ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 298 จากทั้งหมด 567 หน้า แสดงรายการที่ 5941 - 5960 จากข้อมูลทั้งหมด 11339 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
5941 | กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยปี 2553 เพิ่มเติม | นร | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบวงเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยเพิ่มเติม จำนวน ๕,๔๒๙.๘๒ ล้านบาท ตามข้อเสนอของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเสนอ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ สนับสนุนเงินงบกลาง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เพิ่มเติม จำนวน ๑,๘๑๒.๗๗ ล้านบาท แบ่งเป็น ด้านพืช จำนวน ๑,๕๗๗.๓๕ ล้านบาท และด้านประมง จำนวน ๒๓๕.๔๒ ล้านบาท ๑.๒ สนับสนุนเงินงบกลาง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้ จำนวน ๓,๔๐๓.๔๙ ล้านบาท ๑.๓ สนับสนุนเงินงบกลาง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพารากรณีไม่เสียสภาพสวน จำนวน ๑๓๖.๘๖ ล้านบาท ๑.๔ สนับสนุนเงินงบกลาง เพื่อช่วยเหลือเรือประมงและเครื่องมือทำการประมง จำนวน ๗๖.๗๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณตรงให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเป็นหน่วยงานรับงบประมาณเพื่อดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยต่อไป ทั้งนี้ ให้ขยายระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือภายในกรอบวงเงินข้างต้นไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เพื่อให้ครอบคลุมถึงผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ด้วย และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการตรวจสอบข้อมูลความเสียหายและประมาณการผลผลิตของเกษตรกรให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5942 | การดำเนินโครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้วยวิธีการเพิ่มบทบาทภาคเอกชน (Public Private Partnerships : PPPs) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | คค | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร โดยการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในรูปแบบ Build - Transfer - Operate กรอบวงเงินลงทุนประมาณ ๒๗,๐๒๒ ล้านบาท ประกอบด้วยประมาณการวงเงินลงทุนของภาคเอกชน จำนวน ๑๗,๔๕๘ ล้านบาท และประมาณการวงเงินลงทุนของภาครัฐโดยเป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการ จำนวน ๙,๕๖๔ ล้านบาท ตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เสนอ โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม และ กทพ. รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การพัฒนาระบบการขนส่งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลในระยะต่อไปจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนเป็นลำดับแรก เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางจากรถยนต์ส่วนบุคคลเป็นระบบขนส่งมวลชนหรือไม่ โดยหากยังคงมีนโยบายที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงข่ายถนนและทางพิเศษควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน อาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางราง และควรพิจารณาออกแบบจุดเชื่อมต่อของโครงการกับทางพิเศษศรีรัชให้สามารถรองรับปริมาณจราจรที่เดินทางเชื่อมต่อระหว่างโครงการและทางพิเศษขั้นที่ ๒ เพื่อป้องกันปัญหาการกระจุกตัวบริเวณทางเชื่อม รวมทั้งจะต้องพิจารณาในรายละเอียดอย่างรอบคอบก่อนที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ นอกจากนี้ ควรมีการศึกษาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายถนนและสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา และโครงข่ายทางพิเศษในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนเป็นลำดับแรก เพื่อให้การลงทุนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระยะต่อไปมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกันและมีประสิทธิภาพสูงสุด ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัดต่อไป ๑.๓ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่มีความประสงค์ที่จะให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการลงทุนในโครงการตามขั้นตอนพระราชบัญญัติฯ ในระยะต่อไป ดำเนินการทดสอบความสนใจของนักลงทุน (Market Sounding) เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการและกำหนดรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนที่มีความเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๔ ให้สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางร่วมกันพิจารณาแนวทางการตรวจสอบการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป โดยอาจพิจารณาปรับใช้เครื่องมือวัดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของส่วนราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ และเห็นควรให้มีการตรวจสอบการดำเนินโครงการตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมของโครงการฯ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายของโครงการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม กทพ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักบประมาณเกี่ยวกับการนำหลักเกณฑ์การวิเคราะห์ความเสี่ยงตามหลักธรรมาภิบาลมาใช้เป็นแนวทางการตรวจสอบการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ รวมทั้งการกำหนดกลไกในรูปแบบคณะกรรมการระดับชาติที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาชีพจากทุกภาคส่วน เพื่อทำหน้าที่พิจารณาตรวจสอบและกลั่นกรองความเหมาะสมและวงเงินของโครงการฯ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5943 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา ที่จังหวัดยะลา | อก | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา ที่จังหวัดยะลา ตามคำขอที่ ๑/๒๕๔๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เกี่ยวกับการนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑/๒๕๔๗ (ประทานบัตรที่ ๑๒๓๓๗/๑๕๒๗๒) ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๓/๒๕๕๒ (ประทานบัตรที่ ๓๑๕๓๐/๑๕๒๓๖) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ตั้งอยู่ที่ตำบลลิดล อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ซึ่งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านโครงการเหมืองแร่ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วไว้ ในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๒ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5944 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศรีพุธศิลาทอง ที่จังหวัดตรัง | อก | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศรีพุธศิลาทอง ตามคำขอที่ ๒/๒๕๔๙ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการระมัดระวังในเรื่องผลกระทบต่อคุณภาพน้ำ โดยปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เนื่องจากพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี จัดเป็นป่าต้นน้ำ และให้ความสำคัญกับผลกระทบในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดแก่ราษฎร หรือชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่ทำเหมืองแร่ เส้นทางขนส่งแร่ โดยเฉพาะผลกระทบต่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ มลภาวะจากฝุ่นละออง มลภาวะจากเสียง โดยให้ผู้รับอนุญาตทำเหมืองแร่ปฏับัติตามเงื่อนไขในการอนุญาต รวมทั้งมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ทางราชการกำหนดโดยเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5945 | ขอความเห็นชอบวาระแห่งชาติด้านวัคซีน | สธ | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการต่อวาระแห่งชาติด้านวัคซีน เพื่อเร่งรัดการพัฒนาวัคซีนของประเทศให้สามารถพึ่งพาตนเองได้จริง และมีโอกาสเป็นผู้นำในภูมิภาค ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยวาระแห่งชาติด้านวัคซีน ประกอบด้วย ๑.๑ ยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อให้การวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนในประเทศมีความก้าวหน้าโดยเร็ว โดยกำหนดในวาระแห่งชาติด้านวัคซีน จำนวน ๔ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ ผลักดันและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติ โดยหน่วยงานกลางด้านวัคซีนของประเทศ ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านวัคซีนภายในประเทศให้มีองค์ความรู้เพียงพอ และมีทักษะเฉพาะด้านที่เหมาะสมกับภารกิจ ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ จัดตั้งและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการวิจัยพัฒนา การผลิต และการควบคุมคุณภาพวัคซีนตั้งแต่การวิจัยพัฒนาจนถึงการใช้วัคซีน ๑.๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ สนับสนุนการวิจัยพัฒนาและการผลิตวัคซีนได้เองภายในประเทศทั้งวัคซีนพื้นฐานและวัคซีนที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการป้องกันและควบคุมโรคในภาวะปกติและเมื่อเกิดการระบาด ๑.๒ โครงการการวิจัยพัฒนาและการผลิตวัคซีนภายในประเทศเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๑๐ โครงการหลัก จำแนกเป็นโครงการระยะสั้น (๒ ปี) จำนวน ๑ โครงการ โครงการระยะกลาง (๕ ปี) จำนวน ๕ โครงการ และโครงการระยะยาว (๑๐ ปี) จำนวน ๔ โครงการ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการให้ความสำคัญเรื่องความร่วมมือกับต่างประเทศ เช่น ความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศมีการดำเนินการทางด้านการทูตเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการสาธารณสุข หากมีการจัดประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้ขอให้เชิญกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมด้วย สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการดำเนินการตามโครงการต่าง ๆ ที่บรรจุอยู่ในวาระแห่งชาติด้านวัคซีน ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบโครงการจัดทำแผนการดำเนินงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ชัดเจนในแต่ละปี และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ส่วนการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่เพื่อรองรับภารกิจที่เกี่ยวข้องกับวาระแห่งชาติด้านวัคซีน ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
5946 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2553 | กค | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ กนร. ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธาน กนร. เสนอ โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. รับทราบงบประมาณการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. พิจารณามูลค่าการลงทุนที่รัฐวิสาหกิจสามารถประหยัดงบประมาณลงทุนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และศึกษาผลประโยชน์ที่ประชาชนและภาคการผลิตจะได้รับการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เนื่องจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท และให้รัฐวิสาหกิจปรับลดงบประมาณลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงไป โดยคำนึงถึงโครงการลงทุนที่มีรายการ Import Content แฝงอยู่เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย และรายงาน กนร. พิจารณาในคราวประชุมครั้งต่อไป ๒. รับทราบการติดตามความคืบหน้าโครงการให้เอกชนเข้าร่วมงานในกิจการท่าเรือแหลมฉบัง โดยให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. พิจารณาความเหมาะสมของอัตรา Discount Rate ที่นำมาคำนวณมูลค่าปัจจุบัน (Present Value) และตรวจสอบความสอดคล้องของการขอขยายระยะเวลาก่อสร้างท่าเทียบเรือชุด D (ท่าเทียบเรือ D1 D2 และ D3) กับปริมาณ Excess Capacity ที่เหลืออยู่ รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) พิจารณาแนวทางกำหนดราคาค่าบริการที่มีความเป็นธรรมต่อการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการเอกชนในท่าเรือแหลมฉบัง และศึกษาการขยายท่าเรือแหลมฉบังให้สอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพเพื่อนำไปสู่การสร้างศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) ของท่าเรือกรุงเทพในอนาคต ตลอดจนนำเสนอผลการศึกษาความเหมาะสมและความคุ้มค่าในการลงทุนพัฒนาท่าเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ให้ กนร. พิจารณาต่อไป ๓. รับทราบการติดตามความคืบหน้าการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อพลิกพื้นฐานะทางการเงินของรัฐวิสาหกิจ โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้ ๓.๑ ให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. จัดประเภทของรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับวิธีการดำเนินธุรกิจและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนมีแนวทางกำกับดูแลที่เหมาะสม รวมทั้งติดตามและตรวจสอบประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่แตกต่างกันในแต่ละประเภทอย่างชัดเจน ๓.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการดำเนินธุรกิจของหน่วยงานทั้ง ๒ แห่ง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ แล้วนำเสนอ กนร. พิจารณาต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และการเคหะแห่งชาติพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาทางการเงิน แล้วนำเสนอ กนร. พิจารณา โดยกรณีโครงการบ้านเอื้ออาทรที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ให้ศึกษาเปรียบเทียบมูลค่าความเสียหายระหว่างดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จกับการยกเลิกสัญญาที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างทันที โดยคำนึงถึงทำเลที่ตั้งและความต้องการของตลาดประกอบการพิจารณา ส่วนโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ให้ศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบทางการเงินที่เกิดขึ้นระหว่างการจำหน่ายให้เอกชนทั้งโครงการภายใน ๑ ปี กับการดำเนินการโดยการเคหะแห่งชาติเอง สำหรับโครงการที่เป็นสินทรัพย์ระงับการพัฒนา ให้ศึกษาเปรียบเทียบผลประกอบการทางการเงินในการให้เอกชนเป็นผู้พัฒนาโครงการทั้งหมดกับการดำเนินการโดยการเคหะแห่งชาติเอง และให้พิจารณาแนวทางการจัดตั้งหน่วยธุรกิจเฉพาะเช่นเดียวกับกรณีบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company) เพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเอื้ออาทร ๔. เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๑,๒๕๑.๑๕๙ ล้านบาท และข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะที่ให้มีการปรับปรุงวงเงินอุดหนุนในขั้นตอนของการจัดทำบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับเงินอุดหนุนของภาครัฐในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน (โครงการรถเมล์ฟรี) ๕. เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน ๓๘๒.๕๓๑ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ๖. ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการกำกับให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เร่งดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการของ รฟท. และแผนการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานระบบราง รวมทั้งพิจารณาเพิ่มกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนเข้าร่วมในคณะกรรมการติดตามการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม และให้คณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานะทางการเงินของ รฟท. ดำเนินการกำกับดูแลการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการกิจการของ รฟท. ให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้ กนร. ทราบเป็นระยะ ๆ ๗. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาการปฏิรูป ขสมก. เพื่อทำหน้าที่พิจารณาปฏิรูป ขสมก. และความเชื่อมโยงกับระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพในภาพรวมในอนาคต ตลอดจนรูปแบบการดำเนินการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใหม่ใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) เป็นเชื้อเพลิง จำนวน ๔,๐๐๐ คัน ของ ขสมก. ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5947 | องค์กรร่วมไทย-มาเลเซียขอความเห็นชอบในร่างข้อตกลงว่าด้วยการร่วมกันผลิต (Unitisation Agreement, UA) ระหว่างองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJA) และบริษัท Petroliam Nasional Berhad (PETRONAS) สำหรับการเข้าร่วมกันผลิตปิโตรเลียมแหล่งภูมี (Bumi) ในแปลง A-18 ของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย และแหล่งภูมีใต้ (Bumi South) ในแปลง PM 301 ของประเทศมาเลเซีย | พน | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างข้อตกลงว่าด้วยการร่วมกันผลิตปิโตรเลียม (Bumi - Bumi South UA) ระหว่างองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย (MTJA) และบริษัท Petroliam Nasional Berhad (PETRONAS - บริษัทน้ำมันแห่งชาติมาเลเซีย) สำหรับการร่วมกันผลิตปิโตรเลียมแหล่งภูมีในแปลง A - 18 ของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย และแหล่งภูมีใต้ในแปลง PM 301 ของประเทศมาเลเซีย โดยให้แจ้งองค์กรร่วมให้สามารถลงนามได้เมื่อร่างข้อตกลงได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่กำหนดให้การทำสัญญาไม่ควรระบุในสัญญาให้มอบข้อพิพาทให้คณะอนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5948 | ผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ครั้งที่ 1/2554) | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เสนอผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๔ สรุปได้ดังนี้
๑. ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนครัวเรือนที่ ปภ. ระงับ และส่งให้จังหวัดตรวจสอบใหม่ จำนวน ๓๙,๗๕๘ ครัวเรือน ให้เสร็จเรียบร้อย หากถูกต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ให้ ปภ. ดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือตามขั้นตอนแก่ผู้ประสบภัยโดยเร็วต่อไป สำหรับกรณีที่จังหวัดขอเพิ่มเติมจำนวนครัวเรือน ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ ให้ ปภ. ตรวจสอบจำนวนครัวเรือนและรายชื่อที่ถูกต้องชัดเจน แล้วเสนอ คชอ. พิจารณาโดยด่วนต่อไป ๒. อนุมัติในหลักการให้ ปภ. จัดซื้อเครื่องสูบน้ำขนาด ๑๒ นิ้ว โดยให้ ปภ. หารือตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ และเลขานุการ คชอ. เพื่อปรับลดจำนวนเครื่องสูบน้ำที่จะจัดซื้อเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่ภาคใต้ที่กำลังประสบอุทกภัยในช่วงระยะเวลานี้ และเสนอให้ประธาน คชอ. พิจารณาโดยด่วนต่อไป ๓. คชอ. ได้พิจารณาเห็นว่า ขณะนี้เงินงบกลางประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เหลืออยู่เพียงประมาณ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท หากนำเงินงบกลางไปใช้เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยตามที่หน่วยงานต่าง ๆ เสนอมาทั้งหมดประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท จะไม่มีเงินเพียงพอไว้ใช้จ่ายสำหรับความจำเป็นในกรณีอื่น ๆ จนสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งที่คาดว่าจะมีพื้นที่ประสบภัยแล้งเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ในส่วนของแผนงาน/โครงการที่ขอใช้เงินงบกลาง จะต้องเป็นโครงการที่ไม่สามารถใช้เงินตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการฯ ได้และต้องมีความจำเป็นเร่งด่วนและพร้อมที่จะดำเนินการได้ในทันทีและแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนงาน โครงการและงบประมาณในการช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาความเสียหายจากอุทกภัยพิจารณากลั่นกรองแผนงาน/โครงการ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๔ เพื่อนำเสนอให้ คชอ. พิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการฯ รับข้อเสนอแนะของประธาน คชอ. เกี่ยวกับการตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการจ่ายเงินช่วยเหลือ ๕,๐๐๐ บาท ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และปัตตานี โดยควรแยกเป็นรายพื้นที่ ถ้าพื้นที่ใดข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมมีความชัดเจนว่าเป็นพื้นที่น้ำท่วมและผู้ประสบภัยยังไม่ได้รับความช่วยเหลือให้ดำเนินการตามขั้นตอนไปได้ก่อน แต่ในพื้นที่ใดหากมีข้อสงสัยว่าประสบภัยจริงหรือไม่ หรือมียอดจำนวนครัวเรือนผิดปกติให้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นรายพื้นที่ สำหรับกรณีวาตภัยและน้ำป่าไหลหลากซึ่งไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมได้ อาจต้องใช้วิธีการลงพื้นที่ตรวจสอบแทน รวมทั้งตรวจสอบรายชื่อผู้ลงนามรับรองให้รอบคอบ เนื่องจากในบางพื้นที่ท้องถิ่นไม่ลงนามรับรองจำนวนครัวเรือนที่ประสบอุทกภัย ไปดำเนินการต่อไป ๕. คชอ. มีมติเรื่องการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบภัย ดังนี้ ๕.๑ กรณีการขอใช้เงินงบกลางเพิ่มเติมในส่วนของความเสียหายภายหลังดำเนินการสำรวจจริงรวมทั้งประมาณการความเสียหายในภาคใต้ เนื่องจากเป็นการให้ความช่วยเหลือตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ และ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ จึงเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปทำความตกลงวงเงินกับสำนักงบประมาณ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป สำหรับการขอขยายระยะเวลาการช่วยเหลือเกษตรกร เห็นควรรอให้สิ้นสุดการเกิดภัยพิบัติก่อน และเมื่อสิ้นสุดการเกิดภัยพิบัติแล้ว หากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นว่า ควรจะต้องมีการช่วยเหลือเกษตรกรเพิ่มเติม จึงให้เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไป ๕.๒ เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่สวนยางเสียหายแต่ไม่เสียสภาพส่วน จำนวน ๑,๕๒๐,๕๘๓ ต้น ในอัตราต้นละ ๙๐ บาท วงเงินทั้งสิ้น ๑๓๖,๘๕๒,๔๗๐ บาท และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๕.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่สวนยางที่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนหรือหวงห้ามอื่น ๆ จำนวน ๑๐,๒๒๔.๕๕ ไร่ ตามที่รายงานให้ คชอ. ทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ๕.๔ ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ชี้แจงทำความเข้าใจกับเกษตรกรชาวสวนปาล์มที่เป็นสมาชิกสหกรณ์เกี่ยวกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ๕.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานนายวิทเยนทร์ มุตตามระ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรมประชาสัมพันธ์ และกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการในเรื่องของการประชาสัมพันธ์การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านการเกษตรให้สาธารณชนได้รับทราบอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5949 | การปฏิบัติการคุ้มครองประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ | รง | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานและระบบการให้บริการประชาชนของสำนักงานประกันสังคม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. อนุมัติให้ถอนร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ พ.ศ. .... (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๒) ออกจากชั้นการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้ใช้ร่างพระราชกฤษฎีกาตามข้อ ๑ แทน ๓. อนุมัติในหลักการการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน และอนุมัติในหลักการการจัดสรรกรอบอัตรากำลังเพิ่มเติมให้แก่สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน และให้สำนักงาน ก.พ.ร. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐพิจารณาโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน และกรอบอัตรากำลังเพิ่มเติมให้แก่หน่วยงานดังกล่าวให้สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลตามแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย ในการสร้างระบบความคุ้มครองและหลักประกันทางสังคมให้แก่แรงงานนอกระบบ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง นโยบายการพัฒนาระบบราชการ) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖)] และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5950 | โครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง โครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง หลักเกณฑ์การดำเนินโครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร) กำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ของเกษตรกรที่เป็นสมาชิกของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรไว้แล้วนั้น ขณะนี้ได้รับการร้องเรียนจากเกษตรกรเป็นจำนวนมากถึงความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว หากล่าช้าไปมากอาจเกิดปัญหาบานปลายนำไปสู่การชุมนุมเรียกร้องของเกษตรกรอีกได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปประสานและเร่งรัดการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓ สัปดาห์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5951 | โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงหมายเลข 2090 และเรื่อง รายงานผลกระทบและความเสียหายกรณีการตัดไม้จากการดำเนินการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2090 (ถนนธนะรัชต์) | นร | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายวิเชียร กีรตินิจกาล ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการก่อสร้างขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ ตอนแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒ ต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ระหว่าง กม. ที่ ๒+๐๐๐ - กม. ๑๐+๑๐๐ (ถนนธนะรัชต์) อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และผลกระทบจากการตัดไม้บนไหล่ทาง เสนอรายงานผลการพิจารณาความเห็นของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นักวิชาการ และผู้แทนภาคประชาชนเกี่ยวกับเรื่อง โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงหมายเลข ๒๐๙๐ และเรื่อง รายงานผลกระทบความเสียหายกรณีการตัดไม้จากการดำเนินการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ (ถนนธนะรัชต์) สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจนได้ข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปถึงผลกระทบจากการตัดไม้บนไหล่ทางของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ ตอนแยกทางหลวงหมายเลข ๒ ต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ระหว่าง กม. ที่ ๒ ถึง กม. ที่ ๑๐ (ถนนธนะรัชต์) พร้อมจัดทำข้อเสนอแนะในการฟื้นฟูพื้นที่ดังกล่าว โดยในการพิจารณาตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้ดำเนินการด้วยความรอบคอบโดยเฉพาะในประเด็นปัญหาตามมติคณะรัฐมนตรี (๘ มิถุนายน ๒๕๕๓) ว่า กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง ต้องยุติการดำเนินโครงการฯ ทั้งหมดทันทีหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้พิจารณาตรวจสอบแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่า กระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือขอหารือมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือตอบข้อหารือเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไปยังกระทรวงคมนาคมแล้ว ๒. ผู้แทนกรมทางหลวงแจ้งเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกรมทางหลวงได้ดำเนินการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ ตอนแยกทางหลวงหมายเลข ๒ ต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในช่วง กม. ๒+๐๐๐ - กม. ๑๐+๑๐๐ (ถนนธนะรัชต์) เป็นถนน ๔ ช่องจราจร พร้อมช่องทางรถจักรยานและไหล่ทางตามแผนฟื้นฟูสภาพภูมิทัศน์และระบบนิเวศน์ที่ได้พิจารณาร่วมกับกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และจังหวัดนครราชสีมา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๓ ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๓ เสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการปลูกต้นไม้ตามแผนฟื้นฟูต่อไป โดยการดำเนินโครงการฯ ของกรมทางหลวงดังกล่าวประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ได้ให้การสนับสนุนการดำเนินการของกรมทางหลวงโดยไม่มีการต่อต้านแต่อย่างใด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5952 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการควบคุมและรับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมง IUU | กษ | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการควบคุมและรับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมง IUU ครั้งที่ ๓ ในช่วงเดือนกรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๓ โดยข้อมูลผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. ออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ จำนวน ๓,๒๗๔ ฉบับ (ใบรับรองการจับสัตว์น้ำ จำนวน ๒,๔๗๕ ฉบับ และใบรับรองการจับสัตว์น้ำแบบง่าย ๗๙๙ ฉบับ) ออกเอกสารรับรองสินค้าประมงจับก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๓ จำนวน ๖,๕๑๕ ฉบับ และออกเอกสารรับรองการแปรรูปสัตว์น้ำ (สำหรับวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศ) จำนวน ๘๓๔ ฉบับ ๒. แจกจ่ายสมุดบันทึกการทำประมง (Logbook) ให้แก่เรือประมง จำนวน ๕,๖๒๓ ฉบับ ได้รับ Logbook กลับคืน จำนวน ๑๗,๖๕๓ ฉบับ และบันทึกข้อมูลลงระบบ จำนวน ๑๗,๔๘๑ ฉบับ ส่วนการออก Mobile Unit เพื่อเร่งรัดการจดทะเบียนเรือประมงและอาชญาบัตร ดำเนินการจดทะเบียนเรือได้ จำนวน ๖,๗๖๔ ลำ และบริการรับคำขอจดอาชญาบัตร จำนวน ๒,๒๔๔ ลำ ๓. ทำการตรวจสอบสุขอนามัยท่าเรือประมง จำนวน ๖๔ แห่ง ในจังหวัดชายทะเลครบตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมทั้งทำการคัดเลือกท่าเทียบเรือที่มีศักยภาพในการปรับปรุงปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒๐ ท่า รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบและประเมินสุขอนามัยเรือประมงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ จำนวน ๗๕๐ ลำ นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจประเมินสุขอนามัยเรือประมงในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ อบรมชาวประมง/เจ้าของเรือประมง และอบรมด้านสุขอนามัยให้แก่ผู้ประกอบการแพปลา องค์การสะพานปลา และท่าเทียบเรือ เจ้าหน้าที่สำนักงานประมงจังหวัด ๔. ดำเนินการประกวดราคาและจัดทำสัญญาเพื่อจ้างจัดทำระบบข้อมูลและการสร้างเครือข่ายข้อมูลการทำประมงของเรือประมงไทย ในวงเงินจัดจ้าง ๑๒,๗๙๐,๐๐๐ บาท โดยผู้รับจ้างดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ กำหนดแล้วเสร็จ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๕. จัดชุดเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องจากส่วนกลางเพื่อเดินสายชี้แจงแก่เจ้าหน้าที่สำนักงานประมงจังหวัดและสำนักงานประมงอำเภอ รวมทั้งดำเนินการจัดการประชาสัมพันธ์โดยส่วนกลางเป็นสารคดีทางโทรทัศน์ ๔ ตอน ทำสื่อสิ่งพิมพ์ในรูปของโปสเตอร์ต่าง ๆ แผ่นพับ Roll up เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและแนวทางปฏิบัติให้แก่ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ๖. จัดตั้งศูนย์ประสานงานการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ (ศปส.) หรือศูนย์ IUU ภายในบริเวณกรมประมง กรุงเทพฯ เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโครงการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5953 | รายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 | นร | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นผู้ติดตามกำกับดูแลการดำเนินงานขององค์การมหาชน ๓ แห่ง ซึ่งจะต้องดำเนินการปรับปรุงองค์กรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง สรุปผลการประเมินองค์การมหาชนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒) คือ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับร้อยละของระดับความพึงพอใจในการให้บริการขององค์การมหาชนที่มีคะแนนต่ำกว่า ๓ ให้องค์การมหาชนดังกล่าวปรับปรุงบริการโดยกำหนดเป็นตัวชี้วัดให้มีน้ำหนักสูงขึ้น เพื่อมุ่งให้องค์การมหาชนดังกล่าวพัฒนาคุณภาพบริการให้ดียิ่ง รวมถึงองค์การมหาชนที่ได้คะแนนต่ำกว่า ๓ ในส่วนของตัวแปรชี้วัดความสำเร็จของการจัดทำต้นทุนต่อหน่วยผลผลิต ควรปรับปรุงให้มีระบบต้นทุนที่ดีขึ้น และโดยที่ในอนาคตกระแสโลกจะมุ่งไปสู่ “การเติบโตที่สมดุลระหว่างเศรษฐกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อม” การปรับตัวของประชาชนและภาคธุรกิจเพื่อนำไปสู่อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญ การซื้อขายคาร์บอนจะเป็นรายได้และรายจ่ายของธุรกิจระหว่างประเทศในอนาคต ดังนั้น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกจะต้องส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดความเข้าใจเข้าถึงของประชาชนและธุรกิจมากขึ้นกว่าปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นผู้ติดตาม กำกับดูแลการดำเนินงานขององค์การมหาชนทั้งหมดทั้งในเรื่องของงบประมาณและการแก้ไขปัญหาความซ้ำซ้อนกันในการปฏิบัติภารกิจของส่วนราชการ องค์การมหาชน รัฐวิสาหกิจ ที่มีการดำเนินการอยู่แล้ว โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการปฏิบัติงาน ว่าหน่วยงานใดควรเป็นผู้รับผิดชอบภารกิจนั้นต่อไป หรือควบรวมตลอดจนยุบเลิก เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจขององค์การมหาชนสามารถเสริมสร้างและสนับสนุนการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
5954 | ระบบสารสนเทศการประชุมคณะรัฐมนตรีแบบอิเล็กทรอนิกส์ | นร | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอผลการดำเนินงานเกี่ยวกับระบบสารสนเทศการประชุมคณะรัฐมนตรีแบบอิเล็กทรอนิกส์ (CABNET) ที่ผ่านมา และแนวทางการดำเนินงานในขั้นต่อไปของระบบ CABNET สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานในการสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง เช่น ระบบจัดเก็บและสืบค้นข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี (ปี พ.ศ. ๒๕๓๒) ระบบสารบรรณอัตโนมัติเพื่อใช้ในการติดตามสถานภาพเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (ปี พ.ศ. ๒๕๓๒) ระบบจัดทำวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีในรูปแบบ CD เพื่อลดเอกสาร (ปี พ.ศ. ๒๕๔๔) ระบบการประชุมคณะรัฐมนตรีทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference) (ปี พ.ศ. ๒๕๔๖) และล่าสุดคือระบบ CABNET ซึ่งเป็นระบบสารสนเทศสนับสนุนภารกิจของคณะรัฐมนตรีในกระบวนการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรีทั้งระบบ ตั้งแต่การวางแผนการเสนอเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี การจัดทำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี การแจ้งระเบียบวาระการประชุมและส่งเอกสารการประชุมคณะรัฐมนตรี การแจ้งมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งการสืบค้นข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี โดยหน่วยงานที่ใช้ระบบมีจำนวน ๓๗ หน่วยงาน ๑.๒ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้เริ่มดำเนินโครงการจัดทำระบบ CABNET ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยจ้างที่ปรึกษาโครงการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อศึกษาและวิเคราะห์ระบบสารสนเทศการประชุมคณะรัฐมนตรีแบบอิเล็กทรอนิกส์ และต่อมาได้ดำเนินการพัฒนาระบบ CABNET ระหว่างเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒ - พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ด้วยงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับเป็นค่าจ้างที่ปรึกษาและค่าใช้จ่ายของโครงการจำนวน ๗๖,๔๑๔,๔๐๐ บาท โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการเชื่อมต่อเครือข่ายและพัฒนาระบบจนมีความพร้อมใช้งานแล้ว และมีการทดสอบการใช้งานกับหน่วยงานนำร่อง ๑๒ หน่วยงาน ในช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ มีการทดลองปฏิบัติงานกับหน่วยงานนำร่องในช่วงเดือนมีนาคม - กันยายน ๒๕๕๓ รวมทั้งชี้แจงการใช้ระบบกับหน่วยงานทั้งหมดในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๓ ๒. เห็นชอบให้ทุกหน่วยงานที่มีระบบ CABNET ใช้ระบบ CABNET ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๕๔ โดยให้ดำเนินการคู่ขนานกับการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีโดยใช้เอกสาร แล้วให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประเมินผลการใช้ระบบเพื่อกำหนดแนวทางการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีในระยะต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5955 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 | ตช | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (เรื่อง รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาและพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) โดยให้จัดตั้งสถานีตำรวจท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอยู่ในสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค ๑ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการคัดเลือก แต่งตั้ง และโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ที่สถานีตำรวจท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นการเฉพาะให้มีความเหมาะสมกับการปฏิบัติงานตามภารกิจด้วย ๓. ให้หน่วยงานที่เคยสนับสนุนงบประมาณในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจท่องเที่ยวที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เช่น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) พิจารณาให้ความสนับสนุนงบประมาณดังกล่าวแก่สถานีตำรวจท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5956 | รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในงาน "6 วัน 63 ล้านความคิด" ร่วมเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 28 กรกฎาคม 2553 | นร | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในงาน “๖ วัน ๖๓ ล้านความคิด” ร่วมเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. คณะกรรมการวิเคราะห์และติดตามผลการรับฟังความคิดเห็นในโครงการ “๖ วัน ๖๓ ล้านความคิด” ได้พิจารณากลั่นกรองข้อมูลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในงาน “๖ วัน ๖๓ ล้านความคิด” ร่วมเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย จำนวนรวม ๒๙๘ เรื่อง จำแนกเป็น ๒ กรณีคือ กรณีเรื่องราวร้องทุกข์ จำนวน ๑๒๐ เรื่อง และกรณีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย จำนวน ๑๗๘ เรื่อง และได้มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการส่งเรื่องราวร้องทุกข์และข้อเสนอแนะ จำนวน ๒๙๘ เรื่อง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม ๒๗ หน่วยงาน รับไปพิจารณาดำเนินการ โดยกรณีเรื่องราวร้องทุกข์ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ๒๑ หน่วยงาน ให้หน่วยงานรับไปพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาแล้วรายงานผลการดำเนินงานให้ทราบภายใน ๑๕ วัน หลังจากวันที่ได้รับเรื่องเพื่อจะได้รวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และกรณีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ๒๔ หน่วยงาน ให้หน่วยงานรับไว้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ๒. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการส่งเรื่องราวร้องทุกข์และข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการและเร่งรัดติดตามผลการดำเนินการ โดยกรณีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย จำนวน ๑๗๘ เรื่อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบไว้เป็นข้อมูลเพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่แล้ว ได้แก่ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมืองและกระบวนการยุติธรรม ด้านสวัสดิการสังคม ด้านการศึกษา ด้านสาธารณูปโภค ด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารทรัพยากรธรรมชาติ ด้านสื่อและการสื่อสารมวลชน และข้อเสนอแนะอื่น ๆ ส่วนกรณีเรื่องราวร้องทุกข์ จำนวน ๑๒๐ เรื่อง สามารถยุติเรื่องได้ทั้งหมด โดยเป็นการยุติเรื่องโดยมีผลการดำเนินการแล้ว จำนวน ๒๘ เรื่อง ยุติเรื่องโดยอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการแก้ไขปัญหาของส่วนราชการ จำนวน ๘๓ เรื่อง และยุติเรื่องเนื่องจากไม่สามารถดำเนินการได้ จำนวน ๙ เรื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5957 | รายงานผลการติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ : การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน | นร | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) โดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) รายงานผลการดำเนินการตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ที่ได้รับมอบหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน โดยมีเป้าหมายลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ให้ต่ำกว่า ๑๐ คน ต่อประชากรหนึ่งแสนคน และจัดทำโครงการปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวนหมวกนิรภัย ๑๐๐% ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อบูรณาการทุกภาคส่วนในการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยในขณะขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์ รวมทั้งได้เสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน พ.ศ. ... เพื่อกำหนดโครงสร้าง หน้าที่ของคณะกรรมการทั้งในระดับชาติ ระดับพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง และบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน สำหรับการจัดให้มีการเก็บภาษีรถจักรยานยนต์ในอัตราที่เหมาะสมตามขนาดเครื่องยนต์ (ซีซี) และการกำหนดแบบและมาตรฐานทางสัญจรและทางเท้าที่เอื้อต่อความปลอดภัยและความสะดวกของผู้ใช้ทุกกลุ่ม ขณะนี้อยู่ระหว่างนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ศปถ. เพื่อพิจารณามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป ๒. กระทรวงคมนาคมได้เสนอร่างกฎกระทรวง กำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสำหรับคนพิการในโครงสร้างพื้นฐานและในระบบการขนส่งสาธารณะ พ.ศ. .... ขณะนี้อยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และในส่วนของกรมการขนส่งทางบกอยู่ระหว่างพิจารณาแก้ไขปรับปรุงประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีตรวจหรือทดสอบสารอันเกิดจากการเมาสุราและกำหนดเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตรวจหรือทดสอบหรือสั่งให้ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถในขณะปฏิบัติหน้าที่รับการตรวจหรือทดสอบ พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งอยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็น ตลอดจนศึกษาข้อมูลวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของระดับแอลกอฮอล์กับอุบัติเหตุ สำหรับการกำหนดแบบและมาตรฐานรถโดยสารสาธารณะเพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง ขณะนี้อยู่ระหว่างนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ศปถ. เพื่อพิจารณามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5958 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง (การจัดสรรงบประมาณสำหรับจ่ายเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวแก่ครูโรงเรียนเอกชนโดยเบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป) | ศธ | 04/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอขอถอนความเห็นของกระทรวงการคลังที่ไม่เห็นชอบให้ใช้วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายจ่ายเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวแก่ครูโรงเรียนเอกชน รวมทั้งกรณีขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ ที่อนุมัติในหลักการที่จะช่วยเหลือครูโรงเรียนเอกชนเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวดังกล่าว ๒. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๖๗,๓๕๙,๖๐๘ บาท สำหรับเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวให้แก่ครูโรงเรียนเอกชน จำนวน ๗๔,๔๓๔ คน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - กันยายน ๒๕๕๓ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป โดยวงเงินที่ต้องจ่ายเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ประมาณเดือนละ ๑๐๖,๙๔๗,๘๔๓ บาท รัฐบาลจะรับภาระครึ่งหนึ่ง ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง เป็นเงินเดือนละ ๕๓,๔๗๑,๙๒๑.๕๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๖๔๑,๖๖๓,๐๕๘ บาท โดยให้ตรวจสอบจำนวนครูที่มีสิทธิให้ถูกต้องเป็นปัจจุบันก่อนและขอรับการสนับสนุนงบประมาณสำหรับโรงเรียนที่ได้ตรวจสอบความถูกต้องของบัญชีรายชื่อครูผู้มีสิทธิแล้ว โดยให้ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเป็นรายไตรมาสต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
5959 | รายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | นร | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. รับไปดำเนินการเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม การพิจารณาแนวทางดำเนินการยกเว้นค่าเปลี่ยนถ่ายระบบในการเดินทางระหว่างโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงเตาปูน - ท่าพระ และการเร่งพิจารณาเสนอโครงสร้างบริหารจัดการตั๋วร่วมและการจัดตั้งศูนย์การบริหารจัดการรายได้ (Central Clearing House System) เพื่อให้สามารถกำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีของระบบจัดเก็บค่าโดยสาร (AFC) และระบบบัตรโดยสารร่วม โครงสร้างอัตราค่าโดยสาร รวมทั้งการบริหารจัดการส่วนแบ่งรายได้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าในแต่ละสายทางให้สอดคล้องกับแผนการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ๕ สายทางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตรวจสอบความเหมาะสมของวงเงินลงทุนในรายละเอียดในส่วนของโครงการลงทุนที่ใช้เงินกู้ในการดำเนินการ พร้อมทั้งให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรเพื่อรองรับการดำเนินการดังกล่าวต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. เห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอเพิ่มเติมขอแก้ไขข้อความในหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ นร ๑๑๑๕/๔๓๙๕ ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ หน้า ๗ ข้อ ๓.๑ เป็น ดังนี้ “เห็นชอบในหลักการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงเตาปูน - ท่าพระ ในรูปแบบ PPP Gross Cost ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยภาครัฐลงทุนค่างานโยธาทั้งหมด และเอกชนลงทุนค่างานระบบไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้า รวมทั้งบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงตามมาตรฐานการให้บริการที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขของสัญญา โดยรัฐจะมอบให้เอกชนเป็นผู้จัดเก็บรายได้ค่าโดยสารและส่งมอบให้รัฐและรัฐเป็นผู้จัดเก็บรายได้เชิงพาณิชย์จากการใช้ประโยชน์โครงสร้างงานโยธาและรถไฟฟ้าทั้งหมด และรัฐจะจ่ายคืนเอกชนในลักษณะค่าจ้างบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุง โดยให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยเคร่งครัดต่อไป” ๓. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน - ท่าพระ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ - เตาปูน ให้สอดคล้องกันตามวัตถุประสงค์เดิมของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณด้วย สำหรับการขอปรับเพิ่มกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาพิเศษ (ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานระบบรถไฟฟ้า จำนวน ๔๔๘ ล้านบาท) ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาความเหมาะสมร่วมกับสำนักงบประมาณ และหากกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณมีความจำเป็นจะต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ความเห็นทางด้านเทคนิคเฉพาะประกอบการพิจารณาดังกล่าว ก็ให้สามารถดำเนินการได้ และให้นำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนที่ รฟม. จะดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
5960 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบวงเงินเหลือจ่ายภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๕,๐๗๘.๒๑ ล้านบาท ๒. อนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่หน่วยงานพิจารณาทบทวนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอนุมัติการจัดสรรเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดฯ วงเงิน ๑,๕๕๔.๖๗ ล้านบาท สำหรับโครงการกลุ่มที่ ๑ (โครงการที่ปรับกิจกรรมเพื่อใช้แก้ไขปัญหาน้ำท่วม) และโครงการกลุ่มที่ ๒ (โครงการที่ยืนยันโครงการเดิม และเสนอปรับแผนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อใช้ในการฟื้นฟูปัญหาน้ำท่วมทดแทนแล้ว) ส่วนโครงการกลุ่มที่ ๓ (โครงการที่ยืนยันโครงการเดิม แต่ไม่เสนอการปรับแผนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔) อนุมัติโครงการและจัดสรรเงินเหลือจ่ายตามผลการพิจารณาทบทวนของหน่วยงาน และให้หน่วยงานดำเนินการได้ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณตรวจสอบความพร้อมและความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานดังกล่าวที่ได้รับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไว้ และพิจารณาปรับแผนการดำเนินการโครงการให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเพื่อนำไปฟื้นฟูแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเป็นการทดแทนตามความเหมาะสมต่อไป สำหรับโครงการกลุ่มที่ ๔ (โครงการภายใต้แผนพัฒนา ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้) ให้คณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นผู้พิจารณาอนุมัติการปรับแผนการดำเนินโครงการเพื่อนำไปฟื้นฟูแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรวงเงินเหลือจ่าย ส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ๓. อนุมัติให้ดำเนินโครงการใหม่เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในสาขาต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดฯ วงเงิน ๒,๖๑๙.๖๘ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายดังกล่าวส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ สำหรับโครงการของสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วงเงิน ๑๓๘.๐๐ ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมาการการอาชีวศึกษา วงเงิน ๕๖๒.๐๐ ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน วงเงิน ๓๗๘.๐๐ ล้านบาท ให้หน่วยงานจัดส่งรายละเอียดโครงการให้สำนักงบประมาณพิจารณานำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เห็นชอบก่อน ๔. อนุมัติให้ดำเนินโครงการก่อสร้างหอประชุมเอนกประสงค์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดฯ ให้แก่โครงการก่อสร้างหอประชุมเอนกประสงค์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา วงเงิน ๑๖๑.๖๖ ล้านบาท โดยให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาหอประชุมเอนกประสงค์ในอนาคต ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลหอประชุมเอนกประสงค์เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการบำรุงรักษาดังกล่าว ๕. อนุมัติการขยายระยะเวลาการขอรับจัดสรรเงินและการพิจารณาของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติโครงการแล้วไม่สามารถดำเนินการโครงการได้ทันภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป ๖. อนุมัติการขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาตามที่หน่วยงานเสนอ โดยในส่วนของโครงการ/รายการที่หน่วยงานขอขยายระยะเวลาการลงนามถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ นั้น เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการลงนามเป็นภายในวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๔ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน ให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป ๗. รับทราบการยกเลิกโครงการชุมชนเข้มแข็งด้วยพลังงานทดแทน วงเงิน ๕๖.๕๐ ล้านบาท และโครงการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ห่างไกลด้วยเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ วงเงิน ๑๐๕.๖๘ ล้านบาท ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ๘. อนุมัติเป็นหลักการให้กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการลงนามในสัญญาเงินกู้ล่วงหน้าก่อนสำนักงบประมาณจัดสรรเงิน สำหรับโครงการที่ได้รับการอนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ภายในวงเงิน ๑๒,๑๐๑.๓๓ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังต้องลงนามในสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการดังกล่าวได้ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ทั้งนี้ สำหรับรายการที่สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรก่อนวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ให้กระทรวงการคลังกู้เงินภายในวงเงินที่สำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรแล้ว และอนุมัติให้ยกเลิกวงเงินเหลือจ่ายคงเหลือ จำนวน ๑,๐๒๐.๓๕ ล้านบาท ๙. อนุมัติและรับทราบการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ โดยให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน ๑๕ วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้วหน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ |