ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 30 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 581 - 600 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 581 | มาตรการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | กค | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการฯ เสนอ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และผู้ว่าราชการจังหวัด ติดตามและกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดให้ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินโดยเคร่งครัด ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานในการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ พร้อมทั้งรายงานปัญหาอุปสรรคจากการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามแผน หรือการปรับแผนต่อคณะกรรมการหรือคณะทำงานในการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐอย่างช้าก่อนสิ้นไตรมาส ๓. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายให้คลังจังหวัดทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการหรือคณะทำงานในการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณในเขตพื้นที่จังหวัดของแต่ละจังหวัด โดยให้สำนักงบประมาณรวบรวมข้อมูลงบประมาณ ตามมิติส่วนราชการ (Function) และมิติพื้นที่ (Area) เพื่อเป็นข้อมูลในการติดตามเร่งรัดการโอนเงินงบประมาณที่ต้องดำเนินการในเขตพื้นที่จังหวัดของแต่ละจังหวัด ๔. ให้คณะทำงานติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐของกรมบัญชีกลางลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบติดตามหน่วยงานที่มีการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินล่าช้า เพื่อรายงานต่อคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ |
|||||||||||||||||||||
| 582 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สาม และแนวโน้มปี 2555 - 2556 | นร11 | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๓.๐ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๐.๔ และร้อยละ ๔ ในไตรมาสแรก และไตรมาสสอง ตามลำดับ โดยมีปัจจัยจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศที่เร่งตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน การใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนโดยรวม ในด้านการผลิต การขยายตัวมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการผลิตนอกภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสาขาเกษตร การก่อสร้าง การค้าส่งค้าปลีก โรงแรมและภัตตาคาร ที่ขยายตัวสูงต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในระยะ ๙ เดือนแรกของปี เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๒.๖ และเมื่อปรับผลของฤดูกาลแล้ว ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศขยายตัวร้อยละ ๑.๒ จากไตรมาสที่ ๒ ดังนี้ ๑.๑ ภาคบริโภครวม ขยายตัวร้อยละ ๖.๕ เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๕.๖ ในไตรมาสก่อนหน้า การบริโภคภาคครัวเรือนเร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๕.๓ เป็นร้อยละ ๖.๐ ตามการปรับตัวดีขึ้นของรายได้ภาคครัวเรือน และมาตรการคืนเงินภาษีให้กับผู้ซื้อรถยนต์คันแรก และเมื่อรวม ๙ เดือนแรกของปี การบริโภครวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๙ ๑.๒ การลงทุนรวม ขยายตัวร้อยละ ๑๕.๕ เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๑๐.๒ ในไตรมาสที่ ๒ โดยการขยายการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๑๘.๒ ในขณะที่การลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ ๑๓.๒ สูงขึ้นจากร้อยละ ๔.๐ ในไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อรวม ๙ เดือนแรกของปี การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๑๐.๓ ๑.๓ ภาคการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่า ๕๙,๒๘๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๓.๐ ตลาดส่งออกที่หดตัว ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา (ลดลงร้อยละ ๑.๒) สหภาพยุโรป (ลดลงร้อยละ ๑๙.๒) ญี่ปุ่น (ลดลงร้อยละ ๖.๓) อาเซียน (ลดลงร้อยละ ๙.๐) และรวม ๙ เดือนแรกของปี มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐหดตัวร้อยละ ๐.๙ ๑.๔ ภาคเกษตร ขยายตัวร้อยละ ๘.๖ เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๑.๘ ในไตรมาสก่อน ตามการขยายตัวของผลผลิตภาคเกษตร ทั้งหมวดพืชผล และปศุสัตว์ โดยเฉพาะข้าวเปลือก มันสำปะหลัง และยางพารา ที่ขยายตัวสูงร้อยละ ๕๗.๗ ๒๗.๐ และ ๘.๓ ตามลำดับ ทำให้รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๔ และรวม ๙ เดือนแรกของปี ภาคการเกษตรขยายตัวร้อยละ ๔.๓ ๑.๕ ภาคการก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ ๙.๘ เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๖.๙ ในไตรมาสก่อน ตามการขยายตัวของสาขาก่อสร้างภาครัฐที่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๓ และการก่อสร้างภาคเอกชนที่ขยายตัวร้อยละ ๙.๙ และรวม ๙ เดือนแรกของปี ภาคการก่อสร้างขยายตัวร้อยละ ๖.๑ ๑.๖ ภาคการค้าส่งค้าปลีก ขยายตัวร้อยละ ๔.๑ ชะลอลงจากร้อยละ ๕.๔ เนื่องจากการหดตัวของการค้าในหมวดวัตถุดิบทางการเกษตรและสิ่งมีชีวิตตามการหดตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม และการส่งออก ในขณะที่การค้าหมวดยานยนต์ และน้ำมันเชื้อเพลิงขยายตัว และรวม ๙ เดือนแรกของปี ภาคการค้าส่งค้าปลีกขยายตัวร้อยละ ๔.๖ ๑.๗ สาขาโรงแรมและภัตตาคาร ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ ๖.๙ ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยจำนวนนักเที่ยวต่างชาติมีจำนวน ๕.๓ ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๔ และรวม ๙ เดือนแรกของปี สาขาโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวร้อยละ ๗.๐ ๑.๘ ภาคอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ ๑.๑ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ในไตรมาสก่อน เนื่องจากการหดตัวของอุตสาหกรรมเพื่อส่งออก โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เซมิคอนดักเตอร์ และอาหารแช่แข็ง หดตัวร้อยละ ๓๗.๒ ๒๗.๘ และ ๒๔.๖ ตามลำดับ และรวม ๙ เดือนแรกของปี ภาคอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ ๐.๙ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๕ จะขยายตัวร้อยละ ๕.๕ ซึ่งเป็นขอบล่างของการประมาณการร้อยละ ๕.๕-๖.๐ การบริโภคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ ๕.๒ การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๑๒.๐ การส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๕.๕ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ ๓.๐ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๘ ของ GDP ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๕-๕.๕ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๑๒.๒ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๔.๐ และร้อยละ ๘.๑ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๕-๓.๕ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๑.๐ ของ GDP โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของการค้าสินค้าคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดี การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และแรงกดดันอัตราเงินเฟ้ออยู่ในเกณฑ์ต่ำ รวมทั้งปัจจัยความเสี่ยงที่ควรระมัดระวัง ได้แก่ อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูงยังมีข้อจำกัดในการขยายตัว สภาพคล่องส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก และราคาน้ำมันยังมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าการคาดการณ์ ๔. ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๕๕ และในปี ๒๕๕๖ ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินมาตรการเพื่อให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้เต็มศักยภาพควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจและป้องกันความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในส่วนของการเร่งรัดการส่งออก การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการดำเนินการตามโครงการลงทุนสำคัญ ๆ ของภาครัฐ การติดตามและเตรียมการเพื่อรองรับแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท การดำเนินการปรับโครงสร้างราคาพลังงานตามแผนที่กำหนดไว้ และการปรับกฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุน
|
|||||||||||||||||||||
| 583 | การป้องกันการทุจริตจากการใช้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) | ปช | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เรื่อง การป้องกันการทุจริตจากการใช้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ตามที่ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงาน ก.พ.ร. นำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปหารือร่วมกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ได้แนวทางการดำเนินการที่ชัดเจน ทั้งนี้ จะต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และให้รายงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป สำหรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. สรุปได้ ดังนี้
๑. กรมบัญชีกลางต้องควบคุมหน่วยงานของรัฐไม่ให้มีการนำวิธีการ e-Auction ไปใช้กับการประมูลงานก่อสร้างที่มีรายละเอียดของเนื้องานยุ่งยากซับซ้อน มีเทคนิคเฉพาะ และมีเอกสารบัญชีแสดงรายการวัสดุและปริมาณเนื้องาน (BOQ) หลากหลายรายการในโครงการเดียวกันและงานประเภทอื่นที่มีความยุ่งยากซับซ้อนในรายละเอียดของเนื้องานหรือมีเทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งงานว่าจ้างที่ปรึกษาและงานว่าจ้างผู้ออกแบบ ซึ่งต้องมีการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เสนอราคาเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งนี้ ให้กรมบัญชีกลางเป็นผู้กำหนดรายละเอียดและประเภทของงานที่ให้ใช้และไม่ให้ใช้วิธีการ e-Auction ๒. ให้มีการปฏิบัติตามขั้นตอนและการเปิดเผยข้อมูลในเรื่องระยะเวลาและการดำเนินการในการเสนอราคาทุกขั้นตอนของ e-Auction อย่างเคร่งครัดเพื่อความโปร่งใส และมีหน่วยงานทำหน้าที่รับผิดชอบตรวจสอบติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลการปฏิบัติงานหน่วยงานที่จัดซื้อจัดจ้างและมีมาตรการลงโทษ หากพบการกระทำผิด ๓. ให้มีการเปิดเผยข้อกำหนด TOR ร่างสัญญาและข้อตกลงแนบท้ายสัญญาลงในระบบ Internet เพื่อให้มีการวิพากษ์วิจารณ์จากทุกฝ่ายอย่างเปิดเผยก่อนการอนุมัติใช้และการกำหนด TOR เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเสนอราคาต้องกำหนดเป็นมาตรฐานที่ชัดเจน ไม่ควรให้หน่วยงานของรัฐใช้ดุลพินิจในการกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเสนอราคาเอง ๔. เร่งรัดให้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับราคากลางใน website ของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงาน และให้มีการจัดทำมาตรฐานวิธีการคำนวณราคากลางที่ถูกต้องและเป็นธรรม ทุกหน่วยงานของรัฐสามารถใช้อ้างอิงเป็นเกณฑ์มาตรฐานของราคากลางได้ และมีสถาบันวิชาชีพทำหน้าที่ให้การรับรองคุณสมบัติของผู้ทำหน้าที่คิดคำนวณราคากลางเพื่อเป็นมาตรการป้องกันการทุจริตสมยอมกันในการเสนอราคา ๕. กรมบัญชีกลางต้องดำเนินการควบคุมตรวจสอบดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ในการกำกับการแข่งขันราคาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมบัญชีกลางกำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อความโปร่งใสในการแข่งขันราคาและเพื่อสร้างความมั่นใจว่ามีการแข่งขันราคากันอย่างแท้จริง ๖. ให้กรมบัญชีกลางดำเนินการเร่งรัดในเรื่องการพัฒนาระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government Procurement : e-GP) ให้แล้วเสร็จเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่แท้จริงเต็มรูปแบบโดยเร็ว โดยนำระบบอิเล็กทรอนิกส์ไปใช้ในทุกขั้นตอนของการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ |
|||||||||||||||||||||
| 584 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย - คาซัคสถาน ครั้งที่ 2 | นร04 | 02/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทย-คาซัคสถาน ครั้งที่ ๒ ของกระทรวงการต่างประเทศที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความร่วมมือทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงและพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะจัดการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศอย่างสม่ำเสมอ และเห็นควรสนับสนุนให้มีการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ๒. ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ๒.๑ การค้าและการลงทุน ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมของทั้งสองประเทศ และตกลงที่จะจัดตั้งคณะทำงานด้านการส่งเสริมธุรกิจไทย-คาซัคสถาน รวมทั้งจะพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-คาซัคสถาน การเร่งรัดการเจรจาความตกลงทางการค้า ความตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน และความตกลงยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน ๒.๒ ความร่วมมือด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ฝ่ายไทยพร้อมให้ความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคาซัคสถานในด้าน SMEs ๒.๓ ความร่วมมือด้านการบินพลเรือน ฝ่ายไทยจะเร่งรัดการพิจารณาคำขอของฝ่ายคาซัคสถานในการเพิ่มเที่ยวบินตรงของ Air Astana จากเมือง Almaty ของคาซัคสถานมากรุงเทพฯ จาก ๕ เที่ยวบิน เป็น ๗ เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ๒.๔ ความร่วมมือด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ฝ่ายคาซัคสถานรับจะจัดส่งข้อมูลกฎระเบียบในการลงทุนด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในคาซัคสถานให้ฝ่ายไทย และทั้งสองฝ่ายเห็นควรแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อเพิ่มความร่วมมือในอนาคต ๒.๕ ความร่วมมือด้านการก่อสร้าง การเคหะ และการบริการชุมชน ฝ่ายคาซัคสถานสนใจที่ต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ในด้านการก่อสร้าง การเคหะและการบริการชุมชน โดยเฉพาะเทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน ๓. ความร่วมมือด้านการเกษตร ฝ่ายไทยสนใจที่จะร่วมมือด้านการเกษตรกับคาซัคสถาน โดยจะเสนอร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือด้านการเกษตรให้ฝ่ายคาซัคสถานพิจารณา ๔. ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ฝ่ายไทยสนใจที่จะร่วมมือด้านการท่องเที่ยวโดยพร้อมแลกเปลี่ยนคณะสื่อมวลชนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน ๕ ความร่วมมือด้านกีฬา ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมมือในด้านกีฬา โดยฝ่ายคาซัคสถานยินดีให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทยในการพัฒนากีฬาฤดูหนาว โดยเฉพาะสถานที่ฝึกกีฬาฤดูหนาว และไทยพร้อมให้ความร่วมมือในการส่งเสริมกีฬามวยไทย ๖. ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ทั้งสองฝ่ายพร้อมร่วมมือในการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม โดยฝ่ายไทยจะเสนอร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมให้ฝ่ายคาซัคสถานพิจารณาต่อไป ๗. ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฝ่ายไทยขอให้คาซัคสถานพิจารณาให้ความร่วมมือเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านอวกาศ และเสนอความร่วมมือกับคาซัคสถานในด้านเทคโนโลยีชีวภาพ วัสดุศาสตร์ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีนาโนและนิวเคลียร์ ซึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะประสานกับฝ่ายคาซัคสถานต่อไป ๘. ความร่วมมือด้านวิชาการ ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมความร่วมมือในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาบุคลากร การจัดการการท่องเที่ยว การเกษตร พลังงาน การควบคุมยาเสพติด เป็นต้น ๙. ความร่วมมือด้านการพัฒนาข้าราชการพลเรือน ฝ่ายคาซัคสถานสนใจที่จะจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านข้าราชการพลเรือนกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนของไทย และเสนอให้เข้าร่วมก่อตั้งศูนย์การเรียนรู้และการเผยแพร่ประสบการณ์ด้านข้าราชการพลเรือน ๑๐. ความร่วมมือด้านกฎหมาย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการเจรจาร่างสนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวนักโทษ ร่างสนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิด และความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา ๑๑. ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านยาเสพติด ทั้งสองฝ่ายจะเร่งรัดการเจรจาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมการค้ายาเสพติด การใช้ยาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท วัตถุคล้ายคลึงและสารเคมีตั้งต้น ๑๒. ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะให้มีการลงนามความตกลงดังกล่าว ในช่วงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเยือนคาซัคสถานในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๑๓. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ไทย-คาซัคสถาน ครั้งที่ ๓ ในช่วงไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่คาซัคสถาน
|
|||||||||||||||||||||
| 585 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 7/2555 | นร11 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และเห็นชอบตามมติที่ประชุม กรอ. โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษารายละเอียดและความเหมาะสมในการจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางเพื่อทำหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนาปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร รวมทั้งมาตรการและสิทธิพิเศษเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากพืชปาล์มน้ำมันไปสู่อุตสาหกรรมขั้นสูงในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ และเสนอคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ ให้พิจารณาในรายละเอียดโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราเพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามระเบียบและขั้นตอน ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์พิจารณาเร่งรัดเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายป่าไม้ยุโรป (EU FLEGT) และเร่งรัดการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย รับข้อเสนอการเร่งรัดการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าภาคใต้ ทุ่งสง ไปศึกษารายละเอียดด้านการจัดการธุรกิจ ผู้บริหารโครงการและการจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมในโครงการ เพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี ๑.๔ ให้กระทรวงพลังงานศึกษาในรายละเอียดข้อเสนอเพื่อขอรับการสนับสนุนการพัฒนาโรงงานไฟฟ้าพลังงานชีวมวลเพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้าทดแทนและลดมลภาวะของเสียในโรงงานให้ครอบคลุมมาตรการที่ภาคเอกชนเสนอ ๒. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการบำรุงรักษาทางและกิจกรรมฟื้นฟูทางหลวงที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นลำดับแรกให้สอดคล้องเหมาะสมกับวงเงินงบประมาณที่ได้รับ สำหรับการปรับปรุงถนนเพื่อขยายเป็น ๔ ช่องจราจร ให้กรมทางหลวงจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามเกณฑ์การขยายเพิ่มช่องจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ส่วนการพัฒนาและปรับปรุงเส้นทางสายรองเลียบชายฝั่งอ่าวไทยเป็น ๔ ช่องจราจร ควรให้ความสำคัญในการใช้เป็นเส้นทางเพื่อการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวและการปรับปรุงเส้นทางเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน โดยขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการก่อสร้างท่าเรือรองรับการขนส่งและการท่องเที่ยวของภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เพื่อเชื่อมโยงอ่าวไทย-อันดามัน โดยเร่งรัดการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของท่าเรือน้ำลึกเขาประจำเหียง อำเภอสวี จังหวัดชุมพร และศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าเรือที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และท่าเรือที่อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๓. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๓.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาเร่งรัดแผนการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการแม่น้ำตรัง-ลุ่มน้ำตาปี-แม่น้ำชุมพร ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และเสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ตามขั้นตอนต่อไป ๓.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนโครงการแก้ปัญหาภัยแล้ง/น้ำท่วมของภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยเสนอต่อ กบอ. ตามขั้นตอนต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำดี/น้ำดิบของเกาะสมุย และแจ้งผลการดำเนินงานให้ภาคเอกชนทราบ รวมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการบริหารจัดการบำบัดน้ำเสียในแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนนครขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี ๔. ข้อเสนอของ กกร./สทท. เรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๔.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาความเหมาะสมของกลุ่มท่องเที่ยวมหัศจรรย์สองสมุทรตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติพิจารณาประกาศเป็นเขตพัฒนาการท่องเที่ยว พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขต ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนโครงการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ระเบิดหินเก่าที่รกร้างให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดพัทลุง ๔.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาในรายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพทางการแพทย์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพภาคใต้ตอนบน ประกอบด้วยโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีแห่งที่ ๒ โครงการจัดตั้งศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และโครงการจัดตั้งสถาบันการแพทย์ชั้นสูง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภาคใต้ตอนบน เพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอน ๕. รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุม กรอ.ภูมิภาค ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานฯ มารายงานให้ทราบเป็นระยะ ๖. รับทราบเรื่องอื่น ๆ ที่ กกร./สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเสนอเพิ่มเติม ๖.๑ การเร่งรัดกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ๖.๒ การผลักดันและสนับสนุนให้ บริษัท ปตท. จำกัด เข้ามาลงทุนสร้างสถานีบริการ NGV ที่สอดคล้องกับการขยายท่อก๊าซช่วงขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช-จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๖.๓ การเร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ทันในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๖.๔ การพิจารณาทบทวนการขยายสิทธิให้นักลงทุนนอกภาคีอาเซียน (Non Party) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีบริการ (ASEAN Framework Agreement on Services) ๖.๕ การเร่งรัดการเจรจา Thai-EU FTA เพื่อให้มีผลบังคับใช้ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรักษาตลาดและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหภาพยุโรป ๖.๖ การดำเนินโครงการให้ความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้
|
|||||||||||||||||||||
| 586 | แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2555 - 2559 | สธ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพใช้แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ เป็นกรอบชี้นำทิศทางการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพ ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ เสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคีสุขภาพในการสร้างสุขภาพ ตลอดจนการพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพบนพื้นฐานภูมิปัญญาไทย เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสุขภาพให้สังคม ประชาชน มีความตื่นตัว และให้ความสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพให้เป็นวัฒนธรรมของประชาชน การได้มาซึ่งสุขภาวะที่ดี ประชาชนต้องร่วมสร้างบนพื้นฐานศักยภาพที่เพียงพอ และเพื่อเสริมสร้างการทำงานด้านสุขภาพระหว่างภาคีต่าง ๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น รวมถึงภาคีเครือข่ายสุขภาพระหว่างประเทศ รวมทั้งเพื่อให้ภูมิปัญญาไทยมีบทบาทและเป็นทางเลือกในระบบสุขภาพ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาระบบเฝ้าระวัง เตือนภัย และการจัดการภัยพิบัติ อุบัติเหตุและภัยสุขภาพ เพื่อให้เกิดความพร้อมในการเตรียมการ มีระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยที่ทำให้ประชาชนวางใจ และเมื่อเกิดภัยพิบัติสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม ทันการณ์ ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกัน ควบคุมโรค และคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ เพื่อให้คนไทยแข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และปัญญา เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนที่เป็นรากฐานของปัญหาภาระโรคที่สำคัญในปัจจุบัน และเพื่อให้มีการลงทุนและดำเนินกิจกรรมด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคมากขึ้นในระดับที่เพียงพอ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ เสริมสร้างระบบบริการสุขภาพให้มีมาตรฐานในทุกระดับเพื่อตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพในทุกกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาระบบส่งต่อที่ไร้รอยต่อ เพื่อสร้างระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพมาตรฐาน ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง เป็นธรรม และเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ให้และผู้รับบริการ ซึ่งจะทำให้ผู้ให้บริการมีความสุขและผู้รับบริการมีความพึงพอใจ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ สร้างกลไกกลางระดับชาติในการดูแลระบบบริการสุขภาพ และพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ เพื่ออภิบาลระบบสุขภาพอย่างมีธรรมาภิบาล เป็นเอกภาพ อันจะส่งผลให้มีความมั่นคง ยั่งยืนของระบบสุขภาพ และเพื่อกำหนดนโยบาย แนวทาง และพัฒนาสิ่งสนับสนุนระบบบริการที่เพียงพอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพใช้แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ เป็นกรอบชี้นำทิศทางการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินการถ่ายโอนภารกิจและงบประมาณด้านการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสภาพและการรักษาพยาบาลเบื้องต้นพร้อมสถานีอนามัย (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขให้มีปริมาณเพียงพอและมีคุณภาพ โดยคำนึงถึงการกระจายของกำลังคนระหว่างพื้นที่ในเขตเมืองและเขตชนบทให้มีความสมดุล การจัดทำแผนในเชิงลึกสำหรับประเด็นปัญหาสำคัญเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยั่งยืนของระบบประกันสุขภาพของประเทศ การกระจายอำนาจทางด้านสาธารณสุข และการบริหารจัดการกำลังด้านสุขภาพ แทนการทำแผนในเชิงกว้างที่เน้นความครอบคลุมเป้าหมายทางด้านสุขภาพในทุกมิติ และการจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายที่ต้องพิจารณาความจำกัดของทรัพยากร โดยคำนึงถึงผลกระทบจากทุกมาตรการในยุทธศาสตร์ต่อความยั่งยืนทางการเงินการคลังของสถานพยาบาล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๔.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบและการจัดทำข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับอัตรากำลังใหม่ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔) ๔.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุขวางยุทธศาสตร์การพัฒนาการให้บริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานด้วยการเร่งพัฒนาศูนย์กลางบริการรักษาพยาบาลเฉพาะทางให้คลอบคลุมทุกภูมิภาคซึ่งประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์โดยตรงจากการได้รับบริการที่ทั่วถึงและมีมาตรฐานสูงในระดับสากลและเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งจะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 587 | รายงานผลการดำเนินการ กรณีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามมาตรา 61 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามมาตรา 61 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550) | สสป | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตีรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานศาลยุติธรรม เรื่อง "องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามมาตรา ๖๑ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐" โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การเร่งรัดการตราพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค โดยนำร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. .... ที่ได้ผ่านวุฒิสภา และได้ส่งให้สภาผู้แทนราษฎรแล้ว เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาในรัฐสภา และมีกฎหมายออกบังคับใช้โดยเร็ว เพื่อให้เป็นไปตามบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตา ๖๑ ที่กำหนดให้มีการดำเนินการ ภายหลังรัฐบาลประกาศนโยบายไม่เกิน ๑ ปี ๒. การเป็นผู้นำระดับอาเซียนในการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเร่งรัดและสนับสนุนให้มีการพิจารณา เพื่อผ่านร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค อันเป็นหลักประกันแก่ผู้บริโภคไทย และเป็นแบบอย่างเชิงสัญลักษณ์ของความเป็นผู้นำในประเทศต่าง ๆ ในประชาคมอาเซียน และในระดับนานาชาติต่อไป ๓. การแสดงเจตจำนงในการสนับสนุนบทบาทของภาคประชาชนในการเสนอร่างกฎหมายสู่รัฐสภาอย่างจริงจัง การผ่านพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค จะทำให้เจตจำนงดังกล่าวได้รับการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายฉบับแรกที่มีการเสนอรายชื่อ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ราย โดยภาคประชาชน และรัฐบาลได้ให้การรับรองเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ๔. การเร่งสร้างความเข้าในเรื่ององค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคให้ประชาชน และผู้บริโภคทราบ โดยให้มีการดำเนินการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนากลไกรับฟังความคิดเห็นในการกำหนดนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค สนับสนุนให้เกิดการปฏิบัติการจำลองขององค์กรผู้บริโภค นำร่องการบริหารจัดการเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคในรูปแบบองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค และสนับสนุนให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสนับสนุนงบประมาณและดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภค ร่วมกับองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ ในฐานะเครือข่ายทำงานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในทุกระดับ ๕. การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาในปัจจุบันในประเด็นการขยายสิทธิผู้บริโภคในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้สอดคล้องกับแนวทางการคุ้มครองผู้บริโภคของสหประชาชาติ และสภาพปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภคในปัจจุบัน การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และคณะกรรมการเฉพาะเรื่องให้มีตัวแทนผู้บริโภคในสัดส่วนที่เหมาะสม ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นหน่วยงานกลางที่ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จในการจัดการ และประสานงาน ชี้แจงผลการดำเนินการให้ผู้บริโภครับทราบผล เพื่อลดภาระต้นทุนในการร้องเรียนของผู้บริโภค จากการที่ต้องเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เมื่อเรื่องที่ร้องเรียนไม่ตรงกับความรับผิดชอบของหน่วยงาน การกำหนดให้สมาคมและมูลนิธิได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม ในการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิผู้บริโภค การกำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่ไม่เป็นนิติบุคคลให้มีบทบาทในการคุ้มครองผู้บริโภค การปรับปรุงมาตรการจัดการสินค้าที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค การเพิ่มการคุ้มครองผู้บริโภคด้านบริการที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค การยกระดับการคุ้มคอรงผู้บริโภคด้านโฆษณา ให้มีกระบวนการระงับข้อพิพาท เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการชดเชยที่รวดเร็วและเป็นธรรม และการปรับปรุงบทกำหนดโทษ โดยเพิ่มเพดานโทษสูงสุดให้เหมาะสมกับระดับความเสียหายและสภาวการณ์ในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีผู้ประกอบธุรกิจที่ก่อปัญหาซ้ำซาก
|
|||||||||||||||||||||
| 588 | การเข้าร่วมงานฉลองครบรอบ 20 ปีแผนงาน GMS | นร | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และรัฐมนตรีประจำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) ของไทย รายงานสรุปผลการเข้าร่วมงานฉลองครบรอบ ๒๐ ปีแผนงาน GMS ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ ณ สำนักงานใหญ่ธนาคารพัฒนาเอเชีย กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ โดยงานฉลองครบรอบ ๒๐ ปีแผนงาน GMS ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศสมาชิกได้ทบทวนความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาความร่วมมือและเสริมสร้างความเข้มแข็งภายในกลุ่มในการเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้นในอนาคต และร่วมหารือเพื่อเตรียมการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๘ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ ณ นครหนานหนิง มณฑลกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยประเด็นสำคัญที่รัฐมนตรี ๖ ประเทศจะหารือร่วมกัน คือ การจัดทำกรอบการลงทุนของภูมิภาค (Regional Investment Framework) เพื่อกำหนดโครงการลงทุนลำดับความสำคัญสูงของ GMS ในระยะ ๑๐ ปีข้างหน้า สำหรับการดำเนินงานของฝ่ายไทยเพื่อสนับสนุนการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๘ มีดังนี้
๑. การจัดทำกรอบการลงทุนของอนุภูมิภาค ในระยะที่ ๑ ซึ่งครอบคลุมการประเมินการพัฒนารายสาขา การวิเคราะห์แผนและนโยบายการพัฒนาประเทศ รวมถึงจัดทำข้อเสนอโครงการลงทุนลำดับความสำคัญสูงของแต่ละประเทศ ๒. การจัดทำร่างยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการสาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (๒๐๑๓-๒๐๑๗) และการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจสำหรับการดำเนินงานร่วมกันเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีการเคลื่อนย้ายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๓. การเตรียมการลงนามในเอกสารสำคัญ ๒ เรื่อง ได้แก่ การลงนามในความตกลงเพื่อการจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Railway Association : GMRA) และการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลต่อการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Inter-Governmental MOU for the Establishment of the Regional Power Coordination Centre in the Greater Mekong Subregion : IGM) ๔. การเร่งรัดการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อการให้สัตยาบันภาคผนวกและพิธีสารแนบท้ายความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เนื่องจากปัจจุบันเหลือเพียงไทยและเมียนมาร์ที่ให้สัตยาบันภาคผนวกและพิธีสารฯ ไม่ครบทั้ง ๒๐ ฉบับ ทั้งนี้ ไทยอยู่ระหว่างผลักดันร่างกฎหมาย ๕ ฉบับ ประกอบด้วย ร่างกฎหมาย ๓ ฉบับ อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของรัฐสภา ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการรับขนของทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ของกระทรวงคมนาคม และร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ว่าด้วยการอนุวัติการตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน The GMS Agreement) ของกระทรวงการคลัง และร่างกฎหมาย ๒ ฉบับ อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างโดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... (ในเรื่องเกี่ยวกับข้อบทว่าด้วยการผ่านแดน) ของกรมศุลกากร และร่างพระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารและสัมภาระทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ของกระทรวงคมนาคม
|
|||||||||||||||||||||
| 589 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พ.ศ. ๒๕๕๕ หลังจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินประมาณ ๑๒,๕๗๕.๗๘๕๓ ล้านบาท สำหรับโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถเบิกจ่ายเงินกู้ DPL ได้จนบรรลุวัตถุประสงค์ แต่ไม่ควรเกินเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ส่วนโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๔๙๑ ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการทบทวนเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ต่อไป ๑.๒ รับทราบและอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโทของครูและบุคลากรอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ โดย ๑.๒.๑ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของ สอศ. วงเงิน ๑๔.๑๐ ล้านบาท ๑.๒.๒ อนุมัติการดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาสู่ความทันสมัย รายการอุดหนุนทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโท หลักสูตรต่อเนื่อง ๒ ปี เพื่อแก้ไขปัญหาทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโทของครูและบุคลากรอาชีวศึกษา จำนวน ๔๖ ทุน (ทุนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท) ของ สอศ. วงเงิน ๑๓.๘๐ ล้านบาท รวมทั้งอนุมัติให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน) ๑.๒.๓ อนุมัติให้ สอศ. ก่อหนี้ผูกพันหรือดำเนินโครงการก่อนการจัดสรรเงินกู้สำหรับโครงการยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาสู่ความทันสมัย รายการอุดหนุนทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโท หลักสูตรต่อเนื่อง ๒ ปี จำนวน ๔๖ ทุน (ทุนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท) วงเงิน ๑๓.๘๐ ล้านบาท ๑.๓ รับทราบและอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ และเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดย ๑.๓.๑ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของ สอศ. วงเงิน ๕๑๒.๕๓๘ ล้านบาท และอนุมัติการดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรวงเงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารศูนย์วิทยบริการ ของ สอศ. กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๕๖ หลัง วงเงิน ๕๐๙.๖๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ สอศ. จะต้องเร่งรัดการดำเนินโครงการ โดยลงนามในสัญญาก่อสร้างภายในสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ และเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ๑.๓.๒ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของมหาวิทยาลัยมหิดล วงเงิน ๓๘๙,๓๒๘,๑๗๑.๕๑ บาท อนุมัติดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เหลือจ่ายให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดลสำหรับสาขาสาธารณสุขค่าครุภัณฑ์ทางการแพทย์ จำนวน ๒๘ รายการ วงเงิน ๓๘๑,๓๖๙,๓๐๐ บาท และสาขาศึกษาสำหรับครุภัณฑ์ประจำอาคารเสริมสร้างอุตสาหกรรมชีวภาพจากนวัตกรรม จำนวน ๕ รายการ วงเงิน ๗,๘๓๘,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๓๓ รายการ วงเงิน ๓๘๙,๒๐๗,๓๐๐ บาท ๑.๓.๓ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของสภากาชาดไทย จำนวน ๑๒๐,๕๔๓,๑๐๐ บาท อนุมัติดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เหลือจ่ายให้แก่สภากาชาดไทยสำหรับค่าครุภัณฑ์เครื่องตรวจด้วยคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging) วงเงิน ๘๙,๘๘๐,๐๐๐ บาท และครุภัณฑ์เครื่องเอ็กซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล (Mobile Digital Radiography) วงเงิน ๒๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท และให้สภากาชาดไทยเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายของภาษีมูลค่าเพิ่มวงเงิน ๗,๗๗๗,๑๙๖ บาท โดยใช้เงินรายได้หรือแหล่งเงินอื่นของสภากาชาดไทยตามความเหมาะสม ๑.๔ อนุมัติจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๒,๖๕๗,๔๙๐.๐๐ บาท กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๑๘๑,๑๕๑.๓๔ บาท กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑๓,๒๖๘,๙๗๘.๑๔ บาท กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม วงเงิน ๑,๖๕๖,๙๒๙.๐๐ บาท มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๕๒,๔๗๕,๗๑๘.๐๐ บาท และกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๒๔,๖๔๑,๕๐๐.๐๐ บาท ๑.๕ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๖ อนุมัติการยกเลิกการจัดสรรวงเงินกู้สำหรับค่าก่อสร้างโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง วงเงิน ๒,๔๒๘ ล้านบาท และนำวงเงินกู้ดังกล่าวมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายในสาขาเศรษฐกิจต่อไป ๒. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยเฉพาะหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายฯ เร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งให้คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เร่งพิจารณาจัดสรรวงเงินกู้ที่เหลือของโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ซึ่งกระทรวงการคลังได้เสนอขอยกเลิกโครงการดังกล่าว โดยอาจพิจารณาการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางรางที่มีความพร้อมในการดำเนินงานเป็นลำดับแรก เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขนส่งจากถนนสู่ระบบรางให้เป็นไปตามเป้าหมาย ตามความเห็นสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 590 | ผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกของไทย ครั้งที่ 1/2555 | พณ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกของไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้สรุปสถานการณ์ส่งออกของไทยในระยะ ๖ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (มกราคม - มิถุนายน) มีมูลค่า ๑๑๒,๒๖๔.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๑.๙๗ โดยได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปและสภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ๒. ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับปัญหา กลยุทธ์ และข้อเสนอแนวทางการดำเนินงานเพื่อผลักดันการส่งออก ๒.๑ การผลักดันการส่งออกไปยังตลาดภูมิภาคยุโรปและตลาดศักยภาพอื่น ๆ ๒.๑.๑ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการส่งออก ได้แก่ ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในตลาดหลัก กฎระเบียบทางการค้า มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) การเจรจาเขตการค้าเสรีต่าง ๆ คุณภาพสินค้าและบริการของไทย และการประสานงานระหว่างองค์กรภายในประเทศ เป็นต้น ๒.๑.๒ กลยุทธ์ในการผลักดันการส่งออก ได้แก่ การแสวงหาโอกาสในตลาดเดิมหรือตลาดที่มีปัญหา และแสวงหาโอกาสในตลาดใหม่และตลาดที่มีศักยภาพอื่น ๆ ๒.๑.๓ แนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศและแก้ปัญหาการถูกโจมตีในประเด็นการใช้แรงงานและการทำลายสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการผลิตสินค้า Organic & Sustainable Farming ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม การปรับปรุงกระบวนการผลิต และการเร่งรัดการเจรจาการค้าเสรีกรอบ FTA ไทย - สหภาพยุโรป เป็นต้น ๒.๒ การส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน ๒.๒.๑ ปัญหาอุปสรรคทางการค้าและการลงทุน ได้แก่ ด่านชายแดนมีจำนวนจำกัด ความตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าข้ามแดน/ผ่านแดนในกรอบ GMS และ ASEAN ยังไม่มีผลบังคับใช้ กฎระเบียบทางการค้าของประเทศเพื่อนบ้าน การลักลอบนำเข้าส่งออก อาชญากรรม และความรุนแรง และขาดการศึกษาวิจัยตลาดประเทศเพื่อนบ้านเชิงลึก ๒.๒.๒ แนวทางการส่งเสริมการค้าชายแดน ได้แก่ การปรับปรุงกฎระเบียบและลดขั้นตอน การขอหนังสือรับรองการนำเข้าส่งออก พัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้ทันสมัยและเพียงพอ ยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการของไทยสู่ระดับมาตรฐานระดับอาเซียน และสร้างสิ่งจูงใจเพื่อส่งเสริมการไปลงทุนในต่างประเทศ ๒.๓ ปัญหาในการผลักดันการส่งออกรายสินค้า ๒.๓.๑ อาหาร ได้แก่ ไก่สดแช่เย็นและแช่แข็งและแปรรูป เช่น ปริมาณอาหารสัตว์ที่ผลิตได้ในประเทศมีไม่เพียงพอ คุณภาพต่ำ และยังต้องพึ่งพิงการนำเข้าจากต่างประเทศสูง ปัญหาด้านสุขอนามัยและปัญหาเทคนิคกับกลุ่มตลาดหลัก การเตรียมการเพื่อรองรับการเปิดตลาด AEC เป็นต้น กุ้งสดแช่เย็นและแช่แข็งและแปรรูป เช่น ขาดแคลนพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กุ้ง ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ราคาไม่มีเสถียรภาพและปริมาณผลผลิตไม่สม่ำเสมอ สินค้ามีแนวโน้มถูกตัดสิทธิ GSP ของสหภาพยุโรปในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ การถูกกล่าวหาจากประเทศคู่ค้าว่าทำลายสภาพแวดล้อมและกดขี่แรงงาน รวมทั้ง Lab ของเอกชนคิดค่าใช้จ่ายสูง เป็นต้น ผักและผลไม้ เช่น ปัญหาด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร การขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงานทำให้พื้นที่เพาะปลูกพืชอาหารลดลง ๒.๓.๒ อัญมณีและเครื่องประดับ เช่น ขาดแคลนวัตถุดิบ ต้นทุนการผลิตสูง งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในประเทศไทยดึงดูดผู้ซื้อต่างประเทศได้น้อยลง แบรนด์สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาดโลก ขาดข้อมูลเชิงลึกในตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญ และปัญหาโลจิสติกส์ในการจัดส่งวัตถุดิบจากประเทศที่เป็น Free Port ๒.๓.๓ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เช่น มาตรการ Anti-Dumping และ Safeguard ของประเทศคู่ค้า (สินค้าผ้าผืนและเส้นด้าย) ขาดการพัฒนาผลิตภัณฑ์แฟชั่นในเชิงลึกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ต้องการข้อมูลเชิงลึกของประเทศเพื่อนบ้าน การสนับสนุนในการไปลงทุนตาม JETRO Model ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การขาดแคลนแรงงาน ขาดแคลนเงินทุนเพื่อนำมาขยายการผลิต เปลี่ยนเครื่องจักร และเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ๓. ที่ประชุมได้กำหนดให้คณะทำงานติดตามสถานการณ์และขับเคลื่อนการส่งออกไปตลาดภูมิภาคยุโรปและตลาดศักยภาพอื่น ๆ คณะทำงานส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน และคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกรายสินค้า จัดประชุมเพื่อติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน พร้อมทั้งให้จัดการประชุมคณะทำงานกลุ่มย่อยภาครัฐและเอกชนเพื่อศึกษาวิเคราะห์ สรุปประเด็นปัญหา และแนวทางการแก้ไขให้มีความชัดเจนทั้งในส่วนของรายตลาดและรายสินค้าต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 591 | การเร่งรัดการก่อหนี้รายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 11/09/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๘๕๔,๓๔๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๗.๙๑ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๓๘๐,๐๐๐ ล้านบาท และประมาณการว่าสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จะมีการเบิกจ่ายได้ประมาณร้อยละ ๘๙.๔๐ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๙๓.๐๐) อยู่ร้อยละ ๓.๖๐ โดยมีการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๖๓๖,๗๖๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๓.๑๗ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๑,๙๖๗,๙๐๕ ล้านบาท และเบิกจ่ายในส่วนของรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๑๗,๕๗๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๒.๘๐ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๑๒,๐๙๕ ล้านบาท และประมาณการว่าสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จะมีการเบิกจ่ายได้ประมาณร้อยละ ๖๓.๕๑ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๗๒.๐๐) อยู่ร้อยละ ๘.๔๙ ๑.๒ ภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สิ้นสุด ณ กรกฎาคม ๒๕๕๕ รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔๘ แห่ง มีการเบิกจ่าย จำนวน ๙๖,๘๒๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๖.๔๙ ของวงเงินเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด และจากการประมาณผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่ารัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีงบประมาณ (สิ้นสุด ณ กันยายน ๒๕๕๕) และรัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีปฏิทิน (สิ้นสุด ณ ธันวาคม ๒๕๕๕) จะสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนประมาณ ๒๘๓,๗๙๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๗.๖๔ ๒. ปัญหาอุปสรรคและสถานะปัจจุบันของรายการภายใต้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่ได้ก่อหนี้ และคาดว่าไม่สามารถดำเนินการได้ตามระยะเวลาที่กำหนด และขอผ่อนผันการก่อหนี้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒.๑ งบประมาณรายจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ส่วนราชการได้รับจัดสรรตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ แต่ปัจจุบันยังไม่ก่อหนี้และเบิกจ่าย จำนวนทั้งสิ้นประมาณ ๑๒๕,๑๓๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๑.๓๙ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน จำนวน ๓๙๘,๖๖๘ ล้านบาท (ไม่รวมรัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา) โดยมีปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ส่วนราชการยังไม่สามารถก่อหนี้รายจ่ายลงทุนได้ คือ ความไม่พร้อมของส่วนราชการ มีการยกเลิกการประกวดราคาเนื่องจากผู้ประกอบการขาดแคลนวัสดุก่อสร้างขึ้นราคา ทำให้เสนอราคาสูงกว่างบประมาณที่ได้รับ และความซ้ำซ้อนของงานโครงการที่ดำเนินการในพื้นที่เดียวกัน ๒.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓๒๐ หน่วยงาน มีส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจแจ้งขอผ่อนผันการก่อหนี้ เนื่องจากปัจจุบันมีโครงการและรายการที่ยังไม่ได้ก่อหนี้และคาดว่าไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๒๑๕ หน่วยงาน จำนวน ๒,๐๔๔ รายการ จำนวนเงิน ๗๕,๒๒๐ ล้านบาท ๓. หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการเตรียมการจัดหาพัสดุก่อนพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกาศใช้ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ และคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้ซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการเตรียมการจัดหาพัสดุ
|
|||||||||||||||||||||
| 592 | การแต่งตั้งองค์ประกอบคณะผู้แทนรัฐบาลไทยและการแต่งตั้งคณะผู้แทนฯ สำหรับการเจรจาจัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับต่างประเทศ | กค | 11/09/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติองค์ประกอบของคณะผู้แทนรัฐบาลไทยสำหรับการเจรจาจัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับต่างประเทศ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะผู้แทนรัฐบาลไทยสำหรับการเจรจาจัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงฯ ทั้งภายในและภายนอกประเทศในแต่ละครั้งได้ โดยให้เป็นไปตามองค์ประกอบคณะผู้แทนรัฐบาลไทยฯ ดังนี้ ๑.๑ การเจรจาภายในประเทศ ได้แก่ อธิบดีหรือรองอธิบดีกรมสรรพากร หรือที่ปรึกษาฯ กรมสรรพากร หัวหน้าคณะ ผู้อำนวยการสำนักวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร หรือผู้แทน จำนวน ๑ คน ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร หรือผู้แทน จำนวน ๑ คน เจ้าหน้าที่สำนักวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร จำนวนไม่เกิน ๔ คน ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง จำนวน ๑ คน ผู้แทนกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ จำนวน ๑ คน และผู้แทนกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ จำนวน ๑ คน ๑.๒ การเจรจาภายนอกประเทศ ได้แก่ อธิบดีหรือรองอธิบดีกรมสรรพากร หรือที่ปรึกษาฯ กรมสรรพากร หัวหน้าคณะ ผู้อำนวยการสำนักวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร หรือผู้แทน จำนวน ๑ คน ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร หรือผู้แทน จำนวน ๑ คน เจ้าหน้าที่สำนักวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร จำนวนไม่เกิน ๒ คน ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง จำนวน ๑ คน ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศจากสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำ (หรือมีเขตรับผิดชอบถึง) ประเทศที่จะเจรจาด้วยจำนวน ๑ คน ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดขอบเขตและอำนาจหน้าที่ของคณะผู้แทนฯ ให้ชัดเจน และควรประสานกับกระทรวงการต่างประเทศในการเร่งรัดการดำเนินการทางการทูต เพื่อให้อนุสัญญาภาษีซ้อนที่ลงนามไปแล้วกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะกับประเทศในอาเซียนให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ไปพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 593 | การดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน 2554 - 2563 | สธ | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมประชุมสรุปผลการดำเนินงานเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงคมนาคม (สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร/กรมการขนส่งทางบก) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเน้นย้ำมาตรการที่ดำเนินงานผ่านมา และร่วมหารือเพื่อบูรณาการงานที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคตต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเน้นปัจจัยเสี่ยงหลักที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุ ๔ ประเด็น ดังนี้
๑. ประเด็นการสวมหมวกนิรภัย ได้แก่ การขยายปีรณรงค์สวมหมวกนิรภัย ๑๐๐% ไปถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยตั้งเป้าให้สวมเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ ๒๐ ต่อปี การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย และรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยในหน่วยงานทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ๒. ประเด็นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการดื่มแล้วขับ ได้แก่ การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การผลักดันการแก้ไขกฎหมายกรณีผู้ขับขี่ที่ปฏิเสธการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ให้สันนิษฐานว่าเมา การผลักดันการออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมในเรื่องการห้ามดื่มหรือขายบนทางสาธารณะ การผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถนำเงินที่ได้จากการเปรียบเทียบปรับในส่วนของการกระทำความผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ไปซื้อวัสดุ อุปกรณ์สนับสนุนงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนนได้ เช่น เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ รวมทั้งรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนมีการรับรู้และตระหนักถึงความสูญเสียจากการเมาแล้วขับ ๓. ประเด็นการขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด ได้แก่ การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การผลักดันให้ อปท. สามารถนำเงินที่ได้จากการเปรียบเทียบปรับในส่วนของการกระทำความผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ไปซื้อวัสดุ อุปกรณ์สนับสนุนงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนนได้ เช่น เครื่องมือตรวจจับความเร็ว และการศึกษาและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการควบคุมความเร็วรถตู้สาธารณะ ๔. ประเด็นการใช้เข็มขัดนิรภัย ได้แก่ การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการปรับปรุง แก้ไข กฎ ระเบียบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ใช้รถใช้ถนน เช่น ให้มีกฎหมายบังคับใช้เข็มขัดนิรภัยในผู้โดยสารที่นั่งตอนหลังของรถ และให้มีการบังคับติดตั้งเข็มขัดนิรภัยในรถโดยสารสาธารณะทุกที่นั่ง ให้มีการใช้เก้าอี้นิรภัยสำหรับเด็ก รวมทั้งรณรงค์ส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัยในหน่วยงานทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
|
|||||||||||||||||||||
| 594 | สรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี 2555 | นร | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การจ้างงาน และรายได้ ๑.๑.๑ ไตรมาส ๒/๒๕๕๕ อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๘๕ โดยมีจำนวน ๓๓๔,๑๒๑ คน สูงกว่าอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๖ ในช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว โดยมีผู้จบการศึกษาใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงาน จำนวน ๕๒๑,๑๙๙ คน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๖ ในขณะที่ความต้องการของตลาดช้ากว่าการเพิ่มของกำลังแรงงาน เพราะการลงทุนและการผลิตยังไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่ เป็นผลจากการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในเดือนเมษายนที่ผ่านมา และผลกระทบจากน้ำท่วมในปลายปีที่แล้ว ทำให้บางกิจการต้องปิดตัวลงและบางกิจการยังไม่สามารถกลับมาผลิตได้ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากภาวะวิกฤตหนี้ยูโร ๑.๑.๒ แรงงานที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษาและต่ำกว่ามีอัตราการว่างงานต่ำเพียงร้อยละ ๐.๓ ส่วนกลุ่มแรงงานที่มีการศึกษาระดับมัธยมต้น อาชีวศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง และอุดมศึกษา มีอัตราการว่างงานร้อยละ ๑.๒,๑.๒,๒.๑ และ ๑.๙ ตามลำดับ ๑.๑.๓ การว่างงานรายสาขาการศึกษาสะท้อนปัญหาทั้งความต้องการในตลาดและปัญหาการผลิตกำลังคนเกินความต้องการในหลายสาขา โดยผู้ที่สำเร็จการศึกษาสาขาธุรกิจ บริหารและพาณิชย์ศาสตร์ ว่างงานเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษาว่างงานร้อยละ ๒.๑ และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงว่างงานร้อยละ ๑.๘ สำหรับสาขาที่มีปัญหาการผลิตเกินความต้องการของตลาดมาอย่างต่อเนื่อง เช่น สาขาศิลปกรรมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ มีอัตราการว่างงานสูงร้อยละ ๔.๔ และ ๒.๔ ตามลำดับ รวมทั้งสาขาคอมพิวเตอร์ในระดับ ปวส. และอุดมศึกษา มีอัตราการว่างงานร้อยละ ๔.๑ และ ๓.๖ ตามลำดับ ๑.๑.๔ รายได้แท้จริงของแรงงานเพิ่มขึ้น โดยค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลาและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๒ ตามการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๒.๕ ทำให้ค่าจ้างแท้จริงเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๒ ๑.๑.๕ การติดตามสถานการณ์การเฝ้าระวังด้านการว่างงานในระยะต่อไป ได้แก่ ชั่วโมงการทำงานโดยเฉลี่ยเริ่มส่งสัญญาณที่ต้องเฝ้าระวังด้านสถานการณ์การว่างงานที่อาจจะเพิ่มขึ้น กระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจยุโรปต่อแรงงานกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างยังเป็นข้อจำกัดต่อศักยภาพการพัฒนาของประเทศและคุณภาพชีวิตของแรงงานซึ่งจะต้องเร่งแก้ไข ๑.๒ ด้านการศึกษา ในกลุ่มอาเซียนประเทศไทยมีความเสียเปรียบในด้านภาษาอังกฤษและหลากหลายของภาษาที่ใช้ จึงเป็นกรณีเร่งด่วนที่ต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจังและต่อเนื่องกับการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้กับประชาชนไทยให้สามารถสื่อสารได้ ขณะที่เด็กไทยรุ่นใหม่ต้องได้รับการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะภาษาของประเทศเพื่อนบ้านและภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี (อาเซียน+๓) อย่างน้อย ๑ ภาษา รวมทั้งภาษามลายูกลางเพื่อสื่อสารกับประชากรครึ่งหนึ่งของประชาคมอาเซียนที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไนดารุสซาลาม ที่พูดภาษามลายู ๑.๓ ด้านสุขภาพ เด็กและเยาวชนไทย ๑ ล้านคน มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพจิต โดยเด็ก ๑ ล้านคน มีอาการซึมเศร้าและหงุดหงิดโดยไม่รู้สาเหตุ และเด็กร้อยละ ๕๐ มีอาการเครียด เด็กมีความสุขในการไปโรงเรียนลดลง ๑.๔ ด้านพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของคนในสังคมไทย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ และปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คนไทยอายุ ๑๕ ปีขึ้นไปสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นจาก ๑๔.๓ ล้านคน เป็น ๑๔.๖ ล้านคน และคนไทยอายุ ๑๕ ปีขึ้นไปดื่มแอลกอฮอล์มากถึง ๑๗ ล้านคน โดยเยาวชนกลายเป็นนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่าปีละ ๒๕๐,๐๐๐ คน นอกจากนี้ เด็กและเยาวชนมีความฉลาดและวุฒิภาวะทางอารมณ์น้อยลงส่งผลให้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมมากขึ้น โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เด็กและเยาวชนมีความฉลาดและวุฒิภาวะทางอารมณ์อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ ๑๐ ปี ส่งผลให้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ขาดความสามารถในการแก้ไขปัญหาขัดแย้ง และใช้ความรุนแรงมากขึ้น ๑.๕ ด้านความมั่นคงทางสังคม ปัญหายาเสพติดยังรุนแรงและเฝ้าระวังได้ยากขึ้นเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน คดียาเสพติดเพิ่มขึ้นจากไตรมาสสองปี ๒๕๕๔ และไตรมาสหนึ่งปี ๒๕๕๕ ร้อยละ ๓๐.๙ และ ๑๔.๐ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งรัดการปราบปรามภายใต้กรอบนโยบายรัฐบาล นอกจากนี้ ไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ต้องจับตามองด้านการค้ามนุษย์ (Tier 2 Watch List) เป็นปีที่ ๓ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศไทย ๒. ให้ทุกกระทรวง กรม รวบรวมปัญหาต่าง ๆ ที่กระทรวง กรม เห็นว่า เป็นปัญหาของสังคมไทยที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติโดยด่วน เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวบรวมและบูรณาการปัญหาต่าง ๆ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปดำเนินการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาเยาวชนมีพฤติกรรมในทางที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งปัญหาสื่อต่าง ๆ ทุกรูปแบบที่มีลักษณะเป็นการมอมเมาและชักจูงเยาวชนไปในทางที่ไม่ก่อให้เกิดความคิดที่สร้างสรรค์และประโยชน์ต่อการเรียนรู้
|
|||||||||||||||||||||
| 595 | การยุติการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 24 เมษายน 2555 เรื่อง การเร่งรัดดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย ที่กำหนดให้มีการพิจารณาความพร้อมในเบื้องต้นของโครงการที่จะขอใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 (350,000 ล้านบาท) | นร05 | 14/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ยุติการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การเร่งรัดดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย) ที่กำหนดว่า ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจที่มีโครงการที่ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) และอยู่ในกรอบบูรณาการการบริหารจัดการน้ำของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕] เร่งรัดจัดทำรายละเอียดและคำของบประมาณของโครงการที่เกี่ยวข้อง แล้วส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วน โดยคำขอดังกล่าวจะต้องเสนอโดยรัฐมนตรีต้นสังกัด และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพหลักในการพิจารณากลั่นกรองรายละเอียด ความสมบูรณ์ของเอกสาร และความพร้อมของโครงการต่าง ๆ ในเบื้องต้นร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เช่น สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ก่อนนำเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยพิจารณาตามขั้นตอนตามระเบียบและอำนาจหน้าที่ต่อไป ๑.๒ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามขั้นตอนปกติต่อไป ๒. สำหรับคำขอที่ยังคงค้างอยู่ในขั้นตอนที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะต้องร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณา จำนวนประมาณ ๒๕๖ โครงการ นั้น ให้ส่งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเพื่อพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ยึดหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้ ๒.๑ กรณีเป็นโครงการ/แผนงานต่อเนื่องจากเดิมที่เคยได้รับการจัดสรรงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ไปแล้ว และจำเป็นต้องได้รับงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการต่อเนื่องให้แล้วเสร็จ สมควรได้รับการพิจารณาให้ดำเนินการได้ ๒.๒ กรณีเป็นโครงการ/แผนงานที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศ สมควรได้รับการพิจารณาให้ดำเนินการได้ ๒.๓ กรณีเป็นโครงการ/แผนงานที่อาจจะมีความซ้ำซ้อนกับแผนงานตามประกาศเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมเสนอกรอบแนวคิด (conceptual plan) เพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ให้ตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจนและให้ชะลอการพิจารณาไว้ก่อน เพื่อเปรียบเทียบกับแผนงานตามประกาศเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมเสนอกรอบแนวคิดฯ และมิให้เกิดการดำเนินการที่ซ้ำซ้อนกัน
|
|||||||||||||||||||||
| 596 | การให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการก่อสร้างในภาคใต้ อันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัย | กค | 07/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมผู้ประกอบการก่อสร้างในภาคใต้ อันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขประกอบการพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เป็นการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ภาคใต้ ๑๐ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สงขลา กระบี่ ชุมพร พังงา นราธิวาส และสตูล ๑.๒ เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างเท่านั้น ๑.๓ ผู้ประกอบการก่อสร้างที่มีสิทธิได้รับการพิจารณาขยายระยะเวลาก่อสร้างเพิ่มเติม จะต้องเป็นผู้รับจ้างที่ได้ลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ โดยบังคับใช้กับสัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้ลงนามไว้กับทางราชการก่อนวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ หรือสัญญาจ้างก่อสร้างได้ลงนามไว้กับทางราชการตั้งแต่วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ จนถึงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งสัญญาจ้างดังกล่าว ณ วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ ยังมีนิติสัมพันธ์อยู่และยังมิได้มีการส่งมอบงานงวดสุดท้าย หรือสัญญาดังกล่าวยังมีนิติสัมพันธ์อยู่ แต่ได้มีการส่งมอบงานงวดสุดท้ายในช่วงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่เกิดเหตุอุทกภัย ยกเว้นสัญญาที่หน่วยงานได้พิจารณาก่อนวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๕ แล้วว่า จะบอกเลิกสัญญาเนื่องจากคู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ กรณีดังกล่าวไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือ ๑.๔ หากสัญญาจ้างก่อสร้างอยู่ในหลักเกณฑ์ตามข้อ ๑.๑ - ๑.๒ ให้หน่วยงานขยายระยะเวลาออกไปอีก จำนวน ๖๐ วัน ต่อเนื่องจากที่ได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย) โดยกรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่ยังอยู่ภายในระยะเวลาตามสัญญา ให้ขยายระยะเวลาโดยนับถัดจากวันสิ้นสุดระยะเวลาที่ขยายตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวไว้เดิม ๑.๕ ผู้ประกอบการที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือฯ จะต้องยื่นคำร้องขอต่อหน่วยงานคู่สัญญาภายใน ๖๐ วัน นับถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.๖ สำหรับเงื่อนไขอื่นที่กำหนดไว้ตามมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕ ได้แก่ กรณีการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างและผู้ประกอบการอื่นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ - ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ และกรณีที่หน่วยงานได้ลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างกับผู้รับจ้าง และได้ส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่ผู้รับจ้างก่อนเกิดเหตุอุทกภัย และสัญญานั้นยังมีนิติสัมพันธ์อยู่ในช่วงเกิดอุทกภัย หากผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญา และยังไม่เคยเข้ามาทำงานในสถานที่ก่อสร้างดังกล่าว โดยไม่มีเหตุอันสมควร จนกระทั่งเกิดเหตุอุทกภัย ผู้รับจ้างไม่อาจขอรับความช่วยเหลือฯ ได้ ยังคงให้ถือปฏิบัติตามเดิม ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรมีแผนการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงาน/โครงการเดิม เพื่อไม่ให้การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าออกไปมากจนเกินไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 597 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 6/2555 | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุรินทร์ โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุรินทร์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการศึกษาวิจัยโครงการ “นครราชสีมา : เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในอนุภูมิภาค” จำนวน ๒๐ ล้านบาท และขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้านนโยบายและงบประมาณเพื่อศึกษาความเป็นไปได้โครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรชายแดน ที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ที่ประชุมมีมติ ๒.๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองรับข้อเสนอโครงการศึกษาวิจัยโครงการ “นครราชสีมาเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในอนุภาค” ไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้มีผู้แทนภาคเอกชนเข้าร่วมในคณะกรรมการกำกับการศึกษาโครงการฯ ด้วย ๒.๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรชายแดนที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ๒.๒ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนการพัฒนาและขยายเส้นทางการจราจร จำนวน ๑๐ โครงการ โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่ จังหวัดนครราชสีมา - บุรีรัมย์ - สุรินทร์ - ศรีษะเกษ - อุบลราชธานี และโครงการยกระดับสนามบินอุบลราชธานี ที่ประชุมมีมติ ๒.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมและจัดลำดับความสำคัญของการขยายเส้นทางและช่องจราจรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยให้ความสำคัญกับเส้นทางและช่องจราจรที่เชื่อมโยงระหว่างภาคและประเทศเพื่อนบ้านในการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ๒.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนการพัฒนารถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และขั้นตอนการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการควบคู่ไปด้วย ๒.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าอากาศยานอุบลราชธานีในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการบินในอินโดจีน โดยคำนึงถึงปริมาณความต้องการเดินทาง ความได้เปรียบในเชิงพื้นที่ รวมทั้งโอกาสและข้อจำกัดในการรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร ๒.๓ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำโป่งขุนเพชรบริเวณบ้านแก่งกระจวน ตำบลโคกสะอาด อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และขอให้เร่งรัดการก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนบน เขื่อนชีบน และเขื่อนยางนาดี จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จ ที่ประชุมมีมติ ๒.๓.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำโป่งขุนเพชรให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และนำเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ต่อไป ๒.๓.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเรื่องประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เพื่อเร่งรัดการก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนบน เขื่อนชีบน และเขื่อนยางนาดี จังหวัดชัยภูมิ และนำเสนอ กบอ. ต่อไป ๒.๓.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับ กบอ. และกลุ่มจังหวัดพิจารณาการเชื่อมโยงพื้นที่ในการจัดหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคแบบบูรณาการในภาพรวมทั้งระบบ โดยคำนึงถึงความพร้อมของพื้นที่และการยอมรับของประชาชน ทั้งนี้ ให้ขอความร่วมมือภาคเอกชนได้ร่วมสนับสนุนข้อมูลที่จำเป็นในพื้นที่ด้วย ๒.๔ ข้อเสนอของ สทท. เรื่อง ขอให้สนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินโครงการ “นำช้างคืนถิ่น” และ “คชอาณาจักร” ขอให้พัฒนาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมในเขตอำเภอวังน้ำเขียวให้เป็นสวนพฤกษศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน และขอให้ส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวเชื่อมโยงอีสานใต้กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ประชุมมีมติ ๒.๔.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อน การอนุรักษ์ช้างและอาชีพควาญช้าง โดยบูรณาการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน มูลนิธิ และองค์กรการกุศล เพื่อให้การดูแลอนุรักษ์ช้างเป็นไปอย่างเป็นระบบและสามารถแก้ไขปัญหาช้างได้อย่างยั่งยืน ๒.๔.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาบูรณาการพัฒนาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมในเขตอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เพื่อใช้ประโยชน์จากพื้นที่โดยเน้นการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยไม่กระทบต่อพื้นที่ปาสงวน ๒.๔.๓ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอเรื่องการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงอีสานใต้กับประเทศเพื่อนบ้านไปผนวกไว้ในแผนการเชื่อมโยงระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากความตกลงที่ไทยได้จัดทำร่วมกับกัมพูชา สปป.ลาว และเวียดนาม เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง คมนาคม และการท่องเที่ยวระหว่างกัน ๒.๔.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพิจารณาความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้าน และการบังคับใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการนำเที่ยวในประเทศสำหรับบริษัทนำเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้าน และนำเสนอผลการดำเนินการต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.๕ ข้อเสนอของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้ฝ่ายเลขานุการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานมารายงานให้ทราบเป็นระยะ ๒.๖ เรื่องอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม ๒.๖.๑ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ผลการประชุม 3rd Asian Business Summit (ABS) ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.๖.๒ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การส่งเสริมการค้าชายแดน โดยการยกระดับจุดผ่อนปรนเป็นด่านถาวร ที่ประชุมีมติรับทราบและให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยติดตามรายงานความก้าวหน้าการยกระดับจุดผ่านแดนให้คณะรัฐมนตรีรับทราบต่อไป ๒.๖.๓ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง โครงการปรับปรุงพื้นที่ด่านชายแดนช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดสุรินทร์ รับไปพิจารณาในรายละเอียดของข้อเสนอต่อไป ๒.๖.๔ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การเร่งรัดจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ประสานสำนักงบประมาณ รับไปพิจารณาในรายละเอียดการขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา และการจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา) ๒.๖.๕ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ข้อเสนอโครงการจัดตั้ง Northeastern Food Valley จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๙๔๗,๔๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี (ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษารายละเอียดโครงการ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อศึกษาความเหมาะสมในการกำหนดเขตพื้นที่ดำเนินการในภาพรวมทั้งประเทศ โดยคำนึงถึงการเพิ่มมูลค่าของผลิตผลการเกษตรด้วย ๒.๖.๖ ข้อเสนอของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เรื่อง โครงการให้ความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาให้การสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||
| 598 | ขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและขออนุมัติก่อสร้างโครงการเร่งรัดขยายทางสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) สายพิษณุโลก - หล่มสัก ภายใต้โครงการเงินกู้ ADB | คค | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้กรมทางหลวงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการก่อสร้างทางสาย ๑๒ พิษณุโลก - หล่มสัก ตอน ๑ และตอน ๒ และเห็นชอบความเหมาะสมของราคาค่าก่อสร้าง จำนวน ๒ รายการดังกล่าว ในวงเงิน ๓,๓๐๑,๖๐๕,๓๑๖ บาท เป็นค่าใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จำนวน ๑,๗๐๖,๖๒๖,๙๐๒.๔๗ บาท และเงินนอกงบประมาณ (เงินกู้ ADB) จำนวน ๑,๕๙๔,๙๗๘,๔๑๓.๕๓ บาท โดยใช้จ่าย ดังนี้ ๑.๑ รายการก่อสร้างทางสายพิษณุโลก - หล่มสัก ตอน ๑ (Package A) วงเงิน ๖๑๗,๘๐๐,๐๐๐ บาท จำแนกเป็นค่าใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จำนวน ๓๑๙,๓๔๕,๘๙๓.๗๒ บาท และเงินนอกงบประมาณ (เงินกู้ ADB) จำนวน ๒๙๘,๔๕๔,๑๐๖.๒๘ บาท โดยในส่วนของเงินงบประมาณให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับจัดสรรแล้ว จำนวน ๓๒,๙๓๘,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๒๘๖,๔๐๗,๘๙๓.๗๒ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ โดยให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับเพื่อให้ครบค่างาน ๑.๒ รายการก่อสร้างทางสายพิษณุโลก - หล่มสัก ตอน ๒ (Package B-E) วงเงิน ๒,๖๘๓,๘๐๕,๓๑๖ บาท จำแนกเป็นค่าใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จำนวน ๑,๓๘๗,๒๘๑,๐๐๘.๗๕ บาท และเงินนอกงบประมาณ (เงินกู้ ADB) จำนวน ๑,๒๙๖,๕๒๔,๓๐๗.๒๕ บาท โดยในส่วนของเงินงบประมาณให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่อยู่ระหว่างขอขยายเวลากันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๒๐๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๙๖,๓๓๓,๐๐๐ บาท ที่ได้รับจัดสรรแล้ว ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๑,๐๘๖,๙๔๘,๐๘๘.๗๕ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่จะต้องได้รับอนุญาตใช้พื้นที่จากคณะรัฐมนตรีตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เช่น การใช้พื้นที่ลุ่มแม่น้ำชั้นที่ ๑ เอ การใช้พื้นที่ป่าชายเลน เป็นต้น เร่งดำเนินการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนเสนอโครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 599 | ขออนุมัติก่อสร้างโครงการเร่งรัดขยายทางสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงสาย 359 อำเภอพนมสารคาม - สระแก้ว จังหวัดสระแก้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดปราจีนบุรี ภายใต้โครงการเงินกู้ ADB | คค | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมทางหลวงเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าก่อสร้างทางหลวงสาย ๓๕๙ อำเภอพนมสารคาม - สระแก้ว จังหวัดสระแก้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดปราจีนบุรี รวม ๓ ตอน จากวงเงินเดิม ๙๖๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔ เป็นวงเงิน ๑,๒๓๒,๗๙๔,๓๓๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๗ จำแนกเป็นใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จำนวน ๖๓๗,๒๔๑,๕๑๓.๕๘ บาท และเงินนอกงบประมาณ (เงินกู้ ADB) จำนวน ๕๙๕,๕๕๒,๘๑๖.๔๒ บาท โดยในส่วนของเงินงบประมาณให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับจัดสรรแล้ว จำนวน ๔๖,๐๔๒,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๕๙๑,๑๙๙,๕๑๓.๕๘ บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและกรมทางหลวงรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการเร่งรัดขยายสายทางหลัก ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ระยะทาง ๔๓๓ กิโลเมตร เพื่อให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และให้กระทรวงคมนาคมติดตามและรายงานผลการดำเนินงานโครงการฯ ให้คณะรัฐมนตรีทราบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 600 | การป้องกัน ควบคุมโรค มือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงในเด็ก | สธ | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการระบาด การป้องกัน ควบคุมโรค มือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงในเด็ก และให้กระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการระบาดของโรค มือ เท้า ปาก ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การระบาดของโรค มือ เท้า ปาก ในเด็ก จากเชื้อไวรัสเอนเทอโร ๗๑ (Enterovirus 71) ที่มีอาการรุนแรง ในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ของประเทศกัมพูชา โดยตั้งแต่เดือนเมษายน ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ พบผู้ป่วยเด็กทั้งสิ้น ๖๑ ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต ๕๔ ราย โดยอายุของผู้ป่วยอยู่ในช่วง ๓ เดือน ถึง ๑๑ ปี และส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กอายุน้อยกว่า ๓ ปี ซึ่งทางการกัมพูชาได้มีมาตรการเฝ้าระวังโรค ป้องกัน โดยเน้นสุขอนามัยและการดูแลเด็กเล็ก สำหรับสถานการณ์ของโรคมือ เท้า ปาก ในประเทศไทย จากข้อมูลการเฝ้าระวังของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม - ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ พบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ทั่วประเทศรวม ๑๒,๕๘๑ ราย อัตราป่วย ๑๙.๘ ต่อประชากรแสนคน ยังไม่พบผู้เสียชีวิต ในขณะนี้พบผู้ป่วยยืนยันที่มีอาการรุนแรง จำนวน ๑ ราย ในจังหวัดน่าน และยังมีผู้ป่วยอาการรุนแรงที่กำลังรอผลการตรวจยืนยันโรคอีกหลายราย ๑.๒ โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอนเทอโร ซึ่งมีหลายชนิด โดยทั่วไปมีอาการไม่รุนแรง ผู้ป่วยมีไข้ต่ำ ๆ เกิดตุ่มพอง และแผลเล็ก ๆ ในปาก คอ มีตุ่มที่มือ เท้า และบริเวณก้น แต่เชื้อไวรัสบางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น อาการทางระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท สมองอักเสบหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โรคนี้ติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรงกับน้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ หรือตุ่มพองและแผลของผู้ป่วย รวมทั้งการติดต่อทางน้ำหรืออาหาร เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของโรคในวงกว้าง และการเสียชีวิตของผู้ป่วย กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ดำเนินมาตรการป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ได้แก่ การเร่งรัดมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคมือ เท้า ปาก การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เรื่องโรคมือ เท้า ปาก แก่ประชาชน โดยเน้นการรักษาสุขอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ หากมีผู้ป่วยสงสัยมือ เท้า ปากที่มีไข้สูง ซึม ชัก หายใจหอบเหนื่อย ให้รีบพาไปพบแพทย์ และให้จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากกว่า ๑๐ รายต่อวัน เปิดศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัด (War room) รวมทั้งให้ทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ในการร่วมเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการระบาดของโรคมือ เท้า ปาก ในศูนย์เด็กเล็ก สถานรับเลี้ยงเด็ก สถานศึกษา และชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเน้นสุขอนามัย และการทำความสะอาดในโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถมศึกษาทั่วประเทศ ตลอดจนให้คำแนะนำผู้เดินทางไป - กลับจากประเทศที่มีการระบาดของโรคปฏิบัติตามสุขอนามัยที่ดี ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคให้ชัดเจน และเผยแพร่ให้ผู้ปกครองเด็กและสาธารณชนได้ทราบโดยทั่วกันโดยด่วน |
|||||||||||||||||||||
.....
