ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 16 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 301 - 320 จากข้อมูลทั้งหมด 5031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
301 | ขอความเห็นชอบในหลักการการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาหลัก-ลำรู่ บางส่วน เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำคลองลำรูใหญ่ จังหวัดพังงา | กษ | 15/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาหลัก-ลำรู่ บางส่วน เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำคลองลำรูใหญ่ จังหวัดพังงา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกรอบระยะเวลาของโครงการที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น ให้กรมชลประทานดำเนินการตามมติคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ และดำเนินการตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการให้ถูกต้องและครบถ้วนตามมาตรา ๘ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ เกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียชุมชนที่เกี่ยวข้องและประชาชนไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
302 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ และมาตรการเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่นสำหรับบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขรองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 | นร10 | 15/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๓ ที่เห็นชอบให้จัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ รวมทั้งสิ้น ๔๐,๘๙๗ อัตรา ประกอบด้วย การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ เพื่อรองรับการบรรจุบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องปฏิบัติงานด่านหน้าในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ให้เข้ารับราชการ รวม ๓๘,๑๐๕ อัตรา และการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ เพื่อรองรับการบรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ ที่เป็นนักศึกษาคู่สัญญากับกระทรวงสาธารณสุขและสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ รวม ๒,๗๙๒ อัตรา รวมทั้งมาตรการเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่นสำหรับบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข รองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ และให้พิจารณาบรรจุแพทย์แผนไทยโดยอาจใช้อัตรากำลังที่เหลืออยู่ไปพร้อมกันด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร (๑) ดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๓ เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางการโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ พร้อมปฏิทินการโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ อย่างเคร่งครัด (๒) กำหนดนิยามคุณลักษณะของบุคลากรและลักษณะงานที่จะได้รับการพิจารณาให้เปลี่ยนสถานภาพเป็นข้าราชการให้มีความชัดเจน และสอดคล้องกับการให้ได้รับเงินเพิ่มพิเศษรายเดือน รวมทั้งการเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษ และ (๓) เร่งจัดทำแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุขให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถวางระบบการบริหารอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจบริการสุขภาพในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
303 | การขอรับจัดสรรงบประมาณโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2562/63 (เพิ่มเติม) | พณ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการขยายเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือก ขยายวงเงินสินเชื่อ และขยายระยะเวลาการจัดทำสัญญาเงินกู้ ตามโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ (เพิ่มเติม) และการขอรับจัดสรรค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือก โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ (เพิ่มเติม) จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร วงเงิน ๗๕๐.๐๐ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๓ ๒. เห็นชอบการจัดสรรวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ (เพิ่มเติม) วงเงินรวมทั้งสิ้น ๖๘๒.๘๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ในการขยายตลาดส่งออกข้าวไทยไปยังประเทศต่าง ๆ ซึ่งผลกระทบจากโรค COVID-19 อาจทำให้ความสามารถในการผลิตแต่ละประเทศลดลงและมีความจำเป็นต้องนำเข้าข้าวเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นโอกาสในการเปิดตลาดข้าวของไทยในอนาคต โดยต้องไม่กระทบกับความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
304 | การใช้เงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อการเพิ่มทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติจำนวนเงินที่จะจัดสรรจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อการเพิ่มทุนให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อให้มีเงินทุนเพียงพอรองรับการขยายงานด้านการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก จำนวนไม่เกิน ๖,๐๐๐ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรให้มีการกำหนดตัวชี้วัดในการประเมินผลสัมฤทธิ์และการดำเนินงาน และให้ ธ.ก.ส. รายงานผลตามตัวชี้วัดดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบ รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณานำผลการประเมินดังกล่าวเป็นส่วนหนี่งของตัวชี้วัดในการประเมินผลการดำเนินงานของ ธ.ก.ส. ด้วย และให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการขายสินเชื่อเพื่อพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจรากหญ้า โดยมีกระบวนการที่กระชับเป็นไปในเชิงรุกทั่วถึงตามเป้าหมายที่กำหนด และให้ความสำคัญกับกระบวนการพิจารณาสินเชื่อและการบริหารความเสี่ยง ตลอดจนการติดตามดูแลลูกหนี้อย่างใกล้ชิด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
305 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2562 (ครั้งที่ 149) | พน | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ (ครั้งที่ ๑๔๙) เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๒ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยที่ประชุมได้มีมติในเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญในประเด็นพลังงาน ทั้งหมด ๑๐ เรื่อง โดยมีเรื่องที่ได้เริ่มดำเนินการไปแล้วในขณะนี้ เช่น (๑) เรื่องสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวไปยังมาเลเซียผ่านระบบส่งไฟฟ้าของไทย ระยะที่ ๒ [Lao PDR-Thailand-Malaysia Power Integration Project (LTM-PIP) Phase 2] ได้มีการลงนามสัญญาแล้วเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ (๒) เรื่องการเพิ่มจุดเชื่อมโยงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกับรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว ได้รับการอนุมัติและได้เริ่มดำเนินการเพิ่มจุดซื้อขาย ท่าลี่-ปากลาย โดยสถานีไฟฟ้า ณ จุดดังกล่าวอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ และ (๓) เรื่องการทดลองนำเข้า LNG แบบ Spot ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีการนำเข้าลำเรือที่ ๑ เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นช่วงที่ราคา LNG อยู่ในเกณฑ์ต่ำ และจะนำเข้าลำเรือที่ ๒ ในเดือนเมษายน ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นช่วงที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าในไทยสูง เป็นต้น ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นว่า การดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ขอให้พิจารณาขนาดกำลังการผลิตและพื้นที่โครงการตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และควรมีการกำหนดเงื่อนไขการควบคุมมลพิษที่จะถูกระบายออกจากการประกอบกิจการโครงการ โดยพิจารณาให้เป็นไปตามที่กฎหมายเกี่ยวกับกิจการประเภทโรงไฟฟ้ากำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
306 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ครั้งที่ 1/2563 | นร | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญประกอบด้วย (๑) มาตรการด้านการเงินการคลัง ได้แก่ มาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ มาตรการกระตุ้นการลงทุนผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการขจัดอุปสรรคในกระบวนการก่อหนี้เพื่อสนับสนุนการลงทุนของภาครัฐ (๒) มาตรการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน ได้แก่ มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเร่งรัดให้เกิดการลงทุนและมีโครงการลงทุนใหม่เกิดขึ้น มาตรการสร้างความเชื่อมโยงสู่เศรษฐกิจฐานรากเพื่อสนับสนุนให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเศรษฐกิจในระดับฐานราก (๓) การเร่งรัดการลงทุนภาครัฐ โดยการเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ได้แก่ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม การลงทุนด้านพลังงาน การจัดการทรัพยากรน้ำ และ (๔) แผนการเจรจาการค้าระหว่างประเทศของประเทศไทย เป็นการรายงานความก้าวหน้าการทำความตกลงทางการค้า และสถานะการทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ของไทย และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงานดำเนินการตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าการลงทุนต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าการลงทุนเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการเพื่อขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ให้คำนึงถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน ความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยคำนึงถึงความโปร่งใส และมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมจากการดำเนินโครงการ รวมถึงดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
307 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2562 | ทส | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ ๗/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กก.วล. มีมติรับทราบรายงานสถานภาพการเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม ณ สิ้นไตรมาส ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ มีสถานะเงินคงเหลือสุทธิ จำนวน ๒,๑๐๕.๖๘ ล้านบาท ๒. กก.วล. มีมติเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และศูนย์สำรวจและเฝ้าระวังชายฝั่ง [ภายใต้โครงการจ้างที่ปรึกษา ศึกษา ทบทวนความเหมาะสม และผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร] ของสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร (๒) รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และ (๓) รายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร (ส่วนช่องนนทรี-สาทร) : กรณีปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้าสะพานตากสิน (S6) ของสำนักงานการจราจรและขนส่ง กรุงเทพามหานคร ๓. กก.วล. มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการติดตามการพัฒนาฐานข้อมูลลายนิ้วมือน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย ภายใต้ กก.วล. และเห็นชอบองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ๔. กก.วล.มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ และเห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
308 | การพิจารณาคัดเลือกผู้ลงทุนพัฒนาที่ดินราชพัสดุในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก และแต่งตั้งคณะทำงานกำกับและติดตามผลการดำเนินการตามสัญญาของผู้ได้รับสิทธิการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ | กค | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการคัดเลือกให้กิจการร่วมค้า ไอซีบีแอนด์จี ตาก อินดัสเทรียล พาร์ก เป็นผู้ได้รับสิทธิพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก ตามมติคณะทำงานสรรหา คัดเลือก และเจรจาผู้ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องและหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด รวมทั้งกำกับและติดตามให้เอกชนผู้ได้รับสิทธิพัฒนาเร่งรัดดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามข้อเสนอโครงการลงทุน นอกจากนี้ ในขั้นตอนการอนุมัติโครงการในอนาคต ให้กระทรวงการคลังพิจารณาประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมว่าด้วยการกำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ออกตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดการจัดทำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... ตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๓ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) พิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานกำกับและติดตามผลการดำเนินการตามสัญญาของผู้ได้รับสิทธิการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภายหลังจากที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตามระเบียบดังกล่าวแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
309 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2562 | ทส | 24/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ ๖/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๒ ซึ่งได้พิจารณาเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กก.วล. มีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในภาพรวม (รายงานสถานการณ์) โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีข้อเสนอแนะต่อ กก.วล. เช่น ควรระบุหน่วยงานอนุญาตและขั้นตอนการเสนอรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) ให้สอดคล้องกับขั้นตอนการอนุญาตตามกฎหมายของหน่วยงานอนุญาต พร้อมทั้งพัฒนาระบบ Smart EIA ให้เชื่อมโยงกับระบบฐานข้อมูลของหน่วยงานอนุญาต เพื่อให้สามารถใช้งานระบบฐานข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นต้น ๒. กก.วล. มีมติรับทราบนโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๘๐ และแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๕ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๓. กก.วล. มีมติเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อรายงาน EIA จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน หารายได้ จังหวัดภูเก็ต (เทพกระษัตรี ๒ และ ๓) ของการเคหะแห่งชาติ และ (๒) โครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้า ๕๐๐ กิโลโวลต์ สุราษฎร์ธานี ๒-ภูเก็ต ๓ (ส่วนที่พาดผ่านพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๔. กก.วล. มีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง คณะกรรมการเปรียบเทียบและวิธีพิจารณาของคณะกรรมการเปรียบเทียบตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ (๑) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแต่งตั้งคณะกรรมการเปรียบเทียบในเขตกรุงเทพมหานครและในส่วนภูมิภาคตามความเหมาะสม และ (๒) การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการเปรียบเทียบ ๕. กก.วล. มีมติเห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการกำกับการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ โดยเห็นชอบแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ รวม ๔๒ จังหวัด และเห็นชอบโครงการภายใต้แผนดังกล่าว จำนวน ๗ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑,๑๖๐,๒๔๕,๑๐๐ บาท ซี่งเป็นการก่อสร้างหรือดำเนินการเพื่อให้มีระบบบำบัดน้ำเสียรวม ๖. กก.วล. มีมติเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การยกเลิกประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๕๘) เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการในการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอุตสาหกรรมและระบบสาธารณูปโภคที่สนับสนุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีเหตุผลของการยกเลิก เนื่องจากในระยะที่ผ่านมามีรายงาน EIA ด้านอุตสาหกรรมและระบบสาธารณูปโภคที่สนับสนุนในพื้นที่ดังกล่าวเพียง ๓ โครงการ ประกอบกับปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จึงทำให้ไม่มีการนำเสนอรายงาน EIA ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง ๑๐ จังหวัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
310 | ขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรโครงการสนับสนุนเงินทุนเพื่อสร้างระบบน้ำในไร่นาของสมาชิกสถาบันเกษตรกร ระยะที่ 2 ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ | กษ | 24/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ยืมเพื่อนำไปดำเนินการตามโครงการสนับสนุนเงินทุนเพื่อสร้างระบบน้ำในไร่นาของสมาชิกสถาบันเกษตรกร ระยะที่ ๒ มีกำหนดชำระคืนภายใน ๖ ปี ระยะเวลาโครงการ ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๘ โดยอนุมัติวงเงินจำนวน ๕๐๘,๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยแบ่งเป็นเงินยืม (เงินหมุนเวียน) จำนวน ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อให้สมาชิกสถาบันเกษตรกรกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ ต่อปี ให้มีระยะเวลาปลอดการชำระหนี้ใน ๒ ปีแรก และเงินจ่ายขาดจำนวน ๘,๒๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการและติดตามงาน ตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น ควรให้ความสำคัญกับกระบวนการสำรวจออกแบบแหล่งน้ำในไร่นาและจัดทำแผนผังให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และการบริหารระบบน้ำในไร่นาให้เกิดความยั่งยืน การติดตามผลการชำระคืนเงินจากสถาบันเกษตรกรเพื่อให้การชำระคืนเงินกองทุนฯ เป็นไปตามเป้าหมายและระยะเวลาที่กำหนด และการขอให้กรมส่งเสริมสหกรณ์จัดส่งข้อมูลพิกัดโครงการและผลการดำเนินงาน (Big Data) ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อใช้เป็นข้อมูลต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
311 | ร่างพระราชบัญญัติโอนหน้าที่และอำนาจ และกิจการบริหารบางส่วน ของกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปเป็นของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... | นร14 | 18/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนภารกิจในการบริหารจัดการน้ำตามนโยบายของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานกำกับดูแล (regulator) และมีกรมทรัพยากรน้ำเป็นหน่วยงานปฏิบัติ (operator) ซึ่งปัจจุบันกรมทรัพยากรน้ำอยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างและอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจ ซึ่งอาจต้องขออัตรากำลังเพิ่มขึ้นเพื่อรับผิดชอบการจัดสรรและควบคุมการใช้น้ำควบคู่กับการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่นอกเขตชลประทาน ๑๑๗.๐๒ ไร่ ดังนั้น จึงเห็นควรให้ข้าราชการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปปฏิบัติภารกิจในการดำเนินงานของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติไปพลางก่อนจนกว่าสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติจะได้รับจัดสรรอัตรากำลังตั้งใหม่ จำนวน ๑๗๘ อัตรา ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติโอนหน้าที่และอำนาจ และกิจการบริหารบางส่วนของกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปเป็นของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการโอนหน้าที่และอำนาจ ภารกิจ ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้ ข้าราชการ และอัตรากำลังบางส่วนของกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปเป็นของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการโอนข้าราชการและอัตรากำลังบางส่วนของกรมทรัพยากรน้ำ จำนวน ๑๗๘ อัตรา ให้เป็นไปตามความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับไปดำเนินการขอรับจัดสรรอัตรากำลังตั้งใหม่ จำนวน ๑๗๘ อัตรา ต่อคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐตามขั้นตอนต่อไป แล้วแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำ) รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาปรับปรุงภารกิจกรมทรัพยากรน้ำใหม่ เพื่อรองรับภารกิจตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น ควรดำเนินการตามมติคณะกรรมการ ก.พ.ร. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ที่มีความเห็นว่าให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเน้นภารกิจเชิงนโยบายเป็นหลัก ส่วนภารกิจที่เกี่ยวข้องกับงานปฏิบัติการ ควรใช้การบริหารจัดการ (mobilize) ให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ปฏิบัติโดยตรงเป็นผู้ดำเนินการ และในการตัดโอนกิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้สิน หนี้ ภาระผูกพัน ข้าราชการ และอัตรากำลังบางส่วนของกรมทรัพยากรน้ำ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
312 | รายงานมติคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ขอยกเลิกการผูกพันงบประมาณรายการค่าเช่าอุปกรณ์เครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) พร้อมระบบควบคุมการทำงาน จำนวน 4,000 เครื่อง ตามมติคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0505/8215 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2561 และขออนุมัติผูกพันงบประมาณรายการค่าเช่าอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) พร้อมระบบที่เกี่ยวข้อง จำนวน 30,000 เครื่อง | ยธ | 11/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ กรณีกระทรวงยุติธรรม (กรมคุมประพฤติ) ขอยกเลิกการผูกพันงบประมาณรายการค่าเช่าอุปกรณ์เครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) พร้อมระบบควบคุมการทำงาน จำนวน ๔,๐๐๐ เครื่อง ตามมติคณะรัฐมนตรี ที่ นร ๐๕๐๕/๘๒๑๕ ลงวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๑ และพิจารณาอนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม (กรมคุมประพฤติ) ผูกพันงบประมาณรายการค่าเช่าอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) พร้อมระบบที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓๐,๐๐๐ เครื่อง ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้กระทรวงยุติธรรม (กรมคุมประพฤติ) ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ รายการค่าเช่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring : EM) พร้อมระบบที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓๐,๐๐๐ เครื่อง วงเงินรวม ๗๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาในการดำเนินการ ๓๐ เดือน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๑๖๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๕๐,๕๘๙,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย โครงการพัฒนาระบบการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดในชุมชน งบดำเนินงาน จำนวน ๕,๙๐๗,๐๐๐ บาท และจากการยกเลิกรายการก่อหนี้ผูกพันเดิม จำนวน ๔๔,๖๘๒,๐๐๐ บาท ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน และใช้จ่ายจากเงินกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมาสมทบอีก จำนวน ๑๑๕,๙๑๑,๐๐๐ บาท ส่วนวงเงินของโครงการที่เหลืออีก จำนวน ๕๕๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท ผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
313 | การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุมปี ๒๕๖๒ เพิ่มเติม จำนวน ๔ รายการ คือ (๑) หน้ากากอนามัย (๒) ใยสังเคราะห์ Polypropylene (Spunbond) เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย (๓) ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ และ (๔) เศษกระดาษและกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
314 | ขอทบทวนและยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 | ทส | 28/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๖ (เรื่อง ขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้กองทัพอากาศใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ) เฉพาะในส่วนของข้อ ๒.๒ ที่ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ ที่มิให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ไม่ว่ากรณีใด เป็นว่ากรณีจำเป็นที่ต้องขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ต่อคณะรัฐมนตรี ส่วนราชการจะต้องจัดทำรายงานการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาก่อน เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีทุกครั้ง ๑.๒ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๘ (เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดชั้นของป่าต้นน้ำลำธารและการทำเหมืองในพื้นที่ป่าปิด) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำปิงและวัง ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการดังกล่าวนำโครงการนั้นเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๓ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๙ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำยมและน่าน และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำยมและน่าน ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการดังกล่าวนำโครงการนั้นเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๔ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำมูลและชี และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำมูลและชี ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการดังกล่าวนำโครงการนั้นเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๕ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำภาคใต้ ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๑.๖ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพน้ำภาคตะวันออก และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันออก ที่กำหนดให้ในกรณีส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา ๑.๗ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ในเขตลุ่มน้ำภาคเหนือส่วนอื่น ๆ และในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน) ที่กำหนดให้ในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ ตั้งแต่ในระยะทำการศึกษาความเหมาะสมของโครงการเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณา ๒. ในการขอเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๑ และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ (เรื่อง ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง) อย่างเคร่งครัด ๓. ในกรณีโครงการ กิจการ หรือการดำเนินงานของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ก่อนวันที่ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ มีผลบังคับใช้ ซึ่งเมื่อครบกำหนดการขออนุญาตให้ใช้พื้นที่ลุ่มน้ำแล้วยังประสงค์จะใช้พื้นที่ลุ่มน้ำดังกล่าวต่อไป โดยเป็นการดำเนินโครงการ กิจการหรือการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์เดิมและอยู่ภายในขอบเขตพื้นที่เดิม รวมถึงกรณีโครงการ กิจการ หรือการดำเนินงานอื่น ๆ ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : รายงาน EIA) ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดังกล่าว แต่ต้องจัดทำรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Accounting Report : รายงาน EAR) ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการ กิจการ หรือการดำเนินงานนั้น ๆ ถือปฏิบัติให้เป็นไปตามรายงาน EAR อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่อนุมัติหรืออนุญาต เช่น กรมป่าไม้หรือกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ติดตาม กำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามรายงาน EAR ดังกล่าวอย่างเคร่งครัดด้วย ๔. ในการดำเนินการตามข้อ ๒ และ ๓ หากปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำการ ไม่กระทำการ หรือการดำเนินการใด ๆ ทั้งของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐหรือเอกชนที่ไม่ถูกต้องตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ มติคณะรัฐมนตรี ประกาศ ตลอดจนข้อกำหนดและเงื่อนไขในรายงานที่เกี่ยวข้อง ให้ถือเป็นความผิดอันก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ และให้ผู้มีอำนาจหน้าที่เร่งดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายอย่างเข้มงวด ๕. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรทำการศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศไทยทั้งในภาพรวม และในเชิงพื้นที่ของแต่ละลุ่มน้ำ ให้มีความชัดเจนว่าอยู่ในสภาวะอย่างไร ประเทศไทยจำเป็นต้องมีพื้นที่ป่าต้นน้ำเท่าไร พื้นที่ที่คงเหลืออยู่นั้นเพียงพอหรือไม่ พื้นที่ใดที่อยู่ในภาวะวิกฤติ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของประเทศในภาพรวม และตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งในการให้อนุญาตทำประโยชน์ การกำกับดูแล และการฟื้นฟูต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
315 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2562 | นร52 | 21/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ ประกอบด้วย (๑) เรื่องเสนอเพื่อทราบ ได้แก่ การประกาศให้อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ในฐานะเมืองต้นแบบที่ ๔ “เมืองอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” เป็นเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน กรณีเร่งรัดออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน กรณีครอบครัวนายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ และการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและอำนวยการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ (๒) เรื่องเสนอเพื่อพิจารณาใน ๒ ประเด็นหลัก ได้แก่ กรอบแนวทางการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงผ่าน “โครงการตำบลมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และแผนการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส ตามที่ ศอ.บต. เสนอ ทั้งนี้ ให้ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. สำหรับแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการตามมติ กพต. เช่น แผนเร่งด่วนการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา แผนการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส ให้ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ เช่น การลงทุนและพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ควรให้ความสำคัญกับด้านภูมิสังคม ได้แก่ ลักษณะของพื้นที่ วิถีชีวิต ค่านิยม ความหลากหลายของวัฒนธรรมและประเพณีของคนในพื้นที่และด้านภูมินิเวศ ได้แก่ การจัดการด้านสิ่งแวดล้อมเมืองและชุมชนที่สอดคล้องและเหมาะสมกับระบบนิเวศอัตลักษณ์และวัฒนธรรมพื้นถิ่น รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนและทุกภาคส่วนในพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินโครงการสอดคล้องกับความต้องการของทุกภาคส่วนในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญให้โครงการบรรลุผลสำเร็จอย่างยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง แล้วส่งแผนงาน/โครงการดังกล่าว ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาความเหมาะสมเพื่อให้การดำเนินการสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศในภาพรวมก่อนดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
316 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันมหกรรมกีฬาระดับนานาชาติ 5 รายการ | กก | 21/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันมหกรรมกีฬาระดับนานาชาติ ๕ รายการ ประกอบด้วย (๑) การแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน (โตเกียว ๒๐๒๐) (๒) การแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว (โลซาน ๒๐๒๐) (๓) การแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว (ปักกิ่ง ๒๐๒๒) (๔) การแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน (ตาการ์ ๒๐๒๒) และ (๕) การแข่งขันมหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ (หางโจว ๒๐๒๒) ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาแล้วเห็นควรซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฯ ทั้ง ๕ รายการ จากบริษัท แพลนบี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ที่เป็นผู้บริหารจัดการลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดและการตลาด มูลค่ารวม ๔๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (รวมภาษีทั้งหมดที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ไม่รวมค่าดำเนินการด้านเทคนิคการออกอากาศ) โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติแล้ว ๒๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท จึงจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ มาสมทบในวงเงิน ๒๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้การกีฬาแห่งประเทศไทยดำเนินการเกี่ยวกับงบประมาณการถ่ายทอดสดการแข่งขันดังกล่าวให้สอดคล้องกับมติคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๒ และในการขอรับการสนับสนุนงบประมาณการจัดซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันมหกรรมกีฬาดังกล่าวจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ นั้น จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๒๗ (๒๑) และมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติจัดสรรองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
317 | แนวทางการบริหารการนำเข้าสินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง ตามพันธกรณีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นไทย - นิวซีแลนด์ (TNZCEP) และพันธกรณีตามความตกลงการค้าเสรี ไทย - ออสเตรเลีย (TAFTA) | กษ | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์การนำเข้าสินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และมันฝรั่ง ภายใต้พันธกรณีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership Agreement : TNZCEP) และพันธกรณีตามความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (The Thailand-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) ตั้งแต่ปี ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของแนวทางการบริหารการนำเข้าสินค้าดังกล่าว เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติม จากเดิม “ให้นำเข้าเฉพาะกรณีที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการผลิตและแปรรูปในกิจการของตนเองและห้ามจำหน่ายจ่ายโอนเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่/หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง” เป็น “ให้นำเข้าเฉพาะกรณีที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการผลิตและแปรรูปในกิจการของตนเองและห้ามจำหน่ายจ่ายโอนเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่/หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง ภายในประเทศ” เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ ตามข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลรายงานการนำเข้าเสนอคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ทราบเป็นระยะ เพื่อเตรียมมาตรการรองรับกรณีราคาในประเทศตกต่ำ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพผลผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
318 | กรณีสมาคมร้านค้าปลอดอากรไทยร้องเรียนให้มีจุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรสาธารณะ | คค | 02/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีสมาคมร้านค้าปลอดอากรไทยร้องเรียนให้มีจุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรสาธารณะ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ภายหลังสิ้นสุดอายุสัญญาโครงการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ณ อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร และส่งมอบสินค้าปลอดอากร ณ อาคารผู้โดยสารอาคาร ๑ ท่าอากาศยานดอนเมือง โดย ทอท. จะดำเนินการคู่ขนานกัน ๒ รูปแบบ คือ (๑) ทอท. ให้บริการเคาน์เตอร์ส่งมอบสินค้าปลอดอากรแบบสาธารณะด้วยตนเอง และ (๒) ทอท. ให้สิทธิเอกชนให้บริการเคาน์เตอร์ส่งมอบสินค้าปลอดอากรแบบสาธารณะ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในเมืองทุกราย สามารถส่งมอบสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของ ทอท. ได้ ตามมติคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม และ ทอท. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ทอท. ควรใช้แนวทางดังกล่าวสำหรับท่าอากาศยานที่จะเกิดขึ้นใหม่ในความรับผิดชอบของ ทอท. ด้วย เพื่อป้องกันการผูกขาดและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในเมือง (Downtown) ทุกราย สามารถส่งมอบสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยาน ในความรับผิดชอบของ ทอท. ได้ และ ทอท. ควรพิจารณากำหนดแนวทางกำกับดูแลการบริการของผู้รับอนุญาตประกอบกิจการให้บริการจุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรให้เป็นแบบสาธารณะอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ประกอบการสินค้าปลอดอากรในเมืองจะมีทางเลือกที่เหมาะสมและเพียงพอสำหรับการส่งมอบสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยาน ในความรับผิดชอบของ ทอท. ต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
319 | มาตรการปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม | คค | 24/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินมาตรการปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม โดยกำหนดอัตราค่าโดยสารสูงสุด ๒๐ บาท (๑๔-๒๐ บาท) เป็นระยะเวลา ๓ เดือน ในระหว่างวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๒-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ตามมติคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นควรจัดทำแผนบริหารจัดการโดยกำหนดมาตรการ โครงการ หรือกิจกรรม ในการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ผู้ใช้บริการกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ เพื่อไม่ให้กระทบต่อรายได้ในภาพรวมทั้งปีจากมาตรการปรับลดอัตราค่าโดยสารดังกล่าว และเกิดประโยชน์ต่อการดำเนินการตามมาตรการลักษณะดังกล่าวในอนาคตอย่างยั่งยืน รวมทั้งควรเร่งพัฒนาระบบบัตรโดยสารร่วมและโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมในระบบขนส่งสาธารณะที่สามารถจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในภาพรวมเพิ่มขึ้นได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
320 | ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี 2562 เพิ่มเติม | กษ | 11/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในการอนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๖๒ เพิ่มเติม ปริมาณ ๒,๙๙๓.๐๒ ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ ๕ ตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๒ และขอยกเว้นการจัดสรรโควตาตามสัดส่วนผู้ประกอบการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ เรื่อง การบริหารจัดการนมทั้งระบบ เนื่องจากเป็นการพิจารณาจัดสรรให้แก่ผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ๑.๒ มอบหมายให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นผู้บริหารการจัดสรรโควตาในข้อ ๑.๑ ให้กับผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต โดยต้องนำเข้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ และต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกร ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคนมพร้อมดื่มและผลิตภัณฑ์นมที่ใช้น้ำนมโคในประเทศอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพทั้งด้านการผลิตและการตลาดให้กับผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมโดยเฉพาะสหกรณ์ให้สามารถแข่งขันได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำนมโคในประเทศในระยะยาว นอกจากนี้ นมผงขาดมันเนยเข้าข่ายเป็นอาหารตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ดังนั้น ผู้นำเข้าต้องขอรับใบอนุญาตนำเข้าอาหาร และควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์นมผงขาดมันเนยให้มีคุณภาพมาตรฐานสอดคล้องตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ ๓๕๐) พ.ศ. ๒๕๕๖ เรื่อง นมโค เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
.....