตรา หลักเกณฑ์ วิธีการจ่ายเงิน และกรอบวงเงินการช่วยเหลือเกษตรกร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ นำมาใช้กับภัยพิบัติในจังหวัดภาคใต้ที่เกิดขึ้นขณะนี้ไปจนสิ้นสุดภัย ทั้งนี้ เฉพาะเกษตรกรรายที่ขึ้นทะเบียนไว้ก่อนเกิดภัยพิบัติ ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้กรอบวงเงินที่เหลืออยู่ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ จำนวน ๑,๖๐๕.๔๘ ล้านบาท เพื่อให้การช่วยเหลือด้านการเกษตรในครั้งนี้ ๑.๓ อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม จำนวน ๑,๖๓๒.๔๐ ล้านบาท ๒. ในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรดังกล่าวให้รวมถึงพื้นที่สวนยางพาราด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
5847 | การชุมนุมเรียกร้องของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว | พณ | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๓/๕๔ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การกำหนดมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปี ๒๕๕๓/๕๔ และการชดเชยรายได้เกษตรกรโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๒/๕๓ ช่วงวันที่ ๑ - ๗ มีนาคม ๒๕๕๓) ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ ให้ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงข้าวเปลือกและการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้แก่เกษตรกร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการให้ถูกต้องและเกษตรกรได้รับเงินชดเชยโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
5848 | แผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี พ.ศ. 2555 เพื่อประกอบการจัดทำคำของบประมาณแบบบูรณาการ | พม | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับการจัดทำคำของบประมาณแบบบูรณาการไว้ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งมีหน่วยงานจัดทำโครงการ/กิจกรรม เพื่อใช้ในการจัดทำคำของบประมาณแบบบูรณาการ รวม ๕ ประเด็น ๑๐๗ กิจกรรม/โครงการ จาก ๑๑ หน่วยงาน ในวงเงินซึ่งหน่วยงานขอจัดตั้งไว้ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นเงิน ๒๗๑,๓๗๑,๔๒๒ บาท รองรับตามประเด็นยุทธศาสตร์ของนโยบาย ยุทธศาสตร์และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่ากิจกรรม/โครงการที่หน่วยงานเสนอส่วนใหญ่เป็นโครงการฝึกอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง จึงเห็นควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณโดยคำนึงถึงความประหยัดและไม่ซ้ำซ้อนกับกิจกรรม/โครงการที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้เสนอขอจัดตั้งงบประมาณไว้แล้ว และให้ส่วนราชการให้ความร่วมมือดำเนินการตามมาตรการประหยัดในการเบิกค่าใช้จ่ายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ และจัดให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินการภายหลังที่มีการจัดการฝึกอบรมให้ความรู้แก่กลุ่มเป้าหมาย เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์วางแผนการปฏิบัติงานในภาพรวม รวมทั้งควรมีการสร้างภาคีเครือข่ายในกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวเพื่อเป็นการเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ เห็นควรให้มีการศึกษาและติดตามพัฒนาการของกระบวนการค้ามนุษย์ที่มีรูปแบบซับซ้อนยิ่งขึ้น เพื่อให้การดำเนินการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
5849 | การส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ | วท | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. เห็นชอบแนวทางการบริหารกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ในภาพรวมของประเทศ ที่มีหน่วยงานกลางทำหน้าที่ดูแลภาพรวมของการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการดำเนินกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรใช้กลไกเดิมที่มีอยู่แล้ว ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (กวทน.) โดยในช่วงระยะเวลา ๓ ปีแรก ควรให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขาธิการของ กวทน. ในด้านการบริหารจัดการอุทยานวิทยาศาสตร์ไปก่อน เพื่อมิให้เป็นภาระด้านงบประมาณและไม่ขัดต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ รวมทั้งให้มีสำนักงานส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการฯ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการกำหนดให้คณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์รับรองหรือเพิกถอนกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ เป็นการใช้อำนาจกระทบสิทธิของบุคคลอื่น และไม่อาจกระทำได้โดยการออกเป็นระเบียบตามมาตรา ๑๑ (๘) นอกจากนี้ การจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ขึ้นเป็นหน่วยงานภายในสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้อำนวยการสำนักงานฯ ไม่อาจกระทำได้โดยการออกเป็นระเบียบตามมาตรา ๑๑ (๘) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ ด้วย ๔. การจัดสรรงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยการจัดสรรงบประมาณให้แก่ส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ จะต้องจัดสรรตามภารกิจที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี โดยจำแนกเป็นแผนงาน ผลผลิต หรือโครงการต่าง ๆ ตามภารกิจที่ต้องดำเนินการ สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในระยะช่วงเปลี่ยนผ่าน จะพิจารณาจัดสรรให้ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
5850 | รายงานผลการขายเครื่องบิน Beechjet 400A ของสถาบันการบินพลเรือนและการโอนเครื่องบินให้แก่กรมการบินพลเรือน | คค | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการขายเครื่องบิน Beechjet 400A ของสถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) โดย สบพ. ได้ดำเนินการขายเครื่องบินดังกล่าวด้วยวิธีขายทอดตลาดและวิธีพิเศษ โดยกำหนดราคากลาง จำนวน ๒,๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๗๕ ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) แต่เนื่องจากมีผู้ขอซื้อเสนอราคาซื้อ จำนวน ๔๕ ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลางมาก และเครื่องบินดังกล่าวมีสมรรถนะและความปลอดภัยสูง รวมทั้งยังมีอายุการใช้งานคงเหลืออีกประมาณ ๑๐ ปี จึงเห็นควรโอนเครื่องบินดังกล่าวให้กรมการบินพลเรือนเพื่อไว้ใช้ในราชการจะเกิดประโยชน์มากกว่า ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้ระงับการโอนเครื่องบิน Beechjet 400A ให้แก่กรมการบินพลเรือน และให้ สบพ. เร่งรัดดำเนินการขายเครื่องบินดังกล่าว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๒ (เรื่อง ขออนุมัติขายเครื่องบิน Beechjet 400A และขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการชำระหนี้ส่วนต่างจากการขายเครื่องบิน ของสถาบันการบินพลเรือน) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามข้อกฎหมาย และระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเงินที่ได้รับจากการขายส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ส่วนการจัดสรรงบประมาณส่วนที่เหลือ จำนวน ๒๒.๐๘๓๖ ล้านบาท เพื่อชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยจากการซื้อขายเครื่องบิน Beechjet 400A ให้สถาบันการบินพลเรือนเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามความจำเป็นต่อไป ๓. ในกรณีที่กรมการบินพลเรือนมีความจำเป็นต้องจัดหาเครื่องบินเพิ่มใหม่ เพื่อใช้ในการปฏิบัติภารกิจของหน่วยงานก็ให้ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
5851 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่องสถานที่สร้างสนามแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลก พ.ศ. 2555 (FIFA FUTSAL WORLD CUP 2012) (การแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดสร้างโครงสร้างพื้นฐานฯ) | มท | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) รับไปพิจารณาดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดสร้างโครงสร้างพื้นฐานสนามแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลก พ.ศ. ๒๕๕๕ (FIFA FUTSAL WORLD CUP 2012) ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยมีองค์ประกอบตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ที่มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการฯ โดยมีองค์ประกอบจากผู้แทนของทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ และให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การกีฬาแห่งประเทศไทย) และสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ในการแต่งตั้งกรรมการควรคำนึงถึงความเหมาะสมของตำแหน่งของผู้ที่จะแต่งตั้งเป็นกรรมการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
5852 | เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมขอปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบ | กษ | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ปรับราคารับซื้อน้ำนมดิบเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ ๑.๐๐ บาท (จากเดิมราคา ๑๗.๐๐ บาท/กิโลกรัม เพิ่มเป็น ๑๘.๐๐ บาท/กิโลกรัม) ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่กระทรวงพาณิชย์โดยคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการอนุญาตให้ผู้ประกอบการนมพาณิชย์ปรับราคาขายผลิตภัณฑ์นมในตลาดนมพาณิชย์ได้ ๑.๒. ให้มีการกำหนดราคากลางใหม่จากราคากลางตามมติคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒ โดยให้มีผลตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๒.๑ นมพาสเจอร์ไรส์ ราคากลางเดิม ๖.๒๖ บาท/ถุง เป็นราคากลางใหม่ ๖.๓๗ บาท/ถุง ๑.๒.๒ นม ยู.เอช.ที. ชนิดกล่อง จากราคากลางเดิม ๗.๕๕ บาท/กล่อง เป็นราคากลางใหม่ ๗.๖๑ บาท/กล่อง และชนิดซอง จากราคากลางเดิม ๗.๔๕ บาท/ซอง เป็นราคากลางใหม่ ๗.๕๑ บาท/ซอง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพัฒนาวิธีการเลี้ยง สูตรอาหาร ปรับปรุงพันธุ์โค และสนับสนุนการทดแทนแม่โคที่มีอายุมากเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำนมโคให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโค ซึ่งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจการเลี้ยงโคนมและเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนมากกว่าการปรับขึ้นราคาน้ำนมดิบอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
5853 | การโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 และ2553 ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี | นร | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และ พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น โดยให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๑ เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการกันเงินงบประมาณไว้เบิกเหลื่อมปี และการขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน เช่นเดียวกับที่เคยถือปฏิบัติตลอดมา โดยการพิจารณาอนุมัติการโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณที่กันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีให้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของสำนักงบประมาณตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้หน่วยงานสามารถขยายเวลาเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และ พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ได้ต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
5854 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นนโยบายงบประมาณขาดดุลจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท รายได้สุทธิจำนวน ๑,๙๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๑.๒ แนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๒.๑ ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ภายในกรอบวงเงินของแต่ละกระทรวงหรือวงเงินของหน่วยงานที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๑.๒.๒ งบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้สำหรับรายจ่ายผูกพันตามสัญญา ตามมติคณะรัฐมนตรี ตามกฎหมาย รายจ่ายชำระหนี้ เงินอุดหนุนที่จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนรายจ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายบุคลากรและค่าสาธารณูปโภค ไม่ควรเปลี่ยนแปลงรายการไปจัดสรรให้รายการอื่น ๆ ๑.๒.๓ เพื่อรักษาสัดส่วนรายจ่ายลงทุนของแต่ละกระทรวงให้อยู่ในระดับที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้ในภาพรวม จึงไม่ควรเปลี่ยนแปลงรายจ่ายลงทุนไปเพิ่มในรายจ่ายประจำ ๑.๒.๔ การปรับปรุงงบประมาณไม่ควรเพิ่มรายการใหม่ที่มีภาระผูกพันงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ๑.๓ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น นำเสนอการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามแนวทางข้อ ๑.๒ เสนอนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อให้ความเห็นชอบและส่งผลการพิจารณาข้อเสนอการปรับปรุงให้สำนักงบประมาณภายในวันอังคารที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๔ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันอังคารที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ ๒. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอขอแก้ไขข้อความในหนังสือสำนักงบประมาณ ลับ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๖/๑๑๐๗๖ ลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔ ดังนี้ ๒.๑ หน้า ๑ จากเดิม “ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ ...” เป็น “ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ...” ๒.๒ หน้า ๑๐ จากเดิม “(๑) ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ...” เป็น “(๑) ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ...”
|
|||||||||||||||||||||||||||
5855 | ขอทบทวนค่าใช้จ่ายดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร ปี 2553/54 และงบประมาณดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2553/54 รอบที่ 2 | กค | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการค่าใช้จ่ายดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๓/๕๔ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยคำนวณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเหมาจ่ายต่อเกษตรกร ๑ ราย ในอัตรารายละ ๓๑๕ บาท กรณีเกษตรกรได้สิทธิชดเชยรายได้ และในอัตรารายละ ๒๘๙ บาท กรณีเกษตรกรไม่ได้สิทธิชดเชยรายได้ ส่วนโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง ปีการผลิต ๒๕๕๓/๕๔ ของ ธ.ก.ส. ให้คำนวณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการในอัตราเดิม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๓/๕๔) และวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๓/๕๔) ที่กำหนดให้ใช้อัตราเหมาจ่าย ๒๐๐ บาท ต่อเกษตรกร ๑ ราย ๒. เห็นชอบให้ใช้เงินทุนของ ธ.ก.ส. เพื่อจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับเกณฑ์กลางอ้างอิงให้แก่เกษตรกรตามสัญญาประกันรายได้เกษตรกรสำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๓/๕๔ รอบที่ ๒ ระหว่างที่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกรที่จัดทำสัญญาประกันรายได้และใช้สิทธิตามสัญญาประกันรายได้ โดย ธ.ก.ส. คิดต้นทุนเงินเพื่อขอเบิกชดเชยจากรัฐบาลในร้อยละ ๒.๕๑๒๕ ต่อปี แทนอัตรา FDR + Spread ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้ ธ.ก.ส. จัดทำรายละเอียดของงบประมาณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
5856 | การขอจัดตั้ง "สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย" (Thailand Institute of Justice - TIJ) | ยธ | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้จัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) เพื่อรับผิดชอบงานตามนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓) ๒. อนุมัติในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ จัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นองค์การมหาชน ตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นการล่วงหน้าก่อน และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับเรื่องนี้พร้อมกับร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเสนอคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการพิจารณาตามขั้นตอนโดยด่วน และแจ้งผลให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
5857 | การจ่ายค่าตอบแทนพิเศษสำหรับพนักงานสถาบันการเงินเฉพาะกิจจากการดำเนินงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2552 และปี 2553 | กค | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ยกเว้นการถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ที่กำหนดให้รัฐวิสาหกิจจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษตามระบบประเมินผลซึ่งครอบคลุมการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจอยู่แล้วเท่านั้น ๒. อนุมัติให้จ่ายเงินตอบแทนพิเศษให้พนักงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ๕ แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำนวน ๑ เท่าของเงินเดือน โดยให้จ่ายจากเงินงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่ง โดยให้จ่ายในคราวเดียว
|
|||||||||||||||||||||||||||
5858 | การจัดซื้ออาหาร เครื่องบริโภค และวัสดุเพื่อการหุงหาอาหาร กระทรวงยุติธรรม | ยธ | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาการยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๒ (เรื่อง ขอให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการจัดระบบการจัดซื้ออาหาร เครื่องบริโภค และวัสดุเพื่อการหุงหาอาหารในส่วนของการจัดซื้ออาหารสด (เนื้อสัตว์ และพืช) และวัสดุปรุงอาหารต่อไป เป็นเวลา ๖ เดือน นับตั้งแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และในระหว่างระยะเวลาดังกล่าวให้ทดลองดำเนินการจัดซื้อรายการเนื้อสัตว์ประเภทหมูและไก่ เป็นโครงการนำร่องโดยแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ ๑ จังหวัดกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ กลุ่มที่ ๒ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี สระบุรี อ่างทอง และสุพรรณบุรี กลุ่มที่ ๓ จังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ตราด ปราจีนบุรี นครนายก และสระแก้ว เป็นเวลา ๓ เดือน นับตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ โดยในระหว่างระยะเวลาดังกล่าวให้ใช้วิธีการจัดซื้อที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันและตามที่ได้รับยกเว้นอยู่ต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
5859 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2553 | ทส | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบต่อ (ร่าง) กรอบแนวคิดและทิศทางของแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) นำเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำประเด็นยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ภายใต้ (ร่าง) กรอบแนวคิดฯ บรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ๒. เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์การจัดการสิ่งแวดล้อมภูมิทัศน์ ตามที่คณะอนุกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านมลทัศน์เสนอ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จัดทำแผนปฏิบัติการในการจัดการสิ่งแวดล้อมภูมิทัศน์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแปลงยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติ ๓. เห็นชอบการทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดโครงการของหน่วยงานของรัฐที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าเพิ่มเติม และกลไกการดำเนินงานด้านการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการต่าง ๆ ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ สผ. ตรวจสอบการกำหนดประเภทและขนาดโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติมให้สอดคล้องกับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๒ จำนว ๓๔ ประเภท ก่อนนำความเห็นของคณะกรรมการฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน เกี่ยวกับการควบคุมความสูงของอาคารบริเวณรอบรัฐสภาแห่งใหม่ และให้กรุงเทพมหานครประสานกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย พิจารณาดำเนินการออกประกาศกระทรวงหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นในการควบคุมความสูงของอาคารบริเวณโดยรอบรัฐสภาแห่งใหม่เป็นการเร่งด่วน รวมทั้งให้ สผ. ประสานกรุงเทพมหานครและกรมโยธาธิการและผังเมืองดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นและมติของคณะกรรมการฯ ๕. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ .. (พ.ศ. ๒๕๕๓) เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ สผ. จัดทำร่างประกาศฯ เสนอประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป ๖. เห็นชอบต่อมาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียง ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการแก้ไขปัญหามลพิษในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนเรื่องน้ำมัน Euro 4 ให้กระทรวงพลังงานพิจารณาส่งเสริมให้มีการนำมาใช้ในพื้นที่มาบตาพุดก่อนกำหนดที่บังคับใช้ตามกฎหมาย (วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕) และให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมธุรกิจพลังงานและพลังงานจังหวัดระยอง และกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดำเนินการตามมาตรการเพิ่มเติมฯ โดยให้กรมควบคุมมลพิษประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการฯ ทราบทุก ๖ เดือน รวมทั้งให้ สผ. แจ้งกระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ สผ. เพื่อเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง และรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการฯ ทราบต่อไป ๗. เห็นชอบรายงานการศึกษาทบทวนรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยรี จังหวัดอุตรดิตถ์ และให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการศึกษาทบทวนรายงานการวิเคราะห์ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ กรมชลประทานรับผิดชอบในการขอจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ๘. เห็นชอบกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๔ สายตรัง - พัทลุง ตอน บ้านนาโยงเหนือ - เขาพับผ้า (บ้านนาวง) ของกรมทางหลวง ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคม ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน โดยให้กรมทางหลวงถือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้กรมทางหลวงปฏิบัติตามมาตรการฯ เพิ่มเติมใน ๓ มาตรการ ได้แก่ การตัดต้นไม้ในเขตทางให้ดำเนินการเฉพาะเท่าที่จำเป็น โดยไม่ให้ตัดต้นไม้นอกเขตพื้นผิวจราจรที่จะก่อสร้าง กำกับดูแลในระหว่างจัดเตรียมพื้นที่และการก่อสร้างมิให้ขุดตักดินในเขตทางและบริเวณใกล้เคียงมาใช้ในการก่อสร้างและให้คงสภาพตามลักษณะภูมิประเทศเดิม และกำกับผู้รับจ้างออกแบบก่อสร้าง และ/หรือผู้ดำเนินการก่อสร้างให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด และให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลโครงการด้วย ๙. เห็นชอบรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สผ. แจ้งจังหวัดกระบี่และจังหวัดพังงาเพื่อพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมต่อไป ๑๐. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ หินอุตสาหกรรม ชนิดหินปูนเพื่อทำปูนขาว และหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ของบริษัท สหศิลาเพิ่มพูน จำกัด คำขอประทานบัตรที่ ๑๕/๒๕๕๑ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๙ ตำบลเขาวง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมถลุงหรือแต่งแร่ ทั้งนี้ ให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ และให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการสั่งอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ของบริษัทฯ โดยให้ถือว่าเป็นเงื่อนไขที่กำหนดตามกฎหมายว่าด้วยแร่ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
5860 | สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 16 (COP16) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 6 (CMP6) ณ เมืองแคนคูน สหรัฐเม็กซิโก | ทส | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๑๖ (The 16th United Nations Climate Change Conference : COP16) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๖ (The 6th Session of the Conference of the Parties serving as the meeting of the Parties to the Kyoto Protocol : CMP6) ณ เมืองแคนคูน สหรัฐเม็กซิโก ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน - ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ โดยสาระสำคัญของการประชุม COP16 ที่ประชุมเห็นชอบกับข้อตกลงที่เรียกว่า “ข้อตกลงแคนคูน” (Cancun Agreement) ซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือระยะยาวภายใต้อนุสัญญาฯ (Long Term Cooperative Action under the Convention : LCA) โดยมีการเจรจาในประเด็นการดำเนินการในอนาคตร่วมกันของประเทศสมาชิก ส่วนการเจรจาในภาพรวมภายใต้แผนปฏิบัติการบาหลี (Bali action Plan) ได้กำหนดเป้าหมายในการจำกัดการเพิ่มของอุณหภูมิของโลกไม่เกิน ๒ องศาเซลเซียส โดยให้มีการจัดตั้งกองทุน “Green Clemate Fune” เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวเพื่อรับมือจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และให้สนับสนุนการดำเนินงานด้านป่าไม้แก่ประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะการสนับสนุน REDD+ ไปพัฒนาโครงการในลักษณะสมัครใจ โดยไม่มีการผูกมัดใด ๆ จากประเทศพัฒนา นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับการจัดตั้งกระบวนการ International Consultation and Analysis (ICA) และให้มีการดำเนินการตามมาตราการ Measurement, Reporting and Verification : MRV สำหรับการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนระหว่างประเทศและภายในประเทศ ส่วนผลการประชุม CMP6 ที่ประชุมมีความเห็นพ้องให้มีข้อตกลงตามพันธกรณีรอบที่สอง โดยประเทศกำลังพัฒนายืนยันให้มีการต่ออายุพิธีสารเกียวโตหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๒ และให้มีการลดก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ ๒๕ - ๔๐ ภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ สำหรับปีฐานการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงใช้ปี ค.ศ. ๑๙๙๐ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับเอกสารผลการประชุม COP 16 ได้ละเว้นการกล่าวอ้างถึงหลักการสำคัญ ๆ ของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะเรื่อง historical responsibility ซึ่งเป็นผลประโยชน์สำคัญของประเทศกำลังพัฒนา จึงเห็นควรติดตามประเด็นเหล่านี้อย่างใกล้ชิด และควรเร่งรัดการจัดตั้งสำนักงานประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้นอย่างเป็นทางการ และส่งเสริมการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในประเด็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และพันธกรณีที่ไทยมีกับประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อสามารถร่วมกันกำหนดท่าทีของไทยในเชิงรุกทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคีให้มากขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของประเทศไทยเพื่อให้เกิดการปรับตัวและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๓.๑ เตรียมความพร้อมในการรับมือหากประเทศไทยต้องมีการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากพันธกรณีดังกล่าว เช่น ภาคการพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร โดยให้มีการจัดทำกรอบทิศทางและแนวทางการวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศอย่างเป็นระบบ ๓.๒ ให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility study) และศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคต่าง ๆ (Nationalily Approplate Mitigation Actions : NAMAs) เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการวางแผนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๓.๓ ให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility study) ของการดำเนินโครงการ REDD+ ในประเทศไทย ๓.๔ ให้มีการใช้ประโยชน์จากกลไก The ASEAN Working Group on Climate Change : AWGCC ในการผลักดันการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับภูมิภาคให้เป็นรูปธรรม โดยให้มีการจัดประชุมคณะทำงานดังกล่าวเพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับภูมิภาค ๓.๕ เร่งรัดการจัดตั้งสำนักงานประสานการจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้นอย่างเป็นทางการภายใต้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้เป็นรูปธรรมโดยเร่งด่วน ๔. เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งสำนักงานประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้นอย่างเป็นทางการภายใต้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้เป็นรูปธรรมโดยเร่งด่วน โดยให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |