ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 295 จากทั้งหมด 567 หน้า แสดงรายการที่ 5881 - 5900 จากข้อมูลทั้งหมด 11339 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
5881 | ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูป | นร | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการคุ้มครองที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามข้อเสนอเพื่อการปฏิรูป ตามที่นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานกรรมการปฏิรูปเสนอ โดยให้ดำเนินการจัดทำเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการเกษตร ตามความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเพื่อให้เรื่องดังกล่าวมีกลไกในการปฏิบัติงานที่เกิดการยอมรับและนำไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม จึงเห็นชอบในหลักการให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่กำหนดกรอบแนวคิดและแนวทางในการดำเนินงานเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการเกษตรดังกล่าว และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาดำเนินการในรายละเอียดต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการของการจัดระบบข้อมูลที่ดินเพื่อการเกษตรทั้งประเทศให้เป็นข้อมูลสาธารณะ ตามข้อเสนอเพื่อการปฏิรูป และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งจัดทำความเห็นเกี่ยวกับการกำหนดเพดานการถือครองที่ดินให้เหมาะสม และการกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อจัดเก็บภาษีที่ดินที่ถือครองที่ดินเกินขนาดจำนวนในอัตราก้าวหน้า ตามข้อเสนอเพื่อการปฏิรูป แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป ๔. ส่วนข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปในประเด็นอื่น ๆ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) รับไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ (เรื่อง ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูป) แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5882 | ขออนุมัติอัตรากำลังพนักงานราชการ | มท | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แก้ไขข้อความในมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติอัตรากำลังพนักงานราชการ) กรณีที่เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณค่าตอบแทนพนักงานราชการไปแล้ว จำนวน ๒๗.๙ ล้านบาท โดยให้แก้ไขข้อความจากคำว่า “จัดสรร” เป็นคำว่า “เสนอขอ” ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5883 | เสนอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการติดตั้งและใช้โทรศัพท์ประจำบ้านพักของข้าราชการ | ทก | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การติดตั้งและใช้โทรศัพท์ของทางราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการติดตั้งและใช้โทรศัพท์ของทางราชการ และกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่) เฉพาะในส่วนของข้อ ๒.๓ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโทรศัพท์พื้นฐานประจำบ้านพักของทางราชการและบ้านพักส่วนตัว โดยยกเลิก (๑) และแก้ไข (๒) จาก เดิม (๒) ค่าใช้บริการให้เบิกจ่ายได้เฉพาะค่าใช้โทรศัพท์ภายในท้องถิ่น (ไม่รวมโทรศัพท์ทางไกล) เท่าที่จ่ายจริงไม่เกินเดือนละ ๑๐๐ ครั้ง รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระพร้อมกัน ส่วนที่เกิน ๑๐๐ ครั้ง หรือค่าใช้บริการเสริมพิเศษอื่น ๆ ที่ผู้ให้บริการเรียกเก็บ เช่น ค่าบริการสายเรียกซ้อน ค่าบริการอินเทอร์เน็ต ค่าบริการโทรทางไกล เป็นต้น ผู้ใช้บริการต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เป็น (๒) ให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์ประจำบ้านพักสามารถใช้อินเทอร์เน็ตและบริการอื่นที่จะมีในอนาคตได้ โดยกำหนดวงเงินการใช้โทรศัพท์แบบเหมา คือ ค่าเช่าเลขหมายและค่าใช้บริการใด ๆ ไม่เกินคนละ ๔๐๐ บาทต่อเดือน โดยไม่จำเป็นต้องจำกัดชนิดของการใช้บริการ และให้ผู้ใช้บริการรับผิดชอบค่าบริการส่วนที่เกิน ๔๐๐ บาทเอง ๒. ให้หัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ กำกับ ดูแล การอนุมัติติดตั้งโทรศัพท์ประจำบ้านพักของข้าราชการ เฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการใช้งานเท่านั้น เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณกรณีดังกล่าวเป็นไปโดยเหมาะสม และหากมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นให้ใช้จ่ายภายในวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรของแต่ละส่วนราชการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5884 | การจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐ | กค | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๒ เรื่อง การจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐ ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้จำหน่ายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังถือต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ ที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ ๑.๒.๑ หลักทรัพย์ที่ได้จากการยึดทรัพย์ หรือหลักทรัพย์ที่ได้มาโดยนิติเหตุ ๑.๒.๒ หลักทรัพย์ที่ได้รับโอนมาจากส่วนราชการอื่นเนื่องจากหมดความจำเป็นตามนโยบายของภาครัฐ ๑.๒.๓ หลักทรัพย์อื่นที่ภาครัฐไม่มีความจำเป็นต้องถือไว้เนื่องจากไม่มีผลต่อการพัฒนาประเทศ ๑.๓ ในการจำหน่ายหุ้นตามข้อ ๑.๒ เห็นสมควรมอบอำนาจให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาครัฐ และนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากเพื่อการซื้อหุ้นตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อนำเงินที่ได้ไปลงทุนในกิจกรรมต่าง ๆ ตามแผนของกระทรวงการคลังต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาวิธีการจำหน่ายหลักทรัพย์ ควรคำนึงถึงช่วงเวลาในการจำหน่ายหลักทรัพย์ และวิธีการปฏิบัติให้มีความโปร่งใส เพื่อให้ผลตอบแทนสู่ภาครัฐเกิดประโยชน์สูงสุดตามวัตถุประสงค์ รวมทั้งการจัดให้มีกระบวนการและหลักเกณฑ์มาตรฐานในการคัดเลือกหลักทรัพย์รอการจำหน่าย โดยเฉพาะในส่วนของหลักทรัพย์ได้รับโอนมาจากส่วนราชการอื่นเนื่องจากหมดความจำเป็นตามนโยบายของภาครัฐ และหลักทรัพย์อื่นที่ภาครัฐไม่มีความจำเป็นต้องถือไว้เนื่องจากไม่มีผลต่อการพัฒนาประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5885 | การรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติหลักการแผนพัฒนาเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้เต็มศักยภาพ 60 ล้านไร่ | กษ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติหลักการแผนพัฒนาเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้เต็มศักยภาพ ๖๐ ล้านไร่ สรุปได้ ดังนี้
๑. กรมชลประทานได้เสนอผลการดำเนินงานในการปรับปรุงแผนพัฒนาการเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้เต็มศักยภาพ ๖๐ ล้านไร่ ต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อทราบแล้ว เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยแผนการพัฒนาการชลประทานอย่างเต็มศักยภาพฯ ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาและบริหารจัดการน้ำ แยกเป็นมาตรการด้านการใช้สิ่งก่อสร้าง ที่เน้นการพัฒนาโครงการและการใช้น้ำในลุ่มน้ำเป็นสำคัญ ก่อนที่จะพิจารณาแนวทางการผันน้ำระหว่างลุ่มน้ำในอันดับถัดไป โดยจะเน้นเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบภาวะขาดแคลนน้ำและอุทกภัยก่อน และด้านการบริหารจัดการ เป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี การประสานงานกับภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการแหล่งกักเก็บน้ำ และโครงการชลประทานภายในลุ่มน้ำและระหว่างลุ่มน้ำ รวมทั้งการกำหนดแผนการดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำ ออกเป็น ๓ ระยะ คือ แผนระยะสั้น (ก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๕) แผนระยะกลาง (ก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐) และแผนระยะยาว (ก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป) ๒. จากแผนการพัฒนาการชลประทานอย่างเต็มศักยภาพฯ คาดว่าจะสามารถเก็บกักน้ำได้เพิ่มเติมอีกประมาณ ๒๖,๖๐๓ ล้านลูกบาศก์เมตร และมีพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้นอีกประมาณ ๓๔.๐๔ ล้านไร่ เมื่อรวมกับปริมาณน้ำเก็บกักและพื้นที่ชลประทานที่มีอยู่ในปัจจุบันจะทำให้มีแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ ๑๐๒,๙๗๓ ล้านลูกบาศก์เมตร หรือประมาณร้อยละ ๕๒ ของปริมาณน้ำท่าในประเทศ และถ้าสามารถดำเนินการได้ตามแผนจะทำให้มีพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้น ๖๒.๔ ล้านไร่ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5886 | การรวบรวมกิจกรรมที่เกี่ยวกับงานเฉลิมพระเกียรติฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2554 | นร | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้รวบรวมเกี่ยวกับโครงการและกิจกรรมที่เกี่ยวกับการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ทั้งในส่วนที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และที่จะดำเนินการ โดยมีส่วนราชการต่าง ๆ จำนวน ๑๒๕ โครงการ/กิจกรรม รวม ๗ หน่วยงาน ซึ่งคณะกรรมการฝ่ายโครงการและกิจกรรมจะดำเนินการพิจารณาตามหลักเกณฑ์และแนวทางการพิจารณาโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ต่อไป ดังนี้
๑. สำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๖ โครงการ/กิจกรรม ๒. กระทรวงกลาโหม จำนวน ๘๔ โครงการ/กิจกรรม ๓. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำนวน ๑ โครงการ/กิจกรรม ๔. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๔ โครงการ/กิจกรรม ๕. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จำนวน ๔ โครงการ/กิจกรรม ๕. กระทรวงวัฒนธรรม จำนวน ๑๔ โครงการ/กิจกรรม ๖. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๒ โครงการ/กิจกรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5887 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) | กษ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งมีผลความคืบหน้าการดำเนินการฯ ของกรมชลประทาน สรุปได้ ดังนี้
๑. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้ดำเนินโครงการวิจัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกต่อฝนสูงสุดที่อาจเป็นไปได้ของพื้นที่ภาคเหนือของประเทศ และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จะดำเนินโครงการวิจัยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศต่อปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และโครงการวิจัยการวิเคราะห์ความถี่การเกิดภัยแล้งโดยใช้ดัชนีวัดความแห้งแล้ง ๒. ดำเนินการเฝ้าติดตามสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งวางแผนบริหารจัดจราจรน้ำในลุ่มน้ำต่าง ๆ เพื่อให้พื้นที่ที่รับผลกระทบได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุด โดยกำหนดเกณฑ์การเก็บกักน้ำในอ่าง (Rule Curve) ในแต่ละช่วงเวลาไม่ให้เกิดภาวะน้ำล้นอ่างเก็บน้ำ และมีการประเมินสภาพน้ำในอ่างโดยใช้โปรแกรม Reservoit Operation Simulation เป็นการจำลองการคาดการณ์ปริมาณน้ำในอ่างล่วงหน้าเพื่อใช้กำหนดแผนการระบายน้ำ ซึ่งจะทำให้ช่วยชะลอและลดความเร็วน้ำหลากไม่ให้หลากลงมาอย่างรวดเร็วเป็นการลดปริมาณน้ำท่วมในพื้นที่ต่าง ๆ ๓. ดำเนินการติดตามประเมินผลโครงการปรับปรุงปากแม่น้ำโกลก ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลมาเลเซียในการปรับปรุงปากแม่น้ำโกลกเพื่อรักษาแนวเขตแดนของไทยและมาเลเซียให้มีเสถียรภาพ และมีแผนการศึกษาร่วมแบบจำลองชลศาสตร์ด้านการประเมินผลโครงการปรับปรุงปากแม่น้ำโกลกต่อพื้นที่บริเวณชายฝั่ง โดยมุ่งเน้นศึกษาทั้งด้านการกัดเซาะชายฝั่งและผลกระทบของการสร้างโครงการปรับปรุงปากแม่น้ำโกลกต่อพื้นที่โดยรอบในปี พ.ศ. ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5888 | ขออนุมัติหลักการแผนปฏิบัติการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของประเทศ | กก | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของประเทศ โดยสาระสำคัญของแผนปฏิบัติการฯ เป็นการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและมีศักยภาพครอบคลุมพื้นที่ ๘ กลุ่มท่องเที่ยวทั่วประเทศ จำนวน ๓๘๕ โครงการ ในระยะเวลา ๓ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวโดยการพัฒนา/ปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐาน ปรับปรุงภูมิทัศน์และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการ การพัฒนาบุคลากรในแหล่งท่องเที่ยว การดูแลรักษาแหล่งท่องเที่ยวให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานเจ้าของแหล่งท่องเที่ยวและชุมชน ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการพัฒนาและอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและประเพณีให้คงความยั่งยืน และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กรมการท่องเที่ยว) เป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินงานตามแผนโดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติมักจะอยู่ภายใต้การคุ้มครองด้วยระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หากจะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาการท่องเที่ยวให้สัมฤทธิ์ผลจำเป็นต้องมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม และการนำเรื่องการลดมลภาวะโลกร้อนมาจัดทำแผนการพัฒนาท่องเที่ยวโลกสีเขียว โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการและการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ รวมทั้งพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ โดยสร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่เกษียณอายุทั้งในประเทศและนอกประเทศให้มาเข้าร่วมกิจกรรมโดยมีการเดินทางพร้อมอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อเพิ่มฐานตลาดกลุ่มเป้าหมายจากต่างประเทศเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น และการจัดลำดับความสำคัญก่อน - หลังของประเด็นยุทธศาสตร์พัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อกระจายการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด พร้อมกับระบุบทบาทหน่วยงาน องค์กรผู้รับผิดชอบ และผู้ให้การสนับสนุนทั้งในส่วนของภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ตลอดจนกรอบวงเงินลงทุนในแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ตามความจำเป็นเร่งด่วนในระยะสั้น และวางรากฐานการพัฒนาในระยะยาวบนพื้นฐานความเป็นไปได้ นอกจากนี้ เห็นควรปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ โดยเพิ่มเติมรายละเอียดของโครงการ พื้นที่ดำเนินการ งบประมาณ หน่วยงานรับผิดชอบ และตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ ให้มีความชัดเจนเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป และให้เสนอแผนปฏิบัติการฯ ให้คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และให้หน่วยงานเร่งจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เสนอสำนักงบประมาณพิจารณาให้แล้วเสร็จทันตามปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินงานตามแผนฯ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดและวิธีการดำเนินงานตามแนวทางในแต่ละโครงการเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5889 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล [(ครั้งที่ 5) ข้อมูล ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2553)] | ศธ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล (ครั้งที่ ๕) ข้อมูล ณ วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้มอบหมายให้ศูนย์การศึกษาพิเศษร่วมมือกับโรงพยาบาลจัดศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล จำนวน ๒๙ ศูนย์การเรียน สามารถให้บริการทางการศึกษาแก่เด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลระหว่างเดือนเมษายน - กันยายน ๒๕๕๓ เฉลี่ยเดือนละประมาณ ๒,๓๐๐ คน โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ (แผนฟื้นผูเศรษฐกิจระยะที่ ๒ : ๒๕๕๓) แผนงานยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ทั้งระบบให้ทันสมัย โครงการพัฒนาครูทั้งระบบ เฉพาะค่าตอบแทนผู้ปฏิบัติงานให้ราชการ จำนวน ๗,๙๐๓,๔๗๖ บาท ส่วนงบประมาณการอบรมสัมมนาครูอัตราจ้างที่ทำหน้าที่สอนที่โรงพยาบาล/บุคลากร นิเทศ กำกับ ติดตาม ประเมินผล และสื่อการเรียนการสอน วงเงิน ๓,๒๒๖,๔๖๐ บาท ไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินโครงการนี้ต่อคณะรัฐมนตรีทุกสิ้นปีงบประมาณจนกว่าจะสิ้นสุดระยะเวลาของโครงการ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5890 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ไตรมาสที่ 1 (ตุลาคม - ธันวาคม 2553) | กค | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไตรมาสที่ ๑ (ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๓) โดยมีการเบิกจ่ายจำนวนทั้งสิ้น ๘๕๕,๔๔๕.๑๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๓.๑๐ ของวงเงินจำนวน ๒,๕๘๔,๓๓๖.๐๘ ล้านบาท ประกอบด้วย
๑. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๕๕๓,๓๒๓.๑๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๖.๗๓ สูงกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๒๐.๐๐) อยู่ร้อยละ ๖.๗๓ ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๕๒๐,๐๙๗.๐๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๐.๑๔ และรายจ่ายลงทุนจำนวน ๓๓,๒๒๖.๑๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙.๖๔ ต่ำกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๑๐.๐๐) อยู่ร้อยละ ๐.๓๖ ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖ - ๒๕๕๓ สามารถเบิกจ่ายได้ จำนวน ๔๕,๐๔๗.๕๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๕.๑๑ ของวงเงินงบประมาณเหลื่อมปี จำนวน ๑๗๙,๓๗๗.๙๐ ล้านบาท ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท มีการจัดสรร (ณ วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๓) จำนวนทั้งสิ้น ๓๓๔,๙๕๘.๑๘ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๕๗,๐๗๔.๔๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๖.๗๕
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5891 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของนายนิคม สังฆรักษ์ (นายนิธิรักษ์ สังฆรักษ์ ผู้สืบสันดานของนายนิคม สังฆรักษ์) ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช | อก | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของนายนิคม สังฆรักษ์ (นายนิธิรักษ์ สังฆรักษ์ ผู้สืบสันดานของนายนิคม สังฆรักษ์) ตามคำขอที่ ๖/๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้ความสำคัญกับมาตรการรักษาคุณภาพน้ำอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพน้ำท่าในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ที่ทำเหมืองแร่ รวมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ เป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรและกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวโดยเคร่งครัด และข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้นที่ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือสุขอนามัยของประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนหรือกระบวนการตรวจสอบ กำกับดูแลเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมจากการที่ผู้ขอประทานบัตรรายงานส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และในการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าวจะต้องแจ้งให้ อปท. เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้นที่ซึ่งอาจมีผลกระทบได้ทราบว่ามีกองทุนสุขภาพอนามัยในช่วงการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมเพื่อประกันความเสี่ยงสุขภาพของประชาชนในพื้นที่หรือบริเวณใกล้เคียงและแสดงผลการดำเนินงานกองทุนให้ อปท. ทราบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5892 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการสนับสนุนสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางเพิ่มมูลค่าเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำ ตามมติคณะรัฐมนตรี | กษ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ชะลอเรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการสนับสนุนสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางเพิ่มมูลค่าเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำ ตามมติคณะรัฐมนตรี ไว้ก่อน เนื่องจากปัจจุบันราคายางมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งรัดร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ซึ่งมีแนวทางจัดสรรเงินกองทุนพัฒนายางพาราจากการจัดเก็บเงินสงเคราะห์ (cess) เพื่อสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางและผู้ประกอบกิจการยางทั้งด้านวิชาการ การวิจัย การเงิน การผลิต การแปรรูป การตลาด และการรักษาเสถียรภาพราคายาง รวมถึงกิจการอื่นที่เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางได้อย่างครบวงจร โดยมิจำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินจากภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5893 | ขอแก้ไขข้อความการระบุกลุ่มเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน (การแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิในที่ดินทำกินของกลุ่มเครือข่ายสหกรณ์นิคมผู้เช่า 13 นิคมสหกรณ์) | ทส | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบการขอแก้ไขข้อความการระบุกลุ่มเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน (การแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิในที่ดินทำกินของกลุ่มเครือข่ายสหกรณ์นิคมผู้เช่า ๑๓ นิคมสหกรณ์) ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๔ ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย คือ “สมาชิกผู้เช่าที่ดินของกลุ่มเครือข่ายสหกรณ์นิคมผู้เช่า” เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เรียกร้องการแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิในที่ดินทำกินของกลุ่มเครือข่ายสหกรณ์นิคมผู้เช่า ๑๓ นิคมสหกรณ์ ต่อเนื่องมาโดยตลอด และสอดคล้องกับการดำเนินการของคณะกรรมการศึกษาแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิในที่ดินทำกินของกลุ่มเครือข่ายสหกรณ์นิคมผู้เช่า ๑๓ นิคมสหกรณ์ อีกทั้งการพิจารณาให้สิทธิจะได้เฉพาะสมาชิกนิคมสหกรณ์การเช่าที่ดินตามข้อมูลบัญชีรายชื่อสมาชิกนิคมสหกรณ์การเช่าที่ดินของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมสหกรณ์) เท่านั้น ๑.๒ ขอขยายระยะเวลาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๔ ที่มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการศึกษาแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิฯ ดำเนินการสำรวจและจัดทำข้อมูลรายละเอียดในด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนสิ้นเดือนกุมภาพัน์ ๒๕๕๔ ออกไปอีก ๑ เดือน ๒. ทั้งนี้ ยังให้คงข้อความการระบุกลุ่มเป้าหมาย “สมาชิกผู้เช่าที่ดินของกลุ่มเครือข่ายสหกรณ์นิคมผู้เช่า“ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๔ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5894 | โครงการโรงไฟฟ้าวังน้อย ชุดที่ 4 และโครงการโรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ 2 | พน | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการโรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ ๒ วงเงินลงทุนรวม ๒๓,๗๒๔.๕ ล้านบาท และโครงการโรงไฟฟ้าวังน้อย ชุดที่ ๔ วงเงินลงทุนรวม ๒๑,๔๗๔ ล้านบาท ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยในส่วนของโรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ ๒ ให้ดำเนินการได้เมื่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว และให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การให้ความสำคัญในการดำเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) ในพื้นที่โครงการอย่างต่อเนื่อง การสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ที่ยังไม่เห็นด้วยและมีข้อกังวลเกี่ยวกับการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องด้วย การใช้เครื่องมือวัดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของส่วนราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ มาดำเนินการ รวมทั้งการพิจารณาแนวทางการตรวจสอบการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความเหมาะสมในระยะต่อไป และข้อสังเกตเพิ่มเติมของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5895 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2554 | นร | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ รวม ๓ เรื่อง ได้แก่ รายงานโลจิสติกส์ของประเทศไทยประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ การเตรียมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับประเทศเพื่อนบ้าน และการศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับธุรกิจบริการจัดส่งด่วน (Express Delivery Service : EDS) ๒. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการ กบส. รวม ๒ เรื่อง ดังนี้ ๒.๑ การเตรียมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๒.๑.๑ เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของไทยเกี่ยวกับเตรียมความพร้อมของการสร้างความเชื่อมโยงกับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกเมืองทวาย โดยการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วนเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินการโครงการดังกล่าวในระดับประเทศอย่างมีเอกภาพ ยึดหลักความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือที่ดีระหว่างภาครัฐและเอกชน (Strategic Partnership) รวมทั้งพัฒนาระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ สิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้าการลงทุน และพื้นที่เศรษฐกิจ โดยในระยะเร่งด่วน มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมของด่านศุลกากรที่บ้านพุน้ำร้อนและหาข้อยุติในประเด็นเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยและสหภาพพม่าโดยเร็ว ๒.๑.๒ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจฝั่งตะวันตกกับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้คณะกรรมการ กบส. ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยเพิ่มเติมผู้แทนจากกระทรวงศึกษาธิการเข้าร่วมเป็นอนุกรรมการ ทั้งนี้ ให้คณะอนุกรรมการฯ ทำหน้าที่กำหนดกรอบทิศทาง ยุทธศาสตร์ แผนการพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ สิ่งอำนวยความสะดวก และการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ทวายกับพื้นที่อุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลตะวันออกของไทย ๒.๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ ในการพิจารณาศึกษาทบทวนรูปแบบการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามันที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพพื้นที่และปริมาณการขนส่งสินค้าที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่ ๒.๒ การศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับธุรกิจบริการจัดส่งด่วน (Express Delivery Service : EDS) ที่ประชุมมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาโครงสร้างธุรกิจ EDS และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง สภาพการแข่งขันในภาพรวม กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และประเมินผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีในสาขาบริการดังกล่าว เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดท่าทีการเจรจาและนโยบายการเปิดเสรีภาคบริการของประเทศไทยในอนาคต ทั้งนี้ ให้รายงานผลการศึกษาดังกล่าวเสนอคณะกรรมการ กบส. พิจารณาภายใน ๖ เดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5896 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากภาวะวิกฤตของประเทศไทย | รง | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากภาวะวิกฤตของประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปการเบิก - จ่ายเงินตามมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุม ดังนี้ ๑.๑ เงินช่วยเหลือผู้ประกอบการในย่านราชประสงค์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพนักงาน งบประมาณที่ได้รับจัดสรร ๓๑๖,๓๖๗,๓๓๗.๐๐ บาท เบิกจ่าย ๒๖๒,๓๔๕,๒๘๙.๖๓ บาท คงเหลือ ๕๔,๐๒๒,๐๔๗.๓๗ บาท ๑.๒ เงินช่วยเหลือลูกจ้างที่นายจ้างรักษาสภาพการจ้างไว้ งบประมาณที่ได้รับจัดสรร ๒๖,๒๖๕,๔๓๕.๐๐ บาท เบิกจ่าย ๒๒,๒๐๑,๖๒๐.๔๒ บาท คงเหลือ ๔,๐๖๓,๘๑๔.๕๘ บาท ๑.๓ เงินช่วยเหลือลูกจ้างนอกระบบประกันสังคม งบประมาณที่ได้รับจัดสรร ๘,๑๗๕,๐๐๐.๐๐ บาท เบิกจ่าย ๑,๙๖๕,๐๐๐.๐๐ บาท คงเหลือ ๖,๒๑๐,๐๐๐.๐๐ บาท ๑.๔ เงินช่วยเหลือลูกจ้างในระบบประกันสังคมที่ถูกเลิกจ้าง งบประมาณที่ได้รับจัดสรร ๘,๘๐๕,๔๗๗.๐๐ บาท ยังไม่มีการเบิกจ่าย ๑.๕ เงินช่วยเหลือลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตน (ส่งเงินสมทบไม่ครบ ๖ เดือน) งบประมาณที่ได้รับจัดสรร ๖๓๐,๐๐๐.๐๐ บาท เบิกจ่าย ๑๙๕,๐๐๐.๐๐ บาท คงเหลือ ๔๓๕,๐๐๐.๐๐ บาท ๑.๖ ลูกจ้างนอกระบบประกันสังคมที่ถูกเลิกจ้าง งบประมาณที่ได้รับจัดสรร ๒๙๒,๕๐๐.๐๐ บาท เบิกจ่าย ๙๐,๐๐๐.๐๐ บาท คงเหลือ ๒๐๒,๕๐๐.๐๐ บาท ๑.๗ เงินช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ทรัพย์สินถูกเพลิงไหม้และรักษาสภาพการจ้างพนักงานไว้ (ใช้เงินเหลือจ่ายจากข้อ ๑.๑) งบประมาณที่ได้รับจัดสรร ๑๐๖,๒๙๒,๒๘๐.๐๐ บาท เบิกจ่าย ๑,๐๗๖,๑๒๗.๐๐ บาท คงเหลือ ๑๐๕,๒๑๖,๑๕๓.๐๐ บาท ๒. ความคืบหน้าโครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ มีดังนี้ ๒.๑ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มโรงแรมและสถานประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง โดยดำเนินการฝึกอบรมตามความประสงค์ของนายจ้างโดยใช้งบประมาณปกติ ได้แก่ จัดฝึกอบรมให้กับพนักงานในกลุ่มโรงแรม จัดฝึกอบรมให้กับกลุ่มลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจ SME BANK จัดฝึกอบรมให้กับพนักงานบริษัทวงศ์ไพฑูรย์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท แพลททินั่ม ฟูดส์ เซ็นเตอร์ จำกัด และจัดฝึกอบรมให้กับผู้ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ จากสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย ๒.๒ ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๓ ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานดำเนินโครงการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะด้านภาษาให้กับผู้ประกอบอาชีพอิสระในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตามแนวทางของโครงการต้นกล้าอาชีพ ๒.๓ ที่ประชุม รศก. ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานดำเนินการพิจารณาปรับปรุงโครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ โดยใช้รูปแบบลักษณะเดียวกับโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน (โครงการต้นกล้าอาชีพ) ๒.๔ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้จัดประชุมเพื่อจัดทำกรอบโครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๓ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ โดยมีกลุ่มเป้าหมายตามโครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบที่ รศก. มีมติเห็นชอบในการประชุม รศก. ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๓ ทั้งนี้ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้แต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๓ ๒.๕ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้จัดประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบเกี่ยวกับการกำหนดพื้นที่ กลุ่มเป้าหมาย และหลักสูตรฝึกอบรมตามที่สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทยเสนอ ๓. สรุปการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมกรณีค่าเช่าและค่าบริการกลุ่มราชประสงค์ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานได้เบิกจ่ายเงินช่วยเหลือไปแล้วทั้งสิ้น ๒๕๓,๐๐๔,๓๔๒.๒๑ บทา โดยผู้ค้ารายย่อยได้รับการช่วยเหลือ ๒,๐๖๕ ราย ส่วนกรณีค่าเช่าพื้นที่ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน และ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ เห็นชอบให้กระทรวงแรงงานเบิกจ่ายเงินทดแทนให้กับธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ในวงเงินเดือนละ ๒.๕ ล้านบาท เป็นเวลา ๓ เดือน ตามที่มีการเช่าพื้นที่จริง ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานได้รับอนุมัติให้ใช้งบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ในวงเงิน ๗.๕ ล้านบาท จากสำนักงบประมาณแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5897 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี | กษ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งมีผลการดำเนินโครงการฯ ดังนี้ ๑.๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้ดำเนินงานเตรียมการเบื้องต้น ได้แก่ งานก่อสร้างถนนเข้าโครงการและถนนภายในโครงการ งานก่อสร้างอาคารที่ทำการและบ้านพักชั่วคราว และงานขยายเขตไฟฟ้าแรงสูง มีผลการดำเนินงานร้อยละ ๑๐๐ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน ๗๖,๔๔๓,๐๐๐ บาท ๑.๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีแผนเริ่มงานก่อสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำและอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดหาผู้รับจ้าง โดยกำหนดวันเสนอราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และคาดว่าเริ่มปฏิบัติงานได้ในเดือนเมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งในการดำเนินงานได้ใช้งบประมาณจากเงินงบประมาณปกติ จำนวน ๒,๖๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการนำความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง การประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชน และการศึกษาและกำหนดมาตรการลดผลกระทบจากการดำเนินโครงการและติดตามตรวจสอบอย่างจริงจังและต่อเนื่อง การจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้ได้รับผลกระทบและการจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำเพื่อป้องกันการแย่งน้ำและการทำการเกษตรจนเกินศักยภาพของน้ำต้นทุนที่โครงการฯ จะสามารถจัดหาได้ รวมทั้งการจัดทำเกณฑ์การจัดสรรน้ำต้นทุนจากอ่างเก็บน้ำที่เป็นที่ยอมรับได้จากผู้ใช้น้ำในทุกกิจกรรม ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบด้วยในการรายงานครั้งต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5898 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (กรณีอำเภอหัวหินและอำเภอปราณบุรี) | ทส | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการตามโครงการฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (กรณีอำเภอหัวหินและอำเภอปราณบุรี) สรุปได้ ดังนี้
๑. กิจกรรมตรวจสอบควบคุมเฝ้าระวังการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการเสร็จเรียบร้อย ใช้งบประมาณจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ๒. กิจกรรมการติดตาม ประเมินผล อำนวยการ และประชาสัมพันธ์ ดำเนินการเสร็จเรียบร้อย ใช้งบประมาณจำนวน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ๓. กิจกรรมจัดสร้างและวางปะการังเทียม ได้ดำเนินการก่อสร้างหล่อแท่งคอนกรีต (ปะการังเทียม) เสร็จเรียบร้อย และอยู่ในขั้นตอนการวางปะการังเทียมในพื้นที่เป้าหมาย ใช้งบประมาณจำนวน ๒๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยจ้างบริษัท แสงวิชัยวัสดุก่อสร้าง จำกัด จัดวางปะการังเทียมในอำเภอหัวหิน อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ๔. กิจกรรมทำความสะอาดบ้านปลา ดำเนินการที่ท่าเทียบเรือประมงหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และที่สวนสน กลุ่มประมงเรือเล็กปากคลองปราณ อำเภอปราณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ใช้งบประมาณจำนวน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ๕. กิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ ดำเนินการที่ท่าเทียบเรือประมงหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และที่สวนสน กลุ่มประมงเรือเล็กปากคลองปราณ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ใช้งบประมาณจำนวน ๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ๖. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ พบว่าการให้ความเห็นชอบและอนุญาตตามกฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องล่าช้า โดยการอนุญาตเปลี่ยนแปลงแก้ไขที่จับสัตว์น้ำตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ และการอนุญาตก่อสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทยที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมประมง และกรมเจ้าท่า ตามลำดับ อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาต ในส่วนของกองทัพเรือได้ให้ความเห็นชอบจุดพิกัดเรียบร้อยแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5899 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน (ช่วงระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2554 - 30 เมษายน 2554) | กค | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ สรุปได้ว่า การดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนเป็นมาตรการระยะสั้นเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนผู้มีรายได้น้อยในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการพิจารณาขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการดังกล่าวเป็นคราว ๆ ไป รวมทั้งได้มีการปรับปรุงและยกเลิกมาตรการให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ หากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยฟื้นตัวและประชาชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็น่าจะสามารถยุติการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพได้ ดังนั้น การพิจารณาให้มาตรการใดเป็นการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในระยะยาวหรือเป็นมาตรการถาวร จึงไม่เป็นไปตามหลักการและเหตุผลของการดำเนินมาตรการการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน สำหรับการพิจารณาว่ามาตรการในเรื่องใดที่เป็นบริการเชิงสังคมควรปรับเข้าสู่ระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (Public Service Obligation : PSO) นั้น เนื่องจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนเป็นมาตรการระยะสั้น จึงไม่สามารถเข้าสู่ระบบ PSO ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้ ๒. อนุมัติในหลักการ ดังนี้ ๒.๑ การขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพต่อไปจนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ รวมถึงวงเงินและแหล่งเงินในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพ ๒.๒ กรณีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่าวงเงินที่ได้รับอนุมัติ เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อรัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และไม่ให้เป็นภาระของคณะรัฐมนตรี ให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มวงเงินค่าใช้จ่ายการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนในช่วงระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ - ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และแจ้งให้รัฐวิสาหกิจที่ดำเนินมาตรการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน จากที่เสนอไว้ว่า ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ เป็นตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5900 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด วังศิลา ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช | อก | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยขน์ในพื้นที่ป่าไม้) เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด วังศิลา ตามคำขอที่ ๗/๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตาสหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้ความสำคัญกับมาตรการรักษาคุณภาพน้ำอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพน้ำท่าในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ที่ทำเหมืองแร่ รวมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ เป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรและกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวโดยเคร่งครัด และข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้นที่ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือสุขอนามัยของประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนหรือกระบวนการตรวจสอบ กำกับดูแลเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมจากการที่ผู้ขอประทานบัตรรายงานส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และในการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าวจะต้องแจ้งให้ อปท. เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้นที่ซึ่งอาจมีผลกระทบได้ทราบว่ามีกองทุนสุขภาพอนามัยในช่วงการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมเพื่อประกันความเสี่ยงสุขภาพของประชาชนในพื้นที่หรือบริเวณใกล้เคียงและแสดงผลการดำเนินงานกองทุนให้ อปท. ทราบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
|