ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 23 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 441 - 460 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 441 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (๑ ช่องทาง) รวมทั้งสิ้น ๕๖,๘๔๒ ครั้ง จำนวน ๓๖,๓๙๗ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ ปัญหาหนี้สินนอกระบบ แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน และการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย ตามลำดับ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีพิจารณากำหนดมาตรการที่ชัดเจนในการเร่งรัดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว แล้วเสนอมาตรการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบ รวมทั้งประสานกับกระทรวงการคลังเพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์เกี่ยวกับหนี้สินนอกระบบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 442 | รายงานของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรายงานของคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาศึกษาเรื่อง หลักประกันความมั่นคงด้านรายได้เพื่อการยังชีพของผู้สูงอายุ : การเร่งรัด การดำเนินงานตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และด้อยโอกาส สภาปฏิรูปแห่งชาติ | สว | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางในการบังคับใช้พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงานรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลังฯ และคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรีฯ ได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วันนับแต่งวันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 443 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย | กต | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๗ ที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเมื่อวันที่ ๒๗-๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามผลการหารือดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดียแจ้งว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริที่จะเสด็จฯ เยือนอินเดียในปี ๒๕๕๙ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดียยืนยันคำเชิญของนายกรัฐมนตรีอินเดีย เชิญนายกรัฐมนตรีเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี ๒๕๕๙ ๑.๒ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การเร่งรัดเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรี ไทย-อินเดีย ให้บรรลุผลโดยเร็ว การพิจารณาข้อเสนอของอินเดียเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงด้านศุลกากร การแก้ไขปัญหาประเด็นด้านการค้าที่ยังคั่งค้างระหว่างกัน การสนับสนุนโครงการ Make In India และ Smart Cities รวมทั้งสนับสนุนแผนการของอินเดียที่จะจัดนิทรรศการของทั้งสองโครงการในไทย การจัดการประชุมสภาธุรกิจไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๑ การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับระบบประกันสังคมระหว่างกัน และการจัดทำความตกลงประกันสังคม ๑.๓ ความร่วมมือด้านกลาโหมและความมั่นคง ได้แก่ ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Thailand-India Defence Dialogue ครั้งที่ ๔ ในช่วงปลายปี ๒๕๕๘ การเยือนอินเดียของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม การเข้าร่วมการฝึก Cobra Gold 2016 ในสถานะ Observer Plus ของอินเดีย และการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจด้านความมั่นคง ๒ คณะ ได้แก่ (๑) ด้านกฎหมายและกิจการยุติธรรม และ (๒) ความร่วมมือทางทะเล รวมทั้งการจัดทำความตกลงว่าด้วยความช่วยเหลือกันทางคดีแพ่งและพาณิชย์ให้แล้วเสร็จในโอกาสแรก และการเร่งรัดจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติดระหว่างกัน ๑.๔ ความร่วมมือด้านความเชื่อมโยง ได้แก่ การศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงกับชายฝั่งภาคตะวันออกของอินเดีย การจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงระหว่างกัน การก่อสร้างถนนสามฝ่าย ไทย-เมียนมา-อินเดีย การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมโครงการถนนสามฝ่ายในระดับรัฐมนตรีของอินเดีย รวมทั้งการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและโครงการ ๆ ที่เกี่ยวข้องในเมียนมา และการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายที่อินเดียในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๘ ๑.๕ ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ การตอบรับข้อเสนอของอินเดียที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๔ ที่กรุงนิวเดลี และการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๖ ความร่วมมือด้านการศึกษา ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของไทยกับ India Institutes of Technology และการตอบรับข้อเสนอของอินเดียที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงานร่วมด้านการศึกษาไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๒ ๑.๗ ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ได้แก่ การตอบรับข้อเสนอของอินเดียที่จะขยายระยะเวลาดำเนินโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ระหว่างปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ๑.๘ ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและบริการเดินอากาศ ได้แก่ อินเดียตกลงที่จะพิจารณาข้อเสนอของไทยในการจัดทำแผนปฏิบัติการราย ๒ ปี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน แทนการจัดทำความตกลงฉบับใหม่ และรับที่จะพิจารณาคำขอให้สายการบิน Thai Smile เป็นสายการบินแห่งชาติของไทยอีกสายการบินหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้ความตกลงด้านบริการเดินอากาศและสามารถมีเที่ยวบินระหว่างประเทศไทยกับเมืองหลัก และเมืองรอง ระดับ ๒ (Tier II) ของอินเดีย รวมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการเปิดเส้นทางบินระหว่างกรุงเทพฯ-เมืองกุวาฮาติ รัฐอัสสัม+๑ และการจัดทำความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศ ไทย-อินเดีย ฉบับปรับปรุงใหม่ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๙ ความร่วมมือด้านการกงสุลและการตรวจลงตรา ได้แก่ การจัดการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจด้านกงสุล ไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๕ ในโอกาสแรก ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรขยายความร่วมมือไปยังบริษัทอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่ตั้งอยู่ในเมืองเทคโนโลยีสารสนเทศของอินเดีย และเห็นควรเพิ่มเติมกิจกรรมในความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงในการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๘ รวมทั้งเพิ่มเติมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือด้านการเชื่อมโยง ได้แก่ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ในอนาคตหากการเชื่อมโยงถนนสามฝ่าย ไทย-เมียนมา-อินเดีย เกิดขึ้นได้เป็นรูปธรรม ควรมีการพิจารณาความเชื่อมโยงทางด้านกฎระเบียบ (Software connectivity) เพื่อการอำนวยความสะดวกในการขนส่งคนและสินค้าผ่านแดนโดยใช้ประโยชน์เส้นทางถนนดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 444 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ 3/2558 | นร11 | 07/07/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ โดยที่ประชุมรับทราบ (๑) แนวทางการดำเนินการตามนโยบายแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ (๒) ความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์คณะรักษาความสงบแห่งชาติชุดต่าง ๆ (๓) รายงานความคืบหน้าการปรับปรุงกฎหมายที่สำคัญของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และ (๔) รายงานความคืบหน้าผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ของสำนักงบประมาณ รวมทั้งมีมติและข้อสั่งการ ดังนี้ ๑.๑ มอบหมายคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (กขย.) ประสานความร่วมมือกับสภาเกษตรกรแห่งชาติในการตรวจสอบพื้นที่ปลูกยางพารา เพื่อให้มีการดูแลกรณีเป็นเกษตรกรที่มีรายได้น้อยให้มีความชัดเจน และประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการเรือประมงในการเร่งรัดการขึ้นทะเบียนเรือประมงให้ครบถ้วน ๑.๒ มอบหมายสภาเกษตรกรแห่งชาติพิจารณาแนวทางกลไกดูแลราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ ๆ นอกเหนือจากยางพารา เช่น มันสำปะหลัง และมาตรการรองรับผลผลิตลองกองที่จะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม โดยดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ขอความร่วมมือจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการประสานความร่วมมือกับภาครัฐในการขับเคลื่อนมาตรการและนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล เช่น การจัดตลาดสินค้าเกษตร และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ๑.๔ มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) พิจารณาแนวทางลดภาษีมูลค่าเพิ่มเครื่องจักรกลทางการเกษตร ๑.๕ มอบหมายเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและเลขานุการคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์คณะรักษาความสงบแห่งชาติชุดต่าง ๆ จัดทำแนวทางขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล และประเด็นปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ เพื่อกำหนดภารกิจของคณะกรรมการแต่ละชุดให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นและลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ ๒. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานเพิ่มเติมว่า ตามที่ กขน. ได้มอบหมายให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดทำแนวทางขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและประเด็นปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ นั้น สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ดำเนินการจัดทำร่างยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปีเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี) รับทราบแนวทางการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอแล้ว ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) และกระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นว่าหากจะมีการพิจารณาแนวทางการลดภาษีมูลค่าเพิ่มเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อทำให้ราคาของเครื่องจักรกลการเกษตรถูกลง และเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรไทยให้สามารถจัดซื้อเป็นของตนเองได้ ก็ควรพิจารณาให้กับเครื่องจักรกลการเกษตรที่ผลิตจากกิจการคนไทยเป็นทางเลือกแรก ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากมาตรการดังกล่าวอย่างบูรณาการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 445 | การเร่งรัดพิจารณายืนยันร่างกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 30/06/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทุกกระทรวงเร่งรัดพิจารณายืนยันร่างกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยเฉพาะร่างกฎหมายที่ลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การสร้างความเป็นธรรม หรือการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 446 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก (East - West Economic Corridor : EWEC) ครั้งที่ 3 | กต | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC) ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๙-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงเทพมหานคร และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การพัฒนาความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ (๑) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ในส่วนเพิ่มเติมหรือต้องการปรับปรุง และ (๒) การพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดการกองทุนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการบำรุงรักษาและซ่อมแซมถนน ๑.๒ การส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านกฎระเบียบ ได้แก่ (๑) การบังคับใช้บทเพิ่มเติมของบันทึกความเข้าใจระหว่าง สปป.ลาว ไทย และเวียดนาม (๒) การบังคับใช้การตรวจปล่อยจุดเดียวที่จุดผ่านแดนสะหวันนะเขต-มุกดาหาร (๓) การผนวกเส้นทางตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ในเมียนมาเข้าไปในบันทึกความเข้าใจระหว่าง สปป.ลาว ไทย และเวียดนาม (๔) การจัดตั้งเส้นทางรถโดยสารประจำทางระหว่างไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม และศึกษาความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกับเมียนมา (๕) การเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะทำงานสามฝ่าย ไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม เพื่อหารือและผลักดันความเชื่อมโยงด้านกฎระเบียบในการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดน (๖) การส่งเสริมให้ธนาคารพัฒนาเอเชียสนับสนุนการพัฒนาเมืองในบริเวณชายแดนและตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก และเส้นทางต่อขยาย (๗) การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของธนาคารพัฒนาเอเชีย หุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาและภาคเอกชนในการพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (๘) การสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับภาคเอกชนและ/หรือหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาจัดหลักสูตร การฝึกอบรมสำหรับบุคลากรด้านศุลกากร การตรวจคนเข้าเมือง และการกักกัน และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ และ (๙) การส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก เพื่อส่งเสริมให้เป็นแนวพื้นที่เศรษฐกิจอย่างแท้จริง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับภาคเอกชนและ/หรือหุ้นส่วน เพื่อการพัฒนาจัดหลักสูตรการฝึกอบรมสำหรับบุคลากรด้านศุลกากร การตรวจคนเข้าเมืองและการกักกัน และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ โดยเพิ่มกระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งการพัฒนาความเชื่อมโยงทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและการส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านกฎระเบียบให้มีความสอดคล้องกัน ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการใช้โครงสร้างพื้นฐานตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (เมียนมา-ไทย-ลาว-เวียดนาม) โดยจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจโดยรวมของภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และการเร่งรัดการสร้างโครงข่ายเชื่อมโยงข้อมูลระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจปล่อยสินค้า ณ บริเวณด่านศุลกากรจังหวัดมุดาหาร-สะหวันนะเขต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรเร่งผลักดันการผนวกเส้นทาง R12 เข้าไว้ในความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion Cross-Border Transport Agreement : GMS CBTA) โดยเร็วเพื่อขยายโอกาสในการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนให้มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 447 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเร่งรัด ติดตามเกี่ยวกับกรณีเงินขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร01 | 09/06/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเร่งรัด ติดตามเกี่ยวกับกรณีเงินขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการเรียกให้เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมส่งมอบเอกสารหลักฐาน และให้หน่วยงานที่มีกรณีเงินขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต รายงานผลการดำเนินการทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่องทุกระยะสี่เดือน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 448 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างชิ้นงานนิทรรศการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าพร้อมติดตั้ง | วท | 09/06/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างชิ้นงานนิทรรศการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าพร้อมติดตั้ง วงเงิน ๑,๐๖๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ โดยให้เบิกจ่ายค่างานก่อสร้างจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๑๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี ส่วนที่เหลือ จำนวน ๘๔๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป เพื่อให้ครบวงเงินค่างานตามสัญญาต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรดำเนินการเร่งรัด ติดตามการดำเนินโครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและไม่เป็นภาระกับงบประมาณภาครัฐในอนาคต และให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อความโปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการเป็นสำคัญ ตลอดจนกำกับดูแลให้เป็นไปตามการออกแบบและการใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีการดำเนินโครงการอื่น ๆ ในระยะต่อไป ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการต่อรองราคาให้ต่ำกว่าวงเงินที่ได้รับอนุมัติไว้ให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ |
||||||||||||||||||||||||
| 449 | รายงานของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร กรณีศึกษา : โครงการการจัดเก็บภาษีจากข้อมูลทอดแรก (Primary Information Approach : PIA) และโครงการการจัดเก็บภาษีด้วยระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e - Tax Invoice) | สว | 09/06/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตและข้อเสนอแนะตามรายงานของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจการเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีของสรรพากร กรณีศึกษา : โครงการการจัดเก็บภาษีจากข้อมูลทอดแรก (Primary Information Approach : PIA) และโครงการจัดเก็บภาษีด้วยระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) โดยมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะให้กรมสรรพากรดำเนิน ได้แก่ ควรพิจารณาวางแผนดำเนินการในภาพรวมแบบบูรณาการทั้งระบบ ควรศึกษาถึงความเป็นไปได้และนำข้อที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ของระบบการจัดเก็บภาษีจากข้อมูลทอดแรก (Primary Information Approach : PIA) มาปรับใช้กับระบบใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ควรหามาตรการจูงใจเพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) เพิ่มมากขึ้น การเร่งรัดการดำเนินโครงการระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และควรประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนและผู้ประกอบการได้รับทราบและมีความเข้าใจในระบบต่าง ๆ ที่ดำเนินการอยู่ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังกล่าวได้หรือไม่ประการใดก่อน แล้วแจ้งผลการดำเนินการให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 450 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสที่หนึ่งของปี 2558 | นร11 | 09/06/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสที่หนึ่งของปี ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การจ้างงานลดลง อัตราการว่างงานต่ำ รายได้ยังเพิ่มขึ้น (๒) การก่อหนี้สินครัวเรือนชะลอตัวลงต่อเนื่อง การผิดนัดชำระหนี้ทั้งสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค สินเชื่อภายใต้การกำกับ และบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น (๓) ผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลง แต่ต้องเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออก และการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ (๔) ความสุขของคนไทยเริ่มดีขึ้นสอดคล้องกับดัชนีความสุขโลก (๕) การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นลดลงแต่ยังอยู่ในระดับสูง และพบการตั้งครรภ์ซ้ำเพิ่มขึ้น (๖) ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้น และยังต้องเฝ้าระวังการเข้าถึงบุหรี่ของเยาวชน (๗) คนไทยมีพฤติกรรมการอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น (๘) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินโดยรวมดีขึ้น โดยยังคงต้องให้ความสำคัญในการปราบปรามการค้ายาเสพติดอย่างต่อเนื่อง (๙) การสร้างพฤติกรรมความมีน้ำใจและบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดเพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจรทางบก (๑๐) การจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของเด็กไทยอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี และ (๑๑) ความมุ่งมั่นของไทยในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยดำเนินการภายใต้หลักการ 5P (Policy, Prosecution, Protection, Prevention and Partnership and international Cooperation) อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ๑.๒ บทความพิเศษเรื่อง “อาชีวะทวิภาคี : พลังร่วมสร้างกำลังคนคุณภาพ” มีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีระหว่างสถานศึกษา (ผู้ผลิต) และสถานประกอบการ (ผู้ใช้แรงงาน) มุ่งเน้นพัฒนากำลังคนระดับกลางให้มีคุณภาพ มีการเรียนรู้คู่การทำงาน เพื่อนำไปสู่การยกระดับสมรรถนะให้ตรงกับความต้องการ สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ และข้อจำกัดในการจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ๑.๓ ประเด็นสังคมที่ต้องเฝ้าระวังในระยะต่อไป ได้แก่ คุณภาพชีวิตแรงงานอันเนื่องมาจากปัจจัยผลกระทบต่าง ๆ การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาหนี้สิน การป้องกันการสูบบุหรี่ของเยาวชน การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ การป้องกันเด็กจมน้ำ รวมทั้งปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จและแนวทางในการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ต้องการสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนคลายความตื่นตระหนกและใช้จ่ายเงินตามปกติตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 451 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รวมทั้งขอรับสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนเพิ่มเติม ค่าก่อสร้างอาคาร ศูนย์รักษาพยาบาลรวมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า 150 ปี ระยะที่ 2 | สกช | 02/06/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติการดำเนินการก่อสร้างอาคารศูนย์รักษาพยาบาลรวมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ๑๕๐ ปี ระยะที่ ๒ ตามที่สภากาชาดไทยเสนอ ในประเด็นดังต่อไปนี้ ๑.๑ อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากวงเงิน ๓,๙๗๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๕,๔๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท (เงินงบประมาณ จำนวน ๔,๓๖๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท+เงินนอกงบประมาณ จำนวน ๑,๐๙๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท) ๑.๒ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๓ ๒. ให้สภากาชาดไทยส่งรายละเอียดแบบรูปรายการสิ่งก่อสร้างรวมทั้งราคากลางให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของราคาควบคู่ไปกับการดำเนินการตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ และเสนอผลการจัดซื้อจัดจ้างให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ตลอดจนดำเนินการก่อสร้างและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้สภากาชาดไทยรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการพิจารณาในรายละเอียดว่า การดำเนินการดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างไร จึงต้องมีการปรับวงเงินเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จากที่ได้รับอนุมัติ โดยให้มีการเปรียบเทียบให้ชัดเจนว่า สิ่งที่เพิ่มขึ้นมีประโยชน์และเกิดความคุ้มค่า หรือไม่อย่างไร ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 452 | ความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน | กต | 02/06/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนำแนวทาง/ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยแนวทาง/ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวม การดำเนินการของทั้งสามเสาประกอบด้วย เสาการเมืองและความมั่นคง เสาเศรษฐกิจ และเสาสังคมและวัฒนธรรม ควรมีการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยควรมีการตั้งเป้าหมาย/วิสัยทัศน์ล่วงหน้า ๑๐ ปี โดยมีการวางแผนระยะ ๕ ปี และ ๑๐ ปี โดยอาจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินงานรายไตรมาส นอกจากนี้ ส่วนราชการควรคำนึงถึงการผลักดันประเด็นสำคัญต่าง ๆ ในกรอบอาเซียนด้วย และดำเนินการโดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนอย่างรอบด้าน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการบูรณาการและมีการดำเนินงานในลักษณะครบวงจร โดยมีการกำหนดเจ้าภาพหลัก หน่วยงานรอง หน่วยงานเสริม ที่ชัดเจน มีการวิเคราะห์ วิกฤต โอกาส ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของไทยและอาเซียน ๒. เสาการเมืองและความมั่นคง การบริหารจัดการชายแดนและจุดผ่านแดน หน่วยงานต่าง ๆ จะต้องดำเนินงานอย่างบูรณาการ และอาจพิจารณาให้ศูนย์อาเซียนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีภารกิจครอบคลุมประเด็นอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ และอื่น ๆ เพิ่มเติม รวมทั้งให้มีการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับปัญหาแรงงานต่างด้าว โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ อาจพิจารณาแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ไทยต้องรับภาระในเรื่องการให้การศึกษาและการรักษาพยาบาลแก่แรงงานต่างชาติบริเวณชายแดน ๓. เสาเศรษฐกิจ เห็นชอบให้ผลักดันประเด็น “ASEAN Access” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ และผลักดันประเด็นต่าง ๆ ในกรอบอาเซียนอย่างต่อเนื่อง เช่น การให้ความสำคัญกับภาคเกษตร การพัฒนาตราสินค้าอาเซียน การส่งเสริม SMEs การส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติ การให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาด การแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า นอกจากนี้ ควรสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาร่วมกันในอาเซียน และการสร้างเครือข่ายของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้มีการดำเนินงานอย่างเป็นหุ้นส่วนกันและไม่แข่งขันกันเอง โดยเฉพาะผลผลิตด้านการเกษตร อาทิ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน รวมทั้งเร่งรัดกระบวนการตรวจสอบ/รับรองมาตรฐานสินค้าไทยให้สามารถส่งไปขายยังต่างประเทศได้ ๔. เสาสังคมและวัฒนธรรม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแก้ไขปัญหาราคายาและค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นมาก ซึ่งทำให้ประเทศไทยสูญเสียการเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ โดยอาจพิจารณาหาแนวทางในการควบคุมและมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่ชัดเจน ๕. ด้านกฎหมาย ให้มีการเร่งรัดจัดทำข้อมูลกฎหมายที่ต้องดำเนินการตามพันธกรณีและเพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศไทย โดยให้ฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ ทั้งสามเสาติดตามข้อมูลกฎหมายจากหน่วยงานต่าง ๆ จัดส่งให้คณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนต่อไป และให้รัฐมนตรีว่าการทุกกระทรวงแจ้งยืนยันข้อมูลกฎหมายของหน่วยงานของตนไปยังคณะทำงานฯ ด้วย ๖. ด้านประชาสัมพันธ์ ควรมีโครงสร้างการประชาสัมพันธ์ที่เน้น ๓ ประเด็น ได้แก่ การสร้างความรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน ผลกระทบจากการเข้าสู่ประชาคมที่ควรเตรียมพร้อมรับมือและโอกาสที่ประชาชนจะได้รับจากอาเซียน และควรสร้างความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับประเทศไทยกับอาเซียน และอาเซียนในบริบทของประชาคมโลก |
||||||||||||||||||||||||
| 453 | ขออนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดแผนงาน/โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ 2558 (เพิ่มเติม) | สลธ.คสช. | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่ประธานกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เปลี่ยนแปลงรายการจากเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ แผนงาน/โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (เพิ่มเติม) ส่วนที่ใช้งบกลาง ซึ่งได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการจากเดิม จำนวน ๒๒๔ รายการ โดยสรุปจำนวนโครงการยังคงเดิม จำนวน ๑,๘๓๘ รายการและกรอบงบประมาณทั้งหมดไม่เปลี่ยนแปลง ๑.๒ เปลี่ยนแปลงรายการจากเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ แผนงาน/โครงการ ตามโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน ซึ่งได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการจากเดิม มีจำนวน ๑,๒๐๐ รายการ เปลี่ยนเป็นมีจำนวนโครงการทั้งหมด ๑,๒๙๗ รายการ โดยกรอบงบประมาณทั้งหมดไม่เปลี่ยนแปลง ๒. ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดการดำเนินการขอรับจัดสรรวงเงินกู้จากสำนักงบประมาณเพื่อจะได้ดำเนินโครงการและเบิกจ่ายเงินกู้ให้เป็นไปตามแผน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดและปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งขั้นตอนตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน นอกจากนี้ ควรมีการศึกษาผลกระทบและความเหมาะสมของพื้นที่โครงการใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประโยชน์ที่จะได้รับจากแผนงาน/โครงการ และเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 454 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2558 ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงหมายเลข 12 สายตาก - อำเภอแม่สอด ตอน 3 ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 (รวมบริเวณดอยลวก) | คค | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการโครงการเร่งรัดการขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๒ สายตาก-อำเภอแม่สอด ตอน ๓ จังหวัดตาก ส่วนที่ ๑ (รวมบริเวณดอยลวก) ในวงเงิน ๗๐๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่ ๒ (รวมบริเวณดอยลวก) ในวงเงิน ๖๙๐,๕๐๐,๐๐๐ บาท รวมวงเงินทั้งสิ้น ๑,๓๙๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 455 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนภาคธุรกิจ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้การสนับสนุนภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ในการผลิตสินค้าไทยที่มีคุณภาพสำหรับนำไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้าน และผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและราคาประหยัดสำหรับคนไทย รวมทั้งสนับสนุน SMEs ให้มีความเข้มแข็งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกันกำหนดแนวทางและกลไกเพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดใหญ่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลธุรกิจขนาดเล็ก เช่น กลุ่มธุรกิจช่วยเหลือเรื่องปัจจัยการผลิตและลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกรรายย่อย และการรับซื้อผลผลิตเกษตรกรรายย่อยผ่านการดำเนินธุรกิจการเกษตรแบบมีสัญญา (Contract Farming) โดยเฉพาะในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและพื้นที่ชายแดน ๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเสนอแผนการดำเนินงานการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๙) ตามแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ ๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำข้อมูลสถิติการส่งออกสมุนไพรไทย และการนำเข้าสมุนไพรแปรรูปจากต่างประเทศ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาและแปรรูปสมุนไพรไทยให้เป็นสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงขึ้น รวมทั้งใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนการเพาะปลูกพืชสมุนไพรตามความต้องการของตลาดในอนาคต ๑.๕ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับบัญชีครัวเรือนและสนับสนุนให้ประชาชนจัดทำบัญชีครัวเรือนเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการใช้จ่ายของแต่ละครอบครัวตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นการพึ่งตนเอง รู้จักความพอประมาณ และไม่ประมาท ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาและกระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ และวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการกำหนดหลักสูตรการสอนทุกระดับให้มีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศ และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๒.๒ ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรับบริการสาธารณสุข โดยให้ประชาชนที่สมัครใจมีทางเลือกในการจ่ายเงินเพิ่มเติมเพื่อรับการบริการที่ดีขึ้น เพื่อนำเงินดังกล่าวมาสนับสนุนการให้บริการประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยให้เร่งพิจารณาแนวทางดังกล่าวและนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๓. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๓.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาจัดทำกฎหมายเพื่อกำหนดมาตรการในการดูแลช่วยเหลือ ส่งเสริมและสนับสนุนศิลปินแห่งชาติ ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาออกกฎหมายหรือกฎระเบียบในการกำหนดพื้นที่ก่อสร้างอาคารเพื่อการวางผังเมืองที่เหมาะสม ไม่ให้มีสิ่งก่อสร้างที่ขวางทางน้ำไหลหรือพื้นที่ระบายน้ำตามธรรมชาติ โดยควรออกแบบอาคารที่มีคุณลักษณะเหมาะสมและอิงรูปลักษณ์สถาปัตยกรรมไทย มีรูปทรงที่แสดงประวัติหรือเอกลักษณ์ไทย ๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกันพิจารณาออกกฎหมายหรือระเบียบในการกำหนดสัดส่วนและวัสดุประเภทไม้จริงที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าอีกทางหนึ่ง ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเร่งรัดกำหนดแนวทางรองรับน้ำฝนที่ตกลงมานอกพื้นที่เขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำเพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ และวางแผนการส่งน้ำให้แก่ประชาชนรอบ ๆ แหล่งน้ำให้ได้ใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึง โดยประสานการดำเนินการกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมกับภาครัฐในการขุดแหล่งน้ำของตนเอง และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรรับทราบปริมาณน้ำฝนที่กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งว่าในปีนี้จะมีปริมาณน้อย อาจทำให้การทำเกษตรกรรมนอกเขตชลประทานประสบภาวะขาดแคลนน้ำได้ ๔.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดเตรียมข้อมูลเพื่อเผยแพร่พระอัจฉริยภาพและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เกี่ยวกับงานการพัฒนาดิน ในการประชุมนานาชาติเพื่อกิจกรรมปีดินสากล (International Soil Conference) ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งจัดให้มีการหารือในหัวข้ออื่น ๆ เช่น การอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งน้ำ ผืนป่า ดิน และปุ๋ย เพื่อให้ครอบคลุมทุกปัจจัยในการเพาะปลูก ๔.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการเพื่อใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำระหว่างประเทศ เช่น แม่น้ำสาละวิน โดยเตรียมกำหนดเส้นทางการส่งน้ำจากแหล่งน้ำระหว่างประเทศดังกล่าวไปยังแหล่งกักเก็บน้ำภายในประเทศ รวมทั้งจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ เช่น พื้นที่ที่สามารถใช้น้ำ ระยะเวลาในการใช้น้ำ เป็นต้น และให้นำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ทราบด้วย ๔.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับไปดำเนินการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงมหาดไทยหาแนวทางในการพลิกฟื้นผืนป่าบริเวณภูเขาที่ถูกบุกรุกทำลาย (เขาหัวโล้น) โดยให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วม รวมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมดูแลพื้นที่ดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ ๔.๕ ให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations) มากขึ้น โดยเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ (press release) โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานซึ่งประชาชนให้ความสนใจ หรือประเด็นที่สื่อมวลชนนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และส่งข่าวประชาสัมพันธ์ดังกล่าวให้สื่อมวลชนเผยแพร่เป็นประจำทุกวัน ๔.๖ ให้รัฐมนตรีกำกับให้หน่วยงานในความรับผิดชอบมีการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล และ Road Map ของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกระดับในสังกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับประชาชน และให้นำเรื่องความเข้าใจในนโยบายข้างต้นไปใช้เป็นตัวชี้วัดร่วมกับตัวชี้วัดการประเมินประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน โดยนำไปประกอบการพิจารณาแต่งตั้ง โยกย้ายได้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ ๔.๗ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือกรณีข้าราชการพลเรือนที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อันตราย ว่าสมควรจะให้ได้รับสิทธิเช่นเดียวกับข้าราชการตำรวจ/ทหาร อย่างไร เช่น สิทธิการได้นับเวลาราชการเป็นทวีคูณ สิทธิเกี่ยวกับการได้รับเงินเพิ่มพิเศษสำหรับการสู้รบ (พ.ส.ร.) เป็นต้น ๔.๘ ให้ทุกหน่วยงานพิจารณาให้การสนับสนุนภาคเอกชนที่เข้าร่วมจัดงานหรือกิจกรรมที่สนับสนุนภารกิจของภาครัฐหรือเป็นการประชาสัมพันธ์ประเทศไทย โดยอาจจะสนับสนุนงบประมาณในการจัดงาน หรือการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ภาคเอกชนให้ความร่วมมือในการดำเนินงานกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||
| 456 | ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 9 ของแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (The Ninth IMT-GT Summit) | นร11 | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๙ ของแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (The Ninth IMT-GT Summit) เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติลังกาวี เกาะลังกาวี รัฐเกดะห์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยเข้าร่วมการประชุม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีประจำแผนงาน IMT-GT ของไทย และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการแผนงาน IMT-GT ระหว่างปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ตามที่รัฐมนตรีกระทรวงประสานกิจการเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย (นายซอฟยาน เอ จาลิล) ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ารัฐมนตรีประจำแผนงาน IMT-GT เสนอความก้าวหน้าที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการขนส่งที่สำคัญ การพัฒนาเมืองสีเขียว ด้านผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร ด้านการท่องเที่ยว ด้านการค้าการลงทุน และด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งข้อเสนอการมอบหมายแนวทางการดำเนินงานในอนาคต ๒. ที่ประชุมรับทราบพร้อมทั้งให้ความเห็นและรับทราบความเห็นจากหุ้นส่วนการพัฒนา ต่อประเด็นความก้าวหน้าการขับเคลื่อนแผนงานระยะห้าปีแผนที่ ๒ (IMT-GT Implementation Blueprint 2012-2016) และทิศทางการขับเคลื่อนแผนงานในอนาคต ๓. ที่ประชุมเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๙ ของแผนงาน IMT-GT (Joint Statement of the Ninth IMT-GT Summit) โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ การทบทวนความก้าวหน้าและการบูรณาการแผนงาน IMT-GT โดยผู้นำต้องเพิ่มแรงสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนงาน IMT-GT ต่อไปในอนาคต ความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนแผนระยะห้าปีแผนที่ ๒ (IMT-GT Implementation Blueprint 2012-2016) การเร่งรัดผลักดันการเติบโตอย่างทั่วถึงและลดความเหลื่อมล้ำเพื่อลดช่องว่างจากการพัฒนา ความร่วมมือระหว่างจังหวัด/รัฐและภาคเอกชนในการปรับใช้มาตรการเพื่อเร่งรัดการดำเนินโครงการลำดับความสำคัญสูงให้ทันตามกำหนดตามแผนระยะห้าปีแผนที่ ๒ ตลอดจนการทบทวนยุทธศาสตร์เพื่อให้แผนงาน IMT-GT มีความต่อเนื่องทางยุทธศาสตร์และการดำเนินงานในอนาคต โดยเฉพาะภายหลังการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี ๒๕๕๘ โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของอนุภูมิภาค และรับทราบการทบทวนระยะกลางของโครงการภายใต้แผนระยะห้าปีแผนที่ ๒ ในครึ่งแรก (๒๕๕๕-๒๕๕๗) โดยมอบหมายให้ศูนย์ประสานงานความร่วมมืออนุภูมิภาคแผนงาน IMT-GT (CIMT) ยกระดับความร่วมมือกับจังหวัด/รัฐและสภาธุรกิจ IMT-GT ในการกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์และการจัดทำโครงการภายใต้แผนงานในอนาคต |
||||||||||||||||||||||||
| 457 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ 2/2558 | นร11 | 07/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๘ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมมีมติและข้อสั่งการ ดังนี้ ๑.๑ มอบหมายรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) และศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ในการสร้างความเข้าใจกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลในระยะที่สองเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม (โดยเฉพาะการสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้ สร้างความเข้มแข็ง และสร้างความเชื่อมโยงกับต่างประเทศ) โดยยึดหลักการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ลดความขัดแย้ง และการดำเนินการตามกรอบกฎหมาย รวมทั้งการสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในเรื่องการบังคับใช้มาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๑.๒ มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) แก้ไขปัญหาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยเร่งขึ้นทะเบียน SMEs ให้ครอบคลุมและครบถ้วนโดยเร็ว และส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้งพิจารณาขยายเพดานวงเงินกู้ให้เหมาะสม โดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็น ๔ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจใหม่ กลุ่มส่งออก กลุ่มที่ต้องการขยายการผลิตในประเทศ และกลุ่มที่ต้องการฟื้นฟูศักยภาพ ๑.๓ มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ร่วมกันเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการเบิกจ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้กระทรวงมหาดไทยสนับสนุนการดำเนินการเพื่อการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑.๔ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสนับสนุนและผลักดันการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ๖ แห่ง (๕+๑) ให้สำเร็จในปีนี้ รวมทั้งดำเนินการให้สิทธิการเช่าพื้นที่การลงทุนสำหรับเอกชนเป็นไปตามพระราชบัญญัติการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๒ (กำหนดเวลาเช่าไม่เกิน ๓๐ ปี แต่ไม่เกิน ๕๐ ปี และสามารถต่อระยะเวลาการเช่าออกไปอีกได้ไม่เกิน ๔๙ ปี) ๑.๕ มอบหมายคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบการรับซื้อยางพาราในโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนเพื่อรักษาเสถียรภาพยางพาราให้มีความเป็นธรรมและทั่วถึง ๑.๖ มอบหมายกระทรวงการคลังตรวจสอบปัญหาความล่าช้าของโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพาราที่ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๒. ในส่วนที่มอบหมายให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบการรับซื้อยางพาราในโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนเพื่อรักษาเสถียรภาพยางพาราให้มีความเป็นธรรมและทั่วถึง นั้น ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐประสานการดำเนินการกับคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (กขย.) เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 458 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 07/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินการเพื่อให้มีการเปิดเที่ยวบินตรง (Direct Flight) จากเมืองสำคัญในประเทศต่าง ๆ มายังประเทศไทยเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสามารถเดินทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทยได้โดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูการท่องเที่ยว ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความพร้อมและขึ้นทะเบียนสหกรณ์การเกษตรต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในการลดต้นทุนการผลิตและการสนับสนุนปัจจัยการผลิตผ่านการดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตรที่มีความพร้อมและมีความเข้มแข็ง รวมทั้งกำหนดแนวทางการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สหกรณ์การเกษตรที่ยังไม่มีความพร้อม ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำหนดรูปแบบและวิธีการในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานด้านกฎหมาย ลำดับชั้นกฎหมาย ความสำคัญของรัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับประเทศไทย และเหตุผลความจำเป็นในการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและพร้อมเข้ามามีส่วนร่วมในสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบกรณีที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในอุทยาน เช่น การทุจริตการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน การเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่อุทยาน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ดำเนินการพิจารณาจัดทำแผนเตรียมการรองรับภัยพิบัติในเมืองใหญ่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุและการจัดการในภาวะฉุกเฉิน โดยให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อจะได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการตามแผนดังกล่าว ทั้งนี้ แผนดังกล่าวควรบรรจุอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไปด้วย ๓.๓ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดแนวทางการรองรับน้ำฝนเพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น การขุดสระรองรับน้ำในบริเวณที่ฝนตกแล้วจัดทำทางส่งน้ำไปยังแหล่งกักเก็บน้ำใกล้เคียง รวมทั้งวางแผนการส่งน้ำให้แก่ประชาชนรอบ ๆ แหล่งน้ำให้ได้ใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึง ๓.๔ โครงการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่จะต้องผ่านการทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งหากการจัดทำรายงานดังกล่าวล่าช้าก็จะทำให้การดำเนินการโครงการต่าง ๆ ล่าช้าออกไป และอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ จึงให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติรับไปพิจารณาแนวทางดำเนินการเร่งรัดขั้นตอนการพิจารณารายงานดังกล่าวให้เร็วขึ้น ๓.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปดำเนินการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยในการจัดโครงการศึกษาดูงานในต่างประเทศสำหรับเกษตรกรระดับรากหญ้าเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาด้านการตลาด การผลิต และการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตให้แก่เกษตรกร เป็นต้น ๓.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกรุงเทพมหานคร และส่วนราชการที่มีพื้นที่สาธารณะปรับปรุงพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มพื้นที่จอดรถสาธารณะในกรุงเทพมหานครให้มีมากขึ้น รวมทั้งให้ปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ของสวนสาธารณะต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร เช่น สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) เป็นต้น ให้เหมาะสมต่อการใช้เป็นสถานที่พักผ่อนและทำกิจกรรมสันทนาการของประชาชนด้วย ๓.๗ ให้กระทรวงกลาโหม (กองทัพบก) เร่งรัดการก่อสร้างหอประชุมกองทัพบกบริเวณสี่เสาเทเวศร์ เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมขนาดใหญ่และศูนย์แสดงสินค้า โดยให้ศึกษารูปแบบและแนวทางการใช้ประโยชน์จากศูนย์การประชุมขนาดใหญ่ของต่างประเทศที่มีความสวยงามและทันสมัย ทั้งนี้ ต้องแสดงถึงเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของไทยด้วย ๓.๘ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการดำเนินการจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้เป็นไปตามเวลาที่กำหนด และในส่วนของการให้บริการของศูนย์บริการด้านธุรกิจ (One Stop Service) และศูนย์ดำรงธรรมจะต้องคำนึงถึงการเชื่อมต่อการทำงานระหว่างกัน รวมทั้งกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาติดต่อราชการด้วย ๓.๙ ในช่วงที่ผ่านมามีผู้ขับขี่รถจักรยานประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนมากขึ้น จึงให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอุบัติเหตุในลักษณะดังกล่าว และให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดช่องทางเดินรถจักรยาน โดยเร่งดำเนินการในพื้นที่ที่เกิดอุบัติเหตุเป็นลำดับแรก และขยายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ต่อไป พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุเช่นนี้อีก
|
||||||||||||||||||||||||
| 459 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส สภาปฏิรูปแห่งชาติ เรื่อง หลักประกันความมั่นคงด้านรายได้เพื่อการยังชีพของผู้สูงอายุ : การเร่งรัดการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติกองทุนการออม แห่งชาติ พ.ศ. 2554 | สผ | 07/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส สภาปฏิรูปแห่งชาติ เรื่อง หลักประกันความมั่นคงด้านรายได้เพื่อการยังชีพของผู้สูงอายุ : การเร่งรัดการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่เห็นควรให้เร่งรัดปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ เนื่องจากการไม่ดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน และกองทุนการออมเพื่อวัยสูงอายุควรอยู่ภายใต้หน่วยงานกำกับดูแลเดียวกันเพื่อให้เกิดเอกภาพในด้านนโยบายและประสิทธิภาพในการกำกับดูแลในภาพรวม ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ ๒. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งมีความเห็นว่า ควรดำเนินการตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ต่อไป และกระทรวงการคลังควรเป็นหน่วยงานที่ดูแลหลักประกันบำนาญของประชาชนซึ่งเป็นภาระผูกพันระยะยาวของภาครัฐ ขณะที่สำนักงานประกันสังคมควรทำหน้าที่ดูแลการจัดสวัสดิการระยะสั้นของแรงงาน และเห็นควรยกเลิกความคุ้มครองประกันสังคมตามมาตรา ๔๐ กรณีบำนาญชราภาพ (ทางเลือกที่ ๓-๕) โดยโอนผู้ประกันตนภายใต้ความคุ้มครองดังกล่าวมาที่กองทุนการออมแห่งชาติตามความสมัครใจ ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ เห็นชอบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ซึ่งอนุมัติหลักการร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของกองทุนการออมแห่งชาติ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๗ ฉบับ
|
||||||||||||||||||||||||
| 460 | ร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2558 - 2560) | พม | 28/04/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐) ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ที่มุ่งส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจเพื่อการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน โดยการรวมพลังของทุกภาคส่วน และ ๕ ยุทธศาสตร์ คือ (๑) การสร้างวัฒนธรรมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ (๒) การสร้างเอกภาพในการบริหารยุทธศาสตร์การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ (๓) การส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนของภาคธุรกิจ (๔) การรวมพลังเพื่อพัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อมและสร้างความมั่นคงของมนุษย์ และ (๕) การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ สู่การปฏิบัติ จะมีการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจขึ้นในอนาคตเพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ป.ป.ช. และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ฯ โดยหน่วยงานของภาครัฐและเอกชนที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยอาจไม่จำเป็นต้องก่อตั้งหน่วยงานใหม่เพิ่มเติม และควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ สู่การปฏิบัติเพื่อให้เกิดความชัดเจน รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจเพื่อใช้ประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ และการจัดทำรายงานสถานการณ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจในประเทศไทย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ในส่วนของการกำหนดกลไกในการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจที่จะจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจแห่งชาติ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ชะลอการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าว โดยพิจารณากลไกอื่นที่มีอยู่เพื่อดำเนินการในเรื่องนี้แทน ๔. การกำหนดมาตรการจูงใจภาคธุรกิจในการปฏิบัติด้านความรับผิดชอบต่อสังคมควรเน้นการให้รางวัลหรือการยกย่องเชิดชูเพื่อเป็นตัวอย่างแก่สังคมมากกว่าการกำหนดมาตรการทางภาษี |
||||||||||||||||||||||||
.....
