ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 12 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 221 - 240 จากข้อมูลทั้งหมด 5031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
221 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 | ทส. | 25/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑.
รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ ๑)
โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองส่วนต่อขยาย ช่วงแยกรัชดา-ลาดพร้าว ถึงแยกรัชโยธิน ๒) โครงการถนนเลี่ยงเมืองสตูลฝั่งตะวันออก
ต.คลองขุด ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล ๓) โครงการศึกษาออกแบบระบบขนส่งมวลชนระบบราง อ.หาดใหญ่
จ.สงขลา และ ๔) โครงการทางหลวงหมายเลข ๒๐๓ (หล่มสัก-หล่มเก่า-เลย) ๒.
การปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากท่าเทียบเรือประมงบางประเภท ได้แก่
ท่าเทียบเรือประมงพาณิชย์ ท่าเทียบเรือประมงสำหรับการนำเข้าสัตว์น้ำ
ท่าเทียบเรือประมงของโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำและท่าเทียบเรือประมงที่มีการขนถ่ายสัตว์น้ำ
สำหรับการผลิตอาหารสัตว์ ตามความเห็นของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ ในการประชุมครั้งที่
๔/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๓
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
222 | แต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (นายศุภชัย เอกอุ่น) | มท. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง
นายศุภชัย เอกอุ่น ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในปีแรกอัตราเดือนละ
๔๖๕,๐๐๐ บาท
(ตามมติคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๗
มีนาคม ๒๕๖๔) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๔
ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่นรวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลัง
(กค.) ให้ความเห็นชอบ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
223 | ขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน ๒,๘๘๖.๖๔๗ ล้านบาท
ตามมติคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยรายงานให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังทราบในโอกาสแรกด้วย
เพื่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลังจะได้จัดเก็บข้อมูลยอดคงค้างให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงต่อไป
และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม
(การรถไฟแห่งประเทศไทย)
พิจารณาดำเนินการจัดทำต้นทุนการให้บริการที่ถูกต้องและได้มาตรฐานอย่างแท้จริง
เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
รวมทั้งจัดทำรายงานผลการให้บริการสาธารณะให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด
เพื่อให้การเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะเป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
224 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 15/2564 | นร.11 | 11/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติและรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติให้นำวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา
๕ (๓) มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๒) เพิ่มเติม (ครั้งที่ ๓) จำนวน ๘๕,๐๐๐ ล้านบาท
เพื่อรองรับการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา
ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ในระลอกเดือนเมษายน ๒๕๖๔ อนุมัติโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ
บริหารจัดการน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โครงการพัฒนาการตลาดสินค้ากลุ่มผู้ทำการผลิตที่บ้านหลังการแพร่ระบาดของโควิค-๑๙
ของมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ
และโครงการขององค์กรภาคประชาชนภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จำนวน ๒ โครงการ อนุมัติการปรับปรุงรายละเอียดโครงการเราชนะ โครงการ ม๓๓ เรารักกัน
โครงการทัวร์เที่ยวไทย โครงการเราเที่ยวด้วยกัน
โครงการยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคภาคตะวันตกด้วย BCG โมเดล
และโครงการศูนย์นวัตกรรมการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรมอาหาร
อนุมัติการยกเลิกการดำเนินโครงการย่อยของจังหวัดศรีสะเกษ
และเห็นชอบการปรับกลไกและกระบวนการในการขับเคลื่อนภายใต้การพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
รวมทั้งรับทราบการปรับลดกรอบวงเงินของโครงการกำลังใจ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบแผนงานและโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข
รวมถึงการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา
และชดเชยให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรดติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เร่งจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อให้สามารถรองรับการบริหารสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ระลอกในเดือนเมษายน ๒๕๖๔ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการคลังจัดลำดับความสำคัญก่อนเสนอคณะกรรมการฯ
พิจารณากลั่นกรองก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
รับทราบการปรับกลไกและกระบวนการในการขับเคลื่อนภายใต้โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากให้สอดคล้องกับคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่
๙๙/๒๕๖๔
และการปรับคู่มือการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น
: ระดับพื้นที่ และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ในคู่มือดังกล่าว
(ฉบับปรับปรุง) รวมถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของทางราชการอย่างเคร่งครัด ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
225 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 11/2564 และครั้งที่ 12/2564 | นร.11 | 20/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ และครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๔ ซึ่งพิจารณาอนุมัติโครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-๑๙
ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
และอนุมัติการปรับปรุงรายละเอียดโครงการเราชนะ ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
กระทรวงการคลัง รวมทั้งรับทราบแนวทางการพิจารณากลั่นกรองและติดตามประเมินผลโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
และรายงานสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตามผลการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และข้อเสนอแนะต่อการพิจารณากลั่นกรองโครงการ
และการกำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
(๑) กรมพัฒนาธุรกิจการค้าควรปรับแนวทาง/กิจกรรมดำเนินโครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-๑๙
ให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ในปัจจุบัน และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ระยะเวลาดำเนินการ และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ และ (๒) ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐในส่วนภูมิภาคที่จะจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ถือปฏิบัติแนวทางที่กำหนดไว้ในคู่มือแนวปฏิบัติการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
(ภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น
: ระดับพื้นที่) โดยเฉพาะการจัดทำข้อเสนอโครงการที่มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ
และมีการกำหนดแผนดำเนินโครงการที่ได้คำนึงถึงการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ในพื้นที่เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
226 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2563 | ทส. | 20/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๗/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑)
รายงานสถานภาพการเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม ณ สิ้นไตรมาส ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ (๒) รายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
โครงการท่าเทียบเรือขนถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนกระบี่
ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (๓) โครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศทางหลวงหมายเลข
๑๐๑ ตอน น่าน-อ.เฉลิมพระเกียรติ (ตอน ๒) ของกรมทางหลวง (๔)
การปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ
กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และ (๕)
การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพดิน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
227 | ขออนุมัติผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำที่ภาครัฐจะได้รับของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F | สกพอ. | 07/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
(นายสุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์) ชี้แจงว่า
ผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำที่ภาครัฐจะได้รับของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง
ระยะที่ ๓ ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอนั้น
เป็นผลการเจรจาระหว่างคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง
ระยะที่ ๓ กับกลุ่มเอกชนจนถึงที่สุดแล้ว โดยได้มีการเจรจากันมาอย่างต่อเนื่องรวม ๖
ครั้ง ในส่วนของค่าสัมปทานคงที่เท่ากับมูลค่าปัจจุบันสุทธิ ๒๙,๐๕๐ ล้านบาท
ตามข้อเสนอนั้น เป็นผลจากการที่มูลค่าการลงทุนของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากมูลค่าการลงทุนที่กำหนดไว้ในรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๑ ดังนั้น ผลตอบแทนของภาครัฐตามข้อเท็จจริงจึงมิได้ลดลง นอกจากนี้
ในส่วนของผลประโยชน์ตอบแทนจากค่าสัมปทานผันแปรที่ ๑๐๐ บาทต่อทีอียู นั้น
อยู่บนฐานการคำนวณโดยใช้ประมาณการปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเรือแหลมฉบังภายใต้กรณีผลกระทบของวิกฤตโควิด-19
ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีปริมาณตู้สินค้าสูงกว่าที่ประมาณการไว้
การท่าเรือแห่งประเทศไทยก็จะได้ผลประโยชน์ตอบแทนในส่วนนี้เพิ่มขึ้นตามข้อเท็จจริง ๒. อนุมัติผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำที่ภาครัฐจะได้รับจากโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง
ระยะที่ ๓ ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๔ [ค่าสัมปทานคงที่เท่ากับมูลค่าปัจจุบันสุทธิ
(NPV) ที่ ๒๙,๐๕๐ ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ ๑๐๐
บาทต่อทีอียู] ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ
ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
การดำเนินโครงการฯ ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ในภาพรวมของประเทศที่จะได้รับเป็นสำคัญ
โดยผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐพึงจะได้รับจากการดำเนินโครงการทั้งในระยะเริ่มต้นและต่อไปในอนาคต
ควรจะมีการกำหนดเงื่อนไขและเงื่อนเวลาที่เหมาะสม
รวมถึงความเป็นไปได้ในการพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับมูลค่าการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงของผู้ประกอบการ
และสัดส่วนของประโยชน์สูงสุดที่ภาครัฐจะได้รับอย่างเป็นธรรม เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้
ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓.
ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในอนาคต
โดยเฉพาะโครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายละเอียดของโครงการลงทุนอย่างรอบคอบในทุกขั้นตอน
และสอดคล้องกับรายการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
รวมทั้งคำนึงถึงการแบ่งปันผลประโยชน์กับทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรมและการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
228 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 10/2564 | นร.11 | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติโครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
และโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชยและเสี่ยงภัย
สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน
และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในชุมชน และมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ
ดำเนินการ
พร้อมทั้งอนุมัติให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพปรับปรุงรายละเอียดโครงการค่าตอบแทน
เยียวยา ชดเชยและเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในชุมชน (ระยะที่ ๒)
และกรมการพัฒนาชุมชน ปรับปรุงรายละเอียดโครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด-๑๙
อนุมัติให้จังหวัดอุดรธานียุติการดำเนินโครงการอบรมนวดไทยเพื่อสุขภาพ ๑๕๐ ชั่วโมง
เพื่อฟื้นฟูภายหลังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เห็นชอบคู่มือการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น
: ระดับพื้นที่
รวมทั้งรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต
กรณีศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดการเงิน
เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
หน่วยงานเจ้าของโครงการควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ และปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาดำเนินการ
และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
ตลอดจนเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดการเงิน
เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ และคู่มือการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น
: ระดับพื้นที่
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ในคู่มือดังกล่าว
รวมถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของทางราชการอย่างเคร่งครัด ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
229 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2564 | นร.11 | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๔
ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติโครงการทัวร์เที่ยวไทย
พร้อมทั้งมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ
และอนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการกำลังใจและโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
และกรมหม่อมไหม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาเพิ่มศักยภาพมัลเบอรี่วัลเลย์
จังหวัดสระบุรี
รวมทั้งรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวม ๓ เดือน ครั้งที่ ๓
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องเร่งดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาดำเนินการ
ความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรการของทางราชการอย่างประหยัด และเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
230 | การถอดรายการเงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ออกจากรายการเงินอุดหนุนที่จัดสรรให้เป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร.01 | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(ก.ก.ถ.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๓ ดังนี้ (๑)
การถอดรายการเงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
(อสม.) ออกจากรายการเงินอุดหนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด และ (๒)
ให้นำเงินงบประมาณเงินอุดหนุนสำหรับจ่ายค่าป่วยการ อสม. ไว้ที่กระทรวงสาธารณสุข
และให้กระทรวงสาธารณสุขเสนอตั้งงบประมาณรายการดังกล่าว ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๕ เป็นต้นไป ตามที่ ก.ก.ถ. เสนอ สำหรับการสนับสนุนงบประมาณเงินอุดหนุนชดเชยให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) เพื่อให้คงสัดส่วนรายได้ของ อปท.
ที่กำหนดไว้เพื่อมิให้กระทบต่อการบริหารงานของ อปท. นั้น การถอดรายการเงินอุดหนุนดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการบริหารงานของ
อปท. ทั้งนี้ อปท. ยังคงได้รับเงินอุดหนุนงบประมาณตามภารกิจเหมือนเดิม
จึงไม่จำเป็นที่จะต้องจัดสรรงบประมาณชดเชยดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
231 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (นัดพิเศษ) | นร.14 | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
(นัดพิเศษ) เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๔ ซึ่งที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์น้ำปัจจุบัน
การจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการแผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
และผลการดำเนินงานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ครั้งที่
๑/๒๕๖๔ รวมทั้งพิจารณาโครงการขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมเสนอขอตั้งงบประมาณปี พ.ศ.
๒๕๖๕ จำนวน ๕ โครงการ การกำหนดให้ประธานกรรมการ กรรมการ
และอนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุม ค่าพาหนะ ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก
และค่าใช้จ่ายอย่างอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ
พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๒๒ และมาตรา ๓๖ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหาร
พัฒนา อนุรักษ์ และฟื้นฟูคลองแสนแสบ และการมอบหมายคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และหน่วยงานดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะจากการประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ๒.
มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและข้อสั่งการของประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ในการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (นัดพิเศษ) เมื่อวันที่ ๒๑
มกราคม ๒๕๖๔ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า (๑)
การปรับเปลี่ยนพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำน้อยเป็นมาตรการที่สามารถดำเนินการได้
และพันธุ์ข้าวต้องสอดคล้องกับความต้องการของตลาด
โดยส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกข้าวน้ำน้อย ๒ รูปแบบ คือ
การให้น้ำแบบเปียกสลับแห้ง และการให้น้ำแบบดินชุมน้ำ (๒)
ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินการ และยืนยันความพร้อมของโครงการ
โดยมีรายละเอียดของแบบรูปรายการ สถานที่ดำเนินการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ศักยภาพและความสามารถในการใช้จ่าย
ความคุ้มค่า ความประหยัด เป้าหมาย
และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
และ (๓) การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ทำให้ความต้องการงบประมาณเพื่อใช้จ่ายสำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมเพิ่มขึ้น
ดังนั้น
หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณควรดำเนินการด้วยความรอบคอบและยึดหลักความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อให้โครงการต่าง ๆ
ดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบรรเทาปัญหาด้านทรัพยากรน้ำตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ในส่วนของการดำเนินแผนงาน/โครงการที่มีวงเงินงบประมาณตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป
ให้หน่วยงานเจ้าของแผนงาน/โครงการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีอย่างครบถ้วนด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
232 | การบรรจุลูกจ้างประจำของกระทรวงสาธารณสุขในตำแหน่งอัตราข้าราชการตั้งใหม่ เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 | นร.10 | 16/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ เรื่อง
การบรรจุลูกจ้างประจำของกระทรวงสาธารณสุขในตำแหน่งอัตราข้าราชการตั้งใหม่
เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
หรือโรคโควิด-๑๙ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาบรรจุบุคลากรกลุ่มพนักงานราชการ
พนักงานกระทรวงสาธารณสุข หรือลูกจ้างชั่วคราว
ที่ยังตกค้างหรืออยู่ระหว่างแก้ไขปัญหาหรือข้อร้องเรียนในตำแหน่งว่างที่เหลือจากการบรรจุทั้ง
๓ ระยะ ให้แล้วเสร็จก่อน โดยดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กำหนดไว้เดิม ๑.๒ หากมีตำแหน่งว่างคงเหลือจากการดำเนินการตามข้อ
๑.๑
คณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวงสาธารณสุขอาจพิจารณาบรรจุบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ได้ตามเหตุผลความจำเป็น โดยคำนึงถึงความเป็นธรรม เป็นที่ยอมรับ
และการป้องกันผลกระทบอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ.
กำหนดไว้เดิม และให้รายงานคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเพื่อทราบ
นับแต่วันที่คณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวงสาธารณสุขมีมติและบรรจุบุคลากรแล้วเสร็จภายใน
๓๐ วัน ทั้งนี้
ให้กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงทำความเข้าใจกับบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขที่จะได้รับการคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการให้ทราบและเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง
ๆ อย่างถูกต้อง ตามข้อสังเกตของผู้แทนกรมบัญชีกลาง
และเมื่อได้ดำเนินการบรรจุบุคลากรครบถ้วนตามที่ได้รับจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่
จำนวน ๓๘,๑๐๕ อัตรา แล้ว ให้กระทรวงสาธารณสุขรายงานผลการดำเนินการ ตลอดจนแจ้งการยุบเลิกตำแหน่งที่จ้างงานด้วยรูปแบบอื่นให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐทราบเมื่อสิ้นไตรมาสที่
๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ (เดือนมีนาคม ๒๕๖๔) ด้วย
๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑)
ควรพิจารณาบรรจุบุคลากรประเภทต่าง ๆ
ที่ปฏิบัติงานด่านหน้าในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ให้เป็นไปอย่างรอบคอบ (๒) ควรพิจารณาบริหารอัตราว่างในภาพรวมที่มีอยู่เดิม
เพื่อบรรจุผู้สอบแข่งขันได้หรือผู้ได้รับคัดเลือกจากบัญชีผู้สอบที่ส่วนราชการได้ขึ้นบัญชีไว้แล้ว
(๓)
ควรเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการพิจารณาเปลี่ยนสถานะการจ้าง
การให้ได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้ชัดเจน และ (๔)
การพิจารณาบรรจุลูกจ้างประจำควรกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
233 | มาตรการทางการบริหารเพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินการทางวินัยและจริยธรรม | นร.10 | 16/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
(ก.พ.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๔ ตามที่สำนักงาน ก.พ.
เสนอ และให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลประเภทต่าง ๆ ถือปฏิบัติตามมติ ก.พ.
ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ดังนี้
๑.๑ ให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลประเภทต่าง ๆ
นำมาตรการทางการบริหารที่เกี่ยวข้องกับวินัยและจริยธรรมร้ายแรงของแต่ละองค์กรกลางบริหารงานบุคคล
เช่น การสั่งพักราชการหรือการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
การสั่งให้ประจำส่วนราชการ การสั่งสำรองราชการ
หรือการสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
ที่มีอยู่มาใช้ในการดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการที่ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมชู้สาว
หรือล่วงละเมิดทางเพศ หรือคุกคามทางเพศ
รวมถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการกระทำการล่วงละเมิดทางเพศ
หรือการคุกคามทางเพศดังกล่าว เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะการดำเนินการในเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน
หรือเรื่องที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของส่วนราชการ โดยกำชับผู้บังคับบัญชาให้เร่งรัด
การดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว หากผู้บังคับบัญชาละเลยไม่ปฏิบัติ
หรือปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัย ๑.๒ ให้ ก.พ.
จัดให้มีการประชุมเพื่อหารือร่วมกันระหว่างองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการฝ่ายพลเรือนประเภทต่าง
ๆ ทำการศึกษาวิเคราะห์กฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคล
เพื่อกำหนดมาตรฐานหรือหลักเกณฑ์กลาง ตามนัยมาตรา ๑๐
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ เช่น
การนำมาตรการทางการบริหารมาใช้เพื่อให้การดำเนินการทางวินัยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
การกำหนดมาตรการลงโทษ และการดำเนินการทางวินัยที่เกี่ยวเนื่องกับจริยธรรม
๒. ให้สำนักงาน ก.พ.
ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
234 | ขอความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ | อว. | 16/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางอัจฉรา เจริญสุข ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ เป็นวาระที่สอง (ตามมติคณะกรรมการมาตรวิทยาแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔)
เนื่องจากจะดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ในวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๔
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป
แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
235 | การแต่งตั้งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย | อก. | 16/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายวีริศ อัมระปาล ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ
๒๙๐,๐๐๐ บาท
ค่าตอบแทนพิเศษประจำปี รวมทั้งสิทธิประโยชน์อื่นของผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามสัญญาจ้าง
(ตามมติคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๓
มกราคม ๒๕๖๔ และครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป
แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
236 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 7/2564 | นร.11 | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์
๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติโครงการพัฒนาระบบสื่อสารสั่งการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขระดับกระทรวง
และระดับเขตสุขภาพเป็น SmartEOC
เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-๑๙) ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
โครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อแก้ปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ ๑)
ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
ที่ทบทวนตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓
และครั้งที่ ๓๒/๒๕๖๓ จำนวน ๒๐ โครงการ
โครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ ๑) ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓ จำนวน ๓ โครงการ
และมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการ ดำเนินการ รวมทั้งอนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ปรับปรุงรายละเอียดโครงการ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒. ให้กระทรวงกลาโหม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
หน่วยงานเจ้าของโครงการ ควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาดำเนินการ
ตามความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซี่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
237 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | คปร. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(กรมปศุสัตว์และกรมฝนหลวงและการบินเกษตร) รวมทั้งสิ้น ๗๒ อัตรา ได้แก่ กรมปศุสัตว์
จำนวน ๓๐ อัตรา และกรมฝนหลวงและการบินเกษตร จำนวน ๔๒ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงาน ก.พ.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป
ให้ส่วนราชการดังกล่าวดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(กรมปศุสัตว์และกรมฝนหลวงและการบินเกษตร) รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน
ก.พ.ร. ที่เห็นควรให้กรมปศุสัตว์กำหนดตัวชี้วัดติดตามและประเมินผลประสิทธิภาพการตรวจวิเคราะห์คุณภาพสินค้าปศุสัตว์ทางห้องปฏิบัติการ
และให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรบูรณาการความร่วมมือด้านการปฏิบัติการฝนหลวงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งเห็นควรให้กรมปศุสัตว์พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้ในการปฏิบัติงานด้านการควบคุม
กำกับ ตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์เพื่อการส่งออก
และให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรกำหนดตัวชี้วัดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการปฏิบัติการฝนหลวงที่สามารถให้บริการครอบคลุมพื้นที่หรือมีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
238 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 (ครั้งที่ 152) | พน. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ (ครั้งที่ ๑๕๒)
เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่
แนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (โครงการโซลาร์ภาคประชาชน
ระยะที่ ๑) และแนวทางการกำหนดมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชน
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น (๑)
การใช้ที่ราชพัสดุเพื่อจัดหาประโยชน์ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุที่มีอยู่ในปัจจุบัน (๒)
ควรให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการใช้งานและดูแลรักษาระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
และ (๓)
ควรกำหนดแหล่งเงินสนับสนุนหรือชดเชยการดำเนินมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชนให้ชัดเจน
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงาน
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดรายละเอียดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการโซลาร์ภาคประชาชน
ระยะที่ ๑ ในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย การคัดเลือก ขั้นตอนดำเนินการ
และกรอบระยะเวลาดำเนินงานให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน และเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ
ให้ประชาชนทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง
เพื่อส่งเสริมให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
รวมทั้งให้ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างเป็นระบบ
โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการฯ
เพื่อนำข้อมูลมาพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
239 | แนวทางปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเข้าสำรวจและจัดเก็บข้อมูลภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ | นร.01 | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบแนวทางปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเข้าสำรวจและจัดเก็บข้อมูลภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ
ตามมติคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๓ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑
หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจต้องทำการสำรวจว่าเป็นเจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง
หรือครอบครองที่ราชพัสดุที่ใดบ้าง ณ บริเวณใด
ซึ่งการเป็นเจ้าของหรือครอบครองดังกล่าว หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจจะเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมาย
โดยผู้เป็นเจ้าของหรือครอบครองที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ ณ วันที่ ๑ มกราคม
ของปีใด เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีสำหรับปีนั้น ๑.๒ เจ้าพนักงานสำรวจ พนักงานประเมิน
พนักงานเก็บภาษีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้บริหารท้องถิ่นจะจัดทำรายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งใช้ประโยชน์ในพื้นที่ต่าง
ๆ ทุกประเภท ทั้งพื้นที่ของเอกชน พื้นที่ที่มีโฉนด และพื้นที่หน่วยงานของรัฐ
โดยในกรณีพื้นที่ของรัฐหากมีการใช้ประโยชน์เพื่อการสาธารณะตามกฎหมายของหน่วยงานนั้น
จะได้รับการยกเว้นภาษี แต่หากมีการใช้ประโยชน์ในลักษณะการหารายได้จะอยู่ในข่ายที่ต้องถูกประเมินภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ดังนั้น หน่วยงานต้องเตรียมเอกสารข้อมูลที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อแสดงแก่ท้องถิ่น
เพื่อให้การสำรวจและจัดทำข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและถูกต้อง ๑.๓ กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเมินภาษีแล้ว
หากหน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจเห็นว่าการประเมินดังกล่าวไม่ถูกต้อง
สามารถอุทธรณ์ได้ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมินภาษี โดยการอุทธรณ์มี
๓ ลำดับ คือ (๑) อุทธรณ์ไปที่ผู้บริหารท้องถิ่น (๒) หากหน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจไม่เห็นชอบตามผลการพิจารณาของผู้บริหารท้องถิ่นมีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษีประจำจังหวัด
ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน โดยยื่นคำร้องผ่านท้องถิ่น และ (๓)
ฟ้องต่อศาล โดยคำพิพากษาของศาลจะถือเป็นที่สิ้นสุด ๑.๔ กรณีทรัพย์สินของรัฐหรือของหน่วยงานของรัฐซึ่งใช้ในกิจการของรัฐหรือของหน่วยงานของรัฐ
หรือในกิจการสาธารณะ โดยมิได้ใช้หาผลประโยชน์จะได้รับการยกเว้นภาษีตามมาตรา ๘ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒ ๒.
ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าว
เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีในการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นการทั่วไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
240 | มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพที่มีความซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่น | พม. | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบมติคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์
๒๕๖๔
เกี่ยวกับมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพที่มีความซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่น
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยมีมติ ดังนี้ ๑.๑
ชะลอการดำเนินการเรียกเงินเบี้ยยังชีพคืนจากผู้สูงอายุที่มีความซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่น ๑.๒
แนวทางช่วยเหลือเยียวยาผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่นและเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการโดยสุจริต
ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา
กำหนดเกณฑ์กลางในการพิจารณาว่าผู้ใดสุจริต ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๒.
คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า
แนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่นและเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการโดยสุจริตที่ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกรุงเทพมหานคร
และเมืองพัทยา กำหนดเกณฑ์กลางในการพิจารณาว่าผู้ใดสุจริตให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
นั้น อาจเกิดปัญหาในทางปฏิบัติและการตีความข้อกฎหมายได้
สมควรที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติจะพิจารณาแนวทางปฏิบัติในประเด็นดังกล่าวให้ชัดเจน ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|