ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 13 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 241 - 260 จากข้อมูลทั้งหมด 5031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
241 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 ครั้งที่ 2/2563 และครั้งที่ 5/2563 เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 | ทส. | 02/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
(กก.วล.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ และครั้งที่ ๕/๒๕๖๓
เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑. การประชุม กก.วล.
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๓ ได้มีการพิจารณาเรื่อง
การยกระดับมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่นละอองในช่วงสถานการณ์วิกฤต
เช่น
สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการออกข้อบังคับเพิ่มเติมเพื่อขยายเขตพื้นที่จำกัดรถบรรทุกตั้งแต่
๑๐ ล้อขึ้นไป ห้ามเดินรถในพื้นที่กรุงเทพมหานครบริเวณและช่วงเวลาตามที่กำหนด
กรมการขนส่งทางบกดำเนินการตรวจวัดควันดำอย่างเข้มงวดกับรถโดยสารและรถบรรทุกทุกคัน
และกรมโรงงานอุตสาหกรรมดำเนินการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดฝุ่นละออง ๒. การประชุม กก.วล.
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ได้มีการพิจารณาเรื่อง
ข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พื้นที่ภาคเหนือ ๙ จังหวัด
และจังหวัดที่มีปัญหาหมอกควัน โดยข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เช่น มาตรการเพิ่มเติม แบ่งเป็น ระยะเร่งด่วน
(ปี ๒๕๖๓) ดำเนินการสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้คนใช้ระบบขนส่งสาธารณะ/รถยนต์ไฟฟ้า
หรือทางเลือกอื่นที่ไม่ก่อมลพิษ และระยะกลาง-ระยะยาว (ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๗) เข่น
ภาคการเกษตรและการเผาในที่โล่ง ควรห้ามเผาในพื้นที่เขตชุมชนเด็ดขาด
และมีบทลงโทษกับผู้ก่อมลพิษทางอากาศ สำหรับข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในภาคเหนือ ๙ จังหวัด และจังหวัดที่มีปัญหาหมอกควัน
โดยมีมาตรการเพิ่มเติม แบ่งเป็น ระยะเร่งด่วน (ปี ๒๕๖๓)
วางแผนการจัดการเศษวัสดุการเกษตรในพื้นที่ และระยะกลาง-ระยะยาว (ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๗)
เช่น ภาคการเกษตรและการเผาในที่โล่ง เช่น
การส่งเสริมให้มีตลาดเช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรสำหรับเก็บเกี่ยวและจัดการแปลงแทนการเผา ๓. การประชุม กก.วล.
ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๓ ได้มีการพิจารณาเรื่อง
การเสริมสร้างการรับรู้เรื่องฝุ่นละออง PM2.5 สู่สาธารณะ โดยแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในช่วงวิกฤต ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๔ เช่น การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจากการจราจร
การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจากอุตสาหกรรม
และข้อเสนอด้านการสื่อสารสร้างการรับรู้เรื่อง PM2.5 ต่อสาธารณชนเพื่อเสริมสร้างการรับรู้และความเข้าใจเรื่องฝุ่นละออง PM2.5 ต่อสาธารณะ เช่น แผนการประชาสัมพันธ์และสื่อสาร
การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
242 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | สปสช. | 26/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
ประกอบด้วย งบประมาณสำหรับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วงเงิน ๑๙๘,๘๙๑,๗๘๙,๔๐๐
บาท และงบประมาณบริหารงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) วงเงิน
๒,๒๐๓,๑๐๘,๖๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
มอบหมายให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดำเนินการและบริหารจัดการกองทุนฯ และควบคุมดูแล
สปสช. ให้บริหารกองทุนฯ ให้เป็นไปตามการมอบหมายดังกล่าว ตามที่ สปสช. เสนอ ๓.
ให้ สปสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นเพิ่มเติมบางประการของกระทรวงสาธารณสุข
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
และมติคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข ในคราวประชุมครั้งที่
๑๐/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้ สปสช. ดำเนินการเพิ่มเติม
ดังนี้ ๓.๑
เร่งศึกษาต้นทุนบริการที่แท้จริงของหน่วยบริการต่าง ๆ อาทิ ศูนย์บริการสาธารณสุข โรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย
คลินิกและโรงพยาบาลเอกชน รวมถึงต้นทุนบริการของการรักษาพยาบาลต่าง ๆ เพื่อให้การประมาณการค่าใช้จ่ายในการจัดทำงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสอดคล้องกับข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้น ๓.๒ ในขั้นตอนการจัดทำคำของบประมาณในปีงบประมาณต่อ
ๆ ไป
ให้หารือร่วมกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมของรายการคำของบประมาณ
และปรับปรุงให้ถูกต้องก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔.
มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับ สปสช. สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
กระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๔.๑ บูรณาการแนวทางการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
รวมถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพที่เหมาะสมสำหรับดำเนินการในหน่วยบริการปฐมภูมิและเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ
โดยให้จัดทำกลไกการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานดังกล่าวที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
โดยกำหนดตัวชี้วัดแต่ละรายการให้มีความชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อน
และกำหนดให้ความสามารถในการลดภาระงบประมาณด้านการรักษาพยาบาลเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดการดำเนินงานด้วย ๔.๒ สำรวจ ศึกษา
และวิเคราะห์ขีดความสามารถของระบบสุขภาพปฐมภูมิ ทั้งในด้านบุคลากร
อุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็น และงบประมาณ เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาและยกระดับระบบสุขภาพปฐมภูมิให้สามารถรองรับความต้องการและขอบเขตในการให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตของคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๔.๓
ประเมินความพร้อมของระบบสาธารณสุขในทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยคำนึงถึงมิติทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน
บริบทการถ่ายโอนภารกิจสาธารณสุขไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รูปแบบกลไกการบริหารจัดการที่เหมาะสม มีความยั่งยืน และมีประสิทธิภาพและปัจจัยแวดล้อมต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดเป้าหมายและแผนการพัฒนาและยกระดับระบบสาธารณสุขที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์
รวมถึงสถานการณ์ฉุกเฉินอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคระบาด โรคร้ายแรง
และโรคติดต่อที่อุบัติใหม่อย่างเป็นระบบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
243 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2563 และครั้งที่ 6/2563 | ทส. | 26/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ และครั้งที่ ๖/๒๕๖๓
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๓ รวม ๗ เรื่อง ได้แก่ (๑)
รายงานประจำปี ๒๕๖๒ กองทุนสิ่งแวดล้อม (๒)
ร่างแนวทางปฏิบัติงานเพื่อขับเคลื่อนการจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืน (๓)
การเสนอพื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยตลาด
และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำสนามบินจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นพื้นที่เครือข่ายนกอพยพ
ภายใต้โครงการความร่วมมือพันธมิตรสำหรับการอนุรักษ์นกและใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อย่างยั่งยืนในเส้นทางการบินเอเชียตะวันออก-ออสเตรเลีย
(East
Asian-Australasian Flyway Partnership : EAAFP) (๔) กรอบและแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมธรรมชาติบึงโขงหลง
อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘ (๕)
แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๕ (๖)
โครงการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในไร่นาเพื่อสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางอาหาร
ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จังหวัดสุพรรณบุรี
ของมูลนิธิข้าวขวัญ และ (๗)
รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม
(EIA) โครงการก่อสร้างท่าอากาศยานบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
(โครงการปรับปรุงกายภาพและก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่)
ของกรมท่าอากาศยาน ๒. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๖/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ รวม ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (๒) รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา (ช่วงชุมทางบ้านภาชี-นครราชสีมา) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และ (๓) โครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย จังหวัดเพชรบุรี (โพไร่หวาน) ของการเคหะแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
244 | การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 19/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุมปี
๒๕๖๔ จำนวน ๔ รายการ ได้แก่ (๑) หน้ากากอนามัย (๒) ใยสังเคราะห์ Polypropylene
(Spunbond) เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย
(๓) ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ และ (๔)
เศษกระดาษ และกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามสถานการณ์การผลิตและความต้องการใช้ภายในประเทศอย่างใกล้ชิด
และการกระจายสินค้าดังกล่าวอย่างทั่วถึงแก่ประชาชน นอกจากนี้
ควรเร่งรัดประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจให้ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง
รวมทั้งกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างจริงจัง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
245 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งกองทุนเพื่อการสืบสวน สอบสวน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา | กค. | 19/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการสืบสวน
สอบสวน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา
ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ ที่เห็นควรให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการสืบสวน
สอบสวน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา
ตามร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ....
โดยมีความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกำหนดให้นำเงินกองทุนเพื่อการสืบสวน
สอบสวนการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญาไปใช้จ่ายได้เฉพาะในส่วนที่มีงบประมาณไม่เพียงพอหรือไม่อาจใช้จากเงินงบประมาณได้
การกำหนดให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการนำเงินค่าปรับส่งเข้ากองทุน
และการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินประจำปีของกองทุน
และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดให้มีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการบริหารเงินของกองทุนอย่างชัดเจน
เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนกับการใช้จ่ายงบประมาณตามภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
รวมถึงกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับอื่น ที่อาจกำหนดให้เบิกจ่ายเงินและค่าใช้จ่ายในลักษณะเดียวกัน
ตลอดจนจัดให้มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน มุ่งผลลัพธ์ ผลสัมฤทธิ์
หรือประโยน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินของหน่วยงานของรัฐมีความคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ โปร่งใส
ตรวจสอบได้ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน นอกจากนี้
ควรเปิดรับฟังความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เนื่องจากแต่ละหน่วยงานมีภารกิจหน้าที่แตกต่างกัน
เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาจากการที่ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้
รวมทั้งควรมีมาตรการควบคุมและป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่พึงประสงค์จากกองทุน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งผลการพิจารณาการขอจัดตั้งกองทุนเพื่อการสืบสวน
สอบสวน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา
ตามร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนและความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปยังคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อประสานการพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการของรัฐสภาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
246 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 (ครั้งที่ 151) | พน. | 19/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ (ครั้งที่ ๑๕๑)
เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข
และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และแนวทางการส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและกระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น (๑) กรอบการใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนเศรษฐกิจฐานราก
และควรเร่งรัดการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงิน เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศในช่วงสถานการณ์ปัจจุบัน
และ (๓) กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมีสถานะเป็นทุนหมุนเวียน
การบริหารและการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ต้องพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.
๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลการบริหารจัดการและการประเมินผลสัมฤทธิ์ในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม และสามารถตรวจสอบได้ ๒.
ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการโครงการนำร่องตามแนวทางการส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการดำเนินการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการคัดค้านจากชุมชน ควรดำเนินการตามประมวลหลักการปฏิบัติ
(Code of Practice : COP) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
247 | แต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข | สธ. | 19/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง
นายนพพร ชื่นกลิ่น ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขต่อไปอีกวาระหนึ่ง [ตามมติคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๖๓ (วาระลับ) เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๓] โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้าง (วาระที่ ๒)
เป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ทั้งนี้ เกี่ยวกับการคัดเลือกให้ผู้อำนวยการ
สวรส. ดำรงตำแหน่งต่อไปอีกวาระหนึ่งนั้น
ควรมีผลการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้อำนวยการ สวรส. ตั้งแต่ลงนามสัญญาจ้างในปีที่
๑ จนสิ้นสุดสัญญาจ้างในปีที่ ๓ โดยพิจารณาผลการประเมินองค์กรควบคู่กันไปด้วย
และควรกำหนดกรอบระยะเวลา และขั้นตอนเกี่ยวกับการประเมินผู้อำนวยการ สวรส.
ให้มีความชัดเจนเช่นเดียวกับการคัดเลือกผู้อำนวยการโดยการประกาศรับสมัครเป็นการทั่วไป
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ประธานกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
248 | การทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา | นร.10 | 12/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ
(พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๓
โดยให้เพิ่มเติมตำแหน่งที่เห็นควรจัดสรรคืนทั้งหมด
เพื่อให้ส่วนราชการสามารถแต่งตั้งบุคคลได้อย่างต่อเนื่องทันที
เฉพาะตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา ๓๘ ค. (๒) ประเภทอำนวยการ ได้แก่ (๑)
ตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัดและตำแหน่งรองศึกษาธิการจังหวัด (๒)
ตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้และตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
และ (๓) ตำแหน่งผู้อำนวยการภายในสถาบันการอาชีวศึกษา
สำหรับการทดแทนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น ให้คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาพิจารณาจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น
ตามมาตรา ๓๘ ค. (๒) เฉพาะตำแหน่งที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากำหนดเป็นตำแหน่งประเภทวิชาการและตำแหน่งประเภททั่วไป
ในหน่วยงานการศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น ร้อยละ ๑๐
โดยให้พิจารณาในภาพรวมของอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุทั้งหมดของหน่วยงานในปีงบประมาณนั้น
ๆ ตามที่สำนักงาน ก.พ.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
249 | การขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า | สขค | 12/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบกรอบวงเงินคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า
วงเงินรวม ๕๗๑,๐๔๒,๑๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้ารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มบทบาทการดำเนินการเชิงรุกในการกำกับดูแลและติดตามสภาพการประกอบธุรกิจให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบธุรกิจและช่องทางการค้าใหม่
รวมถึงการเข้ามาแข่งขันของสินค้ามาตรฐานต่ำจากต่างประเทศ
ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย
โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งควรเร่งรัดการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานการให้สินเชื่อทางการค้า
(Credit Term) ในแต่ละประเภทสาขาธุรกิจ
เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒
กันยายน ๒๕๖๓ และเร่งรัดการวินิจฉัยคำร้องขอของผู้ประกอบการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบธุรกิจและนักลงทุน
ตลอดจนควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานและรายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
250 | การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2564 - 2566 สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป | กษ. | 29/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี ๒๕๖๔-๒๕๖๖ สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง
และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ ประกอบด้วย (๑)
เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ปริมาณในโควตา ปีละ ๓.๑๕ ตัน อัตราภาษีในโควตา ร้อยละ ๐
และนอกโควตา ร้อยละ ๒๑๘ (๒) หอมหัวใหญ่ ปริมาณในโควตาปีละ ๗๖๔ ตัน
(แห้งเป็นผงและไม่เป็นผง) อัตราภาษีในโควตา ร้อยละ ๒๗ และนอกโควตาร้อยละ ๑๔๒ (๓)
หัวพันธุ์มันฝรั่ง ปริมาณในโควตาไม่จำกัดจำนวน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐
และนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ และ (๔) หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป มีปริมาณในโควตาปี ๒๕๖๔
จำนวน ๖๓,๐๐๐ ตัน ปี ๒๕๖๕ จำนวน ๗๑,๐๐๐ ตัน ปี ๒๕๖๖ จำนวน ๘๐,๐๐๐ ตัน
อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕
ตามที่คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
หากมีการส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบเกษตรแปลงใหญ่และระบบเกษตรพันธสัญญา (Contract
Farming) ควบคู่ไปด้วย ก็จะสามารถลดการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศและทำให้การบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรของไทยเกิดความยั่งยืนได้ต่อไป
และควรมีการติดตามสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด
และความเคลื่อนไหวของราคาของสินค้าหอมหัวใหญ่ เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่
หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป อย่างต่อเนื่องด้วย
รวมทั้งควรมีการพิจารณาแนวทางในการลดต้นทุนการผลิตและยกระดับประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรในการปลูกหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งให้มีความเหมาะสม
และสอดคล้องกับสภาพพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร
เพื่อให้การผลิตหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งภายในประเทศมีปริมาณและคุณภาพที่เหมาะสม
เพียงพอต่อความต้องการใช้ และไม่กระทบต่อตลาดในประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๒.
มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการเพิ่มปริมาณผลผลิตหัวมันฝรั่งสดภายในประเทศทดแทนการนำเข้า
เช่น การส่งเสริมการเพาะปลูกมันฝรั่งสดทดแทนพืชชนิดอื่น
เพื่อให้มีผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศมากยิ่งขึ้น
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง
การขอขยายปริมาณในโควตาการนำเข้าสินค้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปภายใต้ความตกลงองค์การการค้าโลก
(WTO) ปี ๒๕๖๓ เพิ่มเติม] ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
251 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงยุติธรรม | นร.10 | 22/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี
(สำนักงาน ก.พ.ร. จำนวน ๓๐ อัตรา และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จำนวน ๙๔ อัตรา)
และกระทรวงยุติธรรม (กรมบังคับคดี จำนวน ๗๖ อัตรา) รวมทั้งสิ้น ๒๐๐ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงาน ก.พ.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ ๒.
ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง (สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และกรมบังคับคดี)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น (๑)
ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร หากส่วนราชการมีความจำเป็นต้องสรรหาอัตราบุคลากรตั้งใหม่และสามารถบรรจุได้ทันภายในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้ส่วนราชการพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการเป็นลำดับแรก
หรือขอโอนงบประมาณรายจ่ายบุคลากรตามระเบียบว่าด้วยการโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการและงบประมาณรายจ่ายบุคลากรระหว่างหน่วยรับงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ แล้วแต่กรณี ส่วนภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป
ให้ส่วนราชการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
(๒) ให้ส่วนราชการที่ได้รับการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ดังกล่าวกำหนดแผนและวางกลไกรองรับการกำกับติดตามประเมินผลการดำเนินการตามภารกิจให้สอดคล้องกับแผนงาน
โครงการ และเป้าหมายยุทธศาสตร์ของส่วนราชการ และ (๓) ส่วนราชการควรพิจารณาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติราชการ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
252 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2563 | ดศ. | 08/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ ตามที่คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑. ที่ประชุมรับทราบผลการประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อจัดทำนโยบายและแผนการดำเนินการเฝ้าระวัง
และบริหารจัดการการจราจรทางอวกาศ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ โดยมีมติ (๑) เห็นชอบการแต่งตั้งคณะทำงานจัดทำนโยบายและแผนการดำเนินการเฝ้าระวัง
และบริหารจัดการการจราจรอวกาศทั้งในด้านปฏิบัติการและด้านวิชาการและเครือข่าย
และชุดปฏิบัติการติดตาม เฝ้าระวัง และบริหารจัดการการจราจรทางอวกาศ และ (๒) แผนการจัดประชุมในปี
๒๕๖๔ ประมาณ ๑-๒ ครั้ง เพื่อจัดทำร่างนโยบายและแผนการดำเนินการเฝ้าระวังและบริหารจัดการการจราจรทางอวกาศของประเทศ
รวมทั้งจัดทำข้อเสนอแนะในการกำหนดหน่วยงานเพื่อดำเนินการติดตาม เฝ้าระวัง
และบริหารจัดการการจราจรทางอวกาศได้อย่างต่อเนื่อง ๒. ที่ประชุมเห็นชอบ
(ร่าง) พระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... โดยมอบหมายสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
(องค์การมหาชน) รับข้อสังเกตเพิ่มเติมจากคณะกรรมการฯ ในประเด็นต่าง ๆ เช่น
การป้องกันมิให้มีการเผยแพร่ข้อมูลให้กับบุคคลอื่น การกู้วัตถุอวกาศ
การดำเนินการกรณีการเกิดข้อพิพาท และความสอดคล้องกับพันธกรณีของไทยตามความตกลงระหว่างประเทศด้านอวกาศ
เป็นต้น ไปปรับปรุงแก้ไข (ร่าง) พระราชบัญญัติฯ
ให้มีความสมบูรณ์ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป และให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ
เสนอ (ร่าง) พระราชบัญญัติฯ ต่อคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
253 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2563 | ทส. | 23/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓ รวม ๑๐ เรื่อง
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑. เรื่องเพื่อทราบ
๑ เรื่อง ได้แก่ รายงานสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี ๒๕๖๒ ๒. เรื่องเพื่อพิจารณา
๙ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากสถานีเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซแบบลอยน้ำ
(FSRU) ไปยังโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
(๒) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
(๓) โครงการถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ตอนแยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข
๒๐๕-แยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข ๒๒๖ จังหวัดนครราชสีมา ของกรมทางหลวง (๔)
รายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ
รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง
สายบางปะอิน-นครราชสีมา (บริเวณศูนย์บริการทางหลวง) ของกรมทางหลวง (๕)
โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานตรัง ของกรมท่าอากาศยาน (๖)
โครงการอาคารเช่าสำหรับข้าราชการผู้มีรายได้น้อย จังหวัดสกลนคร ของการเคหะแห่งชาติ
(๗) รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการ กิจการ
หรือการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ
อนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรง โครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ ๓ และ ๔
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (๘) การปรับปรุงมาตรฐานระดับเสียงของรถจักรยานยนต์
และ (๙)
การปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากแหล่งกำเนิดมลพิษประเภทการเลี้ยงสุกร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
254 | การเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 2562 และปีบัญชี 2563 | กค. | 17/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบผลการพิจารณาเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
ปีบัญชี ๒๕๖๒ และปีบัญชี ๒๕๖๓ รวมจำนวน ๑๔ ทุนหมุนเวียน รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน
๓,๑๑๒.๘๕ ล้านบาท จำแนกเป็นปีบัญชี ๒๕๖๒ จำนวน ๑๐ ทุนหมุนเวียน รวมเป็นเงินจำนวน ๑,๙๕๐.๑๑
ล้านบาท และปีบัญชี ๒๕๖๓ จำนวน ๖ ทุนหมุนเวียน รวมเป็นเงินจำนวน ๑,๑๖๒.๗๔ ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายทุนหมุนเวียน
ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๓ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ
ส่วนกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ กองทุนสิ่งแวดล้อม
เงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู
และกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
ให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ
และกระทรวงสาธารณสุขไปพิจารณาทบทวนตามหน้าที่และอำนาจอีกครั้งหนึ่ง โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะขอไม่นำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของกองทุนสิ่งแวดล้อมส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินในปีบัญชี
๒๕๖๓ เนื่องจากคาดว่ากองทุนสิ่งแวดล้อมจะมีเงินคงเหลือในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ไม่เพียงพอรองรับประมาณการรายจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕
ประกอบกับกองทุนสิ่งแวดล้อมเป็นกองทุนไม่แสวงหาผลกำไร
โดยผลประโยชน์ที่เกิดจากกองทุนนี้นำไปหมุนเวียนเพื่อสนับสนุนให้กับโครงการที่ขอรับการสนับสนุนทั้งเงินกู้และเงินอุดหนุน
ซึ่งส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนต่อไป
และกระทรวงศึกษาธิการเห็นว่าในส่วนของเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู
กระทรวงศึกษาธิการจะดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด
และการนำทุนหรือกำไรส่วนกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑
แต่การดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลกระทบให้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูขาดสภาพคล่องทางการเงินและมีเงินไม่เพียงพอในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๖ ไปพิจารณาทบทวนตามหน้าที่และอำนาจอีกครั้งหนึ่ง ๒.
ให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนพิจารณากำหนดระยะเวลาการนำส่งทุนหรือผลกำไรส่วนเกินที่ต้องส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินที่ชัดเจน
และรายงานผลการนำส่งทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
255 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 | นร.14 | 03/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๓ โดยที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาเรื่องที่หน่วยงานเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ เรื่องเพื่อทราบ ๕ เรื่อง ได้แก่
ผลการประชุมคณะอนุกรรมการภายใต้ กนช. จำนวน ๗ คณะ
ผลการประชุมคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม
๒๕๖๓ ความก้าวหน้าแผนงานโครงการที่เสนอในคณะรัฐมนตรี และงานนโยบายที่นายกรัฐมนตรี
ตรวจงานในพื้นที่ และการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ความก้าวหน้าการใช้จ่ายงบประมาณตามแผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
และงบประมาณรายจ่ายแผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
และรายงานสถานการณ์น้ำที่ผ่านมา สถานการณ์น้ำปัจจุบัน และการคาดการณ์ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๑.๒ เรื่องเพื่อพิจารณา ๔ เรื่อง ได้แก่
โครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ที่วงเงินงบประมาณเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท
ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อกำหนดขอบเขต บทบาท ภารกิจ
หน้าที่และอำนาจของหน่วยงานด้านการบริหารทรัพยากรน้ำของประเทศ
การมอบหมายให้คณะกรรมการลุ่มน้ำคณะหนึ่งคณะใด ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการลุ่มน้ำประจำลุ่มน้ำตามมาตรา
๒๗ (มาตรา ๑๐๐ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑)
และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์
ฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติและแม่น้ำลำคลอง ภายใต้ กนช. และคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการฯ ๑.๓ เรื่องอื่น ๆ ๒ เรื่อง ได้แก่
การปรับปรุงองค์ประกอบ หน้าที่และอำนาจ ของคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด
และการแต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการดำเนินงานประปาหมู่บ้าน ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และข้อสั่งการของประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพและเพียงพอต่อความต้องการใช้ของประชาชนทั้งประเทศ
และการประชุมในครั้งนี้ เป็นการร่วมกันแก้ไขปัญหาน้ำให้กับประชาชน
ทั้งน้ำอุปโภค-บริโภค น้ำเพื่อการเกษตร อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว
ทุกหน่วยงานต้องร่วมกันหาวิธีการดำเนินงานอย่างไรให้มีการกระจายน้ำได้อย่างทั่วถึง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
256 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 27/2563 | นร.11 | 03/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามขั้นตอนของพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้จังหวัดในฐานะหน่วยรับงบประมาณเร่งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง
และรายงานผลการดำเนินงานตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนด
รวมทั้งให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เร่งปรับปรุงข้อมูลของโครงการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR)
เพื่อให้สามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายและลงทุนให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้
และสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในภาพรวมได้ตามเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ ในส่วนของแหล่งเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
257 | ขออนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2563 | กษ. | 03/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๓
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑
อนุมัติโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์
วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท
เป็นการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางพาราและผลิตภัณฑ์
โดยรัฐบาลสนับสนุนวงเงินชดเชยดอกเบี้ยในอัตราตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินร้อยละ ๓
ต่อปี จำนวนไม่เกิน ๖๐๐ ล้านบาท จากวงเงินกู้ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒
อนุมัติขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง
เป็นการขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการทั้งสองโครงการเดิมให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖
โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาค้ำประกันเงินกู้ออกไปและยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ตามระยะเวลาการขยายระยเวลาชำระคืนเงินกู้พร้อมชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา
FDR+1
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ รวมทั้งขอรับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการ
(ค่าเช่าโกดัง ค่าประกันภัย และค่าจ้างผลิตยาง) รวมทั้งสิ้น ๘๙๘.๗๖ ล้านบาท ๑.๓
อนุมัติปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง
เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการฯ โดยให้ผู้ประกอบการสามารถขอสินเชื่อได้จากทั้งธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐ
(สถาบันการเงินเฉพาะกิจ) และผ่อนปรนเงื่อนไขการใช้ยางเพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการในปีการผลิต
๒๕๖๓ เพื่อลดผลกระทบอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ๑.๔ อนุมัติเพิ่มกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยาง
(ยางแห้ง) ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ภายใต้โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการกิจการยาง
(ยางแห้ง) วงเงินสินเชื่อ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการซื้อยางมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตของฤดูกาลใหม่เป็นรายเดือน
และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ ๒ ต่อปี ๒.
สำหรับแหล่งเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ เช่น ค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางพารา
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง
ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนยางพารา เป็นต้น และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
การยางแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงบประมาณ เช่น (๑)
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษามาตรการและแนวทางเพิ่มเติมในการดูดซับอุปทานส่วนเกินของยางพาราในระบบ
และ (๒)
การขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง รัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
การยางแห่งประเทศไทยจึงควรหาวิธีชำระคืนเงินกู้โดยเร็ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๓.
มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (การยางแห่งประเทศไทย)
เร่งดำเนินการระบายสต็อกยางในโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางให้หมดไปโดยเร็ว
โดยให้คำนึงถึงระยะเวลาและระดับราคาจำหน่ายที่เหมาะสม
เพื่อลดภาระงบประมาณและรักษาประโยชน์สูงสุดของรัฐ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
258 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 25/2563 และครั้งที่ 26/2563 | นร.11 | 28/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๕/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ และครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ ที่พิจารณาอนุมัติโครงการ
รวมทั้งรับทราบผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๓
และวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ ของมหาวิทยาลัยมหิดล จังหวัดตรัง จังหวัดปราจีนบุรี
และจังหวัดกระบี่ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และที่เสนอเพิ่มเติมว่า
ขอแก้ไขข้อความในหนังสือคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ด่วนที่สุด ที่ นร
๑๑๐๖/(คกง.) ๓๗๑ ลงวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๓ หน้า ๑๓ ข้อ ๓.๔.๔ ให้ถูกต้อง
จากเดิมความว่า “๒) มอบหมายให้กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ
และดำเนินการ ดังนี้” เป็น “๒)
มอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ
และดำเนินการ ดังนี้” ๒.
ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น (๑)
ให้กระทรวงต้นสังกัดกำกับดูแลให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
และติดตามการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด และ (๒)
ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
โดยเฉพาะการแก้ไขปรับปรุงข้อมูลของโครงการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR)
และเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้
ในส่วนของแหล่งเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการ
ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา
แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
259 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ครั้งที่ 1/2563 | นร15 | 28/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (คณะกรรมการ ป.ย.ป.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่
๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๓
ซึ่งที่ประชุมได้มีมติพิจารณาแนวทางในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ
ได้แก่ (๑) เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) (๒)
เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกคณะกรรมการ ๕ คณะ และ (๓)
เห็นชอบในหลักการในการปรับปรุงกลไกการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะกรรมการ ป.ย.ป.
และประสานสำนักงาน ป.ย.ป. ต่อไป ตามที่สำนักงาน ป.ย.ป. เสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน
ป.ย.ป.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เช่น
การเชื่อมโยงบูรณาการข้อมูลเรื่องร้องทุกข์จำเป็นต้องมีหน่วยงานหลักเป็นเจ้าภาพกำหนดแพลตฟอร์มกลางที่หน่วยงานจำเป็นต้องใช้ร่วมกันได้
รวมทั้งควรกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์
และควรให้แต่ละหน่วยงานสนับสนุนกลุ่มกำลังคนคุณภาพรุ่นใหม่ เช่น นักเรียนทุนรัฐบาล
ข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูง (HIPPs) และนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่
(นปร.) เข้าร่วมกลุ่มขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดอง เพื่อขับเคลื่อนงานด้านการปฏิรูปประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงาน
ป.ย.ป. พิจารณาปรับปรุงแบบการรายงานข้อมูลผลการปฏิบัติงานและผลสัมฤทธิ์ของทุกส่วนราชการ
โดยจำแนกตามแต่ละด้านของยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) และให้มีรายละเอียดที่ครบถ้วน
ชัดเจน และเป็นรูปธรรม เช่น เป้าหมาย แนวทาง/วิธีการ สถานที่ งบประมาณ ระยะเวลา
และกลุ่มผู้ได้รับประโยชน์ แล้วแจ้งให้ทุกส่วนราชการรายงานผลการปฏิบัติงานตามรูปแบบดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
และให้สำนักงาน ป.ย.ป. รวบรวมผลการปฏิบัติงานในภาพรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีทราบทุก ๆ
๓ เดือน รวมทั้งให้สำนักงาน ป.ย.ป.
เผยแพร่ข้อมูลผลการปฏิบัติงานดังกล่าวและสร้างการรับรู้แก่สาธารณชนให้ถูกต้องและทั่วถึงด้วย ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาปรับปรุงแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการรับเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์จากประชาชนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าใช้งานได้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องสามารถประสานและเชื่อมโยงเพื่อนำข้อมูลการร้องเรียน/ร้องทุกข์ดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างรวดเร็วและเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
ทั้งนี้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งรัดการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม
๒๕๖๓ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
260 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 1/2563 | นร. | 20/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ รวมทั้งเห็นชอบการเปิดตลาดและบริหารการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลือง
พิกัดอัตราศุลกากร ๒๓๐๔.๐๐.๙๐ รหัสย่อย ๐๒
เฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค (รหัสสถิติ ๐๐๒/KGM) และรหัสย่อย ๒๙ เฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ (รหัสสถิติ ๐๙๐/KGM)
คราวละ ๓ ปี คือ ปี ๒๕๖๔-๒๕๖๖ และเห็นชอบมาตรการปกป้องพิเศษ
(Special Safeguard Measure :
SSG) ภายใต้ความตกลงองค์การการค้าโลก (World
Trade Organization : WTO) และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN
Free Trade : AFTA) สำหรับสินค้ามะพร้าว ปี ๒๕๖๓
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณ์วิศิษฏ์)
ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช กระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ควรกำกับดูแลการนำเข้าให้เป็นไปตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่กำหนด
รวมทั้งเข้มงวดกับการป้องกันการลักลอบนำเข้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์มะพร้าวที่ผิดกฎหมาย
เพื่อมิให้กระทบกับเกษตรกรชาวสวนมะพร้าวในประเทศ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |