ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 17 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 321 - 340 จากข้อมูลทั้งหมด 5031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
321 | มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (คู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว) | พณ | 11/12/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงานว่า ณ วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ วงเงินที่รัฐบาลสามารถรับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐได้ประกาศกำหนดไว้ ตามมาตรา ๒๘ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ยังเหลือเพียงพอต่อการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ ของกระทรวงพาณิชย์ ๒. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๒.๑ รับทราบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ (คู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว) ได้แก่ (๑) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก กรณีค่าฝากเก็บและค่ารักษาคุณภาพข้าวเปลือก วงเงิน ๑,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโดยสถาบันเกษตรกร วงเงิน ๕๖๒.๕๐ ล้านบาท และ (๓) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก วงเงิน ๕๑๐ ล้านบาท เพื่อดูดซับปริมาณข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เป้าหมาย ๖.๕ ล้านตันข้าวเปลือก วงเงิน ๒,๕๗๒.๕ ล้านบาท จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ๒.๒ เห็นชอบการอนุมัติจัดสรรวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก (เพิ่มเติม) โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ขอจัดสรรวงเงินจากงบประมาณ ปี ๒๕๖๔ และปีถัด ๆ ไป วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑,๓๗๐.๗๒ ล้านบาท จำแนกเป็นค่าชดเชยดอกเบี้ย ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๑๒ เดือน ของ ธ.ก.ส. (ปัจจุบันร้อยละ ๑.๔ ต่อปี) บวก ๑ เท่ากับ ๒.๔๐ ต่อปี ซี่งเป็นอัตราที่กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และ ธ.ก.ส. ทำความตกลงในการชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. และกระทรวงการคลังได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบแล้ว เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ และค่าบริหารโครงการฯ ในอัตราร้อยละ ๒ ต่อปี ระยะเวลา ๖ เดือน รวมวงเงิน ๓๔๐.๐๐ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการระบาย ได้แก่ ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงินค่าขนย้ายข้าว และส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าว วงเงิน ๑,๐๓๐.๗๒ ล้านบาท ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ ธ.ก.ส. และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการบริหารจัดการการผลิต การระบาย และการค้าข้าว ให้มีประสิทธิภาพอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ รวมถึงจัดทำระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ ทั้งในส่วนของข้อมูลด้านการลงทะเบียนเกษตรกร จำนวนเกษตรกร ปริมาณผลผลิตต่อไร่ จำนวนพื้นที่เพาะปลูก ปริมาณการเก็บกักข้าว ให้มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ตลอดจนจัดให้มีระบบการติดตามและการประเมินผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวจะได้รับจากการดำเนินโครงการ เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน สำหรับใช้ประกอบการกำหนดนโยบายของภาครัฐที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ ควรมีการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ ก่อนดำเนินโครงการ อาทิ เรื่องค่าใช้จ่ายในการฝากเก็บรักษาข้าวเปลือกของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในกรณีที่ไม่มียุ้งฉางของตนเอง การเก็บรักษาข้าวเปลือกหลักประกันตลอดระยะเวลาโครงการฯ และวิธีการเก็บรักษาข้าวเปลือกของสถาบันเกษตรกร เพื่อให้โครงการ เกิดผลในทางปฏิบัติและบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนของที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
322 | โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 | พณ | 11/12/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงานว่า ณ วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ วงเงินที่รัฐบาลสามารถรับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐได้ประกาศกำหนดไว้ ตามมาตรา ๒๘ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ยังเหลือเพียงพอต่อการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๒/๖๓ ของกระทรวงพาณิชย์ ๒. รับทราบและอนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๒.๑ อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๒/๖๓ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๙๒๓,๓๓๒,๓๓๒.๘๐ บาท ๒.๒ อนุมัติมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๒/๖๓ ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี ๒๕๖๒/๖๓ วงเงิน ๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒.๓ รับทราบมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๒/๖๓ ประกอบด้วยการบริหารจัดการการนำเข้า การดูแลความเป็นธรรมในการซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การดูแลความสมดุลการเพิ่มช่องทางการจำหน่าย และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เก็บสต็อกผลผลิต ๒.๔ เห็นชอบเพิ่มผู้แทนกรมศุลกากรเป็นกรรมการในองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น กระทรวงพาณิชย์ควรร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย เพื่อติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด ทั้งการตรวจสอบการรับสิทธิ การสำรวจพื้นที่และผลผลิตที่เข้าร่วมโครงการที่จะต้องมีความรัดกุมและตรวจสอบได้ก่อนจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างรายได้ เพื่อให้การดำเนินโครงการมีความน่าเชื่อถือ เกษตรกรได้รับการช่วยเหลือคุ้มค่างบประมาณ และอยู่ภายใต้กรอบพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้ปริมาณการลักลอบนำเข้าส่งผลกระทบต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
323 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 (ครั้งที่ 148) | พน | 03/12/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ (ครั้งที่ ๑๔๘) เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๒ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับแนวนโยบายพลังงานเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โรงไฟฟ้าชุมชน) แนวทางการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล และกรอบนโยบายการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ภายใต้พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น นโยบายส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชน ควรพิจารณาศักยภาพในการผลิตไฟฟ้ารายพื้นที่เป็นสำคัญ เพื่อป้องกันการขาดแคลนวัสดุสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ควรพิจารณาความพร้อมของระบบไฟฟ้าในการรองรับกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมในแต่ละพื้นที่ และให้ความสำคัญกับการจัดเก็บข้อมูลการผลิตและการใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อให้ประเทศสามารถวางแผนการบริหารจัดการด้านพลังงานได้อย่างเป็นระบบ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
324 | การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติสู่การปฏิบัติ | นร11 | 03/12/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการกำหนดหน่วยงานเจ้าภาพและภารกิจในการขับเคลื่อนประเด็นแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ หน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนเป้าหมายระดับประเด็นของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนเป้าหมายระดับแผนย่อยของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และมอบหมายให้หน่วยงานเจ้าภาพประสานและบูรณาการการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการจัดทำแผนระดับที่ ๓ ในส่วนของแผนปฏิบัติการด้าน... และมอบหมายสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณากำกับการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว เพื่อให้เกิดการถ่ายระดับของแผนทั้งสามระดับอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเห็นชอบให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนเร่งรัดดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ แผนวิสาหกิจ และแผนปฏิบัติการ ตามลำดับ และขอความร่วมมือให้หน่วยงานของรัฐอื่น ๆ ดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ โดยให้ใช้ชื่อตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้เกิดการถ่ายทอดเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งนำเข้าแผนในระบบการติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (Electronic Monitoring and Evaluation System of National Strategy and Country Reform : eMENSCR) ๑.๓ เห็นชอบให้คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานของรัฐในการจัดทำโครงการสำคัญ นำไปสู่การก่อให้เกิดการสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติให้บรรลุผลตามเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่วางไว้ได้อย่างเป็นรูปธรรม และใช้เป็นคำของบประมาณประจำปี ๒๕๖๔ ต่อไป ๑.๔ มอบหมายให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการ (๑) นำเข้าข้อมูลผลการดำเนินโครงการ/การดำเนินงานในความรับผิดชอบในระบบ eMENSCR ให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๒ และ (๒) นำเข้าข้อมูลสถิติ สถานการณ์ หรือข้อมูลอื่นใดในระบบ eMENSCR สำหรับการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ให้เกิดการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป รวมทั้งเชื่อมโยงระบบข้อมูลสารสนเทศในความรับผิดชอบ โดยเฉพาะระบบข้อมูลสารสนเทศด้านงบประมาณของสำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางเข้ากับระบบ eMENSCR นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่อยู่ระหว่างหรือจะดำเนินการพัฒนาระบบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลใช้ระบบ eMENSCR ในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล ก่อนที่จะมีการพัฒนาระบบ ๑.๕ เห็นชอบการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายคณะกรรมการปฏิรูปประเทศดำเนินการตามขั้นตอนและกรอบระยะเวลาของกฎหมาย ทั้งนี้ ในการรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนต่าง ๆ ให้ดำเนินการร่วมกัน เพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินการ การประหยัดเวลาและงบประมาณต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เช่น ควรให้ทบทวนความคุ้มค่าของผลสัมฤทธิ์ที่ได้ตามแผนระดับที่ ๓ และควรให้คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง เป็นผู้กำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนและบูรณาการการปฏิรูปประเทศด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
325 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2562 (เพิ่มเติม) และครั้งที่ 4/2562 และเรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2562 (มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2562 (เพิ่มเติม) และครั้งที่ 4/2562) | ทส | 26/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ (เพิ่มเติม) เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๒ และครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) จากการประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ (เพิ่มเติม) จำนวน ๕ โครงการ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะที่ ๒ พิษณุโลก-เชียงใหม่ และโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นต้น การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ จำนวน ๓ โครงการ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ ๓ สนามบินแบบไร้รอยต่อ (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) และโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อยจังหวัดพังงา (ตะกั่วป่า) เป็นต้น และการประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ จำนวน ๖ โครงการ เช่น โครงการนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก และโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก : นิคมอุตสาหกรรม Smart Park เป็นต้น ๒. กก.วล มีมติรับทราบและเห็นชอบในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ สถานการณ์มลพิษของไทย ปี ๒๕๖๑ การกำหนดมาตรฐานระดับเสียงของรถยนต์ไฮบริด ร่างแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง การปรับปรุงแก้ไขประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๒ ฉบับ การยกเลิกมติ กก.วล. ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี และการยกเลิกวิธีการตรวจวัดควันดำด้วยเครื่องมือวัดควันดำระบบกระดาษกรอง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
326 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2562 (เพิ่มเติม) และครั้งที่ 4/2562 และเรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2562 (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2562) | ทส | 26/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ (เพิ่มเติม) เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๒ และครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) จากการประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ (เพิ่มเติม) จำนวน ๕ โครงการ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะที่ ๒ พิษณุโลก-เชียงใหม่ และโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นต้น การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ จำนวน ๓ โครงการ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ ๓ สนามบินแบบไร้รอยต่อ (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) และโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อยจังหวัดพังงา (ตะกั่วป่า) เป็นต้น และการประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ จำนวน ๖ โครงการ เช่น โครงการนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก และโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก : นิคมอุตสาหกรรม Smart Park เป็นต้น ๒. กก.วล มีมติรับทราบและเห็นชอบในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ สถานการณ์มลพิษของไทย ปี ๒๕๖๑ การกำหนดมาตรฐานระดับเสียงของรถยนต์ไฮบริด ร่างแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง การปรับปรุงแก้ไขประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๒ ฉบับ การยกเลิกมติ กก.วล. ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี และการยกเลิกวิธีการตรวจวัดควันดำด้วยเครื่องมือวัดควันดำระบบกระดาษกรอง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
327 | ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากที่ประชุมสมัชชาครอบครัวระดับชาติ ประจำปี 2562 | พม | 22/10/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากที่ประชุมสมัชชาครอบครัวระดับชาติ ประจำปี ๒๕๖๒ จำนวน ๓ ประเด็น รวม ๒๐ ข้อ เกี่ยวกับเรื่องการสื่อสารในครอบครัวเชื่อมสัมพันธ์ทุกช่วงวัย เรื่องเพศคุยได้ในครอบครัว และครอบครัวรู้เท่าทันสื่อ ซึ่งจากความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในที่ประชุมสมัชชาครอบครัวฯ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว) ได้นำมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางการขับเคลื่อน โดยจำแนกเป็น ๓ กระบวนงาน ได้แก่ (๑) การพัฒนาองค์ความรู้ หลักสูตร นวัตกรรม เพื่อส่งเสริมการสื่อสารในครอบครัว (๒) การส่งเสริมการสร้างพื้นที่เรียนรู้เพื่อครอบครัว และ (๓) การส่งเสริมการผลิตสื่อสร้างสรรค์เพื่อครอบครัว และได้มีการนำเสนอคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ครอบครัวแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งที่ ๑/๑๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๒ แล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว) รับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรนำข้อเสนอแนะดังกล่าวไปพิจารณาเชื่อมโยงกับโครงการสำคัญที่จะขับเคลื่อนในปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔ พร้อมทั้งกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักและรับผิดชอบรอง รวมถึงเป้าหมายและระยะเวลาในการดำเนินงานที่ชัดเจน โดยใช้กลไกที่จัดตั้งภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๒ ทั้งระดับชาติและระดับพื้นที่ในการขับเคลื่อนข้อเสนอแนะฯ ควบคู่กับการมีกระบวนการในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามมติสมัชชาฯ ในปีที่ผ่านมา เพื่อให้ทราบถึงปัญหา อุปสรรค และปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จสำหรับนำไปใช้เป็นบทเรียนต่อการขับเคลื่อนในปีต่อ ๆ ไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามแนวทางการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวฯ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ครอบครัวแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๒ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
328 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 9/2562 เรื่อง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน | สกพอ | 15/10/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๙/๑๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ เรื่อง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ซี่งที่ประชุมฯ รับทราบผลการเจรจาของคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินในเรื่องการส่งมอบพื้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และเห็นชอบเกี่ยวกับมาตรกรและแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบพื้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินให้แก่เอกชนคู่สัญญา ๑.๒ มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๒ เรื่อง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินแบบไร้รอยต่อ (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์กระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินแบบไร้รอยต่อ (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในประเด็นมาตรการป้องกันและลดผลกระทบจากการเกิดอุบัติเหตุจากการเดินรถ การดำเนินงานศูนย์รับเรื่องร้องเรียน และการสอบถามเกี่ยวกับความวิตกกังวลของผู้ได้รับผลกระทบ และให้หน่วยงานรับไปดำเนินการตามมติดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนตามขั้นตอนและสาระสำคัญที่กำหนดอย่างโปร่ง รวมทั้งคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในทุกภาคส่วน และสัดส่วนอย่างเหมาะสมของประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับจากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
329 | ขออนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2562 | กษ | 15/10/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ ๑ ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๒๔,๒๗๘,๖๒๖,๕๓๔ ล้านบาท การขยายวงเงินสินเชื่อและปรับปรุงวิธีดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยาง วงเงิน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ภายในระยะเวลาเดิม การขยายระยะเวลาการดำเนินการโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) วงเงินสินเชื่อ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ขยายเวลาจากเดิมเดือนมกราคม ๒๕๖๓ ต่อเนื่องจนถึงเดือนธันวาคม ๒๕๖๔ การขยายระยะเวลาดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยาง วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยขยายเวลาจากเดิมตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๗ และการขยายระยะเวลาและปรับปรุงวิธีดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานรัฐ เป้าหมายปริมาณการใช้น้ำยางสด จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ ตัน ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๖๒ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๖๕ (๓ ปี) และปรับปรุงวิธีการดำเนินงาน รวมทั้งงบประมาณดำเนินงาน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการยางแห่งประเทศไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ เช่น ควรพิจารณาแนวทางกำหนดราคาประกันรายได้เท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อมิให้ส่วนต่างของต้นทุนการผลิตที่สูงเกินความจำเป็น ควรศึกษามาตรการหรือแนวทางเพิ่มเติม เพื่อดูดซับยางในระบบให้มากยิ่งขึ้นโดยไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดิน ควรพิจารณาแนวทาง มาตรการการเร่งรัด และจัดให้มีระบบการติดตามและรายงานผลการดำเนินงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ควรมีระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างชัดเจน และควรปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับเป็นสำคัญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
330 | การขอยกเว้นเงื่อนไขการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 และ 2560 | นร10 | 07/10/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๒ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการยกเว้นเงื่อนไขการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กรณีโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียน ๑๒๑-๒๔๙ คน โดยให้คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) จัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้กับโรงเรียนที่มีผลรวมของอัตราข้าราชการครูและอัตราพนักงานราชการครูไม่เกินกว่าอัตรากำลังครูตามเกณฑ์ของ ก.ค.ศ. และจัดสรรให้ไม่เกินกว่าอัตรากำลังครูที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เสนอขอรับการจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๓๐๑ แห่ง จำนวน ๓๖๒ อัตรา และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รวม ๑,๕๗๘ แห่ง จำนวน ๑,๙๒๑ อัตรา ๑.๒ เห็นชอบให้ สพฐ. พิจารณาดำเนินการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กที่มีระยะทางห่างจากโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ในตำบลเดียวกันน้อยกว่า ๖ กิโลเมตร ให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาให้เพิ่มสูงขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอน และลดภาระค่าใช้จ่ายงบประมาณด้านบุคลากรและการบริหารจัดการเอง ๑.๓ กำหนดเงื่อนไขโดยไม่ให้นำอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูไปปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งให้เป็นสายงานอื่น ๒. อนุมัติในหลักการการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้กับโรงเรียนที่มีผลรวมของอัตราข้าราชการครูและอัตราพนักงานราชการครูไม่เกินกว่าอัตรากำลังครูตามเกณฑ์ของ ก.ค.ศ. และจัดสรรให้ไม่เกินกว่าอัตรากำลังครูที่ สพฐ. เสนอขอรับการจัดสรร ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๕๗ แห่ง จำนวน ๖๒ อัตรา และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รวม ๔๔๓ แห่ง จำนวน ๔๖๓ อัตรา รวมทั้งสิ้น ๕๒๕ อัตรา ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำรายละเอียด ข้อมูล เหตุผลความจำเป็นในการขอรับการจัดสรรอัตรากำลังดังกล่าวให้ชัดเจนและให้ครอบคลุมถึงความจำเป็นของโรงเรียนขนาดเล็กที่คาดว่าจะไม่สามารถควบรวมได้ประมาณ ๑,๙๔๐ โรงเรียนด้วย แล้วเสนอ คปร. พิจารณาทบทวนตามขั้นตอนต่อไป ๓. ในส่วนของภาระงบประมาณรายจ่ายด้านบุคลากรที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการบริหารจัดการภายในวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐ ส่วนภาระงบประมาณรายจ่ายด้านบุคลากรที่จะเพิ่มขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรเร่งรัดการจัดทำแผนการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และควรวางแผนการใช้อัตรากำลังครูทั้งระบบให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงโครงสร้างประชากรวัยเรียนที่มีแนวโน้มลดลง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
331 | ข้อเสนอการปรับปรุงโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ | นร12 | 01/10/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอการปรับปรุงโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (โครงการ นปร.) ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับไปพิจารณาทบทวนและหารือร่วมกับสำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องในประเด็นต่าง ๆ ให้เหมาะสมชัดเจน ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) ทั้งในด้านวิชาการและการฝึกปฏิบัติราชการควรจะต้องสอดคล้องและตรงตามความต้องการของแต่ละส่วนราชการซึ่งมีบทบาทและภารกิจที่แตกต่างกัน มากยิ่งขึ้น ๑.๒ การบรรจุและแต่งตั้ง นปร. เข้ารับราชการ ควรพิจารณาดำเนินการให้มีการกระจายตัวไปยังส่วนราชการต่าง ๆ อย่างเหมาะสมและทั่วถึง (ไม่กระจุกตัวอยู่ในส่วนราชการเดิม ๆ เพียง ๒-๓ แห่ง เท่านั้น) ๑.๓ นอกเหนือจากการพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมของการขยายกรอบอัตรากำลังของ นปร. เป็นจำนวน ๑๕๐ อัตราแล้ว ควรพิจารณาแนวทางการกำหนดอัตรากำลังรองรับการบรรจุและแต่งตั้ง นปร. ของแต่ละส่วนราชการให้เหมาะสมและมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นด้วย ๑.๔ เมื่อ นปร. ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้รับราชการแล้ว ควรมีกลไกการติดตาม กำกับ ดูแล เพื่อให้ นปร. ดังกล่าวสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้แก่ส่วนราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคงไว้ซึ่งความเป็นข้าราชการที่มีความสามารถสูง มีคุณธรรม จริยธรรม และเป็นผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้แก่องค์กร ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น (๑) ควรมุ่งเน้นส่งเสริมสร้างขีดสมรรถนะในการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Management) ในการพัฒนา นปร. รวมทั้งควรศึกษาและกำหนดกรอบแนวทางจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ตลอดจนรูปแบบ วิธีการประเมินผล และแนวทางการบรรจุ นปร. กลับไปยังส่วนราชการนั้น ๆ ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการอย่างเป็นระบบ และ (๒) ควรเพิ่มการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติทางด้านเทคโนโลยีในอนาคตที่มีผลต่อการพัฒนาระบบราชการ เพื่อประโยชน์ต่อการสร้างนวัตกรรมในระบบราชการ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการดังกล่าวด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการพัฒนาและบริหารจัดการบุคลากรภาครัฐในภาพรวม ตั้งแต่กระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ระบบราชการ การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรภาครัฐที่อยู่ในระบบราชการแล้วให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะต่าง ๆ ที่สอดคล้องและเท่าทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรักษาบุคลากรภาครัฐไว้ในระบบราชการ เพื่อให้กลุ่มบุคลากรดังกล่าวเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนระบบราชการให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
332 | การลงทุนโครงการขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด (โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3) | อก | 01/10/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการลงทุนโครงการขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ตามโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ ๓ ในกรอบวงเงิน ๕๕,๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๒ อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กนอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนในพื้นที่และบริเวณโดยรอบให้ถูกต้องและทั่วถึง รวมทั้งพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการฯ ให้เหมาะสม ชัดเจนด้วย ๒. ให้ กนอ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงอุตสาหกรรม และ กนอ. ควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในกรณีที่การลงทุนโครงการขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดทำให้ กนอ. มีความจำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเติมที่ไม่ได้เป็นส่วนประกอบของโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ กนอ. ต้องขออนุมัติการลงทุนตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ ก่อนดำเนินการต่อไป รวมทั้งหากปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในการลงทุนโครงการฯ มีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนและขยายพื้นที่เพิ่มเติม ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในสาาระสำคัญของโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ และวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ ให้ กนอ. ดำเนินการขออนุมัติการลงทุนและการขยายพื้นที่ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
333 | ผลการคัดเลือกเอกชน ผลการเจรจา และร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 | สกพอ | 24/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ ๖/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๒ เกี่ยวกับผลการคัดเลือกเอกชน และผลการเจรจาโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ ๓ ซึ่งเอกชนที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่ กลุ่มกิจการร่วมค้ากัลฟ์ และพีทีที แทงค์ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และกระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการตามเอกสารการคัดเลือกเอกชน (Request for Proposal : REP) ระเบียบ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และความเห็นประกอบของหน่วยงานตามมติ กพอ. ครั้งที่ ๗/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ และในกรณีที่ กนอ. มีความจำเป็นต้องลงทุนขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเพิ่มเติมในส่วนที่ไม่ได้เป็นส่วนประกอบของโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ ๓ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๖๖๑ เห็นควรให้ กนอ. ดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ ก่อนดำเนินการต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้ สกพอ. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
334 | ขออนุมัติในหลักการเพื่อจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษแก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ | พน | 24/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการเพื่อจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษในรูปค่าขนย้ายให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ โดยอนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยไร่ละ ๓๒,๐๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งประกอบด้วยบัญชีรายชื่อราษฎรได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ จำนวน ๔ กลุ่ม จำนวน ๕๒๓ ราย เนื้อที่รวมทั้งสิ้น ๗,๗๖๓.๘๓ ไร่ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๒๒๖,๒๗๖,๑๗๖ บาท โดยขอปรับเนื้อที่ผลการอ่านแปลการครอบครองและทำประโยชน์ของราษฎรที่มีเนื้อที่ไม่ถึง ๑ ไร่ ให้ปรับเป็น ๑ ไร่ หากมีเนื้อที่เกิน ๑ ไร่ ให้คิดตามความเป็นจริง ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงพลังงานใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง เพื่อจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษในรูปค่าขนย้ายให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ กับราษฎรในกลุ่มที่ ๑ และกลุ่มที่ ๒ ที่ได้ยื่นคำร้องกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และเรียกร้องเฉพาะที่ดินที่ผ่านการอ่านแปลจากภาพถ่ายทางอากาศของผู้เชี่ยวชาญโดยไม่ติดใจเรียกร้องค่าชดเชยในส่วนที่เพิ่มขึ้น และแสดงเจตนาสละสิทธิ์การเรียกร้องดังกล่าวทั้งปัจจุบันและอนาคต โดยอนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยไร่ละ ๓๒,๐๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ๑.๓ อนุมัติในหลักการให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงิน เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยให้ถูกต้องครบถ้วนตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ และเป็นไปตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบทรัพย์สินราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ เพื่อให้การจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และมิให้มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากราษฎร ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับเงินต้องยืนยันว่าเรื่องถึงที่สุดแล้วจะไม่เรียกร้องเพิ่มเติม และจะไม่มอบอำนาจให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเรียกร้องเพิ่มเติมด้วย โดยให้มีผู้ที่ได้รับเงินในครั้งเดียวกันลงนามรับรองร่วมกัน เพื่อเป็นพยานยืนยัน และเห็นควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงิน ๑.๔ รับทราบกรณีราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ที่ยังไม่ได้จัดทำบัญชีรายชื่อ กลุ่มที่ ๓ จำนวน ๑๑๙ ราย และกลุ่มที่ ๔ จำนวน ๑๐ ราย รวม ๑๒๙ ราย เนื้อที่รวม ๑,๖๗๐.๘๒ ไร่ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๘,๕๒๐,๘๕๖ บาท นั้น กระทรวงพลังงานจะได้ดำเนินการจัดทำบัญชีรายชื่อราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาหนึ่งปีหกเดือน นับจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติตามข้อ ๑.๑ ๒. สำหรับการเบิกจ่ายเงินชดเชย เห็นควรให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยให้ถูกต้องครบถ้วนตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ และเป็นไปตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบฯ รวมทั้งเห็นควรจ่ายด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร (จ่ายตรง) ตามบัญชีรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิ โดยถือความเห็นของคณะกรรมการชุดนี้เป็นหลักฐานในการจ่ายเงินค่าชดเชย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
335 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับสำนักงาน ก.พ. เพื่อใช้เป็นตำแหน่งหมุนเวียนรองรับแนวทางการรักษากลุ่มกำลังคนคุณภาพ (Talent Retention) | นร10 | 03/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๒ ซึ่งอนุมัติการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับสำนักงาน ก.พ. ตามจำนวนที่ต้องใช้จริงไม่เกิน ๘๐ อัตรา เพื่อใช้เป็นกรอบอัตรากำลังหมุนเวียนตามแนวทางการรักษากลุ่มกำลังคนคุณภาพ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว หากมีความจำเป็นต้องสรรหาอัตราบุคลากรตั้งใหม่ และสามารถบรรจุได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้สำนักงาน ก.พ. พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนภาระงบประมาณรายจ่ายด้านบุคลากรที่จะเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้สำนักงาน ก.พ. จัดทำแผนกรอบอัตรากำลังหมุนเวียนในแต่ละปีพร้อมแผนการใช้จ่ายงบประมาณบรรจุไว้ในกรอบวงเงินรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลาง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามความจำเป็นและทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมตามความสามารถในการใช้จ่ายตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
336 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ | นร10 | 03/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๒ ซึ่งอนุมัติการจัดสรรอัตราข้าราชการตำรวจตั้งใหม่ให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๙,๐๐๐ อัตรา ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการสรรหาและบรรจุแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในอัตราตั้งใหม่ที่ได้รับจัดสรรและอัตราที่มีอยู่เดิมให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และควรนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการทำงานให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติภารกิจ รวมทั้งข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เกี่ยวกับภารกิจด้านคดีความที่เกี่ยวข้องกับเด็ก สตรี และครอบครัว ปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยคดีความดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้เสียหาย ซึ่งการมีข้าราชการตำรวจหญิงมาปฏิบัติภารกิจในกระบวนการสอบสวนคดีดังกล่าวจะมีความเหมาะสมในการปฏิบัติงานมากกว่า ดังนั้น ภายใต้กรอบอัตรากำลังที่ได้รับการจัดสรรในครั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงควรพิจารณาจัดสรรอัตราเพื่อบรรจุข้าราชการตำรวจหญิงในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อรองรับการปฏิบัติภารกิจดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของส่วนราชการตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับมาตรการด้านกำลังคนภาครัฐ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๒ [เรื่อง มาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕)] อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
337 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงดิจิดัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม | นร10 | 03/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๒ ซึ่งอนุมัติการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้แก่ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จำนวน ๔๖ อัตรา ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรดังกล่าว หากมีความจำเป็นต้องสรรหาบุคลากรตั้งใหม่ และสามารถบรรจุได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้ส่วนราชการต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการก่อนในโอกาสแรก โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอน ส่วนภาระงบประมาณรายจ่ายด้านบุคลากรที่จะเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้ส่วนราชการดังกล่าวจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณบรรจุไว้ในกรอบงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลาง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและส่วนราชการในสังกัดรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการพัฒนาระบบงานต่าง ๆ ให้มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น สอดคล้อง และทันกับบริบทด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ควรเร่งรัดการสรรหาและบรรจุแต่งตั้งบุคลากรให้เต็มตามกรอบอัตรากำลังที่มีและเกลี่ยอัตรากำลังในกระทรวง เพื่อให้การบริหารกำลังคนมีประสิทธิภาพ และควรทบทวนบทบาทหน้าที่ของสำนักงานปลัดกระทรวง โดยคำนึงถึงบทบาทการทำงานของข้าราชการให้มีความชัดเจน เพื่อนำอัตรากำลังไปใช้ในภารกิจที่มีความจำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและส่วนราชการในสังกัดดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของส่วนราชการตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับมาตรการด้านกำลังคนภาครัฐ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๒ [เรื่อง มาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕)] อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
338 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2562 | กค | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๕ แห่ง ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และการรถไฟแห่งประเทศไทย การจัดตั้งบริษัทลูกของการรถไฟแห่งประเทศไทย และการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า รัฐวิสาหกิจควรกำหนดแผนปฏิบัติการ และเป้าหมาย/ตัวชี้วัดของการดำเนินงาน รวมทั้งควรมีการกำกับ ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจอย่างเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด รวมถึงการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติไปแล้ว ตลอดจนมอบหมายให้กระทรวงที่กำกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องติดตาม เร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งให้เป็นไปตามแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะเวลาที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
339 | แนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ [ถูกยกเลิกโดยมติ ครม. เมื่อวันที่ 20/02/67 (ว 90/67)] | กค | 06/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ) และรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินการตามแนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ ตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ อย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
340 | ขอความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 รวม 4 ฉบับ | คค | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ รวม ๔ ฉบับ ระหว่างบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ผู้ประกอบการเอกชนที่ได้รับสิทธิในการดำเนินโครงการคลังสินค้า โครงการอุปกรณ์บริการภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการซ่อมบำรุง และโครงการครัวการบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้แก่ บริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด (WRS-PG CARGO Co., Ltd. : WFSPG) บริษัท บริการภาคพื้นการบินกรุงเทพเวิลด์ไวด์ไฟลท์เซอร์วิส จำกัด (Worldwide Flight Services Bangkok Air Ground Handling Co., Ltd. : BFS) บริษัท ครัวการบินกรุงเทพ จำกัด (Bangkok Air Catering Co., Ltd : BAC) และบริษัท แอลเอสจี สกายเซฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด [LSG Sky Chefs (Thailand) Ltd. : LSG] มีสาระสำคัญเพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศอันนำไปสู่การปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ช่วงระหว่างเดือนเมษายน-ธันวาคม ๒๕๕๓ (ระยะเวลา ๙ เดือน) ตามมติคณะกรรมการ ทอท. ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (เพิ่มเติม) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม โดย ทอท. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการกำหนดกลไกการบริหารสัญญาที่มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะกำกับให้มูลค่าของกรอบวงเงินความช่วยเหลือตามมาตรการต่าง ๆ ให้อยู่ภายใต้กรอบมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และควรตรวจสอบมูลค่าความช่วยเหลือที่จำเป็นโดยรอบคอบและเหมาะสมเพื่อรักษาผลประโยชน์ของ ทอท. และดำเนินการตามกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีให้ครบถ้วนด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ในกรณีที่กระทรวงคมนาคม โดย ทอท. เห็นควรให้มีการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนอื่นที่อาจกระทบต่อรายได้ของ ทอท. ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของชาติ ให้กระทรวงคมนาคม โดย ทอท. นำเสนอแนวทาง/มาตรการเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนที่จะดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดต่อไป
|
.....