ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 28 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 541 - 560 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 541 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2556 (ครั้งที่ 145) | พน | 13/08/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ (ครั้งที่ ๑๔๕) เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เรื่องเพื่อพิจารณา ๕ เรื่อง ๑.๑.๑ แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน ๑.๑.๑.๑ เห็นชอบให้ยกเลิกมติ กพช. เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ที่ให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ให้สะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ ๒๔.๘๒ บาทต่อกิโลกรัม ภายในปี ๒๕๕๖ ๑.๑.๑.๒ เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน โดยให้ปรับขึ้นเดือนละ ๐.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป จนสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ ๒๔.๘๒ บาทต่อกิโลกรัม ๑.๑.๑.๓ เห็นชอบเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน โดยครัวเรือนรายได้น้อยช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน ๑๘ กิโลกรัมต่อ ๓ เดือน ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ช่วยเหลือตามการใช้จริงไม่เกิน ๑๕๐ กิโลกรัมต่อเดือน ทั้งนี้ ผู้ได้รับการช่วยเหลือสามารถเลือกใช้ถังขนาดใดก็ได้ แต่ไม่เกินขนาดถัง ๑๕ กิโลกรัม ๑.๑.๒ รายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการบริหารมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ๑.๑.๒.๑ รับทราบรายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการฯ ๑.๑.๒.๒ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน กำหนดปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในแต่ละปีให้ชัดเจน วันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (SCOD) และให้มีการเปิดรับข้อเสนอขายไฟฟ้ารายใหม่โดยรับการส่งเสริมในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ตามปริมาณรับซื้อที่จะมีการประกาศเป็นรายเชื้อเพลิงตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ๑.๑.๒.๓ เห็นชอบให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า หลักเกณฑ์และการออกประกาศเชิญชวน รวมทั้งกำกับดูแลขั้นตอนการคัดเลือก รวมถึงการเร่งรัดให้มีการดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบตามเป้าหมาย และรายงานผลให้กระทรวงพลังงานทราบเป็นรายไตรมาสต่อไป ๑.๑.๒.๔ เห็นชอบให้ กฟผ. ร่วมกับ กกพ. จัดทำแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อรองรับการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโครงการพลังงานหมุนเวียนที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) แล้วอย่างเร่งด่วนและรายงาน กพช. ต่อไป ๑.๑.๒.๕ เห็นชอบให้การไฟฟ้าทั้ง ๓ แห่ง [กฟผ. การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)] จัดทำแผนการลงทุนระบบส่งไฟฟ้าและระบบจำหน่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในอนาคตของประเทศ ๑.๑.๒.๖ เห็นชอบให้ กกพ. ดำเนินการเร่งรัดออกใบอนุญาตสำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ One Stop Service และรายงานผลการดำเนินงานให้ กพช. ทราบต่อไป ๑.๑.๓ การปรับค่าเป้าหมายตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๒๕% ใน ๑๐ ปี ตามการบูรณาการยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) เห็นชอบการปรับค่าเป้าหมายตามแผนพัฒนาฯ รวม ๓ เป้าหมาย คือ เพื่อการผลิตไฟฟ้า เพื่อผลิตความร้อน และเพื่อใช้ในการคมนาคมขนส่ง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินการต่อไป ๑.๑.๔ การพิจารณาอัตราการรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar PV Rooftop) ๑.๑.๔.๑ เห็นชอบให้มีการรับซื้อไฟฟ้าโครงการฯ ๑.๑.๔.๒ เห็นชอบอัตรา FiT โครงการฯ โดยมีระยะเวลาสนับสนุน ๒๕ ปี ๑.๑.๔.๓ เห็นชอบปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ ในปี ๒๕๕๖ รวมกำลังผลิตติดตั้ง 200 MWp ๑.๑.๔.๔ เห็นชอบให้ กกพ. ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ ตลอดจนหลักเกณฑ์และการออกประกาศเชิญชวน รวมทั้งการกำกับดูแลขั้นตอนการคัดเลือกให้เกิดความเป็นธรรม ทั้งนี้ ในการจัดทำกระบวนการขอใบอนุญาตแบบ One Stop Service ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๔.๕ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายลดหย่อนค่าธรรมเนียมการเชื่อมโยงโครงข่ายและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับกลุ่มบ้านอยู่อาศัย โดยให้ กกพ. ไปกำหนดอัตราการลดหย่อนค่าเชื่อมโยงที่เหมาะสมต่อไป ๑.๑.๔.๖ เห็นชอบให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพลังงานหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการสนับสนุนทางภาษีต่อไป ๑.๑.๕ โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน ๑.๑.๕.๑ เห็นชอบให้ดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ โดยมีเป้าหมายกำลังการผลิตติดตั้งรวม 800 MWp ๑.๑.๕.๒ เห็นชอบอัตราการรับซื้อไฟฟ้าพิเศษสำหรับโครงการฯ ในอัตราพิเศษ แบ่งเป็น ปีที่ ๑-๓ ระบบ Feed-in Tariff อัตรา ๙.๗๕ บาทต่อหน่วย ปีที่ ๔-๑๐ ระบบ Feed-in Tariff อัตรา ๖.๕๐ บาทต่อหน่วย และปีที่ ๑๑-๒๕ ระบบ Feed-in Tariff อัตรา ๔.๕๐ บาทต่อหน่วย โดยให้มีวันจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในปี ๒๕๕๗ ๑.๑.๕.๓ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานร่วมกับสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติดำเนินการพัฒนาโครงการฯ ตามแนวทางการดำเนินงานโครงการฯ ๑.๑.๕.๔ เห็นชอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ออกระเบียบหลักเกณฑ์ในการดำเนินการพัฒนาโครงการฯ รวมถึงดำเนินการคัดเลือกหมู่บ้านที่มีศักยภาพเพื่อสมัครเข้าร่วมโครงการฯ และรายงานผลการคัดเลือกให้ กพช. ทราบ ๑.๑.๕.๕ เห็นชอบให้ กกพ. ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าต่อไป โดยพิจารณาค่าใช้จ่ายในการรับซื้อไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายที่เกิดขึ้นจากโครงการฯ ที่ต่างจากค่าซื้อไฟฟ้าเฉลี่ยจาก กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เป็นค่าใช้จ่ายตามนโยบายภาครัฐในสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ๑.๒ เรื่องเพื่อทราบ ๒ เรื่อง ๑.๒.๑ การกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อสำหรับภาคขนส่ง ๑.๒.๑.๑ เห็นชอบการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ ๑.๒.๑.๒ มอบ กบง. เป็นผู้พิจารณาค่าบริหารจัดการในการขายส่งก๊าซ ๑.๒.๒ แนวทางการดำเนินการเสริมสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้าภาคใต้ ๑.๒.๒.๑ เห็นชอบให้ กฟผ. ดำเนินการตามแนวทางการเสริมสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้าภาคใต้ให้ กฟผ. เพิ่มชั่วโมงการเดินเครื่องโรงไฟฟ้ากระบี่เต็มกำลังการผลิต และให้พิจารณาใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้ากระบี่ในสัดส่วนร้อยละ ๑๐ ของปริมาณการใช้น้ำมันเตา เพื่อลดปัญหาด้านการขนส่งน้ำมันเตา ๑.๒.๒.๒ มอบ กกพ. กำกับดูแลการดำเนินการ ๒. ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar PV Rooftop) เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา ดาดฟ้า หรือส่วนหนึ่งส่วนใดบนอาคาร หรือในบริเวณพื้นที่อยู่อาศัย หากใช้เครื่องจักรที่มีกำลังแรงม้าหรือกำลังเทียบเท่าตั้งแต่ ๕ แรงม้าขึ้นไป (เทียบเท่า ๓.๗๓ กิโลวัตต์) จัดเป็นโรงงานจำพวกที่ ๓ ก่อนการก่อสร้างหรือติดตั้งเครื่องจักรเพื่อประกอบการโรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานก่อน และในการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาเป็นกิจการที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน และความปลอดภัยของประชาชน ตลอดจนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการจัดการของเสียอันเกิดจากเซลล์แสงอาทิตย์ที่ชำรุดเสียหายหรือหมดอายุจากการใช้งาน ดังนั้น ในกระบวนการอนุญาตจึงจำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจริง รวมทั้งควรมีมาตรการกำกับดูแลและควบคุมผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเซลแสงอาทิตย์ให้มีมาตรฐานและความปลอดภัยเพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้ ควรกำหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ในการรับข้อเสนอขายไฟฟ้าจากโครงการฯ ไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 542 | การลงนามในร่างพิธีสารสรุปความตกลงเปิดตลาดทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและอัฟกานิสถานภายใต้กระบวนการภาคยานุวัติเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของอัฟกานิสถาน | พณ | 06/08/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในสารัตถะของร่างพิธีสารสรุปความตกลงเปิดตลาดทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและอัฟกานิสถานภายใต้กระบวนการภาคยานุวัติเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของอัฟกานิสถาน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเร่งรัดกระบวนการลงนามในพิธีสารสรุปความตกลงฯ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ประเทศอื่น ๆ เข้าใจผิดว่าการดำเนินการล่าช้าของไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อกีดกันการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของอัฟกานิสถาน ๒. ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ |
||||||||||||||||||||||||
| 543 | มาตรการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ | กค | 06/08/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ ได้แก่ มาตรการด้านการบริโภคภาคเอกชน มาตรการด้านการลงทุนภาคเอกชน มาตรการด้านการใช้จ่ายภาครัฐ และมาตรการด้านการส่งออก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในภาพรวมและการดำเนินงานในแต่ละด้าน ควรคำนึงถึงผลประโยชน์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน เพื่อให้การดำเนินมาตรการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และประชาชน อย่างแท้จริง และให้กระทรวงการคลังประสานกับหน่วยงานเจ้าภาพเพื่อร่วมกันกำหนดเป้าหมายและกรอบระยะเวลาการดำเนินการที่ชัดเจน รวมทั้งติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานเจ้าภาพ เพื่อรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างสม่ำเสมอ และจัดส่งข้อมูลดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจปี ๒๕๕๖ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพเพิ่มเติม ๓.๑ ให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักเพิ่มเติมร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงการคลังในการดำเนินการเกี่ยวกับมาตรการภาษีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาแก้ไขระเบียบที่เป็นอุปสรรคหรือปัญหาในทางปฏิบัติของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วย ๓.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) รับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการในการเร่งรัดการจ่ายเงินของกองทุนตั้งตัวได้ตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ เพื่อให้ขบวนการขับเคลื่อนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเร็วขึ้น รวมทั้งให้สำนักงบประมาณรายงานสถานภาพและความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ของกองทุนนอกงบประมาณให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาสด้วย ๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณารายละเอียดและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณของจังหวัดในส่วนที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๓.๔ ให้สำนักงบประมาณรับไปดำเนินการชี้แจงกับกระทรวงต่าง ๆ เกี่ยวกับการจัดสัมมนา โดยขอความร่วมมือให้กระทรวงจัดสัมมนากระจายไปตามจังหวัดต่าง ๆ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ภายในไตรมาส ๑ และไตรมาส ๒ ของปีงบประมาณ ๓.๕ ให้กระทรวงที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการไว้แล้ว ดำเนินการจัดนิทรรศการส่งเสริมสินค้าไทยให้มากขึ้น เช่น สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ของกระทรวงมหาดไทย โครงการธงฟ้าของกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศและส่งเสริมการใช้สินค้าไทย ๓.๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในการจัดทำวีซ่าเพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวจากต่างชาติ |
||||||||||||||||||||||||
| 544 | ความคืบหน้าการดำเนินงานเรื่องน้ำมันรั่วไหลจากท่อส่งน้ำมันดิบลงสู่ทะเลจังหวัดระยอง | ทส | 06/08/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง โดยผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลบริเวณชายหาดท่องเที่ยวรอบเกาะเสม็ด เมื่อวันที่ ๓-๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ พบว่า มีคุณภาพน้ำพารามิเตอร์พื้นฐานอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล สำหรับพารามิเตอร์อื่น ๆ เช่น โลหะหนัก ปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน (TPH) และโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (PAHs) คาดว่า จะสามารถทราบผลภายใน ๒ สัปดาห์ ส่วนการดำเนินงานของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการทำความสะอาดชายหาดอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ สภาพหาดอ่าวพร้าวเกือบเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยังพบคราบน้ำมันเป็นลักษณะฟิล์มบาง ๆ ในน้ำทะเลอยู่บ้าง สำหรับผลการสำรวจระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเล คือ ปะการัง หญ้าทะเล และสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ เช่น เต่าทะเล พะยูน โลมา และวาฬ ไม่พบผลกระทบโดยตรงและได้รับความเสียหายจากกรณีการรั่วไหลของน้ำมันที่ชัดเจน ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจะดำเนินการติดตามตรวจสอบผลกระทบต่อระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลในระยะยาวต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทย ในการเร่งรัดการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสภาพเดิมโดยเร็วอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรม ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประสานกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๔๗ ทั้งในส่วนขององค์ประกอบและอำนาจหน้าที่เพื่อให้สอดคล้องและทันกับเหตุการณ์และสถานการณ์ปัจจุบัน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ทั้งนี้ ในการปรับปรุงแก้ไขระเบียบฯ ให้คำนึงถึงขั้นตอนในการดำเนินงานให้อยู่ในระบบ single command และแบ่งการดำเนินการให้ชัดเจนออกเป็นการช่วยเหลือโดยทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ (Response) ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพลังงาน ส่วนการเยียวยา ฟื้นฟู (Recovery) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน
|
||||||||||||||||||||||||
| 545 | รายงานความก้าวหน้างบลงทุนที่ดำเนินการล่าช้า และขอขยายระยะเวลาลงนามในสัญญาจ้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 - พ.ศ. 2556 | สธ | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความก้าวหน้างบลงทุนและปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ดำเนินการล่าช้า ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการบริหารงบประมาณ งบลงทุน ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-พ.ศ. ๒๕๕๖ ผลการจัดซื้อจัดจ้างล่าช้าไม่เป็นไปตามแผนปฏิบัติงาน ซึ่งต้องขอขยายระยะเวลาการลงนามสัญญา ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๒๔ รายการ ประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๒๒ รายการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จำนวน ๑ รายการ และกรมอนามัย จำนวน ๑ รายการ ๑.๒ สาเหตุของการดำเนินการล่าช้า เนื่องจาก ๑.๒.๑ แบบแปลนก่อสร้างของกองแบบแผนเป็นแบบมาตรฐานกลาง บางแบบไม่เหมาะกับพื้นที่ ต้องมีการปรับปรุงรายละเอียดรูปแบบรายการ ๑.๒.๒ ขณะตั้งคำของบประมาณราคากองแบบแผน ยังไม่แล้วเสร็จ ๑.๒.๓ ไม่ได้เตรียมความพร้อมในการส่งมอบพื้นที่ให้ผู้รับจ้าง ๑.๒.๔ การเปลี่ยนแปลงฐานรากและเสาเข็ม ตามผลการทดสอบดิน ๑.๒.๕ เจ้าหน้าที่พัสดุ/ผู้ปฏิบัติงานขาดความรู้ ความเข้าใจเรื่องระเบียบพัสดุฯ และขั้นตอนการดำเนินงานการจัดซื้อ/จัดจ้าง การดำเนินงานจึงไม่เป็นไปตามระเบียบพัสดุฯ ทำให้ต้องแจ้งกรมบัญชีกลางเพื่อขอยกเว้นผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบพัสดุฯ (กวพ.อ) ๑.๒.๖ งบประมาณที่ได้รับจัดสรรต่ำกว่าความเป็นจริงจนไม่สามารถนำไปดำเนินการจัดหาได้ ต้องดำเนินการหลายครั้ง ๑.๒.๗ ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างหลายครั้ง เนื่องจากไม่มีผู้รับจ้างเสนอราคา ๑.๒.๘ เจ้าหน้าที่ขาดทักษะการบริหารสัญญา ๑.๓ กระทรวงสาธารณสุขได้มีมาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดย ๑.๓.๑ แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงสาเหตุของความล่าช้า ๑.๓.๒ หลังงบประมาณผ่านคณะรัฐมนตรี แจ้งหน่วยงานที่จะได้รับจัดสรรงบประมาณดำเนินขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างล่วงหน้าโดยให้ดำเนินไปตามระเบียบพัสดุและจะลงนามสัญญาต่อเมื่อได้รับจัดสรรเงินงบประมาณ ๑.๓.๓ จัดฝึกอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่พัสดุในภูมิภาคเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับระเบียบฯ ว่าด้วยการจัดซื้อ/จัดจ้าง มติคณะรัฐมนตรี และกฎหมายข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันไม่ให้ดำเนินการผิดระเบียบฯ ต้องขอผ่อนผันไม่ปฏิบัติตามระเบียบต่อ กวพ.อ. และการบริหารสัญญา ทุกหน่วยงาน ๑.๓.๔ หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งรัดติดตามผลการดำเนินงานส่วนภูมิภาคทุกรายการ เพื่อทราบและหาแนวทางแก้ไขปัญหา ๑.๓.๕ ติดตามเร่งรัดการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารสัญญา โดยคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการจัดซื้อ/จัดจ้างของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ๒. สำหรับการขอขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาจ้างภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๒๔ รายการ นั้น ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเสนอคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ พิจารณารายละเอียดเหตุผลและความจำเป็นของการขอขยายระยะเวลาดังกล่าว ตามขั้นตอนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๖ (เรื่องมาตรการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพิ่มเติม) แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 546 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 4/2556 | นร11 | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. ๒.๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมพิจารณาในรายละเอียดของความคุ้มค่าและความเหมาะสมของโครงการพัฒนานวัตกรรมการเลี้ยงโคนมและนมอินทรีย์ครบวงจร โดยเฉพาะรูปแบบและกลไกการบริหารจัดการที่ไม่เป็นภาระต่องบประมาณของรัฐในอนาคต รวมทั้งความเชื่อมโยงกับกลไกดำเนินงานที่มีอยู่ในพื้นที่ ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ และภาคเอกชน เพื่อปรับปรุงประกาศกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดสระบุรีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๑.๓ ให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจัดทำรายละเอียดคำร้องพร้อมเหตุผลการขอเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา เพื่อประกอบการปรับปรุงผังเมืองรวมพระนครศรีอยุธยาต่อไป และให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเร่งรัดขั้นตอนการปรับปรุงประกาศกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรีตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๑.๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมของโครงการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมการเกษตร ตามที่ภาคเอกชนเสนอ รวมทั้งรูปแบบการบริหารจัดการของโครงการฯ อย่างยั่งยืน และความเชื่อมโยงกลไกดำเนินการที่มีอยู่ในพื้นที่ ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณา ๒.๑.๒.๑ เร่งรัดโครงการก่อสร้างถนน ๓ เส้นทาง [ถนนวงแหวนต่างระดับ ๙ สาย ตัด ๓๔๐ และตัด ๓๔๕ เชื่อมโยงจังหวัดนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี, ทางด่วนโทลเวย์ (รังสิต-ประตูน้ำพระอินทร์) และเส้นทางหมายเลข ๓๒ ต่อเชื่อมกับสถานีรถไฟมาบพระจันทร์ ที่อำเภอนครหลวง (สถานีขนส่งสินค้า)] การขยายช่องจราจรจาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร ๓ เส้นทาง [ถนนเลียบคลองเจ็ด ฝั่งตะวันตก (ปท. ๓๐๐๔) อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ระยะทาง ๑๐.๔ กิโลเมตร, เส้นทางหมายเลข ๓๒๙ (มาจากหินกอง) ช่วงอำเภอนครหลวง-อำเภอบางปะหัน เพื่อการขนส่งลงทางน้ำของแม่น้ำป่าสัก และถนน ๓๐๕๖ อำเภอภาชี-อำเภออุทัย-อำเภอบางปะอิน ชนหมายเลข ๓๒ เส้นทางหลักของทางออกนิคมอุตสาหกรรมโรจนะไปกรุงเทพมหานคร] และโครงการก่อสร้างขยายถนนหมายเลข ๙ จากแยกทางต่างระดับ ๓๔๐ (จังหวัดนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี) จาก ๔ ช่องจราจร เป็น ๑๐ ช่องจราจร ตามที่ภาคเอกชนเสนอ ไปประกอบการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามความจำเป็นและความเร่งด่วน เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีหรือการสนับสนุนจากแหล่งเงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน ๒ ล้านล้านบาท ตามขั้นตอนต่อไป โดยให้พิจารณาข้อจำกัดของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ๒.๑.๒.๒ รับข้อเสนอการขยายเส้นทางรถไฟสายสีม่วงจากบางใหญ่-ไทรน้อย (๒.๕ กิโลเมตร) และเชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูบนถนนชัยพฤกษ์ ระยะทาง ๙ กิโลเมตร (สายสีทอง) ไปพิจารณาการออกแบบในภาพรวม โดยอาจดำเนินการจัดระบบขนส่งผู้โดยสารเพื่อเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าทั้งสองสายด้วย ๒.๑.๒.๓ รับข้อเสนอการสนับสนุนโครงการศึกษา ๒ โครงการ ได้แก่ การปรับปรุงสะพานนวลฉวีเพื่อการสัญจรทางน้ำ และการยกระดับเส้นทางรถไฟ เพื่อการแก้ไขปัญหาการจราจร กรณีเส้นทางรถไฟผ่ากลางเมือง จังหวัดสระบุรี ไปประกอบการศึกษาความเหมาะสมและความจำเป็นของโครงการ รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความจำเป็นและความเร่งด่วนเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากแหล่งเงินที่เหมาะสมต่อไป ๒.๑.๓ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒.๑.๓.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาในรายละเอียดของโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำคลองบางบัวทอง และเสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามข้อเสนอของภาคเอกชนต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินการต้องทำความเข้าใจกับประชาชนและให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบและประเมินผลโครงการอย่างใกล้ชิด ๒.๑.๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นและข้อเสนอแนะของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาโครงการศึกษาความเหมาะสมของการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังในแม่น้ำป่าสัก และการพิจารณาจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางน้ำได้ตามเป้าหมาย ๒.๒ ข้อเสนอของ กกร./สทท. ๒.๒.๑ การส่งเสริมการท่องเที่ยว ๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปหารือร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ สทท. เพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด โดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับแผนแม่บทการอนุรักษ์พัฒนาและฟื้นฟูประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และแนวทางการบริหารจัดการศูนย์บริการนักท่องเที่ยวให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการท่องเที่ยวอยุธยาเมืองมรดกโลก รวมทั้งเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ๒.๒.๑.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย และ สทท. พิจารณาในรายละเอียดการพัฒนาถนนวัฒนธรรมไท-ยวนเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรม การเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมภายในกลุ่มจังหวัดและการส่งเสริมด้านการตลาด ๒.๓ เรื่องอื่น ๆ รวม ๖ เรื่อง เสนอโดย สทท./กกร. ๒.๓.๑ การเร่งรัดการวางแผนการบริหารจัดการสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินภูเก็ต เพื่อเตรียมรองรับ High Season ๒.๓.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรูปแบบเดียวกับที่เคยใช้แก้ไขปัญหากรณีท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เพื่อแก้ไขปัญหาแออัดรองรับนักท่องเที่ยวของท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตให้ทันกับฤดูกาลท่องเที่ยว ๒.๓.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมประสานบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการเสนอแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานภูเก็ต โดยเฉพาะในด้านการรองรับปริมาณผู้โดยสารที่จะเดินทางสู่กรุงเทพฯ โดยคำนึงถึงการแก้ไขปัญหาด้านผลกระทบของสิ่งแวดล้อมโดยรอบของท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิด้วย ๒.๓.๒ แนวทางการรณรงค์เพื่อดำเนินการด้านการใช้แรงงานเด็กและการใช้แรงงานบังคับ (ตามรายงานกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กและการใช้แรงงานบังคับ) ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาหาแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขร่วมกัน โดยใช้กลไกต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้สามารถดำเนินงานได้อย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรม ตลอดจนเผยแพร่แนวปฏิบัติด้านการใช้แรงงานที่ดีเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของอุตสาหกรรมและประเทศชาติต่อไป ๒.๓.๓ การทบทวนเกณฑ์การรวมธุรกิจที่ต้องขออนุญาตตามบทบัญญัติมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และ กกร. พิจารณาการกำหนดแนวทางการหารือเพื่อทบทวนเกณฑ์การรวมธุรกิจที่ต้องขออนุญาต ตามบทบัญญัติมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยการพิจารณาให้คำนึงถึงผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในทุกระดับทั้งระบบร่วมกัน ๒.๓.๔ การแก้ไขพระราชบัญญัติศุลกากรในประเด็นว่าด้วยโทษสำ
|
||||||||||||||||||||||||
| 547 | การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี | นร04 | 09/07/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๕๙/๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๓ คณะ ลงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๓๖/๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๕ คณะ ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยจัดทำเป็นคำสั่งใหม่ ๒. กำหนดให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๓ คณะ ประกอบด้วย ๒.๑ คณะที่ ๑ ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม รวมทั้งด้านการเงิน การคลัง การภาษีอากร สถาบันการเงิน การลงทุน การผลิต การหารายได้เข้าประเทศ การนำเข้าและส่งออกสินค้า นโยบายรัฐวิสาหกิจ และการพลังงาน รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในภาพรวมอื่น เช่น กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือเรื่องที่มีผลกระทบด้านการท่องเที่ยวและกีฬา การเกษตร การคมนาคม หรือเรื่องที่มีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน การสงวน อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการและการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เทคโนโลยีและการสื่อสาร การพลังงาน วิทยาศาสตร์ และการอุตสาหกรรม ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน การเร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ และการส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน ๒.๒ คณะที่ ๒ ฝ่ายสังคมและกฎหมาย โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อด้านสังคม ด้านแรงงาน ด้านวัฒนธรรม ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านกฎหมาย การพัฒนาสังคม การพัฒนาองค์กร ชุมชน การพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ และการคุ้มครองผู้บริโภค ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ การสนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น การพัฒนาระบบประกันสุขภาพ และการเร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ๒.๓ คณะที่ ๓ ฝ่ายความมั่นคงและต่างประเทศ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อด้านความมั่นคง การทหาร การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน การต่างประเทศ แรงงานต่างด้าว กระบวนการยุติธรรม การพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ โดยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย การเร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง การกำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็น “วาระแห่งชาติ” และการเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
| 548 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 3/2556 | นร11 | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดกำแพงเพชร โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน [ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย (กกร.)] สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และผู้แทนภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี ๑.๒ เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ ณ จังหวัดกำแพงเพชร และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. ๑.๒.๑.๑ เรื่อง การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องศึกษาในรายละเอียดและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการจัดตั้ง “ศูนย์บูรณาการการค้าและนวัตกรรมแปรรูปข้าวไทย” เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้าข้าว และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันสู่ตลาดโลก โดยเฉพาะรูปแบบการบริหารจัดการและระยะเวลาดำเนินงาน ๑.๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาในรายละเอียดของการศึกษาจัดตั้ง “ศูนย์กลางธุรกิจการค้าและนวัตกรรมแปรรูปมันสำปะหลัง จังหวัดกำแพงเพชร” โดยเฉพาะความเหมาะสมและความเป็นไปได้ กลไกและรูปแบบการบริหารจัดการ โครงสร้างราคา มาตรการป้องกันการปลอมปน และการเชื่อมโยงกับสถาบันหรือหน่วยงานที่มีอยู่ในพื้นที่เพื่อให้เกิดความสอดคล้องในกระบวนการผลิต การแปรรูปและการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ๑.๒.๑.๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมหารือกับกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมในการศึกษารายละเอียดของทั้ง ๒ โครงการ ๑.๒.๑.๒ เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาเร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนทดน้ำในแม่น้ำน่านและระบบชลประทานตามโครงการชลประทานพิษณุโลก (ตอนจังหวัดพิจิตร) ตามข้อเสนอของภาคเอกชน ๑.๒.๒ ข้อเสนอของ กกร./รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ๑.๒.๒.๑ เรื่อง การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๑.๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอโครงการจัดตั้งศูนย์ Inland Container Depot (ICD) หรือ Container Yard (CY) จังหวัดนครสวรรค์ ไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับภาคเอกชน โดยให้พิจารณาถึงความเป็นไปได้และศักยภาพของพื้นที่ประกอบด้วย ๑.๒.๒.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งเตรียมความพร้อมของโครงการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ โครงการขยายช่องจราจรจาก ๒ ช่องจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ๒ เส้นทาง คือ เส้นทางหมายเลข ๑๑๕ จังหวัดกำแพงเพชร-หมายเลข ๑๑๗ แยกปลวกสูง-จังหวัดพิจิตร และเส้นทางหมายเลข ๑๐๑ จังหวัดกำแพงเพชร-จังหวัดสุโขทัย (คีรีมาศ) (เชื่อมโยงมรดกโลก) สำหรับเส้นทางที่เหลือให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามความจำเป็นและเร่งด่วนเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนปกติต่อไป ๑.๒.๒.๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงคมนาคมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาความเหมาะสมของการก่อสร้างเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างอำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ๑.๒.๓ ข้อเสนอของ กกร./สทท. ๑.๒.๓.๑ เรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ ๑.๒.๓.๑.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการโครงการและจัดลำดับความสำคัญเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว “วิถีชีวิตและอัตลักษณ์แม่น้ำสะแกกรัง” จังหวัดอุทัยธานี ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดอุทัยธานี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ และประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๓.๑.๒ ให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการตามภารกิจของหน่วยงาน โดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับแผนแม่บทบูรณาการการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร ขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และให้หารือกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในรายละเอียดของงบประมาณ ๑.๒.๔ รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการหารือกับภาคเอกชนในการจัดตั้งกลไกเพื่อติดตามและตรวจสอบความคืบหน้าของประเด็นการพัฒนา เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานและจัดลำดับความสำคัญตามศักยภาพของประเด็นการพัฒนาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ และนำเสนอผลการดำเนินการต่อที่ประชุม กรอ.ภูมิภาค และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒.๕ เรื่องอื่น ๆ ที่ กกร. เสนอเพิ่มเติม ๑.๒.๕.๑ การพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งระบบรางและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพหลักและประสานกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันศึกษาความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งระบบรางและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโรงงานผลิตรถไฟ/รถไฟฟ้าในประเทศ การกำหนดเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการสนับสนุนให้มีการย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย รวมทั้งการเร่งรัดดำเนินการเสนอแนวทางการพัฒนาบุคลากรด้านระบบขนส่งทางรางให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบุคลากรในตำแหน่งต่าง ๆ เพื่อให้มีจำนวนบุคลากรที่สามารถรองรับกับความต้องการตามแผนการพัฒนาระบบรางของประเทศ ๑.๒.๕.๒ ผลการจัด Round Table “โครงการบริหารจัดการน้ำ ๓.๕ แสนล้านบาท” เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๑.๒.๕.๓ ความคืบหน้าการดำเนินงาน เรื่อง ผลกระทบของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยแรงงานทางทะเล (Maritime Labor Convention 2006 : MLC 2006) กรณีที่ประเทศไทย ไม่มีกฎหมายบังคับใช้ ให้กระทรวงแรงงานเร่งออกประกาศกระทรวงแรงงานว่าด้วยมาตรฐานแรงงานทางทะเลให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ และเร่งรัดร่างพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเลให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ เพื่อให้ทันต่อการพิจารณาของรัฐสภาในการประชุมสมัยสามัญครั้งต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐเจ้าของเมืองท่าให้ทราบและเข้าใจถึงแนวทางการดำเนินการของประเทศตามข้อกำหนดของอนุสัญญาฯ เพื่อให้เจ้าของเรือไทยสามารถขนส่งสินค้า การเข้า-ออกท่าเรือประเทศภาคีอนุสัญญาฯ ได้อย่างสะดวก ๑.๒.๕.๔ โครงการวางท่อส่งน้ำไปในแหล่งพื้นที่ทำการเกษตรในเขตจังหวัดนครสวรรค์ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำผลการศึกษาปี ๒๕๔๕ มาประกอบการพิจารณาศึกษาเพิ่มเติมโครงการวางท่อส่งน้ำไปในแหล่งพื้นที่ทำการเกษตรที่ประสบปัญหาภัยแล้งซ้ำซากในจังหวัดนครสวรรค์ โดยให้ความสำคัญต่อการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของโครงการด้วย ๒. ให้ปรับถ้อยคำในมติที่ประชุมเกี่ยวกับผลการจัด Round Table “โครงการบริหารจัดการน้ำ ๓.๕ แสนล้านบาท” เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ จาก “รับทราบข้อเสนอแนะของภาคเอกชนและมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป” เป็น “รับทราบและเห็นชอบให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะและมอบให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาดำเนินการหาแนวทางในการหารือร่วมกันต่อไป”
|
||||||||||||||||||||||||
| 549 | ปัญหาอาชญากรรม (ในรอบเดือนเมษายน 2556) (รายงานข้อมูลปัญหาอาชญากรรม) | ตช | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานข้อมูลปัญหาอาชญากรรม ในรอบเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการป้องกันอาชญากรรม ๑.๑ คดีกลุ่มที่ ๑ คดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๓๙๔ คดี ๑.๒ คดีกลุ่มที่ ๒ คดีประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย และเพศ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๒,๐๔๑ คดี ๑.๓ คดีกลุ่มที่ ๓ คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๓,๕๕๗ คดี ๒. ด้านการปราบปรามอาชญากรรม ๒.๑ คดีกลุ่มที่ ๑ จับกุมได้ ๒๒๒ คดี คิดเป็นร้อยละ ๕๖.๓๕ ของการรับแจ้ง (๓๙๔ คดี) ๒.๒ คดีกลุ่มที่ ๒ จับกุมได้ ๑,๐๒๖ คดี คิดเป็นร้อยละ ๕๐.๒๗ ของการรับแจ้ง (๒,๐๔๑ คดี) ๒.๓ คดีกลุ่มที่ ๓ จับกุมได้ ๑,๔๑๙ คดี คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๘๙ ของการรับแจ้ง (๓,๕๕๗ คดี) ๓. ด้านการประชาสัมพันธ์ ได้เร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของตนเองให้มากยิ่งขึ้น โดยไม่เปิดโอกาสให้คนร้ายเข้ามาประทุษร้ายต่อทรัพย์ของตนเองได้ง่าย รวมทั้งการให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสการกระทำผิดของคนร้าย สำหรับกรณีที่มีการจับกุมผู้กระทำผิดในคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายในภาพรวมหรือกระทบต่อความสงบสุขในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน ให้พิจารณาจัดแถลงข่าวทางสื่อมวลชนให้ประชาชนได้รับทราบ ๔. จากผลการดำเนินการในรอบเดือนเมษายน ๒๕๕๖ พบว่าในด้านการป้องกันอาชญากรรมในภาพรวม สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถควบคุมอาชญากรรมให้อยู่ในระดับเกณฑ์เป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ เนื่องจากได้มีคำสั่งให้ทุกหน่วยงานในสังกัด เข้มงวดกวดขันในการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดในพื้นที่ล่อแหลมหรือเสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรม ส่งผลให้สถิติคดีอาญาลดน้อยลง ส่วนด้านการปราบปรามอาชญากรรม ทุกกลุ่มคดีมีผลการปฏิบัติไม่ผ่านเกณฑ์เป้าหมายที่กำหนดไว้ จึงได้สั่งการและกำชับให้หน่วยปฏิบัติพิจารณาระดมกวาดล้างอาชญากรรมในห้วงเวลาที่เหมาะสมเป็นประจำทุกเดือน ๆ ละไม่น้อยกว่า ๕ วัน และให้มีการเร่งรัดจับกุมคดีค้างเก่าอย่างจริงจัง
|
||||||||||||||||||||||||
| 550 | สรุปผลการเยือนปาปัวนิวกินีอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร | 21/05/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปผลการเยือนปาปัวนิวกินีอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี ปาปัวนิวกินี ของกระทรวงการต่างประเทศ และมอบหมายส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามที่ตารางติดตามผลที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำ ได้แก่ การเชิญนายกรัฐมนตรีปาปัวนิวกินีเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการและเชิญเข้าร่วมประชุม Asia-Pacific Water Summit ครั้งที่ ๒ การจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะให้กรอบการหารือดังกล่าวเป็นเวทีเพื่อทบทวนส่งเสริมความร่วมมือของสองฝ่าย โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งแรก การเร่งรัดการเจรจาความตกลงที่คั่งค้าง โดยเฉพาะความตกลงเพื่อส่งเสริมและปกป้องการลงทุน และความตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีซ้อน การเพิ่มการส่งออกข้าวไปยังปาปัวนิวกินี และการส่งผู้เชี่ยวชาญไปให้คำแนะนำในการปลูกข้าว การลงทุนเพื่อพัฒนาและหาแหล่งก๊าซธรรมชาติในปาปัวนิวกินี การเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมการประมงของปาปัวนิวกินี การให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของปาปัวนิวกินี การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเปิดสถานเอกอัครราชทูตปาปัวนิวกินีประจำประเทศไทย และการเปิดสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี การตรวจลงตราที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองให้กับคนปาปัวนิวกินี และการใช้ประโยชน์จากความตกลงว่าด้วยการบริการเดินอากาศไทย-ปาปัวนิวกินี (Air Service Agreement) การให้ความร่วมมือทางวิชาการในสาขาที่ปาปัวนิวกินีมีความสนใจ และการสนับสนุนปาปัวนิวกินีในการเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในปี ค.ศ. ๒๐๑๘ รวมทั้งขอรับการสนับสนุนจากปาปัวนิวกินีในการสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และการสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
| 551 | การเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - รัสเซีย ครั้งที่ 5 | นร04 | 21/05/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) และการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย ครั้งที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย ของกระทรวงการต่างประเทศ และมอบหมายส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำ ดังนี้
๑. การหารือระหว่างรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) กับนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ประเด็นติดตาม อาทิ การเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีรัสเซีย การเร่งรัดเจรจาความตกลงทวิภาคีที่ยังคั่งค้างให้แล้วเสร็จเพื่อให้มีการลงนามในช่วงการเยือนระดับสูง การขายสินค้ายุทโธปกรณ์ เครื่องบิน และเฮลิคอปเตอร์ของรัสเซีย การลงทุนในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมในภูมิภาค และโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย การขยายการนำเข้าสินค้าไทยโดยเฉพาะสินค้าเกษตร การจัดโครงการและกิจกรรมภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการใช้พลังงานปรมาณูของสหพันธรัฐรัสเซียกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งชาติ และการเข้าร่วมการประชุม Asian and Pacific Energy Forum (APEF 2013) ที่เมืองวลาดิวอสต็อก ปี ๒๕๕๖ การพิจารณาการต่อยอดทุนรัฐบาลรัสเซียที่มอบให้แก่นักศึกษาไทย การเร่งรัดดำเนินโครงการชำระเอกสารทางประวัติศาสตร์ ไทย-รัสเซีย ช่วงที่ ๒ การสานต่อการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่จัดขึ้นเพื่อฉลอง ๑๑๕ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี ๒๕๕๕ การเร่งรัดการเจรจาร่างพิธีสารว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรมแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ระหว่างปี ๒๕๕๕-๒๕๕๙ การสนับสนุนให้มีการเรียนการสอนภาษารัสเซียเพิ่มมากขึ้นในมหาวิทยาลัยไทย และการเรียนการสอนภาษาไทยในรัสเซีย การเร่งรัดจัดทำแผนการดำเนินกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว ค.ศ. ๒๐๑๒-๒๐๑๔ การติดตามผลการพิจารณาการขอเสียงสนับสนุนจากรัสเซียในการสมัครของไทยในฐานะสมาชิกไม่ถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ และการสนับสนุนรัสเซียในการสมัครเป็นสมาชิก ECOSOC รวมทั้งการหารือและรับรองร่าง Declaration on the Framework Principles of Strengthening Security and Developing Cooperation in the Asia-Pacific Region สำหรับการประชุมสุดยอด EAS ในปี ๒๕๕๖ และการสนับสนุนการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างอาเซียนกับสหพันธรัฐรัสเซีย เป็นต้น ๒. การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย ครั้งที่ ๕ ประเด็นติดตาม อาทิ ความร่วมมือระหว่างไทยกับรัสเซียในกรอบองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศและอนุภูมิภาคี การสานต่อการดำเนินแผนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับรัสเซียระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๑๐-๒๐๑๔ การเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับรัสเซียให้เพิ่มขึ้นสองเท่าภายในปี ค.ศ. ๒๐๑๖ การเร่งรัดเจรจาและลงนามในร่างพิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย การเร่งรัดและติดตามฝ่ายรัสเซียให้ออกใบอนุญาตการส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกของสถานประกอบการไทยไปรัสเซียเพิ่มเติม การเร่งรัดและติดตามการปรับปรุงรายชื่อสถานประกอบการสินค้าประมงไทยที่ได้รับการอนุมัติให้ส่งออกสินค้าประมงไปยังรัสเซียในเว็บไซต์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายรัสเซีย การเพิ่มการส่งออกผลิตภัณฑ์การเกษตร อาทิ ยางพารา ข้าว ผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก ปลาและอาหารทะเล สับปะรด การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสการลงทุน ตลอดจนโครงการและความคิดริเริ่มด้านการลงทุนสองฝ่าย การส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง “Gazprombank” กับธนาคารในประเทศไทย การเร่งรัดการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงพลังงานไทยกับรัสเซีย การขยายการเชื่อมโยงด้านการบินระหว่างรัสเซียและไทย และการจัดการหารือเกี่ยวกับการเปิดเสรีด้านการให้บริการทางอากาศในปี ๒๕๕๖ การเร่งรัดการจัดทำแผนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างรัสเซียและไทยระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๑๓-๒๐๑๕ การจัดตั้งความร่วมมือด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการจัดการน้ำและเทคโนโลยีชลประทาน การผลักดันให้มีผลบังคับใช้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลสหพันธรัฐรัสเซียและประเทศสมาชิกอาเซียน การศึกษาความเป็นไปได้ในการลงนามในร่างปฏิญญาร่วมเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศในอาณาเขตของไทยและรัสเซีย การสานต่อการเจรจาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม และการสานต่อความร่วมมือเพื่อต่อต้านการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
| 552 | (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2556-2558 (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 เพิ่มเติม | สธ | 14/05/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ เพิ่มเติม ประกอบด้วยพื้นที่เขตอนุรักษ์ ๒ แห่ง ได้แก่ พื้นที่เขตอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านเขาพนมกาว อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร และพื้นที่เขตอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านโป่งคำ ในเขตป่าสงวนป่าแม่น้ำน่านตะวันออกตอนใต้ อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. สำหรับกรอบวงเงินที่จะดำเนินการทั้ง ๒ พื้นที่ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ รวมทั้งสิ้น ๔,๒๓๕,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากเงินกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณกองทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไว้แล้ว จำนวน ๑๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีหน่วยงานหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะแผนงานด้านการสำรวจและการศึกษาวิจัยสมุนไพรและบริเวณถิ่นกำเนิดสมุนไพร โดยเน้นการจำแนกและระบุความถูกต้องของพืชสมุนไพรเพื่อให้ได้ข้อมูลของพืชสมุนไพรที่เป็นมาตรฐานและใช้ประโยชน์ในเชิงวิชาการได้ การเพิ่มพื้นที่การสำรวจในเขต ๓ จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นถิ่นที่มีความหลากหลายของชนิดพันธุ์พืช สมุนไพร และมีความแตกต่างในระบบนิเวศน์จากพื้นที่เขตอนุรักษ์ที่กำหนดไว้ การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ และระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดในการเข้าไปสำรวจ ศึกษา การทำกิจกรรมต่าง ๆ และการเก็บหาสมุนไพร การบูรณาการความร่วมมือของชุมชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ในการจัดทำแผนและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง การจัดทำแผนระยะยาวเพื่อประโยชน์ต่อการกำหนดกรอบทิศทางการคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ทั้งประเทศให้มีทิศทางที่ชัดเจน รวมทั้งการเร่งรัดการติดตามและประเมินผลตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในแผนฯ ที่ผ่านมา พร้อมทั้งรายงานผลก่อนมีการจัดทำแผนฯ ฉบับใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 553 | ปัญหาอาชญากรรม (ในรอบเดือนมีนาคม 2556) | ตช | 07/05/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานข้อมูลปัญหาอาชญากรรม ในรอบเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการป้องกันอาชญากรรม ๑.๑ คดีกลุ่มที่ ๑ คดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๓๖๗ คดี ๑.๒ คดีกลุ่มที่ ๒ คดีประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย และเพศ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๑,๘๗๘ คดี ๑.๓ คดีกลุ่มที่ ๓ คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๓,๘๒๘ คดี ๒. ด้านการปราบปรามอาชญากรรม ๒.๑ คดีกลุ่มที่ ๑ จับกุมได้ ๑๗๗ คดี คิดเป็นร้อยละ ๔๘.๒๓ ของการรับแจ้ง (๓๖๗ คดี) ๒.๒ คดีกลุ่มที่ ๒ จับกุมได้ ๙๑๖ คดี คิดเป็นร้อยละ ๔๘.๗๘ ของการรับแจ้ง (๑,๘๗๘ คดี) ๒.๓ คดีกลุ่มที่ ๓ จับกุมได้ ๑,๔๔๒ คดี คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๖๗ ของการรับแจ้ง (๓,๘๒๘ คดี) ๓. ด้านการประชาสัมพันธ์ ได้เร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของตนเองให้มากยิ่งขึ้น โดยไม่เปิดโอกาสให้คนร้ายเข้ามาประทุษร้ายต่อทรัพย์ของตนเองได้ง่าย รวมทั้งให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสการกระทำผิดของคนร้าย สำหรับกรณีที่มีการจับกุมผู้กระทำผิดในคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายในภาพรวมหรือกระทบต่อความสงบสุขในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน ให้พิจารณาจัดแถลงข่าวทางสื่อมวลชนให้ประชาชนได้รับทราบ ๔. จากผลการดำเนินการในรอบเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ พบว่าในด้านการป้องกันอาชญากรรมในภาพรวม สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถควบคุมอาชญากรรมให้อยู่ในระดับเกณฑ์เป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ เนื่องจากได้มีคำสั่งให้ทุกหน่วยงานในสังกัดเข้มงวดกวดขันในการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดในพื้นที่ล่อแหลมหรือเสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรม ส่งผลให้สถิติคดีอาชญากรรมลดน้อยลง ส่วนด้านการปราบปรามอาชญากรรม ทุกกลุ่มคดีมีผลการปฏิบัติไม่ผ่านเกณฑ์เป้าหมายที่กำหนดไว้ จึงได้สั่งการและกำชับให้หน่วยปฏิบัติพิจารณาระดมกวาดล้างอาชญากรรมในห้วงเวลาที่เหมาะสม เป็นประจำทุกเดือน ๆ ละไม่น้อยกว่า ๕ วัน และให้มีการเร่งรัดจับกุมคดีค้างเก่าอย่างจริงจัง
|
||||||||||||||||||||||||
| 554 | การขออนุมัติงบประมาณในการเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 | กษ | 07/05/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณการจัดงาน Universal Exhibition Milano 2015 (Expo Milano 2015) ณ เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ วงเงินรวม ๘๓๐,๙๓๕,๖๐๐ บาท โดยใช้จ่ายตามรายการและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ วงเงิน ๕๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาดูแล ควบคุมงาน ออกแบบ ก่อสร้าง และการจัดการนิทรรศการ ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ วงเงิน ๓๙,๐๔๕,๖๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายในการจ้างออกแบบ ก่อสร้าง ตกแต่งอาคารจัดนิทรรศการ รื้อถอน และการจัดการนิทรรศการ ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ ในวงเงิน ๗๓๖,๘๙๐,๐๐๐ บาท ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น เพื่อจัดทำแผนงานโครงการในการเข้าร่วมงานดังกล่าว โดยเน้นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและการเร่งรัดการผลิตสินค้าเพื่อส่งเสริมการส่งออกของประเทศ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ OTOP
|
||||||||||||||||||||||||
| 555 | การตรวจราชการและติดตามการดำนินงานตามแผนงาน/โครงการ และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ | นร04 | 07/05/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดทำแผนและกรอบระยะเวลาในการตรวจราชการและติดตามการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการ และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐมนตรีที่กำกับดูแลพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เพื่อให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) เช่น การเร่งรัดให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบปัญหาภัยแล้ง การปลูกป่าในช่วงต้นฤดูฝน การแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรที่สำคัญตามช่วงระยะเวลาที่ออกสู่ตลาด การเตรียมความพร้อมในการขุดลอกคูคลองรองรับปริมาณน้ำฝนที่จะมีในช่วงปลายปี เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
| 556 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลชะไว ตำบลหลักฟ้า ตำบลตรีณรงค์ และตำบลจรเข้ร้อง อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... และแนวทางปฏิบัติงานเพื่อเป็นการเร่งรัดขั้นตอน ในการประกาศเขตปฏิรูปที่ดิน | กษ | 30/04/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลชะไว ตำบลหลักฟ้า ตำบลตรีณรงค์ และตำบลจรเข้ร้อง อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลชะไว ตำบลหลักฟ้า ตำบลตรีณรงค์ และตำบลจรเข้ร้อง อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. สำหรับแนวทางปฏิบัติงานเพื่อเป็นการเร่งรัดขั้นตอนการประกาศเขตปฏิรูปที่ดิน ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าความล่าช้าของขั้นตอนการประกาศเขตปฏิรูปที่ดินเกิดจากการที่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไม่สามารถตกลงในข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติได้ จึงส่งผลต่อความถูกต้องของแผนที่แนบท้าย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติ พร้อมทั้งจัดทำแผนที่แนบท้ายให้ถูกต้องก่อนเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติหลักการและดำเนินการส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และเห็นว่าคณะรัฐมนตรีมีอำนาจโดยตรงในการออกพระราชกฤษฎีกาจึงควรเป็นผู้พิจารณาเห็นชอบในหลักการก่อนที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะดำเนินการตรวจสอบ ไปพิจารณาดำเนินการ |
||||||||||||||||||||||||
| 557 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร | สผ | 30/04/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร กับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุด ในประเด็นการส่งสำนวนการสอบสวนในกรณีที่ผู้ต้องหาซึ่งถูกจับและได้รับการปล่อยชั่วคราวหลบหนีไป หรือผู้ต้องหาที่หลบหนีจากการควบคุมหรือการขัง หรือกรณีที่ไม่มีการจับแต่พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาแล้วและผู้ต้องหาหลบหนีไปตาม ป.วิ.อ. ม. ๑๔๑ และ ม. ๑๔๒ ที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนของผลการดำเนินการตามข้อสังเกตฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานศาลยุติธรรมแจ้งว่า เป็นการดำเนินการซึ่งอยู่ในขั้นตอนของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของสำนักงานศาลยุติธรรมโดยตรง จึงเห็นควรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้ดำเนินการพิจารณาต่อไป ๒. สำนักงานตำรวจแห่งชาติเห็นชอบกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ๓. สำนักงานอัยการสูงสุดเห็นว่า การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจะทำให้เกิดปัญหาข้อขัดข้องในการดำเนินคดีอาญาในชั้นพนักงานอัยการ ทั้งในด้านการสั่งฟ้องของพนักงานอัยการและการติดตามผู้ต้องหามาดำเนินคดี นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลให้ผู้ต้องหาไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพตามที่กฎหมายกำหนด มีการดำเนินคดีที่ไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ตลอดจนเกิดความเสียหายแก่กระบวนการยุติธรรมโดยรวม ดังนั้น การแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องที่ถูกต้องควรเป็นไปตามหลักการบริหารงานยุติธรรม ทั้งนี้ ด้วยการเร่งรัดส่งเสริมประสิทธิภาพของพนักงานสอบสวนให้สามารถจับกุมผู้ต้องหาที่หลบหนีให้ได้มากยิ่งขึ้น โดยไม่จำต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายแต่อย่างใด ส่วนการจะแก้ไขปรับปรุงการบริหารงานอย่างใดควรอยู่ในดุลพินิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะต้องพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 558 | ขออนุมัติกู้เงินภายในประเทศสำหรับการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าน้ำหนักกดเพลา 20 ตัน/เพลา ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 23/04/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินภายในประเทศ วงเงินรวม ๒,๓๔๔,๗๗๓,๔๖๘.๕๑ บาท สำหรับการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า จำนวน ๒๐ คัน น้ำหนักกดเพลา ๒๐ ตัน/เพลา พร้อมเครื่องอะไหล่ โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสมต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ยกเว้นในส่วนของการคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในด้านบุคลากรและทรัพยากรเพื่อรองรับการจัดซื้อจัดจ้างและการติดตามและประเมินโครงการและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับปรุงแนวทางการบริหารจัดการกิจการของ รฟท. ในภาพรวม โดยให้ความสำคัญในแนวทางการเพิ่มรายได้โดยเฉพาะรายได้ในเชิงพาณิชย์ และรายได้จากการบริหารจัดการสินทรัพย์และที่ดิน การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนินการจัดหารถจักร เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนรถจักรที่มีความพร้อมใช้งานของ รฟท. ในภาพรวม การเร่งดำเนินการตามแผนการก่อสร้างและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้มีความพร้อมในการรองรับการใช้งานของรถจักร ตลอดจนประสานกับกระทรวงการคลังในเรื่องการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจทำให้ต้นทุนทางการเงินของโครงการเพิ่มขึ้นในอนาคต และพิจารณาความเหมาะสมในการปรับแผนการเบิกจ่ายในแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปี ๒๕๕๖ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 559 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2556 | กค | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธาน กนร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบการตรวจสอบการบริหารจัดการโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง (Airport Rail Link) (โครงการ ARL) ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดย สตง. ได้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องการหาข้อสรุปเกี่ยวกับการรับภาระการลงทุนของโครงการ ARL ทั้งในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน จำนวนเงิน ๑๘,๗๐๐ ล้านบาท ด้านระบบการเดินรถไฟฟ้าและเครื่องกล จำนวนเงิน ๑๑,๗๐๐ ล้านบาท และเรื่องความชัดเจนของการโอนทรัพย์สินและหนี้สินของโครงการ ARL ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยกับบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ว่าควรมีการเร่งรัดการดำเนินการและนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว ๒. ที่ประชุมมอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) หารือกับบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด (บอท.) พิจารณาแนวทางการสนับสนุนทางการเงินแก่ บอท. ในการย้ายสถานประกอบการไปยังสถานที่ที่มีความเหมาะสม และให้ บอท. มอบพื้นที่ในความครอบครองให้กระทรวงการคลังบริหารเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางพัฒนาที่ดินดังกล่าว ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาที่เหมาะสมต่อไป ๓. ที่ประชุมเห็นชอบแผนกรอบระยะเวลาและกรอบการดำเนินงานของ กนร. และให้ สคร. ประสานงานกับกระทรวงเจ้าสังกัดเพื่อประสานงานในการกำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินการที่ชัดเจนต่อไป ๔. ที่ประชุมรับทราบแนวทางจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ของรัฐวิสาหกิจ เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกระดมทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยให้กระทรวงเจ้าสังกัดพิจารณาความเหมาะสมในการจัดตั้งกองทุนรวมฯ ของรัฐวิสาหกิจ และให้กระทรวงการคลังพิจารณาความคุ้มค่าทางการเงินในการระดมทุนผ่านกองทุนรวมดังกล่าว ๕. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการยกเลิกโครงการไปรษณีย์เพื่อสินเชื่อรายย่อย ตามที่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เสนอ และเห็นชอบในหลักการให้ ปณท ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านโลจิสติกส์ซึ่งจะเป็นกลไกเชื่อมต่อโครงการด้านโลจิสติกส์ และผู้ประกอบการภายในประเทศ ทั้งนี้ เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศ พัฒนาความสามารถในการแข่งขันให้แก่บริษัทขนส่งของไทย และรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน สำหรับการจัดตั้งบริษัทในเครือเพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการด้านขนส่งและโลจิสติกส์ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงการคลัง และ ปณท ร่วมกันพิจารณาศึกษาและจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมตามข้อสังเกตของ กนร. เกี่ยวกับประเด็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ. ๒๔๗๗ เป็นต้น เพื่อมิให้มีการดำเนินการที่ขัดต่อกฎหมาย บทบาทและความสัมพันธ์ระหว่าง ปณท และบริษัทในเครือ รวมถึงการบริหารจัดการบริษัทในเครือของ ปณท รายละเอียดแผนการลงทุนที่ประกอบด้วยประมาณการเงินลงทุน รายได้ที่คาดว่าจะได้รับ ต้นทุนในการดำเนินงาน โดยเฉพาะด้าน IT และแผนการ Outsourcing ของบริษัทในเครือตามแผนธุรกิจ รูปแบบ แนวทาง และรายละเอียดของการใช้ทรัพย์สินร่วมกันระหว่าง ปณท และบริษัทในเครือ รวมทั้งแผนงานและรายละเอียดของการบริหารจัดการบุคลากรที่ชัดเจนของบริษัทในเครือ ตลอดจนแนวทางการบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
|
||||||||||||||||||||||||
| 560 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 2/2556 | นร11 | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา และเห็นชอบตามมติที่ประชุมฯ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุมฯ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑.๑.๑ ขอรับการสนับสนุนโครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบ้านป่าไร่ จังหวัดสระแก้ว โดยให้มีการศึกษาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยพิจารณาข้อเสนอการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบ้านป่าไร่ จังหวัดสระแก้ว เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาดังกล่าวด้วย ๑.๑.๒ ขอรับการสนับสนุนโครงการ Eco Industrial Town จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดปราจีนบุรี โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษารูปแบบการจัดทำเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในพื้นที่อุตสาหกรรมเดิม (จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสาคร และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด) โดยให้คำนึงถึงการจำกัดการพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานในพื้นที่อย่างเข้มงวด สำหรับพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ (จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดปราจีนบุรี) ให้พิจารณาจัดทำแผนการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเข้าสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๑.๓ ขอให้เร่งรัดโครงการย้ายตลาดสะพานปลากรุงเทพ (ยานนาวา) ไปตั้งที่ปากน้ำสมุทรปราการ ภายในปี ๒๕๕๖ โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นที่ปรึกษาทำการศึกษาความเหมาะสมความจำเป็น และความเป็นไปได้ในการพัฒนาสะพานปลาในภาพรวมทั้งหมด รวมถึงการย้ายหรือพัฒนาสะพานปลากรุงเทพ และพิจารณาใช้ประโยชน์จากสะพานปลาจังหวัดสมุทรปราการทั้งระบบเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๑.๔ ขอรับการสนับสนุนโครงการจัดตั้งสถาบันมะม่วงแห่งประเทศไทย โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราร่วมกับสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานสหกรณ์จังหวัดฉะเชิงเทรา และมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จังหวัดฉะเชิงเทรา รับไปศึกษาโครงการจัดตั้งสถาบันมะม่วงแห่งประเทศไทย ๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ จำนวน ๕ เรื่อง โดยให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ ๑.๒.๑ ขอให้เร่งรัดโครงการพัฒนาโครงข่ายทางถนนเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยการขยายช่องจราจร และขอการสนับสนุนการปรับปรุงและก่อสร้างเส้นทาง เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ โดยรับข้อเสนอการพัฒนาปรับปรุงโครงข่ายทางถนนในพื้นที่ จังหวัดฉะเชิงเทรา รวม ๗ เส้นทางให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ ไปจัดลำดับความสำคัญของโครงการและขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งประสานกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาเส้นทางถนนสายรองซึ่งอยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สามารถรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวทั้งภายในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถบรรเทาปัญหาการจราจรในพื้นที่ รวมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางแก่ประชาชนและการขนส่งสินค้า ๑.๒.๒ ขอให้เร่งรัดโครงการขยายเส้นทาง ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๙ "หนองชะอม จังหวัดปราจีนบุรี-พนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา" จาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร โดยรับข้อเสนอการเร่งรัดโครงการขยายเส้นทางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๙ “หนองชะอม จังหวัดปราจีนบุรี-พนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา” จาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร ไปพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒.๓ ขอรับการสนับสนุนการศึกษาการแก้ไขปัญหาการจราจรสู่จังหวัดนครนายก และภาคตะวันออก โดยรับข้อเสนอการก่อสร้างทางยกระดับบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๕ “รังสิต-นครนายก” ไปประกอบการศึกษาความเหมาะสมและขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอน โดยให้ความสำคัญกับการพิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อประชาชน และทัศนียภาพในพื้นที่ รวมทั้งการคาดการณ์ปริมาณจราจรในอนาคตในกรณีที่มีการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะเต็มรูปแบบในพื้นที่ ๑.๒.๔ ขอรับการสนับสนุนโครงการศึกษาแนวทางการขยายเส้นทางไปยังด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว โดยรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาศึกษาความเหมาะสมของการสนับสนุนโครงการศึกษาแนวทางการขยายเส้นทางไปยังด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาจุดผ่านแดนบริเวณบ้านหนองเอี่ยน ๑.๒.๕ ขอรับการสนับสนุนโครงการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าโมโนเรลจากสถานีรถไฟฟ้าบางปู-แอร์พอร์ตลิงค์ สุวรรณภูมิ โดยเร่งประสานกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้ผลการศึกษาความเหมาะสมของการสนับสนุนของโครงการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าโมโนเรล จากสถานีรถไฟฟ้าบางปู-แอร์พอร์ตลิงค์ สุวรรณภูมิ มีความสอดคล้องกับแนวทางพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๓ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ จำนวน ๑ เรื่อง คือ ขอให้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน (ปากน้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา-สมุทรปราการ) โดยให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน (ปากน้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา-สมุทรปราการ) รวมทั้งดำเนินการศึกษาการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออกทั้งระบบ และเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑.๔.๑ ขอรับการสนับสนุนโครงการพัฒนาพื้นที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว "ขุนด่านแลนด์" (ถนน-สะพาน-ภูมิทัศน์) จังหวัดนครนายก โดยให้จังหวัดนครนายกร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมรูปแบบการพัฒนาพื้นที่และการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณเขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก โดยศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบของโครงการด้านเศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อม จัดทำแผนการบริหารจัดการโครงการและหน่วยงานรับผิดชอบให้ชัดเจน รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของแผนงานและโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ๑.๔.๒ ขอให้เร่งรัดการพัฒนาพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาแผนพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชนและท้องถิ่น และบูรณาการแผนงาน/โครงการ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ๑.๔.๓ ขอให้แยกช่องทางการผ่านด่านชายแดนของนักท่องเที่ยวออกจากด่านการค้า โดยให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปศึกษาในรายละเอียดการแยกช่องทางการผ่านด่านชายแดนของนักท่องเที่ยวที่ด่านคลองลึก โดยให้คำนึงถึงการจัดระเบียบในด่านคลองลึกทั้งในส่วนของการค้าและการท่องเที่ยวให้เป็นระบบ รวมทั้งให้นำแนวทางการพัฒนายกระดับจุดผ่านแดนบ้านหนองเอี่ยนประกอบการพิจารณาด้วย ๑.๔.๔ ขอให้พัฒนาเส้นทางช่องบะระแนะ หรือช่องตากิ่ว ซึ่งอยู่ติดชายแดนกัมพูชา โดยให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือกับฝ่ายกัมพูชา ภายใต้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ในการพิจารณายกระดับจุดผ่อนปรนทางการค้าที่มีอยู่ในจังหวัดสระแก้ว ๒ แห่ง เพื่อให้เป็นจุดผ่านแดนถาวรเพิ่ม คือ บ้านเขาดิน-กิโลเมตรที่ ๑๓ ของพระตะบอง หรือจุดหนองปรือ-พนมมาลัย จังหวัดบันเตียเมียนเจย ๑.๕ เรื่องอื่นๆ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ ๑.๕.๑ การอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวของท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต โดยให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวโดยเร็ว ๑.๕.๒ กฎหมาย Foreign Account Tax Compliance Act (FATCA) โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๕.๓ การเร่งรัดการออกกฎหมายเพื่อรับรองผู้ประกอบการเดินเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ๒. ในส่วนของการเร่งรัดการออกกฎหมายรับรองผู้ประกอบการเดินเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ให้คณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวีรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยให้เชิญรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เข้าร่วมการพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
.....
