ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 18 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 341 - 360 จากข้อมูลทั้งหมด 5031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
341 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุม ปี ๒๕๖๒ จำนวน ๕๒ รายการ จำแนกเป็น ๔๖ สินค้า และ ๖ บริการ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์ โดยคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับกรณีหากมีการกำหนดราคาซื้อหรือราคาจำหน่ายสินค้าควบคุม จำนวน ๕ รายการ ได้แก่ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง รถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่ง รถยนต์บรรทุก ขอให้คำนึงถึงผลกระทบจากการที่กรมสรรพสามิตมีปรับเปลี่ยนโครงสร้างและอัตราภาษีอยู่เป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
342 | การแก้ไขปัญหาผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จังหวัดอุบลราชธานี | กษ | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจ่ายเงินชดเชยแก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน ๙ ราย รวมทั้งสิ้น ๑๓,๙๓๓,๑๒๒.๕๐ บาท โดยในส่วนของงบประมาณ ให้กรมชลประทานปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาดำเนินการเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๒ (เฉพาะโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จังหวัดอุบลราชธานี) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
343 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2562 | ทส | 18/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นเรื่องที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) จำนวน ๑๑ โครงการ (๒) การเสนอพื้นที่แม่น้ำสงครามตอนล่างขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (Ramsar Site) และ (๓) มาตรฐานค่าเข้มกลิ่นของอากาศเสียที่ปล่อยทิ้งจากโรงงานผลิตยาง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
344 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การเกษตรนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Research Center for Agricultural Science : JIRCAS) และร่างแผนปฏิบัติงานวนวัฒนวิธีที่มีศักยภาพเพื่อส่งเสริมการปลูกสวนป่าสัก (Work Plan Efficient silvicultural practices for promoting teak plantation) | ทส | 11/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การเกษตรนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Research Center for Agricultural Science : JIRCAS) และร่างแผนปฏิบัติงานวนวัฒนวิธีที่มีศักยภาพเพื่อส่งเสริมการปลูกสวนป่าสัก (Work Plan Efficient silvicultural practices for promoting teak plantation) รวมทั้งอนุมัติให้อธิบดีกรมป่าไม้หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ และแผนปฏิบัติงานฯ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด และข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น (๑) ในการจัดทำแผนงานภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ให้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศด้วย (๒) ควรมีข้อความกำหนดห้ามการส่งตัวอย่างชีวภาพของไม้สักภายใต้โครงการวิจัยร่วมจากประเทศไทยไปยังประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสอดคล้องกับมติคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ และ (๓) ควรตรวจสอบกับ JIRCAS ให้ชัดเจนว่า กรณีใดจึงจะถือว่าเป็นนักวิจัยระยะยาว เนื่องจากตามร่างบันทึกความเข้าใจฯ หัวข้อการสนับสนุนทั่วไปมีข้อความกำหนดว่า “นักวิจัยแลกเปลี่ยนของ JIRCAS ตามที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานสำหรับโครงการในระยะสั้นและระยะยาว คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะทำการตกลงร่วมกันในการเสนอชื่อและนัดหมายการทำงานของนักวิจัยระยะยาวของ JIRCAS” เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับช่วงระยะเวลาดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติงานฯ ให้เป็นปัจจุบันเพื่อให้การดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนเสร็จทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ พิจารณากำหนดแนวทางในการบริหารจัดการองค์ความรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะองค์ความรู้เกี่ยวกับทรัพยากรพันธุกรรมของประเทศไทย เพื่อให้เกิดการบูรณาการฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบครอบคลุมทุกมิติ ๓.๒ พิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการจัดทำกฎหมายกลางที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้การบริหารจัดการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เกิดการบูรณาการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อให้เกิดการแบ่งปันผลประโยชน์ให้แก่ชุมชนหรือประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดทรัพยากรชีวภาพ ในกรณีที่ประเทศอื่นหรือบริษัทข้ามชาติจะนำองค์ความรู้จากการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพในชุมชนไปใช้ประโยชน์เพื่อการค้า หรือนำองค์ประกอบทางพันธุกรรมหรือทางชีวเคมี หรือการใช้เทคโนโลยีชีวภาพต่อทรัพยากรชีวภาพของประเทศไทยไปศึกษา วิจัย และนำมาผลิตเป็นสินค้าต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
345 | ขออนุมัติแผนหลักการฟื้นฟูบึงราชนก จังหวัดพิษณุโลก และแผนหลักการพัฒนาและฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ | นร | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เสนอ ๑.๑ เห็นชอบแผนหลักการฟื้นฟูบึงราชนก จังหวัดพิษณุโลก รวม ๔ ด้าน ระยะเวลาดำเนินการ ๗ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๙) วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑,๔๕๖.๙๘ ล้านบาท โดยให้เร่งดำเนินการแผนงานเร่งด่วนที่มีความพร้อม จำนวน ๑๑ โครงการ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ วงเงินงบประมาณ ๗๕๔.๕๖ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบแผนหลักการพัฒนาและฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ รวม ๖ ด้าน ระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๒) วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๕,๗๐๑.๕ ล้านบาท โดยให้เร่งดำเนินการแผนงานเร่งด่วนที่มีความพร้อม จำนวน ๙ โครงการ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ วงเงินงบประมาณ ๑,๕๑๓.๕ ล้านบาท ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการที่มีความพร้อมสามารถดำเนินการได้ทันทีในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานดำเนินการเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้เสนอขอรับการสนับสนุนตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๑.๔ มอบหมายให้ สทนช. อำนวยการและกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนหลักที่วางไว้ทั้ง ๒ แผน รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๒ อย่างเคร่งครัด ดังนี้ ๑.๔.๑ การฟื้นฟูบึงราชนก จังหวัดพิษณุโลก (๑) ให้หน่วยงานเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเร่งด่วน จำนวน ๑๑ โครงการ โดยให้ดำเนินการเตรียมความพร้อมให้ชัดเจน พร้อมทั้งวางแผนเยียวยาในเรื่องการจัดหาที่อยู่ให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อไปด้วย และ (๒) ให้ สทนช. ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานให้ กนช. ทราบเป็นระยะต่อไป ๑.๔.๒ การฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ (๑) ต้องสร้างความเข้าใจและการรับรู้ให้กับประชาชน (๒) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดเตรียมความพร้อมและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามแผนที่กำหนด และ (๓) ให้ สทนช. ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานให้ สนทช. ทราบเป็นระระต่อไป ๒. ให้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งมีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดของแผน และการบริหารจัดการแผน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายและภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นให้เพื่อขับเคลื่อนแผนหลักดังกล่าว เห็นควรให้ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วน ความคุ้มค่า ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งจัดเตรียมความพร้อมและจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยให้จัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการ และให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามแผนให้ถูกต้อง ทั่วถึงโดยให้คำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับของส่วนรวม พร้อมทั้งให้จัดเตรียมมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
346 | การปรับปรุงคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 | กก | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ ๑๓ เนื่องจากเลขาธิการคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ ๑๓ (พลตรี จารึก อารีราชการัณย์) ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการและเลขาธิการของคณะกรรมการดังกล่าว โดยให้ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการและเลขาธิการ แทน และให้อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีล้มละลาย เป็นกรรมการเพิ่มเติม ตามมติคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ ๑๓ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
347 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน | นร10 | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้แก่กระทรวงพลังงาน จำนวน ๗๘ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว เห็นควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน โดยขอทำความตกลงงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรใช้อัตรากำลังที่ได้รับจัดสรรดังกล่าวให้เป็นไปตามภารกิจที่กำหนด และควรประเมินผลการปฏิบัติงานของสำนักงานพลังงานจังหวัดว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางแผนไว้หรือไม่ เพื่อนำมาปรับปรุงการปฏิบัติงานและพัฒนาบุคลากรให้สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานในระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของส่วนราชการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับมาตรการด้านกำลังคนภาครัฐ) อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
348 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 | ทส | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นเรื่องที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๐ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอม จำนวน ๖ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร (ส่วนช่องนนทรี-สาทร) ของสำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร (๒) โครงการทางหลวงหมายเลข ๑๐๑ สายร้องกวาง-น่าน ตอนที่ ๒ ของกรมทางหลวง (๓) โครงการก่อสร้างถนนต่อเชื่อมสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนนนทบุรี ๑-ถนนกาญจนาภิเษก จังหวัดนนทบุรี (๔) โครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย จังหวัดเชียงใหม่ (หนองหอย) ของการเคหะแห่งชาติ (๕) โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ประชานิเวศน์ ๓) ของการเคหะแห่งชาติ และ (๖) รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่อทำปูนขาวและหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ของบริษัท สหศิลาเพิ่มพูน จำกัด ๒. เรื่องอื่น ๆ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) ผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามแผนปฏิบัติการภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เชิงบูรณาการ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๔ (๒) สรุปผผลการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ สมัยที่ ๑๓ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (๓) การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมมลพิษ และ (๔) ผลการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
349 | การขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547 เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน และหลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา และอนุกรรมการขององค์การมหาชน | นร12 | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน และหลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา และอนุกรรมการขององค์การมหาชน) โดยเพิ่มเติมว่า “ให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะซึ่งยังมิได้รับการพิจารณาประเมินค่างานและจัดกลุ่มองค์การมหาชนจากคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนได้รับการจัดกลุ่มในกลุ่มที่ ๓ (บริการสาธารณะทั่วไป) ไปพลางก่อน จนกว่าสำนักงาน ก.พ.ร. จะแจ้งมติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนให้ทราบ” ๒. เห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร) จากเดิม “ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเป็นผู้พิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นใหม่ แล้วแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ” เป็น “ให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเป็นผู้พิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นใหม่แล้วแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ” ๓. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. เร่งดำเนินการรวบรวมหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับองค์การมหาชน และแจ้งให้รัฐมนตรีที่กำกับดูแลองค์การมหาชนและองค์การมหาชนทุกแห่งทราบ เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยให้นำความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (๑) อาจพิจารณาให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะนำข้อเสนอของสำนักงาน ก.พ.ร. ไปปรับใช้โดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายจัดตั้งขององค์การมหาชน (๒) การกำหนดค่าตอบแทนฯ จะต้องมีการบริหารอย่างเหมาะสมภายใต้ขอบเขตอำนาจตามกฎหมายจัดตั้งองค์กรนั้น ๆ เพื่อส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจในการทำงาน จึงไม่ควรอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนด (๓) ควรให้องค์การมหาชนที่เคยได้รับการจัดกลุ่มไว้แล้วแต่มีความจำเป็นต้องให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณาประเมินค่างานและจัดกลุ่มใหม่ (มีการมอบหมายภารกิจเพิ่มมากขึ้น/ยุบเลิกองค์การมหาชนเดิมและจัดตั้งขึ้นใหม่) จึงควรให้หน่วยงานดังกล่าวได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มเดิมไปพลางก่อนจนกว่าคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนจะพิจารณาแล้วเสร็จ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
350 | โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. 2561 - 2570 (ดำเนินการเฉพาะในระยะที่ 1 พ.ศ. 2561 - 2564) | ศธ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินงานโครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐ (ดำเนินการเฉพาะในระยะที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔) และอนุมัติให้ดำเนินการ รวมทั้งเห็นชอบให้จัดสรรงบประมาณ โดยขอเบิกจ่ายในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป โดยมีอัตราค่าใช้จ่ายเป็นงบดำเนินการผลิตบัณฑิตและงบลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในสถาบันฝ่ายผลิตแพทย์ รวมจำนวนทั้งสิ้น ๓๔,๘๓๘.๔ ล้านบาท แบ่งเป็น (๑) งบดำเนินการผลิตบัณฑิตในอัตรา ๓๐๐,๐๐๐ บาท/คน/ปี หรือ ๑.๘ ล้านบาท/คน/หลักสูตร รวมวงเงินทั้งสิ้น ๑๖,๕๐๒.๔ ล้านบาท และ (๒) งบลงทุนเพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานการจัดการเรียนการสอนด้านการแพทย์ในอัตรา ๒ ล้านบาท/คน/หลักสูตร รวมวงเงินทั้งสิ้น ๑๘,๓๓๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความพร้อม ความจำเป็นและความเหมาะสมที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละปีงบประมาณ รวมทั้งพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้
๑. พิจารณาทบทวนการเป็นนักศึกษาคู่สัญญาของนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐและคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๒ และมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ โดยไม่ให้นำเหตุแห่งการบรรจุแพทย์เข้ารับราชการเพื่อชดใช้ทุนมาใช้ในการขออัตรากำลังแพทย์เพิ่มขึ้นอีก ๒. ในการดำเนินโครงการฯ ให้พิจารณาดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเรื่อง การกระจายกำลังคนไปยังพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งการธำรงรักษาแพทย์ไว้ในระบบราชการด้วย ๓. พิจารณากำหนดแนวทางการร่วมมือกับภาคเอกชนในการผลิตบุคลากรสาขาแพทย์และสาขาอาชีพอื่นที่ยังขาดแคลน ให้สอดคล้องกับความต้องการในภาพรวมทั้งระบบ รวมทั้งสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ของประเทศด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
351 | การนำที่ดินขององค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาลมาใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณถนนโครงการสาย ข7 อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี | มท | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ ครั้งที่ ๔๗-๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ให้นำที่ดินขององค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล หรือตามกฎหมายเฉพาะ (พื้นที่การประปาส่วนภูมิภาค ในบริเวณสถานีจ่ายน้ำวัดภูเขาแก้ว) มาใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณถนนโครงการสาย ข๗ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปพร้อมกับจัดระเบียบแปลงที่ดินใหม่ โดยมีพื้นที่ดำเนินโครงการรวม ๙๖ ไร่ ๑ งาน ๖๑.๘๐ ตารางวา เจ้าของที่ดิน ๑๒ ราย รวมถึงที่ดินขององค์การของรัฐบาลซึ่งเป็นที่ตั้งของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) (สถานีจ่ายน้ำวัดภูเขาแก้ว) อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี พื้นที่ประมาณ ๒๙ ไร่ ๒ งาน ๘๒ ตารางวา และภายหลังการดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินฯ แล้ว ที่ดินของรัฐในความดูแลของ กปภ.จะมีขนาดพื้นที่เท่าเดิม ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๕๖ มาตรา ๖๒ และมาตรา ๖๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. ๒๕๔๗ (สำหรับพื้นที่สาธารณะและพื้นที่จัดหาประโยชน์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๐๖ และ ๐.๕๘ ตามลำดับ และพื้นที่เอกชนลดลงร้อยละ ๗.๕๔)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
352 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข (ตำแหน่งนายแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) | นร10 | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้แก่สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข (ตำแหน่งนายแพทย์ และทันตแพทย์) จำนวน ๑,๓๕๘ อัตรา สำหรับตำแหน่งเภสัชกร เนื่องจากจำนวนเภสัชกรที่มีอยู่ในปัจจุบันมีจำนวนใกล้เคียงกับเป้าหมายที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด จึงไม่ถือเป็นตำแหน่งที่มีความขาดแคลน ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คปร. ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการวิเคราะห์พร้อมจัดทำข้อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับการเป็นนักศึกษาคู่สัญญาของนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการบรรจุนักศึกษาคู่สัญญาที่มุ่งเน้นการกระจายบุคลากรไปยังพื้นที่ห่างไกลและขาดแคลนบุคลากร รวมถึงการกำหนดมาตรการสร้างแรงจูงใจในการธำรงรักษาบุคลากรให้อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นสำหรับการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ในปี ๒๕๖๒ เห็นควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขบริหารจัดการภายในวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร และให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป ในแผนงานบุคลากรภาครัฐตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป สำหรับการบรรจุอัตราข้าราชการตั้งใหม่ในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของการขอกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการใช้อัตราว่างที่มีอยู่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขมาดำเนินการก่อนเป็นลำดับแรก และควรกำหนดอัตราส่วนบุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขต่อจำนวนประชากรที่เหมาะสม และให้มีการกระจายบุคลากรทางการแพทย์อย่างเป็นธรรมในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้การบริการสาธารณสุขในภาพรวมของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนในทุกพื้นที่โดยเท่าเทียมกัน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
353 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2562 | กค | 12/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การจัดทำร่างหลักการและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... เพื่อใช้เป็นหลักการและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีของรัฐวิสาหกิจแทนหลักการและแนวทางการกำกับดูแลที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ปี ๒๕๕๒ (๒) การพิจารณาอัตราและหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนรายเดือนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจและกรรมการอื่นในคณะกรรมการชุดย่อย คณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงานอื่น และ (๓) การแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง ได้แก่ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หากประเด็นการควบรวมกิจการของทั้ง ๒ บริษัทมีความชัดเจนและได้ข้อยุติแล้ว เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมในการยุบเลิกบริษัท โครงข่ายบรอดแบรนด์แห่งชาติ จำกัด และบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จำกัด ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินภารกิจการให้บริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
354 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และกระทรวงวัฒนธรรม | นร10 | 12/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้แก่กระทรวงยุติธรรม (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) จำนวน ๒๐ อัตรา และกระทรวงวัฒนธรรม (สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม) จำนวน ๒๔๗ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว เห็นควรให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้ส่วนราชการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการดังกล่าว จะต้องเป็นไปตามความจำเป็นและทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมตามความสามารถในการใช้จ่ายตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมและกระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของส่วนราชการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับมาตรการด้านกำลังคนภาครัฐ) อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
355 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 (ครั้งที่ 16) | พน | 12/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ (ครั้งที่ ๑๖) เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๒ ซึ่งมีมติเห็นชอบใน ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑) แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ (PDP2018) (๒) สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กับรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (๓) ข้อกำหนดพื้นที่ตั้งโครงการโรงไฟฟ้าขยะของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) (๔) แนวทางการดำเนินการกับกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ระบบ Cogeneration ที่สิ้นสุดอายุสัญญา และ (๕) การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบูรณาการนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่ง ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ (PDP2018) ให้กระทรวงพลังงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๙ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ และดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการกระจายเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าหลักที่จะพัฒนาในระยะต่อไป การสร้างความเข้าใจด้านพลังงานให้แก่ภาคส่วนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง การพัฒนาโครงข่ายสายส่งเพื่อลดการจ่ายกระแสไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าประเภทที่จำเป็นต้องเดินเครื่องเพื่อรักษาความมั่นคง (Must Run) และเร่งพัฒนายกระดับโครงข่ายสายส่งไฟฟ้า โดยเฉพาะในระดับโครงข่ายสายจำหน่ายให้เป็นโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) เพื่อรองรับรูปแบบการผลิตและการใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปอันเป็นผลเนื่องมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีพลังงานทดแทนและระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งจะช่วยให้โครงข่ายไฟฟ้าของประเทศสามารถรองรับเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจใหม่ด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
356 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2561 (เพิ่มเติม) | ทส | 05/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ (เพิ่มเติม) เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นเรื่องที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๕ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๒ เรื่อง ๑.๑ โครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย จังหวัดชลบุรี (แหลมฉบัง) ระยะที่ ๑ และระยะที่ ๒ ของการเคหะแห่งชาติ ๑.๒ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ของการไฟรถแห่งประเทศไทย ๒. เรื่องเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด จำนวน ๓ เรื่อง ๒.๑ รายงานความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับการตั้งงบประมาณในการจัดการขยะมูลฝอยภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ๒.๒ รายงานการติดตามประเมินผลแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ๒.๓ แนวทางการดำเนินการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการอุดหนุนงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการฯ กรณีมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
357 | บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ขอเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าทับกวาง และป่ามวกเหล็ก แปลงที่ 1 เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ท้องที่จังหวัดสระบุรี | ทส | 05/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผ่อนผันให้บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าทับกวาง และป่ามวกเหล็ก แปลงที่ ๑ (ท้องที่ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก และตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี) เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ จำนวน ๑๕ แปลง ในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ (พื้นที่ประทานบัตร ๑๕ แปลง รวมเนื้อที่ ๓,๓๑๑ ไร่ ๒ งาน ๖๗ ตารางวา โดยอยู่ในเขตกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันออก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ชั้นที่ ๑ เอ รวมเนื้อที่ ๓,๒๒๓ ไร่ ๒ งาน ๓๕ ตารางวา) เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ และวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลให้ผู้รับอนุญาตปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องและมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ [หนังสือคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ ทส (กก.วล) ๑๐๐๕/ว ๑๑๓๙๙ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๗] รวมทั้งมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ [เรื่อง แนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพมหานคร/ปริมณฑล และในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ] โดยดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เช่น ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน และสามารถจัดการปัญหาความทับซ้อนในการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ดังกล่าวได้ รวมทั้งต้องให้ความสำคัญต่อมาตรการป้องกันและจัดการผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนอันเกิดจากการประกอบกิจการดังกล่าว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
358 | ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร) | คค | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเงินเดือน ๓๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งค่าตอบแทนพิเศษประจำปีและสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้รับจ้างจะได้รับตามที่กระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ตามมติคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๒ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้าง แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้ เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
359 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2562 | กค | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและการบริหารจัดการข้าว ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ ภายใต้วงเงินงบประมาณจำนวน ๑,๗๔๐.๖๐ ล้านบาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ จำนวน ๑๖๔.๒๕ ล้านบาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติมจำนวน ๑,๕๗๖.๓๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติม ๑,๕๗๖.๓๕ ล้านบาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริง พร้อมด้วยอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ต่อปี ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒ ให้ได้ตามเป้าหมายและตามกำหนดเวลาการเอาประกันภัยของเกษตรกร ทั้งในส่วนที่ ๑ และส่วนที่ ๒ (Tier 1 และ Tier 2) พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัยและร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมาย และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการดำเนินการในเบื้องต้นแล้ว ๑.๕ มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานครดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๕๙-๒๕๖๑ และให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินการรับรองความเสียหายของเกษตรกรในกลุ่มข้างต้น และจัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต ๒๕๖๒ ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๗ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยประสานงานกับ ธ.ก.ส. กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบการประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ รวมทั้งการศึกษาต้นทุนการประกันภัยที่สะท้อนความเสี่ยงจริง ตลอดจนการพิจารณานำข้อมูลความเสี่ยงภาคเกษตรอื่น ๆ อาทิ ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลความเสี่ยงการเกิดภัยแล้งและน้ำท่วม มาใช้ประกอบการคิดอัตราเบี้ยประกันภัย และการพัฒนาระบบการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
360 | โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562 | กค | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ภายใต้วงเงินงบประมาณจำนวน ๑๒๑.๘๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาล จำนวน ๑๒๑.๘๐ ล้านบาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ต่อปี ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ ให้ได้ตามเป้าหมายและตามกำหนดเวลาการเอาประกันภัยของเกษตรกร ทั้งในส่วนที่ ๑ (Tier 1) และส่วนที่ ๒ (Tier 2) พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัยและร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมาย และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการดำเนินการในเบื้องต้นแล้ว ๑.๕ มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการประกันภัยข้าวนาปีและให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินการรับรองความเสียหายของเกษตรกรในกลุ่มข้างต้น และจัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต ๒๕๖๒ ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการ และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๗ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยประสานงานกับ ธ.ก.ส. กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบการประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการในอนาคต โดยส่งเสริมให้ ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์จากการประกันภัยของเกษตรกรร่วมจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น และส่งเสริมให้เกษตรกรที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ได้มีส่วนร่วมในระบบประกันภัยพืชผลมากยิ่งขึ้น โดยทยอยให้เกษตรกรเพิ่มการมีส่วนร่วมในการรับภาระค่าเบี้ยประกันด้วย และในระยะต่อไปหากระบบการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้รับความสนใจจากเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราค่าเบี้ยประกันภัยมีแนวโน้มลดลง รวมทั้งควรพิจารณาการมีส่วนร่วมของเกษตรกรในการรับผิดชอบค่าเบี้ยประกันภัยเองในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระงบประมาณในการชดเชยค่าเบี้ยประกันภัย นอกจากนี้ ควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ ตลอดจนการศึกษาต้นทุนการประกันภัยที่สะท้อนความเสี่ยงจริง และการพิจารณานำข้อมูลความเสี่ยงภาคเกษตรอื่น ๆ อาทิ ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลความเสี่ยงการเกิดภัยแล้งและน้ำท่วม มาใช้ประกอบการคิดอัตราเบี้ยประกันภัยและการพัฒนาระบบการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
.....