ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 299 จากทั้งหมด 567 หน้า แสดงรายการที่ 5961 - 5980 จากข้อมูลทั้งหมด 11339 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
5961 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 (ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2553) | กค | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๓ มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๒,๐๑๘,๗๕๙.๖๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๙.๑๖ ของวงเงิน จำนวน ๒,๒๖๔,๓๐๗.๘๔ ล้านบาท ประกอบด้วย
๑. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๑,๖๒๗,๘๒๑.๑๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๕.๗๕ สูงกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๙๔.๐๐) และสูงกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ร้อยละ ๓.๓๓ ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๔๔๔,๗๐๗.๒๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๘.๓๗ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๘๓,๑๑๓.๘๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๙.๑๕ สูงกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๗๕.๐๐) และสูงกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ร้อยละ ๓.๓๗ ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ - ๒๕๕๒ สามารถเบิกจ่ายได้จำนวน ๑๕๖,๕๓๗.๖๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๔.๒๗ ของวงเงินงบประมาณเหลื่อมปี จำนวน ๒๔๓,๕๔๖.๙๖ ล้านบาท ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท มีการจัดสรรแล้ว (ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓) จำนวนทั้งสิ้น ๓๒๐,๗๖๐.๘๘ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วจำนวน ๒๓๔,๔๐๐.๘๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๓.๐๘
|
||||||||||||||||||||||||
5962 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง | กษ | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒) เรื่อง โครงการการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง สรุปได้ ดังนี้
๑. ควบคุมการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังไม่ให้ทำความเสียหายกับผลผลิตและท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง ในพื้นที่ ๒๐ จังหวัด โดยประชุมชี้แจงให้ความรู้ในการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังและสนับสนุนสารเคมีในการฉีดพ่นเพื่อลดประชากรของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง และจากการดำเนินงานโครงการที่ผ่านมา สามารถควบคุมการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังได้โดยในพื้นที่ดำเนินการไม่พบการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ๒. ป้องกันการแพร่กระจายของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังไปยังแหล่งปลูกมันสำปะหลังอื่น ในพื้นที่ ๔๕ จังหวัด โดยถ่ายทอดความรู้เรื่องการแช่ท่อนพันธุ์ การผลิตแมลงช้างปีกใสควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง การตั้งศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน และจากการติดตามสถานการณ์การระบาด พบว่ามีพื้นที่ที่พบเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังกระจายอยู่ทั่วไปประมาณ ๒๓,๖๓๐ ไร่ ในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศ ประกอบกับเป็นช่วงฤดูฝนจึงไม่พบการระบาดทำความเสียหายให้กับมันสำปะหลัง ๓. สำหรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกวิธีและใช้ในกรณีที่จำเป็นเร่งด่วน นั้น กรมส่งเสริมการเกษตรได้แนะนำให้เกษตรกรใช้สารเคมีอย่างถูกต้องเฉพาะในช่วงแรกที่ต้องการลดประชากรของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง และการแช่ท่อนพันธุ์ในการป้องกันการแพร่กระจายของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ส่วนการควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังได้มีการส่งเสริมและสนับสนุนให้ใช้ศัตรูธรรมชาติคือ แมลงช้างปีกใสเป็นหลัก รวมทั้งติดตามและเฝ้าระวังการระบาดโดยมีศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนเป็นผู้ดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||
5963 | ขอพระราชทานชื่อกองทุน (กองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา) และการขอลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับเงินบริจาค | ศธ | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการจัดกิจกรรมระดมทุนรับบริจาคเพื่อเป็นทุนประเดิมการจัดตั้งกองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา และให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการขอความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์กรต่าง ๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุน เผยแพร่ รณรงค์ประชาสัมพันธ์ การดำเนินงาน รวมทั้งการระดมทุนเพื่อสมทบทุนกองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ทั้งนี้ เงินหรือทรัพย์สินที่ได้จากการระดมทุน กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานของรัฐต้องถือปฏิบัติตามข้อ ๒๐ (๑) - (๕) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒. เห็นชอบในหลักการการขอพระราชทาน ชื่อ “กองทุนครูของแผ่นดิน” สำหรับกองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ที่กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับทุนประเดิมที่มีผู้บริจาค โดยให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๔๑ (เรื่อง การขอพระราชทานนามอาคาร สิ่งปลูกสร้าง หรือสถานที่ และการก่อสร้างอาคารของทางราชการ) โดยอนุโลม ตามความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ๓. การพิจารณาเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ผู้ที่บริจาคเงินสมทบกองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ พ.ศ. ๒๕๓๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๔. ให้ผู้บริจาคเงินให้แก่กองทุนฯ ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยสามารถนำเงินที่บริจาคหักเป็นค่าใช้จ่ายลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้เป็นจำนวนสองเท่าของรายจ่ายที่จ่ายไปแต่ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของกำไรสุทธิหรือเงินได้สุทธิ แล้วแต่กรณี ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๕. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสนับสนุนการใช้มาตรการการลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับเงินบริจาคให้กับกองทุนฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
5964 | ขอยกเลิกโครงการเข้าซื้อกิจการ CDMA ในส่วนกลาง โดยการเข้าซื้อทรัพย์สินและรับทราบแนวทางการดำเนินธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่ของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) | ทก | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง โครงการเข้าซื้อกิจการ CDMA ในส่วนกลาง โดยการเข้าซื้อทรัพย์สิน) ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้เป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการยกเลิกสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ CDMA ในส่วนกลาง ได้แก่ สัญญาทำการตลาดวิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่า Digtal AMPS 800 Band A กับ บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด และสัญญาเช่าและว่าจ้างให้ปรับปรุง เปลี่ยน ซ่อมแซม บำรุง และดูแลจัดการเครื่องและอุปกรณ์วิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่า Digital AMPS 800 Band A กับ บริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) จำกัด เนื่องจากสัญญาดังกล่าวเป็นการดำเนินการภายในของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) มาตั้งแต่เริ่มต้น โดยไม่เคยนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ จึงเป็นความรับผิดชอบของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ ในการพิจารณายกเลิกสัญญา หน่วยงานเจ้าของโครงการสมควรพิจารณาถึงผลประโยชน์และความเสียหายของรัฐ โดยพิจารณาสัญญาแต่ละฉบับเป็นรายฉบับว่าสัญญาฉบับใดดำเนินการถูกต้องหรือไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
5965 | รายงานผลการติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีโดยคณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (รายงานครั้งที่ 5) | นร | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) รายงานผลการติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีโดย ปคค. (รายงานครั้งที่ ๕) โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ปคค. ได้มีการประชุมทั้งสิ้น ๒๖ ครั้ง (๒๖ มกราคม - ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓) มีเรื่องที่ ปคค. ติดตามในที่ประชุม จำนวน ๑๐๘ เรื่อง แบ่งเป็นเรื่องด้านเศรษฐกิจ จำนวน ๖๔ เรื่อง ด้านสังคม จำนวน ๒๕ เรื่อง และด้านการบริหารและอื่น ๆ จำนวน ๑๙ เรื่อง โดยมีเรื่องสำคัญที่สมควรรายงานความคืบหน้าในการดำเนินของของหน่วยงานเจ้าของเรื่อง แบ่งเป็นเรื่องที่ดำเนินการแล้วเสร็จและนำเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบแล้ว จำนวน ๑๕ เรื่อง และเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๓๑ เรื่อง
|
||||||||||||||||||||||||
5966 | ร่างพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... | วช | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ มีกฎหมายว่าด้วยสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๗) และให้ ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวง สาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุด เกี่ยวกับ การกำหนดให้มีสถาบันพัฒนาการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติ มีสถานะเป็นนิติบุคคล ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ได้มีมติเห็นชอบในหลัก การว่าไม่ควรมีข้อกำหนดในรายละเอียดให้มีการจัดตั้งส่วนราชการขึ้นใหม่ หรือกำหนดตำแหน่งไว้เป็นการตาย ตัวในกฎหมาย เพราะจะเป็นการใช้กฎหมายบังคับเพื่อให้มีการจัดตั้งส่วนราชการเพิ่ม หรือขยายจำนวนอัตรา ตำแหน่งต่าง ๆ และในการขอจัดตั้งส่วนราชการเพิ่มใหม่ยังขัดกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงานออกไปอีกระยะ หนึ่งตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ จึงเห็นควรชะลอการพิจารณาการจัดตั้งส่วน ราชการดังกล่าวไว้ก่อนนอกจากนี้ การจัดตั้งสถาบันฯ ตามร่างมาตรา ๒๑ มิได้กำหนดให้สถาบันฯ เป็นหน่วย รับงบประมาณภายใต้กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องกำหนดร่างมาตรา ๘๕ ว่า ด้วยการโอนบรรดากิจการทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณ ฯลฯ ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ไปเป็นของสถาบันฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ หากการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในเรื่อง นี้ ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีผลให้หลักการของร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ ไว้แล้วเปลี่ยนแปลงไปก็ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการดำเนิน การจัดตั้งสถาบันฯ จะส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ประกอบกับรายได้จากการดำเนินการของหน่วย งานนี้ไม่ต้องนำส่งเพื่อเป็นรายได้ของแผ่นดิน ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับการวางระบบกลไกในการประเมิน ผลและติดตามการดำเนินการของสถาบันฯ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ รวมทั้งควรมี การกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อสะท้อนถึงประสิทธิภาพ และผลลัพธ์ที่จะได้รับจากการจัดตั้ง หน่วยงานดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
5967 | การขอใช้พื้นที่ป่าชายเลนเพื่อก่อสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตาน้อย - เกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ | คค | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงชนบท) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับเรื่อง การให้ระงับการใช้พื้นที่ป่าชายเลนเป็นการเฉพาะราย เพื่อให้กรมทางหลวงชนบทใช้พื้นที่ป่าชายเลนและพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าหลังสอดและป่าควนบากันเกาะ (ป่า C) อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ประมาณ ๑๔.๑๙ ไร่ เพื่อดำเนินการก่อสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตาน้อย-เกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันนา จังหวัดกระบี่ ต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกรมพัฒนาที่ดินในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาที่ดินที่เห็นว่า หากกระทรวงคมนาคมมีความประสงค์จะขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ถาวรและป่าสงวนแห่งชาติจะต้องพิจารณาดำเนินการขอใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กรมทางหลวงชนบทปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และความเห็นชองคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและโครงการร่วมกับเอกชนด้านคมนาคม อย่างเคร่งครัดต่อไป รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการใช้ประโยชน์ที่ดิน การควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวและจำนวนยานพาหนะให้สอดคล้องกับระบบนิเวศของเกาะลันตา ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย ๓. ในส่วนของงบประมาณที่จะใช้จ่ายเพื่อการก่อสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตาน้อย-เกาะลันตาใหญ่ ตามผลการประกวดราคา ในวงเงิน ๔๑๕,๙๙๘,๐๐๐ บาท สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๔ ให้แล้ว จำนวน ๘๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๓๒๗,๙๘๘,๐๐๐ บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
5968 | การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนโครงการ Sustainable Port Development in the ASEAN Region ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย | กต | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติร่างหนังสือแลกเปลี่ยนโครงการ Sustainable Port Development in the ASEAN Region และการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้ความเห็นชอบการลงนามแทนคณะรัฐมนตรีตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๖ (กรอบการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการและ/หรือสิทธิพิเศษสำหรับโครงการความร่วมมือหรือความตกลงในการช่วยเหลือจากหน่วยงานที่มิได้เป็นนิติบุคคลหรือองค์การระหว่างประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕) โดยให้ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนตอบรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในนามของรัฐบาลไทย ๒. หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่มีผลกระทบต่อเนื้อหาสาระสำคัญของหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงในเรื่องนั้น ๆ ได้
|
||||||||||||||||||||||||
5969 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2553 | ทส | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอสรุปผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการจัดทำรายละเอียดแนวทางที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยรับข้อสังเกตและความเห็นของที่ประชุมไปประกอบการพิจารณา และนำเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติต่อไป ๒. ให้นำเรื่องการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาอุทกภัยไปพิจารณาทบทวนเพิ่มเติม ให้ครอบคลุมงานที่เพิ่มขึ้น ตามมติคณะรัฐมนตรี ๓. รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ ที่มีมติรับทราบรายงานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๓ ๔. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการติดตามและแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ ๕. รับทราบคำสั่งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่ ๖/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๓ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการจัดการประชุมฯ ๖. รับทราบคำสั่งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่ ๕/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๓ แต่งตั้งผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นอนุกรรมการฯ ในคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและโครงการอ่างเก็บน้ำโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ เพิ่มเติม ๗. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการจัดทำแผนพัฒนาการชลประทานระดับลุ่มน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้เต็มศักยภาพ ๖๐ ล้านไร่ โดยกรมชลประทานเป็นหน่วยงานกลางร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||
5970 | มาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 - 28 กุมภาพันธ์ 2554) | กค | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนออกไป ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ประกอบด้วย มาตรการลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของครัวเรือน มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง และมาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ โดยให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวต่อไปจนถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ตามหลักการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และให้รัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย กู้เงินเพื่อชดเชยรายได้จากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวในช่วงขยายระยะเวลา และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าใช้จ่ายในการกู้เงินให้กับรัฐวิสาหกิจทั้ง ๔ แห่งต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดพิจารณาความจำเป็นของการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยมาตรการในเรื่องใดที่เป็นบริการเชิงสังคมควรปรับเข้าสู่ระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (Public Service Obligation : PSO) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการพิจารณาให้เงินอุดหนุนที่ชัดเจนและเป็นระบบ และอาจพิจารณาความจำเป็นในการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจให้สามารถรองรับการอุดหนุนตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
5971 | การให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง | รง | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๘๗ ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ ๙๘ ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนดำเนินการให้สัตยาบัน ๒. สำหรับขั้นตอนการลงนามและการให้สัตยาบันอนุสัญญาดังกล่าว รวม ๒ ฉบับ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การทำความตกลงกับต่างประเทศ การทำอนุสัญญา และสนธิสัญญาต่าง ๆ) ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบอนุสัญญาฯ แล้ว ดังนี้ ๓.๑ ร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๓.๑.๑ แก้ไขเพิ่มเติมให้การจัดตั้งสำนักงานทะเบียนกลาง สำนักงานคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ และสำนักงานผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานอยู่ในกระทรวงแรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ๓.๑.๒ ยกเลิกหลักเกณฑ์การจำกัดจำนวน การแต่งตั้ง การจดทะเบียนที่ปรึกษาด้านแรงงานสัมพันธ์ และยกเลิกกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืนเป็นที่ปรึกษาด้านแรงงานสัมพันธ์โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งยกเลิกอำนาจของนายทะเบียนในการสั่งให้พ้นจากการเป็นที่ปรึกษาด้านแรงงานสัมพันธ์ ๓.๑.๓ ปรับปรุงคุณสมบัติผู้ก่อการจัดตั้งสหภาพแรงงาน เงื่อนไขการจดทะเบียนจัดตั้งสหภาพแรงงาน คุณสมบัติของการเป็นกรรมการสหภาพแรงงาน และคุณสมบัติของกรรมการสหภาพแรงงาน ๓.๑.๔ แก้ไขปรับปรุงและยกเลิกการลงโทษการกระทำที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ๓.๒ ร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๓.๒.๑ แก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับข้อตกลงสหภาพการจ้างข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันมิได้ การห้ามมิให้นายจ้างปิดงานหรือลูกจ้างนัดหยุดงาน ๓.๒.๒ แก้ไขคุณสมบัติของบุคคลในการจัดตั้งสหภาพแรงงาน การจดทะเบียนสหภาพแรงงาน การรับคำขอจดทะเบียนสหภาพแรงงาน การเลิกสหภาพแรงงาน ๓.๒.๓ แก้ไขให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจกับสหภาพแรงงานเอกชนสามารถรวมตัวเพื่อจัดตั้งสหพันธ์แรงงานได้ |
||||||||||||||||||||||||
5972 | ขอเพิกถอนพื้นที่พิเศษเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีออกจากเขตอุทยานแห่งชาติ ดอยสุเทพ - ปุย | นร | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้เพิกถอนพื้นที่พิเศษเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย บางส่วน เฉพาะตามประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (กพท.) ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ เนื้อที่ ๘๑๙-๒-๗๙ ไร่ และพื้นที่ซุ้มประตูด้านหน้าโครงการเนื้อที่ประมาณ ๑-๒-๐๖ ไร่ รวมเนื้อที่ ๘๒๑-๘๕ ไร่ ส่วนพื้นที่สระเก็บน้ำ จำนวน ๓ แห่ง ซึ่งอยู่นอกเขตประกาศ กพท. และส่งน้ำเข้าไปใช้ในโครงการเนื้อที่รวม ๑๘-๒-๑๓ ไร่ นั้น ให้คงไว้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ โดยโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารียังสามารถใช้ประโยชน์จากสระน้ำดังกล่าวได้ ทั้งนี้ ให้องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ใช้พื้นที่เท่าที่ดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว โดยไม่ให้มีการขยายพื้นที่เพิ่มเติม และให้ อพท. ยื่นคำขอต่อกรมป่าไม้เพื่อขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. ให้ อพท. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรนำเสนอแผนธุรกิจของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพื่อขอความเห็นจากคณะรัฐมนตรีพร้อมกัน ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารจัดการโครงการและการขออนุญาตใช้พื้นที่อุทยานแห่งชาติสามารถดำเนินการไปพร้อมกันจนบรรลุตามเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
5973 | เสนอขอมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้งบประมาณเพื่อจ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างผลอาสิน และซื้อที่ดินในพื้นที่โครงการด่านศุลกากรบ้านประกอบส่วนขยาย ระยะที่ 2 | กค | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการเกี่ยวกับการใช้เงินงบประมาณในการจ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสิน และจัดซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ จ่ายเงินชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสิน ให้กับผู้ครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติที่ได้ตกลงโดยมีบันทึกยินยอมรับราคาตามที่คณะทำงานตกลงราคาและจ่ายเงินชดเชยกำหนดโดยไม่มีเงื่อนไข จำนวน ๔๗ แปลง เนื้อที่ ๑๒๔-๓-๓๑ ไร่ เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๐,๓๘๒,๔๔๓ บาท สำหรับพื้นที่ส่วนที่เหลือ (๙ แปลง) ให้จ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสินโดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน ๑.๒ จัดซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ (น.ส.๓ ก) จำนวน ๑๗ แปลง เนื้อที่รวม ๒๔-๑-๒๒ ไร่ ตามราคาที่คณะทำงานตกลงราคาซื้อขายที่ดินด่านพรมแดนบ้านประกอบ ระยะที่ ๒ กำหนดในราคาตารางวาละ ๘๒๕ บาท (ไร่ละ ๓๓๐,๐๐๐ บาท) รวมกับราคาค่าสิ่งปลูกสร้างและราคาค่าต้นไม้ในที่ดินด้วย ๑.๓ ในระหว่างรอขั้นตอนดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมส่งมอบพื้นที่ให้กรมศุลกากร อนุมัติให้กรมศุลกากรร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลาและสำนักงานจังหวัดสงขลาร่วมกันจ่ายเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการไปก่อน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยให้กระทรวงการคลังและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในประเด็นข้อกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยไว้ แต่ในกรณีที่รัฐเห็นสมควรให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องไร้ที่ทำกิน คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับการจ่ายเงินช่วยเหลือได้ ส่วนกรณีที่รัฐประสงค์จะซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ รัฐต้องคำนึงถึงสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ กรณีเจ้าของที่ดินตกลงซื้อขายที่ดินย่อมตกอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ในการดำเนินกิจการของรัฐอันเป็นประโยชน์สาธารณะ แม้เจ้าของที่ดินไม่ยินยอมในการตกลงซื้อขาย รัฐสามารถใช้อำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ของเอกชน แต่รัฐต้องชดใช้ค่าทดแทนที่เป็นธรรมให้แก่ผู้ถูกเวนคืนนั้นด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการปรับปรุงสภาพถนนบริเวณโครงการด่านศุลกากรบ้านประกอบส่วนขยาย ระยะที่ ๒ ตามแผนงานปรับปรุงด่านศุลกากรชายแดนไทย-มาเลเซีย ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อรองรับการขยายตัวด้านการเดินทางและขนส่งสินค้าในสายทางดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาการจ่ายเงินชดเชยหรือเงินช่วยเหลือสิ่งปลูกสร้าง ผลอาสิน และซื้อที่ดินในพื้นที่สำหรับโครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
5974 | การให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตของประเทศไทย | ปช | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ เรื่อง การให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตของประเทศไทย โดยเร่งรัดกระบวนการให้สัตยาบันอนุสัญญาฯ มิต้องรอให้ร่างพระราชบัญญัติ รวม ๓ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. ๒๕๓๕ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับก่อน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้สัตยาบันอนุสัญญาฯ โดยระบุข้อสงวน (reservation) ไว้ในสัตยาบันสารว่า “In accordance with Paragraph 3 of Article 66 of the convention, Thailand dose not consider itself bound by Paragraph 2 of the same Article” มิต้องรอให้ร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๓ ฉบับ มีผลใช้บังคับก่อน |
||||||||||||||||||||||||
5975 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 เรื่อง การทำสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการ เกี่ยวกับการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน) โดยสรุปคือ ให้จำกัดประเภทของข้อพิพาทที่ควรหรือไม่ควรใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท เช่น ข้อพิพาททางปกครอง ขนาดของโครงการ แหล่งเงินของโครงการ เป็นต้น ซึ่งอาจเกิดปัญหาในการตีความในทางปฏิบัติตามมาได้ และเปิดกว้างให้สัญญาระหว่างรัฐและเอกชนสามารถใช้วิธีอนุญาโตตุลาการได้ แต่หากสัญญาทางปกครองหรือสัญญาสัมปทานใดที่รัฐเห็นว่าจะกระทบต่อผลประโยชน์สาธารณะหรือความมั่นคงของประเทศแล้ว อาจพิจารณาสงวนสิทธิ์ในการไม่ใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในสัญญาโดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติเป็นกรณีไป ซึ่งจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ของประเทศและสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยร่วมกับกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรด้านกฎหมายของหน่วยงานต่าง ๆ และการพัฒนาระบบการบริหารจัดการสัญญาที่มีประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ในส่วนของการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ [เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] ที่ให้กระทรวงยุติธรรมรับไปพิจารณาหาแนวทางการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดจากการทำสัญญา การบริหารสัญญาและการตั้งอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทของสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน ๒ เดือน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
5976 | ขออนุมัติหลักเกณฑ์การกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักเกณฑ์ในการกำหนดสถานะบุคคลต่อกลุ่มเป้าหมาย ๔ ประเภท ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ได้แก่ ๑.๑ ประเภทที่อพยพเข้ามา และอาศัยอยู่มานาน เพื่อใช้ทดแทนหลักเกณฑ์การกำหนดสถานะบุคคลเป็นรายกลุ่ม จำนวน ๑๓ กลุ่ม ตามมติคณะรัฐมนตรีเดิม และใช้สำหรับกลุ่มที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ชั่วคราว จำนวน ๕ กลุ่ม ยกเว้นชาวมอร์แกนที่ประสบภัยสึนามิที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๐ เรื่อง แนวทางและหลักเกณฑ์การกำหนดสถานะให้ชาวมอร์แกน ซึ่งยังคงใช้หลักเกณฑ์เดิมเนื่องจากเป็นการช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ ๑.๒ ประเภทกลุ่มเด็กและบุคคลที่กำลังเรียนอยู่ในสถานศึกษาและจบการศึกษาแล้วแต่ไม่มีสถานะที่ถูกต้องตามกฎหมาย ๑.๓ ประเภทคนไร้รากเหง้า ๑.๔ ประเภทบุคคลที่มีคุณประโยชน์แก่ประเทศ ๒. อนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดสถานะให้กับชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ รวม ๑๓ กลุ่ม จำนวน ๑๗ มติ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๓. มอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับไปจัดทำข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวจะได้รับ เช่น ที่ทำกิน การศึกษา การรักษาพยาบาล เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นต้น รวมทั้งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
5977 | การบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงในยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายร่วมกันและการจัดทำตัวชี้วัดร่วม (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงในยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายร่วมกัน และ การจัดทำตัวชี้วัดร่วม (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันในยุทธศาสตร์สำคัญด้านต่าง ๆ ที่ สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ประเมินผลและศึกษาไว้แล้วในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ รวมทั้งยุทธศาสตร์ที่ดำเนินการตาม มติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีการดำเนินการต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๙ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธ ศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ยุทธศาสตร์ความมั่นคงชายแดนภาคใต้ ยุทธศาสตร์การป้องกันและ บรรเทาอุบัติภัยทางถนน ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม (คุณภาพน้ำ) ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม (คุณภาพอากาศและ หมอกควัน) ยุทธศาสตร์ข้าวไทย ยุทธศาสตร์พลังงานผสม ยุทธศาสตร์เอดส์ และยุทธศาสตร์การปรับปรุงบริการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศ (ตามรายงานผลการวิจัย เรื่อง Doing Business ของ ธนาคารโลก) โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในยุทธศาสตร์ต่าง ๆ นำยุทธศาสตร์ไปดำเนินการให้เกิดผลร่วมกัน มีการกำหนดตัวชี้วัดและประเมินผลสำเร็จร่วมกัน ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบร่วมกันในยุทธศาสตร์สำคัญอื่น ๆ ที่มีผลกระทบสูงที่ สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ อีกจำนวน ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำ ยุทธศาสตร์การ บริหารจัดการการท่องเที่ยวและบริการ ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ยุทธศาสตร์การกระจาย อำนาจ ยุทธศาสตร์การบูรณาการความร่วมมือในการส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในประชาคมอาเซียน และ ยุทธศาสตร์เยาวชนไทย โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดยุทธศาสตร์ กำหนดเป้าหมายความ สำเร็จและตัวชี้วัดร่วมกัน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๓ ให้รัฐมนตรีและปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์สำคัญต่าง ๆ ประชุมร่วม กับคณะกรรมการเจรจาข้อตกลงและประเมินผลเพื่อบูรณาการระหว่างกระทรวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการและส่วนราชการในสังกัดกระทรวงนำร่องที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธาน ก.พ.ร. เพื่อบูรณาการ การทำงานระหว่างกระทรวงในยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายร่วมกัน และกำหนดตัวชี้วัดในระดับกระทรวง ประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนัก งานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) และสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ ในภาพรวมที่เห็นควรให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นเจ้าภาพหลักในการหารือรายละเอียดยุทธศาสตร์ ตัวชี้วัด ร่วม รวมทั้งกำหนดแนวทาง/มาตรการ และเกณฑ์การประเมินผลของตัวชี้วัดร่วม เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง กับยุทธศาสตร์ต่าง ๆ สามารถดำเนินการตามยุทธศาสตร์ได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของแนวทางดังกล่าว และเห็น ควรมีหน่วยงานหรือกลไกหลัก เช่น คณะกรรมการระดับชาติทำหน้าที่กำกับ ดูแล และประเมินผลในภาพรวมของ ตัวชี้วัดร่วม (Joint KPIs) ของแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อให้การบูรณาการการทำงานของส่วนราชการต่าง ๆ สามารถ ดำเนินการไปได้ในทิศทางที่สอดคล้องเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์กับเป้าหมายในภาพรวมอย่างแท้จริง ไป พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
5978 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 เรื่อง การทำสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการ เกี่ยวกับการ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน) โดยสรุป คือ ให้จำกัดประเภทของข้อพิพาทที่ควร หรือไม่ควรใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท เช่น ข้อพิพาท ทางปกครอง ขนาดของโครงการ แหล่งเงินของโครงการ เป็นต้น ซึ่งอาจเกิดปัญหาในการตีความในทางปฏิบัติ ตามมาได้ และเปิดกว้างให้สัญญาระหว่างรัฐและเอกชนสามารถใช้วิธีอนุญาโตตุลาการได้ แต่หากสัญญาทาง ปกครองหรือสัญญาสัมปทานใดที่รัฐเห็นว่าจะกระทบต่อผลประโยชน์สาธารณะหรือความมั่นคงของประเทศแล้ว อาจพิจารณาสงวนสิทธิ์ในการไม่ใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในสัญญา โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติเป็นกรณีไป ซึ่งจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยร่วมกับกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเสริมสร้างขีดความ สามารถของบุคลากรด้านกฎหมายของหน่วยงานต่าง ๆ และการพัฒนาระบบการบริหารจัดการสัญญาที่มี ประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ในส่วนของการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ มอบหมายให้กระทรวง ยุติธรรมเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ [เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติอนุ ญาโตตุลาการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] ที่ให้กระทรวงยุติธรรมรับไปพิจารณาหาแนวทางการปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยอนุญาโตตุลาการและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดจากการทำสัญญา การบริหาร สัญญาและการตั้งอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทของสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน ให้แล้ว เสร็จโดยเร็วภายใน ๒ เดือน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
5979 | ผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ครั้งที่ 9/2553) | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รายงานสรุปผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ครั้งที่ ๙/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นในการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ตามผลการศึกษาของคณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ (อทภ.) โดยให้ อทภ. รับข้อสังเกตของประธาน คชอ. เกี่ยวกับแนวทางการป้องกันการทุจริตในการช่วยเหลือครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท เช่น การสวมสิทธิ์ และการจ่ายเงินชดเชยด้านการเกษตร เป็นต้น โดยให้ อทภ. ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดขั้นตอนแนวทางการรับรอง ตรวจสอบ และการรับรองความเสียหาย รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือที่ชัดเจน และจัดทำประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นบังคับใช้โดยเร็วต่อไป ๒. ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เร่งรัดให้จังหวัดดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านที่พักอาศัยและเครื่องมือประกอบอาชีพตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ กรณีบ้านเสียหายทั้งหลังชดเชยให้หลังละ ๓๐,๐๐๐ บาท กรณีบ้านเสียหายบางส่วนชดเชยหลังละไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท และกรณีเครื่องมือประกอบอาชีพเสียหายชดเชยให้ครอบครัวละไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ๓. เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยใน ๑๖ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ฉะเชิงเทรา ชัยภูมิ ตาก นครนายก นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี เพชรบูรณ์ มหาสารคาม สระแก้ว สิงห์บุรี สุรินทร์ หนองบังลำภู และอุทัยธานี ซึ่งขอรับการช่วยเหลือเพิ่มเติมนอกเหนือกรอบจำนวนครัวเรือนของจังหวัดตามมติคณะรัฐมนตรี รวมจำนวนทั้งสิ้น ๔๖,๔๙๔ ครัวเรือน โดยให้ ปภ. ประสานกับธนาคารออมสินดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ สำหรับกรณีมีผู้ประสบภัยได้ร้องขอสิทธิเพิ่มเติมเนื่องจากตกสำรวจ ให้หน่วยงานในพื้นที่ส่งเรื่องให้ ปภ. ภายในวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ส่วนกรณีประชาชนที่อยู่ในบริเวณที่ประสบอุทกภัย แม้ที่พักอาศัยจะไม่ถูกน้ำท่วมเนื่องจากอยู่ในที่สูง แต่ได้รับผลกระทบไม่สามารถเดินทางไปประกอบอาชีพได้ ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรี ให้หน่วยงานในพื้นที่ใช้ดุลพินิจพิจารณาเบื้องต้นว่าเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายหรือไม่ อย่างไร สมควรได้รับการช่วยเหลือเพราะเหตุใด ๔. เห็นชอบแผนการช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย ของคณะอนุกรรมการช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย คณะที่ ๑ พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะที่ ๒ พื้นที่ภาคใต้ และคณะที่ ๓ พื้นที่ภาคกลาง โดยให้คณะอนุกรรมการฯ ทั้ง ๓ คณะ รับข้อสังเกตของประธาน คชอ. ที่เห็นว่าการดำเนินกิจกรรมฟื้นฟูควรดำเนินการให้แล้วเสร็จทุกจังหวัดภายในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ โดยการช่วยเหลือจะต้องดำเนินการให้ตรงจุดที่เกิดความเสียหาย และครบถ้วนทุกมิติ จุดใดที่ได้รับความเสียหายมาก งบประมาณในขณะนี้ไม่เพียงพอที่จะดำเนินการ ให้จังหวัดเสนอเรื่องต่อ คชอ. เพื่อพิจารณาแนวทางช่วยเหลือต่อไป ๕. เห็นชอบการปรับเวลาการปฏิบัติงานของศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย เป็น วันปฏิบัติราชการ ระหว่างเวลา ๐๗.๓๐-๒๐.๐๐ น. แต่สามารถติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๖. ให้กรมชลประทานและ ปภ. เข้าไปดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ตำบลท่าช้าง อำเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี กรณีแพและเครื่องสูบน้ำที่ใช้ในการทำการเกษตรได้รับความเสียหายจากกรณีน้ำในแม่น้ำมูลล้นตลิ่งไม่สามารถเปิดใช้งานได้
|
||||||||||||||||||||||||
5980 | รายงานผลการติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการติดตามและเร่งรัดการดำเนิน งานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๒/๕๓ รอบที่ ๒ กรณีผลการดำเนินการตรวจสอบข้อ มูลร้อยละ ๑๐๐ ในพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรที่มีผลการเปรียบเทียบข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมของสำนักงาน พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) กับข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร มีความแตกต่างกัน เกินกว่าร้อยละ ๒๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ดังนี้ ผลการแปลข้อมูลพื้นที่การ ปลูกข้าวปี ๒๕๕๒/๕๓ รอบที่ ๒ จากภาพถ่ายดาวเทียมทั้งประเทศ ซึ่งมีพื้นที่รวม ๑๔,๘๖๒,๐๓๐ ไร่ มาเปรียบ เทียบกับพื้นที่การขึ้นทะเบียน ผ่านประชาคม และออกใบรับรองแล้ว โดยข้อมูล ณ วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๓ ซึ่งมีพื้นที่รวม ๑๖,๕๘๖,๙๗๖ ไร่ พบว่ามีความแตกต่างกันจำนวน ๑,๗๒๔,๙๔๖ ไร่ คิดเป็นร้อยละ ๑๐.๓๙ ของ ผลการขึ้นทะเบียนผ่านประชาคม และออกใบรับรองแล้ว ๒. เพื่อประโยชน์ในการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว โดยการนำข้อมูลภาพ ถ่ายดาวเทียมมาใช้ในการสอบทานการขึ้นทะเบียนเกษตรกรในครั้งต่อไป มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานโครงการฯ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินการและนำสาเหตุที่เป็นปัจจัยที่ทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนมาพิจารณาในการประเมินผล ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
.....