ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 20 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 381 - 400 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
381 | ขออนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนบริเวณคลองบางนาง แม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ 1-2) โดยอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับป่าชายเลน | พน | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ (เรื่อง การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนประเทศไทย) วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานการศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) และวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อให้ กฟผ. ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าชายเลนในการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) เนื้อที่ประมาณ ๒,๓๐๕ ตารางเมตร ทั้งนี้ ให้ กฟผ. เร่งรัดดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ทันภายในเดือนเมษายน ๒๕๖๒ ตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ ๒. ให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้กระทรวงพลังงานกำชับให้ กฟผ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินโครงการอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในการขุดลอกดินเพื่อคลองชักน้ำและก่อสร้างทำนบกั้นชั่วคราวระหว่างก่อสร้างบ่อพักน้ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้ กฟผ. ใช้เงินรายได้ของ กฟผ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงรักษาป่าชายเลน เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมกรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
382 | โครงการปรับปรุงขยายเพื่อรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 (เร่งด่วน) การประปาส่วนภูมิภาคสาขานครพนม | มท | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยายเพื่อรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ ๒ (เร่งด่วน) การประปาส่วนภูมิภาคสาขานครพนม (ฉบับปรับปรุง) จากเดิมก่อสร้างในที่ดินบริเวณโคกภูกระแต เป็นก่อสร้างในที่ดินของ กปภ. สาขานครพนม วงเงินเต็มโครงการ ๗๖.๙๘๙ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า โครงการดังกล่าวไม่เข้าข่ายโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และไม่ขัดต่อมาตรการที่ใช้ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ แต่ต้องคำนึงถึงการกัดเซาะพังทลายของพื้นที่ริมตลิ่งหากมีการนำน้ำจากแม่น้ำโขงมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินการผลิตน้ำประปา เพราะในระยะยาวการปล่อยให้พื้นที่ริมตลิ่งถูกกัดเซาะจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางการไหลของกระแสน้ำ ส่งผลให้เกิดการทรุดตัวของดินและการสูญเสียแผ่นดินในบริเวณริมตลิ่งเพิ่มมากขึ้น และเห็นควรให้ กปภ. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เช่น ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการผลิต การบริหารจัดการ และลดอัตราน้ำสูญเสียให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนด้านการจราจรในช่วงระหว่างก่อสร้างโครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กปภ. ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) สำหรับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของ กปภ. ในคราวต่อ ๆ ไป อย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
383 | มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ | พณ | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอว่า เพื่อเป็นการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ที่ให้กระทรวงพลังงานนำน้ำมันปาล์มดิบไปใช้ในการผลิตไฟฟ้า ๑๖๐,๐๐๐ ตัน กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะดำเนินการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ๑๖๐,๐๐๐ ตัน ในราคา ๑๘ บาทต่อกิโลกรัม โดยร่วมกับกระทรวงพาณิชย์จัดหาจากเกษตรกรผู้ผลิตที่ลานเทและโรงงานสกัดที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่ง กฟผ. จะรับมอบน้ำมันปาล์มดิบที่ท่าเทียบเรือโรงไฟฟ้าบางปะกง โดยใช้เงินในการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๒,๘๘๐ ล้านบาท คิดเป็นต้นทุนเชื้อเพลิงสูงกว่าค่าไฟฟ้า จำนวน ๑,๓๕๔ ล้านบาท และ กฟผ. จะขอรับเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า จำนวน ๕๒๕ ล้านบาท สำหรับส่วนต่างส่วนที่เหลือ จำนวน ๘๒๙ ล้านบาท กฟผ. จะขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเพื่อปรับลดเงินรายได้นำส่งเข้ารัฐเหลือเป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (Public Service Account : PSA) เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตในส่วนที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนโดยเร็ว เช่น การอนุญาตขนส่งน้ำมันปาล์มดิบจากกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม การอนุญาตการขนส่งน้ำมันปาล์มทางรถบรรทุกจากองค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาลตำบลที่เกี่ยวข้อง การอนุญาตการขนย้ายน้ำมันปาล์มจากพื้นที่ภาคใต้และขนย้ายเข้าจังหวัดฉะเชิงเทราจากกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ การขออนุญาตเพิ่มกำลังแรงม้าเครื่องจักรจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชื้อเพลิงไฟฟ้าจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เป็นต้น เพื่อให้ กฟผ. สามารถดำเนินงานต่อไปได้อย่างรวดเร็วและบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของมาตรการดังกล่าว และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. อนุมัติการใช้งบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๒๕ ล้านบาท สำหรับการดำเนินมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ โดยการนำน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าและผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันให้ทราบอย่างทั่วถึงด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น กระทรวงพาณิชย์ควรหารือกับกระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. ในเรื่องขั้นตอนวิธีการในกรรรับซื้อ การขนส่ง รวมถึงกำลังการผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันปาล์มดิบต่อเดือนให้สอดคล้องกับเป้าหมายและระยะเวลาของโครงการที่จะให้ กฟผ. ลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบมาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า จำนวน ๑๖๐,๐๐๐ ตัน การจัดทำข้อมูลรายละเอียดวงเงินส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการลดพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันทั้งในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันและพื้นที่บุกรุกพื้นที่ป่า โดยให้มีการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูก การปลูกพืชเสริม หรือประกอบอาชีพอื่นแทน และการกำหนดมาตรการให้ภาคเอกชนรับซื้อปาล์มน้ำมันจากเกษตรกรที่ปลูกในพื้นที่ถูกกฎหมายเท่านั้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
384 | ขออนุมัติโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา [ถูกยกเลิกโดย 15207/68 (มติ ครม. 17/06/68)] | นร63 | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภาไม่เข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ๒. อนุมัติในหลักการโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ กองทัพเรือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้โครงการฯ เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๖,๓๓๓ ล้านบาท ให้กับกองทัพเรือเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการฯ หากกองทัพเรือมีความพร้อมและความจำเป็นเร่งด่วนต้องดำเนินการภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้กองทัพเรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาดำเนินการเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งพิจารณาอำนาจและหน้าที่ของหน่วยงาน เป้าหมาย ผลประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยต้องคำนึงถึงความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กองทัพเรือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น ให้กองทัพเรือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และการท่าเรือแห่งประเทศไทยร่วมกันพิจารณาดำเนินการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในกรณีที่โครงการฯ ไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้าหมาย การคัดเลือกเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมและจำเป็นสำหรับการดำเนินกิจการเพื่อลดผลกระทบต่อต้นทุนโครงการฯ การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรทั้งในเชิงนโยบายและคุณภาพให้สามารถรองรับการดำเนินงานของศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานและกิจกรรมการบินที่เกี่ยวเนื่องได้ทันทีเมื่อเปิดให้บริการ การกำหนดส่วนแบ่งรายได้ของโครงการฯ การกำหนดแนวทางการดำเนินการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานในระยะต่อไป โดยเปิดโอกาสในการคัดเลือกเอกชนรายอื่น ๆ ที่มีศักยภาพเข้าร่วมด้วย การพิจารณารูปแบบการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) ที่จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกควรประสานกระทรวงอุตสาหกรรมในการกำหนดแนวทางการพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้มีขีดความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนอากาศยานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
385 | การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุมปี ๒๕๖๑ เพิ่มเติม จำนวน ๑ รายการ คือ มะพร้าวผลแก่ และผลิตภัณฑ์ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งกำหนดหลักเกณฑ์ มาตรการ และเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการนำเข้ามาในราชอาณาจักรและการเคลื่อนย้ายสินค้าดังกล่าวตามบทบัญญัติมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อเป็นการป้องกันการลักลอบนำเข้ามะพร้าวผลแก่และผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ รวมถึงรักษาเสถียรภาพและสร้างความเป็นธรรมด้านราคาสินค้าให้แก่เกษตรกร และควรมีการติดตาม กำกับดูแล และแก้ไขปัญหาการลักลอบนำสินค้าเกษตรเข้ามาในประเทศได้ทันทวงที ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
386 | ขออนุมัติโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก | นร63 | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกเข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ออกตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งปัจจุบันกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังไม่ได้รับรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘ บัญญัติให้การดำเนินโครงการหรือกิจการใดภายใต้เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชนหรือชุมชนตามที่มีกฎหมายกำหนด ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการเป็นการเฉพาะเพื่อพิจารณาให้ความเห็นหรือความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการหรือกิจการนั้น โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานที่ถูกต้องและมีข้อมูลครบถ้วน และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๔๙ วรรคสี่ บัญญัติให้ในระหว่างที่รอผลการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินกระบวนการหรือขั้นตอนเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกชนที่จะเป็นผู้รับงานนั้นไปพลางก่อนได้ แต่จะลงนามผูกพันในสัญญาหรือให้สิทธิกับเอกชนผู้นั้นไม่ได้ ๒. อนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ กองทัพเรือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๑๗,๗๖๘ ล้านบาท ให้กับกองทัพเรือเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และให้กองทัพเรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาดำเนินการเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งพิจารณาอำนาจและหน้าที่ของหน่วยงาน เป้าหมาย ผลประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยต้องคำนึงถึงความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กองทัพเรือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น การพิจารณาประมาณการจำนวนผู้โดยสารจากปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้านและรอบคอบ การเร่งจัดทำแผนแม่บทสนามบินอู่ตะเภาให้แล้วเสร็จโดยเร็วก่อนที่จะเริ่มดำเนินโครงการฯ เพื่อสร้างความชัดเจนในภาพรวมของการพัฒนาสนามบิน รวมถึงตำแหน่งสิ่งปลูกสร้างในโครงการฯ การกำหนดขอบเขตกิจกรรมและสิทธิต่าง ๆ ของการดำเนินโครงการฯ ในการร่วมลงทุนกับภาคเอกชนอย่างรอบคอบ การกำหนดโครงสร้างการบริหารโครงการฯ ทั้งระหว่างการก่อสร้างและดำเนินโครงการฯ โดยอาจพิจารณาหน่วยงานหรือนำบุคลากรที่มีศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ทั้งทางด้านเทคนิคและการบริหารสนามบินพาณิชย์ขนาดใหญ่มาช่วยในการบริหารจัดการโครงการฯ การกำหนดเงื่อนไขการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่มีความสอดคล้องกับปริมาณการขนส่ง การใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุณภาพการให้บริการ และความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ตลอดจนดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และการจัดเตรียมแผนงานและมาตรการรองรับในกรณีหากมีการร้องเรียนจากผู้ได้รับผลกระทบจากการดำนเนินงานสนามบินให้มีความชัดเจนตั้งแต่ก่อนเริ่มดำเนินการโครงการฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๕. ให้กองทัพเรือดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๕.๑ ประสานงานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดเพื่อบูรณาการการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกและโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน ให้สอดคล้อง เชื่อมโยง และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๕.๒ เร่งรัดการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาร่วมลงทุนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
387 | แต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (นายสมพงษ์ ปรีเปรม) | มท | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายสมพงษ์ ปรีเปรม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๔๗๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ (ตามมติคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ครั้งที่ ๙/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๑) ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้าง และการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้าง แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้นายสมพงษ์ ปรีเปรม ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
388 | แต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (นายกีรพัฒน์ เจียมเศรษฐ์) | มท | 16/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายกีรพัฒน์ เจียมเศรษฐ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๔๔๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ (ตามมติคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง ในการประชุมครั้งที่ ๖๙๘ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๖๙๙ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๑) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้าง แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๑) ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้าง และการประเมินผลการปฏิบัติงาน ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้นายกีรพัฒน์ เจียมเศรษฐ์ ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
389 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 และครั้งที่ 3/2561 (มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561) | ทส | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในการประชุม กก.วล. จำนวน ๒ ครั้ง ประกอบด้วย (๑) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๐ เรื่อง ได้แก่ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๖ โครงการ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม จำนวน ๒ เรื่อง และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติก และ (๒) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้วเช่นกัน จำนวน ๗ เรื่อง ได้แก่ การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๓ โครงการ และการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๔ โครงการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
390 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 และครั้งที่ 3/2561 (มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561) | ทส | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในการประชุม กก.วล. จำนวน ๒ ครั้ง ประกอบด้วย (๑) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๐ เรื่อง ได้แก่ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๖ โครงการ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม จำนวน ๒ เรื่อง และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติก และ (๒) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้วเช่นกัน จำนวน ๗ เรื่อง ได้แก่ การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๓ โครงการ และการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๔ โครงการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
391 | ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (นายสุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์) | คค | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการแต่งตั้ง นายสุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๓๒๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งค่าตอบแทนพิเศษประจำปี และสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้รับจ้างจะได้รับ ที่กระทรวงการคลังเห็นชอบแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ (ตามมติคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๗/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๘/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๑) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้าง แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้นายสุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์ ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย ทั้งนี้ ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ขอให้ยึดหลักการทำงานด้วยความโปร่งใส และเป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
392 | ร่างพระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. .... [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561)] | นร | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. .... โดยให้แก้ไขวันใช้บังคับของร่างพระราชบัญญัติ จาก “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้นไป เว้นแต่มาตรา ๓ มาตรา ๔ มาตรา ๕ มาตรา ๖ มาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” เป็น “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นต้นไป เว้นแต่มาตรา ๓ มาตรา ๔ มาตรา ๕ มาตรา ๖ มาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. ใหสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. .... ตามมติคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยด่วน ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
393 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561) | นร05 | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๑ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. .... ตามมติคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยด่วน ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
394 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2561 | กค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในคราวประชุมดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีมติมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เร่งรัดดำเนินการตามแผนการฟื้นฟูองค์กร และให้กระทรวงที่กำกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจกำกับและติดตามการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง รวมทั้งนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ระบบคมนาคมขนส่งในภาพรวม (๒) การกำหนดมาตรการรองรับการเกษียณอายุก่อนกำหนดของบุคลากรรัฐวิสาหกิจ และบุคลากรที่จะเข้าสู่กลุ่มผู้เกษียณอายุ และ (๓) การสร้างการรับรู้ให้กับพนักงานให้ตระหนักถึงความจำเป็นในการดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร ๑.๒ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีมติเห็นชอบกรอบหลักการและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นการปรับปรุงแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจในปี ๒๕๕๒ (ฉบับเดิม) โดยได้พิจารณาให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและตามมาตรฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยหลักการและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ฉบับปรับปรุง จะมีทั้งสิ้น ๑๐ หมวด ประกอบด้วย (๑) การดำเนินงานของภาครัฐในฐานะเจ้าของ (๒) การดำเนินงานตามกฎหมาย (๓) สิทธิและความเท่าเทียมกันของเจ้าของกิจการ/ผู้ถือหุ้น (๔) ว่าด้วยเรื่องคณะกรรมการ (๕) บทบาทของผู้มีส่วนได้เสีย (๖) นวัตกรรมและความยั่งยืน (๗) การเปิดเผยข้อมูล (๘) การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน (๙) จรรยาบรรณ และ (๑๐) การติดตามผลการดำเนินงาน ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับกรณีการเพิ่มทุนให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยว่า ภายหลังการเพิ่มทุนให้กับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำนวน ๑๘,๑๐๐ ล้านบาท ส่วนของทุนของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยก็จะยังติดลบอยู่ เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยมีผลประกอบการขาดทุนเพิ่มขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
395 | ขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2562 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๒,๒๕๑.๖๔๔ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๓,๓๓๓.๓๗๑ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และให้ ขสมก. และ รฟท. รายงานภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) ทราบ เพื่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลังจะได้ดำเนินการจัดเก็บข้อมูลยอดคงค้างให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ ขสมก. และ รฟท. เร่งดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สิน การพลิกฟื้นฐานะองค์กร และการลงทุนโครงการต่าง ๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ตามนัยมาตรา ๒๘ และดำเนินการตามนัยมาตรา ๓๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. เร่งจัดทำต้นทุนมาตรฐานเพื่อใช้ในการกำกับดูแลอัตราค่าโดยสารและคุณภาพการให้บริการให้แล้วเสร็จโดยด่วน เพื่อให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของ ขสมก. และ รฟท. ให้เหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจที่ต้องขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้มีความชัดเจน เหมาะสม และสอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำข้อตกลงการให้บริการสาธารณะและเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้แล้วเสร็จโดยเร็วยิ่งขึ้น เพื่อลดปัญหาการขาดสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจและภาระดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมเงินมาให้บริการสาธารณะ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ (เรื่อง รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
396 | การแต่งตั้งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (นางสาวสมจิณณ์ พิลึก) | อก | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในปีแรกเดือนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิทธิประโยชน์อื่นของผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามร่างสัญญาจ้างซึ่งกระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบแล้ว (ตามมติคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๗/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๘/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑) ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
397 | แต่งตั้งผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย | กก | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายก้องศักด ยอดมณี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ตามมติคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
398 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อทำเหมืองแร่ ของบริษัท ปูนซีเมนต์เอเชีย จำกัด (มหาชน) บริษัท ภูมิใจไทยซีเมนต์ จำกัด และบริษัท น่ำเฮงศิลา จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี (3 เรื่อง) (ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของบริษัท น่ำเฮงศิลา จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี) | อก | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันให้บริษัท น่ำเฮงศิลา จำกัด ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ที่จังหวัดสระบุรี ตามคำขอประทานบัตรที่ ๑/๒๕๕๐ ๔/๒๕๕๐ และที่ ๕/๒๕๕๐ จำนวน ๓ แปลง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ มติคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่และอุตสาหกรรมถลุงแร่หรือแต่งแร่ และข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม เช่น การปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และการดำเนินการตามพระราชบัญญัติทางหลวง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กำกับ และติดตามการดำเนินการของบริษัท น่ำเฮงศิลา จำกัด ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ครบถ้วนตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
399 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อทำเหมืองแร่ ของบริษัท ปูนซีเมนต์เอเชีย จำกัด (มหาชน) บริษัท ภูมิใจไทยซีเมนต์ จำกัด และบริษัท น่ำเฮงศิลา จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี (3 เรื่อง) [ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และ 1 เอเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ เพื่อจัดตั้งสถานที่เพื่อการเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่ และเพื่อปลูกสร้างอาคารเกี่ยวกับการทำเหมือง หรือจัดตั้งสถานที่เพื่อการแต่งแร่นอกเขตเหมืองแร่ของบริษัท ปูนซีเมนต์เอเชีย จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดสระบุรี] | อก | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันให้บริษัท ปูนซีเมนต์เอเซีย จำกัด (มหาชน) ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ และ ๑ เอเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่ ๒๓-๒๗/๒๕๕๓ เพื่อจัดตั้งสถานที่เพื่อการเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่ ที่จังหวัดสระบุรี ตามคำขอที่ ๑/๒๕๕๓ และเพื่อปลูกสร้างอาคารเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่หรือจัดตั้งสถานที่เพื่อการแต่งแร่นอกเขตเหมืองแร่ ตามคำขอที่ ๒/๒๕๕๔ จำนวน ๕ แปลง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ และวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม เช่น การปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และการดำเนินการตามพระราชบัญญัติทางหลวง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กำกับ และติดตามการดำเนินการของบริษัท ปูนซีเมนต์เอเซีย จำกัด (มหาชน) ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
400 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อทำเหมืองแร่ ของบริษัท ปูนซีเมนต์เอเชีย จำกัด (มหาชน) บริษัท ภูมิใจไทยซีเมนต์ จำกัด และบริษัท น่ำเฮงศิลา จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี (3 เรื่อง) (ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ภูมิใจไทยซีเมนต์ จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี) | อก | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันให้บริษัท ภูมิใจไทยซีเมนต์ จำกัด ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์) ที่จังหวัดสระบุรี ตามคำขอประทานบัตรที่ ๒๐-๒๔/๒๕๕๔ จำนวน ๕ แปลง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ และวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม เช่น การปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และการดำเนินการตามพระราชบัญญัติทางหลวง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กำกับ และติดตามการดำเนินการของบริษัท ภูมิใจไทยซีเมนต์ จำกัด ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด
|