ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 27 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 521 - 540 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 521 | การชี้แจงของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) | สลธ.คสช. | 15/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการติดตามและตรวจสอบโครงการของภาครัฐ รวมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ตามที่ประธาน คตร. เสนอ โดย ๑.๑ การดำเนินการของงบลงทุนผูกพันรายการใหม่ของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๒๘ โครงการ ซึ่งให้ดำเนินการต่อไปได้ จำนวน ๒๔ โครงการ และให้พิจารณาทบทวน จำนวน ๔ โครงการ ๑.๑.๑ โครงการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้พิจารณาให้ดำเนินการต่อไปได้ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการเพื่อขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันงบประมาณข้ามปี เพื่อให้สามารถดำเนินงาน/ทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ทุกหน่วยงานเตรียมการให้พร้อมเพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ ๑.๑.๒ โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการปรับแผนโครงการ เช่น การแก้ไขขอบเขตของงาน (TOR) การปรับราคากลาง และการปรับแบบการก่อสร้าง เป็นต้น ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเร่งดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๗ เพื่อนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๑.๑.๓ สำหรับรายการค่าก่อสร้างอาคารและชิ้นงานนิทรรศการศูนย์รวบรวมและถ่ายทอดเทคโนโลยี นวัตกรรมชั้นสูงเพื่อการท่องเที่ยว ขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติซึ่งไม่สามารถดำเนินการเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ มอบหมายให้ คตร. และส่วนราชการเจ้าของโครงการพิจารณาถึงความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในการดำเนินการของโครงการดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ๑.๒ โครงการที่ คตร. เข้าติดตามและได้สรุปผลการตรวจแล้ว จำนวน ๑๐ โครงการ มอบหมายให้ คตร. แจ้งข้อเสนอแนะของ คตร. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อเร่งดำเนินการทบทวน/ปรับปรุงให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะฯ โดยหากมีความจำเป็นต้องเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา ก็ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๑.๓ โครงการที่ คตร. เข้าติดตามและอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๔ โครงการ ๑.๓.๑ มอบหมายให้ คตร. แจ้งข้อเสนอแนะของ คตร. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อเร่งดำเนินการทบทวน/ปรับปรุงให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะฯ ๑.๓.๒ ให้ชะลอการดำเนินโครงการ (๑) กองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๖ (๒) การเบิกค่าเบี้ยประชุมของรัฐสภา (๓) การก่อสร้างอาคารที่พักสวัสดิการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไปพิจารณาทบทวนความเหมาะสมและความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในการดำเนินการของโครงการดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง โดยหากมีความจำเป็นต้องเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา ก็ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๑.๔ โครงการที่ คตร. จะเข้าติดตามและตรวจสอบในห้วงต่อไป จำนวน ๗ โครงการ มอบหมายหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ประจิน จั่นตอง) คณะรักษาความสงบแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ไปดำเนินการพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างอาคาร One Stop Service ณ จังหวัดนครราชสีมา ของกระทรวงอุตสาหกรรม ถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งศูนย์บริการร่วม (One Stop Service) ของส่วนราชการดังกล่าวเพื่อเป็นการลดขั้นตอน บรรเทาความเดือดร้อน และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการติดต่อราชการ และให้พิจารณาถึงความจำเป็นในการจัดตั้งศูนย์บริการร่วม (One Stop Service) ตามภูมิภาคต่าง ๆ ด้วย ๑.๕ รายการหรือโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ แต่ไม่มีรายละเอียดชัดเจน (งบแปรญัตติ) จำนวน ๓๓ โครงการ มอบหมายให้ คตร. ประสานกับฝ่ายต่าง ๆ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดรายการหรือโครงการที่ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน ให้มีความชัดเจน แล้วนำเสนอฝ่ายที่อยู่ในความรับผิดชอบและ คตร. ตามลำดับต่อไป ๒. หากโครงการใดที่ คตร. เข้าติดตามและตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่มีความจำเป็นและ/หรือไม่มีความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการ ก็ให้ยุติการดำเนินโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ สำหรับโครงการที่ได้ตรวจสอบแล้วและอยู่ระหว่างการดำเนินการ หากพบข้อร้องเรียนหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการทุจริต ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับไปติดตามและตรวจสอบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 522 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 02/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ภาพรวม ๑.๑ ให้ส่วนราชการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้เบิกจ่ายหรือให้ก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณนี้ ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินการโครงการลงทุนที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้พิจารณาและเห็นชอบในหลักการให้ดำเนินการต่อไปได้ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเร่งรัดการดำเนินการ เพื่อขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันงบประมาณข้ามปี เพื่อให้สามารถดำเนินงาน/ทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ทุกหน่วยงานเตรียมการให้พร้อมเพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ ๑.๒ ให้ทุกฝ่ายเร่งรัดติดตามส่วนราชการในกำกับให้ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้แล้วเสร็จ และเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ๑.๓ ให้ทุกฝ่ายพิจารณารายการงานสำคัญในเอกสารแนวทางปฏิบัติของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวม ๒๑ รายการ ที่ได้แจกในที่ประชุมไปแล้ว และให้เพิ่มเติมงาน/โครงการสำคัญ รวมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการว่าจะดำเนินการในช่วงเวลาใด กล่าวคือ ระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว แล้วแจ้งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ เพื่อนำมาจัดทำแผนปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๒. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ๒.๑ ให้ส่วนราชการที่มีภารกิจในการเจรจาหรือการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศในเรื่องต่าง ๆ ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑.๑ จัดทำแผนงานการเจรจาหรือจัดทำความตกลงฯ ล่วงหน้าระยะเวลา ๖ เดือน เสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ ๒.๑.๒ ในการขออนุมัติเพื่อไปเจรจาหรือจัดทำความตกลงฯ ให้ส่วนราชการจัดทำบทสรุปวิเคราะห์ สาระสำคัญของประเด็นการเจรจาหรือความตกลงระหว่างประเทศ ท่าทีของไทยในการเจรจา ผลดีและผลเสีย รวมทั้งผลกระทบในการดำเนินการต่อประเทศไทย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา หากคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสังเกตในประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจะได้แจ้งให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบไปดำเนินการต่อไป ๒.๑.๓ กรณีที่การเจรจาหรือการจัดทำความตกลงฯ เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ให้หน่วยงานหลักในการเจรจาหรือจัดทำความตกลงฯ รายงานความคืบหน้าในการหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบด้วย ๒.๒ ให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญและระมัดระวังในการชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับต่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบันโดยเฉพาะในประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้ต่างประเทศ ทั้งในด้านการค้า การลงทุน การอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวในประเทศไทย ๓. เศรษฐกิจระหว่างประเทศ ๓.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการส่งออกสินค้าให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น และให้พิจารณาหาแนวทางการขยายตลาดการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะการส่งออกข้าวไปยังประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น ทวีปแอฟริกา เป็นต้น ๓.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาทบทวนการดำเนินการในงานคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในส่วนของผลงานที่ได้รับการคุ้มครองแล้วว่ามีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ อย่างไร และผลงานที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองว่าควรคุ้มครองในเรื่องใดบ้าง โดยเฉพาะด้านศิลปวัฒนธรรม แล้วกำหนดแนวทางคุ้มครองสิทธิในงานทรัพย์สินทางปัญญาทั้งสองประเภทให้ชัดเจน และนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๔. พลังงาน ให้ฝ่ายเศรษฐกิจพิจารณาหาแนวทางส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานความร้อน พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวภาพ เป็นต้น การใช้พลังงานที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย เช่น ถ่านหินสะอาด เพื่อทดแทนการใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและการส่งเสริมพลังงานทดแทนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๕. กฎหมาย ให้ส่วนราชการเร่งเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน การค้า เศรษฐกิจ หรือเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดินและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายที่จำเป็นต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน โดยเสนอให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมและฝ่ายที่กำกับดูแลพิจารณากลั่นกรองก่อน แล้วจึงเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติภายในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 523 | การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี 2556/2557 | อก | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในอัตราตันละ ๑๖๐ บาท ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ๑.๒ อนุมัติให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงิน (Straight loan) จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามนัยมาตรา ๒๗ (๖) แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อนำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ในอัตราตันอ้อยละ ๑๖๐ บาท โดยให้จ่ายตรงให้กับชาวไร่อ้อยในทุกตันอ้อยที่ส่งเข้าหีบในโรงงานน้ำตาลทรายในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ จากผลผลิตอ้อยทั้งสิ้น ๑๐๓.๗๐ ล้านตัน รวมเป็นเงินประมาณ ๑๖,๕๙๒ ล้านบาท หรือจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายตามปริมาณอ้อยเข้าหีบจริงฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ตามแผนชำระหนี้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๗ เดือน โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยให้ถึงมือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ มีการบันทึกบัญชีให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเป็นลูกหนี้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย และให้มีข้อมูลลูกหนี้แยกเป็นรายให้ชัดเจน อีกทั้งจัดระบบควบคุม ตรวจสอบ และกำกับดูแล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการด้วย ๑.๓ เห็นชอบให้คงการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศกิโลกรัมละ ๕ บาท เพื่อนำไปเป็นรายได้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายสำหรับนำไปชำระหนี้เฉพาะเงินกู้ที่นำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ จนกว่าจะใช้หนี้หมดเท่านั้น ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งในด้านปริมาณผลผลิตต่อไร่และค่าความหวาน การส่งเสริมให้มีการเพิ่มมูลค่าในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายตลอดห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) เพื่อลดภาระการอุดหนุนจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายลง การเพิ่มความสามารถในการพึ่งตนเองของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายอย่างยั่งยืน การควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล และติดตามการใช้เงินจากการจัดเก็บรายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อนำไปชำระหนี้เฉพาะเงินกู้ที่นำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อย การเร่งรัดการทบทวนสูตรการคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อย และการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาลทรายให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและสอดคล้องกับสถานการณ์ประเทศ การเร่งนำผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มาประกอบการพิจารณาปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในระยะยาวโดยเร็ว การเพิ่มองค์ประกอบของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของอุตสาหกรรม การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป การเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายให้ครอบคลุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในอุตสาหกรรม การเร่งรัดให้เกิดการส่งเสริมการพัฒนาด้านอ้อยตามระเบียบวาระอ้อยแห่งชาติ ระยะ ๕ ปี (ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๙) และเร่งปรับปรุงร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๓ ให้มีรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น การกำกับดูแลและตรวจสอบให้การช่วยเหลือบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด การควบคุมดูแลการเบิกจ่ายเงินโดยเคร่งครัด รวมทั้งร่วมกับส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งรัดพิจารณากำหนดแนวทางในการลดต้นทุนการผลิต และปรับปรุงประสิทธิภาพผลผลิตอ้อยแทนการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ลดภาระการใช้จ่ายเงินในการช่วยเหลือเยียวยา และเพื่อให้อุตสาหกรรมสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการประชาสัมพันธ์ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่องนี้ให้ประชาชนผู้สนใจได้ทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดอัตราเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยดังกล่าว คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้มีมติเห็นชอบแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๗ แต่เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองและได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ไม่สามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้ ๔. ให้รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบในระยะยาว แล้วนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 524 | ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | สลธ.คสช. | 10/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของคณะรักษาความสงบแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์การฟื้นฟูความเชื่อมั่นและเร่งรัดวางรากฐานที่ดีของประเทศ ข้อ ๑.๑ การเร่งรัดการช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน เรื่องเร่งด่วนดังกล่าวให้หมายถึงเรื่องที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ขาดแคลน ประสบภัยพิบัติ ตลอดจนอาคารสถานที่เก่าแก่หรือชำรุดเสียหายใช้งานไม่ได้ เช่น อาคารเรียนพังทลายจากภัยธรรมชาติ เป็นต้น ข้อ ๑.๒ การฟื้นฟูความเชื่อมั่นและกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ให้ทุกฝ่ายรับไปพิจารณาดำเนินการตามมาตรการเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องต่อไป ข้อ ๑.๓ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับเรื่องปรองดอง การสร้างระเบียบวินัยของคนในสังคม โดยต้องมีมาตรการการป้องกัน แก้ไข และฟื้นฟูเพื่อสร้างความมั่นคงของประเทศ ข้อ ๑.๕ การดำเนินการตามกรอบข้อตกลงประชาคมอาเซียน ต้องสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับ ๓ เสาหลักของประชาคมอาเซียน ซึ่งได้แก่ ประชาคมการเมือง ความมั่นคงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน และมอบให้ฝ่ายความมั่นคงรับไปพิจารณาดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อเตรียมความพร้อมในการขับเคลื่อนการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนต่อไป ข้อ ๑.๖ การขับเคลื่อนการวางโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อรองรับการพัฒนาสู่อนาคต ต้องจัดระบบโครงสร้างพื้นฐานให้มีความเหมาะสมและเชื่อมโยงกันทั้งในส่วนของภายในประเทศและกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งให้ครอบคลุมถึงการสร้างทางหลวงและทางหลวงชนบทด้วย ๒. ยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการดำเนินการตามกรอบข้อตกลงประชาคมอาเซียน การขับเคลื่อนการวางโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อรองรับการพัฒนาสู่อนาคต และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบโลจิสติกส์ ต้องพิจารณาดำเนินการทั้ง ๓ ส่วน ให้มีความเหมาะสม สอดคล้อง และเชื่อมโยงกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 525 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาเนปิดอว์ว่าด้วยการบรรลุการเป็นประชาคมอาเซียนปี ค.ศ. 2015 (Nay Pyi Taw Declaration On Realization of ASEAN Community by 2015) | กต | 06/05/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างปฏิญญาเนปิดอว์ว่าด้วยการบรรลุการเป็นประชาคมอาเซียนปี ค.ศ. ๒๐๑๕ (Nay Pyi Taw Declaration On Realization of ASEAN Community by 2015) ซึ่งจะมีการรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการระบุประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่ประเทศสมาชิกอาเซียนต้องเร่งดำเนินการเพื่อบรรลุการเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี ๒๕๕๘ โดยเป็นการเน้นย้ำในประเด็นที่ผู้นำอาเซียนได้เคยตกลงกันไว้แล้ว อาทิ การเร่งรัดดำเนินงานตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมอาเซียน การจัดทำวิสัยทัศน์อาเซียนภายหลังปี ๒๕๕๘ และการปรับปรุงกลไกการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับภายนอกภูมิภาค โดยไม่มีการเสนอข้อริเริ่มหรือการดำเนินการใหม่ ๆ แต่อย่างใด ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างปฏิญญาฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยก่อนการรับรอง ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ร่างปฏิญญาเนปิดอว์ว่าด้วยการบรรลุการเป็นประชาคมอาเซียนปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การให้ความเห็นชอบร่างปฏิญญาฯ จึงไม่มีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปอันเป็นข้อห้ามตามมาตรา ๑๘๑ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 526 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2555 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ของ ขสมก. ซึ่งมีผลการขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๗๙๗.๙๙๕ ล้านบาท เพื่อนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๑๔ ๑.๒ ให้หักกลบเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปี ๒๕๕๓ ของ ขสมก. ที่จ่ายเกินจำนวน ๑๒๘.๒๕๐ ล้านบาท กับวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปี ๒๕๕๕ ของ ขสมก. ๑.๓ ให้ ขสมก. เบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งวดที่ ๒ จำนวน ๑๙๖.๑๕๐ ล้านบาท ๑.๔ ให้ ขสมก. รับความเห็นของคณะอนุกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สาขาขนส่งทางบกเกี่ยวกับการเร่งรัดการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) เพื่อทดแทนรถโดยสารที่จะปลดระวางหรือยกเลิกสัญญาไปให้สามารถใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและให้มีจำนวนรถโดยสารเพียงพอกับการให้บริการอย่างมีคุณภาพ การบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนค่าซ่อมแซมและค่าใช้จ่ายพนักงาน การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ ได้แก่ ระบบ E-Ticket เป็นต้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและยกระดับคุณภาพการให้บริการแก่ประชาชนให้มีมาตรฐานยิ่งขึ้น รวมทั้งการศึกษาปรับปรุงต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ในการให้บริการที่เป็นปัจจุบันเพื่อประกอบการพิจารณาข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของ ขสมก. ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานดังกล่าวให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะทราบต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนัยข้อ ๗ (๓) และ (๕) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ในส่วนของเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปี ๒๕๕๓ ที่จ่ายเกินจำนวน ๑๒๘.๒๕๐ ล้านบาท ให้ ขสมก. ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า เรื่องนี้เป็นการดำเนินการให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และมิได้เป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีกระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๑ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 527 | รายงานสรุปผลการประชุมประจำปี 2556 เรื่อง เส้นทางประเทศไทย....สู่ประชาคมอาเซียน | นร11 | 03/12/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมประจำปี ๒๕๕๖ เรื่อง เส้นทางประเทศไทย...สู่ประชาคมอาเซียน เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อติดตามความก้าวหน้า ปัญหา และอุปสรรคของการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในมิติต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปความคิดเห็นของวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๑ การพัฒนาการศึกษาที่ต้องส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง และการปรับเปลี่ยนระบบการประเมินคุณภาพจากการประเมินเฉพาะด้านวิชาการอย่างเดียว เป็นการประเมินที่ครบทั้งการพัฒนาด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ๑.๒ การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาให้มากขึ้นเพื่อใช้ประกอบการดำเนินงานในกิจการภาครัฐ สร้างนวัตกรรม และพัฒนาสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น ๑.๓ การสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ๑.๔ การพัฒนาคนทั้งด้านองค์ความรู้และทักษะการทำงานควบคู่ไปกับการเร่งสร้างความปรองดองของคนในชาติ ๒. สรุปความเห็นร่วมกันจากการประชุมกลุ่มย่อย ๒.๑ กลุ่มที่ ๑ : การเตรียมความพร้อมด้านการเงิน การคลัง และการค้าการลงทุนเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ การวางบทบาทหรือตำแหน่ง (Positioning) ของประเทศ และการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาที่มีความเชื่อมโยงระหว่างท้องถิ่น ประเทศ และโลก การปรับปรุงกฎ ระเบียบ และโครงสร้างภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า การผลิต และการลงทุนให้เหมาะสมและเอื้อต่อการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว การให้ความสำคัญกับการค้าชายแดน และการอำนวยความสะดวกทางการค้า การกำหนดนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของไทยในต่างประเทศเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพ การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรทั้งในภาครัฐ ภาคการผลิต และภาคบริการ อย่างเหมาะสมและตรงตามความต้องการ การเฝ้าระวังและติดตามผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งเตรียมมาตรการเพื่อรองรับและบริหารจัดการผลกระทบ และการสร้างความร่วมมือกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียนในการพัฒนาประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางทางด้านการเงินและการบริการในอนุภูมิภาค ๒.๒ กลุ่มที่ ๒ : สร้างสังคมผู้ประกอบการไทยก้าวอย่างมั่นใจสู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ การเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการ โดยคำนึงถึงการปรับแบบแผนธุรกิจด้วยการปรับปรุงผลิตภาพและลดต้นทุน หรือปรับปรุงกระบวนการผลิตโดยเลือกผลิตสินค้าและบริการที่มีความเชี่ยวชาญ การเร่งพัฒนาทักษะและความรู้ที่หลากหลายเพื่อยกระดับศักยภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ การสนับสนุนผู้ประกอบการโดยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งระบบ และการพัฒนาต่อยอดด้านการศึกษาเพื่อให้เป็นผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ และการส่งเสริมสินค้าไทยที่มีศักยภาพการแข่งขันสูงอยู่แล้ว ต้องมีการปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แข่งขันได้ ๒.๓ กลุ่มที่ ๓ : สร้างสรรค์สังคมไทยสู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ การกระตุ้นให้สังคมไทยตื่นตัวและสร้างภูมิคุ้มกันให้สามารถเผชิญการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีด้านต่าง ๆ ทั้งเงินทุน สินค้า บริการ และแรงงาน เพื่อมิให้คนไทยตกเป็นเหยื่อของภัยคุกคามที่มากับกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว การให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการลงทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาคุณภาพคน โดยต้องปฏิรูปวิธีเรียนการสอนให้นักเรียนรู้จักคิด วิเคราะห์และสังเคราะห์ มีความต้องการใฝ่เรียนรู้ที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต การสร้างจิตสำนึกที่ดี เป็นคนดีมีคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานการสร้างสังคมที่ดีและสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคม การเน้นให้สมาชิกอาเซียนสร้างค่านิยมร่วม การเห็นประโยชน์ส่วนรวมและการเปิดใจกว้างยอมรับคนอื่นเพื่อลดความแตกแยกของสังคม และการมีระบบคุ้มครองทางสังคมให้กับคนไทยและประชาชนอาเซียนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ๒.๔ กลุ่มที่ ๔ : การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานสู่อาเซียน ได้แก่ การเร่งรัดการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและบริการให้สามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานได้เต็มศักยภาพ การพัฒนาเชิงพื้นที่รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งในเมืองหลักและเมืองชายแดน การส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดความต้องการพลังงานในอนาคตบางส่วนที่ต้องจัดหาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศและสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และการสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งภายในประเทศและในประเทศเพื่อนบ้าน ๒.๕ กลุ่มที่ ๕ : การเตรียมความพร้อมระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเพื่อรองรับประชาคมอาเซียน ได้แก่ บทบาทการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการบริการหลัก บทบาทการพัฒนาตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ บทบาทการพัฒนาเมืองชายแดนในแต่ละภูมิภาคที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน บทบาทการพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และบทบาทการพัฒนาเป็นเครือข่ายสนับสนุนเชื่อมโยงกับเมือง ๒.๖ กลุ่มที่ ๖ : สู่ประชาคมอาเซียน : บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างไรให้ยั่งยืน ได้แก่ การปฏิรูปกฎหมายและกฎ ระเบียบต่าง ๆ ในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีการปรับประสานกฎ ระเบียบ และกฎหมายการป้องกันคุณภาพสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน การนำเสนอปัญหาด้านการท่องเที่ยวให้เป็นวาระแห่งชาติ และการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและการบริโภคอย่างยั่งยืนให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง การสร้างกลไกภาคประชาชน ประชาสังคม และนักวิชาการให้เข้ามามีส่วนร่วมในการติดตาม ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบสารสนเทศฐานข้อมูลและเทคโนโลยีการติดตามตรวจสอบที่ทันสมัย และภาครัฐควรเป็นผู้นำในการสนับสนุน การสร้างจิตสำนึกด้านการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศสมาชิกอาเซียน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 528 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ภายหลังปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ได้แก่ ๑.๑ โครงการของกระทรวงสาธารณสุขที่อยู่ระหว่างดำเนินการและมีการผูกพันสัญญาแล้ว จำนวน ๙ รายการ วงเงิน ๒๙๒.๗๒๙๕ ล้านบาท สำหรับรายการที่ต้องขอรับจัดสรรเงินเพิ่ม ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ โครงการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำหรับรายการที่มีการผูกพันสัญญาของกรมทรัพยากรน้ำ วงเงิน ๘๖,๔๒๓,๕๕๗.๙๗๐๐ บาท ๑.๓ โครงการพัฒนาการเรียนรู้แบบบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิชาชีพด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๖๒๙,๖๒๙,๒๘๐.๐๐๐๐ บาท ๑.๔ โครงการก่อสร้างอาคารศูนย์วิทยบริการ จำนวน ๕๐ แห่ง ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ โดยขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายตามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำหรับรายการที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการและหรือขอรับจัดสรรเงินเพิ่ม ให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเร่งรัดขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. อนุมัติการยกเลิกโครงการเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และนำวงเงินกู้ดังกล่าวรวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายในสาขาเศรษฐกิจนั้นต่อไป ได้แก่ ๒.๑ การยกเลิกโครงการที่ยังไม่มีข้อผูกพันสัญญาและยังไม่ได้เริ่มการดำเนินงาน ในส่วนของโครงการอาคารพักพยาบาล ๒๐ ห้อง โรงพยาบาลนายายอาม (จังหวัดจันทบุรี) วงเงิน ๕.๕๒๓๐ ล้านบาท และโครงการระบบบำบัดน้ำเสียโรงพยาบาลยุพราชฉวาง (จังหวัดนครศรีธรรมราช) วงเงิน ๗.๗๑๓๐ ล้านบาท ของกระทรวงสาธารณสุข ๒.๒ การยกเลิกการดำเนินโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำ รายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งห้วยน้ำภูนก ช่วง ๒ ห้วยภูนก หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าปลา อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ วงเงิน ๑,๙๐๓,๔๐๐.๐๐ บาท เนื่องจากไม่สามารถเข้าพื้นที่ดำเนินการได้และรายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองน้ำบางดี หมู่ที่ ๔ ตำบลพ่วงพรหมคร อำเภอเคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี วงเงิน ๔,๒๘๐,๔๙๐.๐๐๐๐ บาท ของกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๓. อนุมัติจัดสรรเงินสำรองจ่ายเพื่อเป็นเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ได้แก่ ๓.๑ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๒ รายการ วงเงิน ๒,๑๑๙,๖๑๐.๐๔๐๐ บาท ๓.๒ กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม จำนวน ๑๘ รายการ วงเงิน ๓๑,๑๘๕,๙๘๖.๐๐๐๐ บาท ๓.๓ กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑ รายการ วงเงิน ๑,๓๒๕,๓๑๑.๗๐๐๐ บาท ๔. อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ และอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเป็นภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ๕. รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี วงเงิน ๔๒,๘๘๔,๓๓๓.๐๐๐๐ บาท และอนุมัติดำเนินโครงการพัฒนางานห้องผ่าตัด ห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน และห้องปฏิบัติการกลาง จำนวน ๓๐ รายการ และอนุมัติจัดสรรเงินเหลือจ่ายตามวงเงินที่คงเหลือให้แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี วงเงิน ๔๒,๘๘๔,๓๐๐.๐๐๐ บาท |
|||||||||||||||||||||||||||
| 529 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สาม และแนวโน้มปี 2556 - 2557 | นร11 | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สาม และแนวโน้มปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๖ ขยายตัวร้อยละ ๒.๗ ชะลอตัวลงจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๙ ในไตรมาสก่อนหน้า ในด้านการใช้จ่าย มีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการใช้จ่ายภาครัฐบาล ในขณะที่การส่งออกสินค้าหดตัว ในด้านการผลิต การขยายตัวมีปัจจัยสนับสนุนจากสาขาการโรงแรมและภัตตาคาร การเงิน และคมนาคมขนส่งที่ยังคงขยายตัว เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสสองของปี ๒๕๕๖ และปรับผลของฤดูกาลออก ขยายตัวร้อยละ ๑.๓ รวม ๙ เดือนแรกของปี เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๓.๗ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๐ ต่ำกว่าช่วงการประมาณการร้อยละ ๓.๘-๔.๓ ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ เนื่องจากการส่งออกขยายตัวต่ำกว่าการคาดการณ์ และปริมาณการผลิตรถยนต์ทั้งปีมีแนวโน้มต่ำกว่าเป้าหมายการผลิตของภาคเอกชนที่ ๒.๕ ล้านคัน รวมทั้งการดำเนินการตามแผนการลงทุนที่สำคัญของภาครัฐไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ตลอดจนผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐไม่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน การบริโภคของครัวเรือนเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๘ การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๐.๙ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ ๒.๔ และบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๗ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๐-๕.๐ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๗.๐ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๒.๗ และร้อยละ ๗.๑ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ ๒.๑-๓.๑ และบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๖ ของ GDP ๓. ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๕๖ และในปี ๒๕๕๗ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๕๖ ยังมีข้อจำกัดจากการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจโลก และการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ ในขณะที่เศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๗ มีแนวโน้มที่จะสามารถขยายตัวในระดับที่น่าพอใจตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้น การบริหารเศรษฐกิจจึงควรให้ความสำคัญกับประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การเร่งรัดการส่งออกให้สามารถขยายตัวได้เต็มศักยภาพ การเร่งรัดการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน การเร่งรัดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการดูแลสภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจและการเข้าถึงเงินทุนของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 530 | ผลการประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5 และการประชุมหารือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ การประชุมระดับรัฐมนตรีของแผนงานความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 5 และการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 19 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย | นร11 | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ ดังนี้
๑. ผลการประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridor Forum : ECF) ครั้งที่ ๕ และการประชุมหารือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ ระหว่างวันที่ ๖-๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ กรุงเทพมหานคร ๑.๑ การประชุม ECF ครั้งที่ ๕ ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานผลักดันแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้กรอบแผนงานความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคที่สำคัญของรัฐมนตรีประจำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) แนวระเบียงเศรษฐกิจและแนวทางการขับเคลื่อนกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงาน GMS ฉบับใหม่สู่การปฏิบัติ และได้มีการหารือเพื่อให้เสนอแนะและให้การรับรองเบื้องต้นต่อกรอบการลงทุนของภูมิภาค (Regional Investment Framework : RIF) ก่อนนำเสนอให้ที่ประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๙ ให้การรับรองต่อไป ๑.๒ การประชุมหารือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ ที่ประชุมได้นำเสนอโครงการตัวอย่างของแต่ละประเทศสมาชิกที่ได้บรรจุอยู่ในกรอบการลงทุนของภูมิภาคให้แก่นักลงทุน องค์การระหว่างประเทศ และภาคีพัฒนาต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและระดมทุนผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership : PPP) ของประเทศสมาชิก ๒. ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีของแผนงานความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (Mekong-Japan Economic and Industrial Cooperation : MJ-CL) ครั้งที่ ๕ วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงบันดาเสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีและภาคเอกชนภายใต้กรอบ MJ-CL ครั้งที่ ๖ (6th Mekong-Japan Industry and Government Dialogue) ความก้าวหน้าและการดำเนินงานในอนาคตการจัดทำ RIF ภายใต้แผนงาน GMS โดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ข้อเสนอของประเทศญี่ปุ่นในการร่างวิสัยทัศน์การพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการลำดับความสำคัญสูงภายใต้แผนที่นำทางการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง การเน้นย้ำความสำคัญของการพัฒนาโครงการลำดับความสำคัญสูงของแต่ละประเทศ โดยต้องสอดคล้องกันในระดับอนุภูมิภาค การบูรณาการประเด็นการพัฒนาใหม่เข้าไว้ในแผนที่นำทางฯ เช่น การพัฒนาพื้นที่ชายแดน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านอุตสาหกรรม การจัดตั้งคณะทำงานย่อยดูแลเรื่องกฎหมายทางธุรกิจ รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าที่สำคัญของแผนที่นำทางฯ ภายใต้ความร่วมมือ MJ-CL ต่อผู้นำประเทศ และการประชุมระดับรัฐมนตรีของแผนงาน MJ-CL ครั้งที่ ๖ ที่กำหนดจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และการประชุมระดับผู้นำของแผนงาน MJ-CL ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ ๓. ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑๙ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia Thailand Growth Triangle : IMT-GT) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ กันยายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประกอบด้วย ๓.๑ การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ ๒๐ แผนงาน IMT-GT ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ความก้าวหน้าการดำเนินงานในรอบปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ผลการดำเนินงานของฝ่ายเลขานุการระดับชาติในการเร่งรัดงานสำคัญ ความก้าวหน้าการดำเนินงานของ ๖ คณะทำงาน และแนวทางการดำเนินงานในรอบปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ การสนับสนุนจาก ADB ในการพัฒนาโครงการโดดเด่น รวมทั้งข้อเสนอขอรับการสนับสนุนโดยสภาธุรกิจ IMT-GT ๓.๒ การประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๑๐ ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ความก้าวหน้าจากการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๙ ที่รัฐเนกรีเซมบิลัน ประเทศมาเลเซีย ข้อเสนอความร่วมมือระยะต่อไป รับทราบข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากสภาธุรกิจ IMT-GT ที่สำคัญ และความช่วยเหลือจาก ADB ด้านเมืองสีเขียวและการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนไทย-มาเลเซีย ๓.๓ การประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ความก้าวหน้าโครงการโดดเด่น ความก้าวหน้าการจัดตั้งสำนักงานถาวรของศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาคเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Centre for Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Sub-regional Cooperation : CIMT ที่นครปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย และแนวทางความเป็นไปได้ในการนำแนวคิดการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคมเป็นประเด็นนำในการประชุมระดับผู้นำ IMT-GT ครั้งที่ ๘ ที่ประเทศเมียนมาร์ ๓.๔ การประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑๙ แผนงาน IMT-GT ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ รายงานของที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ข้อเสนอโครงการจากที่ประชุมมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๑๐ ข้อเสนอขอความอนุเคราะห์จากสภาธุรกิจ IMT-GT ที่สำคัญ การนำผลการหารือในการประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการเป็นแนวทางการดำเนินการ รวมทั้งสาธารณรัฐอินโดนีเซียรับเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๐ ที่เกาะซาบัง จังหวัดอาเจห์ เกาะสุมาตรา ในช่วงเดือนกันยายน ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 531 | การรายงานผลการดำเนินงานมาตรการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี 2557 มาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2556/57 และโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 ตามมติคณะรัฐมนตรี | กษ | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร รายงานผลการดำเนินการมาตรการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบปี ๒๕๕๗ มาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๖/๕๗ และโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ โดยผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๖ ของกรมส่งเสริมการเกษตรซึ่งมีหน้าที่ในการรับขึ้นทะเบียนเกษตรกร ประชาคม และออกใบรับรองให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าว ในปี ๒๕๕๖/๕๗ ดังนี้ ๑.๑ ยางพารา เกษตรกรแจ้งขึ้นทะเบียนแล้ว จำนวน ๕๗๕,๒๔๑ ครัวเรือน รับขึ้นทะเบียนและบันทึกในระบบสารสนเทศเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราแล้ว จำนวน ๒๑๖,๔๑๓ ครัวเรือน พื้นที่ปลูก ๓,๑๔๑,๕๗๒ ไร่ พื้นที่เปิดกรีด ๒,๕๓๖,๓๘๐ ไร่ ส่งรายชื่อให้คณะกรรมการตรวจสอบพื้นที่เปิดกรีดระดับตำบลดำเนินการแล้ว จำนวน ๓,๗๙๒ ครัวเรือน พื้นที่ปลูก ๔๓,๗๖๗ ไร่ พื้นที่เปิดกรีด ๓๘,๔๓๕ ไร่ ๑.๒ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เกษตรกรขึ้นทะเบียนแล้ว จำนวน ๑๓๕,๘๔๙ ครัวเรือน พื้นที่ ๒,๔๒๕,๘๑๐ ไร่ ผลผลิต ๑,๗๓๕,๔๒๗ ตัน เกษตรกรผ่านประชาคม จำนวน ๒๘,๕๘๔ ครัวเรือน พื้นที่ ๕๘๓,๐๗๓ ไร่ ผลผลิต ๔๐๔,๕๓๐ ตัน (คิดเป็นร้อยละ ๒๑.๐๔ ของจำนวนครัวเรือนที่ขึ้นทะเบียน) ออกใบรับรอง ๒๓,๐๓๘ ครัวเรือน พื้นที่ ๔๔๑,๘๒๗ ไร่ ผลผลิต ๓๐๖,๓๓๒ ตัน (คิดเป็นร้อยละ ๘๐.๖๐ ของจำนวนครัวเรือนที่ผ่านการประชาคม) ๑.๓ ข้าว เกษตรกรขึ้นทะเบียนแล้ว จำนวน ๒,๓๔๓,๘๒๔ ครัวเรือน พื้นที่ ๔๑,๘๙๙,๐๘๐ ไร่ ผลผลิต ๑๗,๘๕๔,๗๐๘ ตัน เกษตรกรผ่านประชาคม จำนวน ๓๘,๗๙๙ ครัวเรือน พื้นที่ ๘๕๓,๓๓๓ ไร่ ผลผลิต ๔๘๓,๐๘๖ ตัน (คิดเป็นร้อยละ ๑.๖๖ ของจำนวนครัวเรือนที่ขึ้นทะเบียน) ออกใบรับรอง ๑๙,๒๘๙ ครัวเรือน พื้นที่ ๓๙๘,๑๓๙ ไร่ ผลผลิต ๒๓๙,๐๗๓ ตัน (คิดเป็นร้อยละ ๔๙.๗๒ ของจำนวนครัวเรือนที่ผ่านการประชาคม) ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินมาตรการการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี ๒๕๕๗ โดยเร็ว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง การเข้มงวดต่อการตรวจสอบสิทธิ์ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และข้าวที่เข้าร่วมโครงการเพื่อป้องกันการสวมสิทธิและการบุกรุกป่า การเร่งรัดดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรโดยเร็ว โดยดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง การเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์และสิทธิครอบครองประกอบการออกใบรับรองเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวแก่เกษตรกรอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง การประเมินผลสำเร็จการดำเนินโครงการเพื่อใช้เป็นแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในระยะต่อไป รวมทั้งการเตรียมความพร้อมและการปรับตัวของเกษตรกรในการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ นอกจากนี้ ควรเพิ่มการรายงานการป้องกันปัญหาการทุจริตในกระบวนการขึ้นทะเบียนและการทำประชาคม ตลอดจนผลจากการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานของโครงการให้มีความรัดกุมมากขึ้น และการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงระบบฐานข้อมูลเกษตรกรให้มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบันเพื่อให้การลงทะเบียนต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ลดระยะเวลาในการตรวจสอบในระดับพื้นที่ ซึ่งจะช่วยป้องกันเรื่องการสวมสิทธิได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 532 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2556 | ทส | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. การปรับปรุงมาตรฐานระดับเสียงรถยนต์ ๑.๑ เห็นชอบให้ปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดระดับเสียงรถยนต์ ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ให้เป็นไปตามร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานระดับเสียงของรถยนต์ ตามความเห็นของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำร่างประกาศฯ ที่ปรับแก้ไขตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป และให้กรมการขนส่งทางบกระบุความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุดไว้ในสมุดทะเบียนรถ สำหรับรถยนต์ที่จดทะเบียนใหม่นับจากวันที่ประกาศฯ มีผลใช้บังคับ ๒. แนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียอันตรายที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ๒.๑ เห็นชอบแนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการอนุสัญญาบาเซล ในการประชุมครั้งที่ ๓๖-๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ และ ๔๐-๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ๒.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำแนวทางดังกล่าวเผยแพร่ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการขนส่งสินค้า และผู้สนใจทั่วไป และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสาธารณะต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบและนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้รับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓.๑ เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงข้อมูลด้านพลังงานในร่างรายงานฯ ให้สมบูรณ์ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๓.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมแบบองค์ร่วม และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปใช้เป็นกรอบในการจัดทำรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๔. ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... ๔.๑ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๔.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการ ๕. โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน ๕.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคม ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน โดยให้กรมการบินพลเรือนดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้ตรวจสอบข้อมูลในเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๕.๒ นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๖. โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง ๖.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้กรมทางหลวงดำเนินการตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๖.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๗. รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการเหมืองแร่สังกะสี ของบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ประทานบัตรที่ ๓๐๗๖๙/๑๕๕๒๕ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรที่ ๓๐๗๗๙/๑๕๗๙๗ ตั้งอยู่ที่ตำบลพระธาตุผาแดง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ๗.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมถลุง หรือแต่งแร่ ซึ่งให้ความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่สังกะสีฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการอนุญาตให้บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่สอด เพื่อการทำเหมืองแร่ โดยให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด และรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดให้กรมป่าไม้และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณาเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบปีละ ๑ ครั้ง ๗.๒ ให้กรมป่าไม้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งให้กรมป่าไม้และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับดูแลให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน ๗.๓ ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ และให้ถือเป็นแนวปฏิบัติสำหรับโครงการลักษณะเดียวกันทุกโครงการ ๗.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ผู้ประกอบกิจการโครงการเหมืองแร่ทุกโครงการดำเนินการตามขั้นตอนการขอต่ออายุหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติล่วงหน้าได้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒ ปี ก่อนที่อายุหนังสือขออนุญาตฯ จะสิ้นสุดลง และประสานแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ๘. โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่า มายังสถานีควบคุมก๊าซที่ BVW 01 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่ตำบลปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๘.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่าฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๘.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๙. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก นครสวรรค์ (เพื่อขยายโอกาสใช้พลังงานสะอาดและลดมลภาวะในภาคขนส่ง และอุตสาหกรรมเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอ่างทอง จังหวัด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 533 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร01 | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมโดยไม่ชักช้า ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชน ในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๕,๙๓๑ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ เหตุเดือดร้อนรำคาญ และการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในหลากหลายประเด็น ตามลำดับ ๒. หน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามลำดับ รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ รองลงมาคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และธนาคารออมสิน ตามลำดับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 534 | ผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่ง สปป. ลาว และกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย ครั้งที่ 5 | พณ | 10/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย ครั้งที่ ๕ เมื่อวันที่ ๘-๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ นครเวียงจันทน์ สปป.ลาว ๑.๒ เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ เพื่อให้มีการทำงานอย่างบูรณาการและเกิดผลเป็นรูปธรรม โดยกระทรวงพาณิชย์จะติดตามความคืบหน้าในด้านการปฏิบัติตามผลการประชุมฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องทุกเรื่อง ๑.๒.๑ เป้าหมายการค้าและการลงทุน ได้แก่ การศึกษาแผนยุทธศาสตร์และแผนงานเพื่อสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของการค้าไทย-สปป.ลาว ให้ถึง ๘,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๕๘ และการส่งเสริมการขยายตัวของการลงทุนระหว่างกัน ๑.๒.๒ การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านกฎระเบียบทางการค้าและการลงทุน ๑.๒.๓ การอำนวยความสะดวกทางการค้า ได้แก่ การเร่งรัดขั้นตอนในประเทศและเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดำเนินงานพิธีการศุลกากรตรวจแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (Single Stop Inspection : SSI) ได้ทันภายในปี ๒๕๕๖ การหารือกับ สปป.ลาว เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการเปิด/ยกระดับด่านตามความเหมาะสม ตามที่ได้ตกลงกันในการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าแขวงชายแดน ไทย-สปป.ลาว ครั้งที่ ๙ การพัฒนาและการใช้เส้นทางหมายเลข ๘ และ ๑๒ ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น การจัดกิจกรรมการพบปะหารือระหว่างภาคเอกชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและ สปป.ลาว เพื่อหาแนวทางความร่วมมือการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ บนเส้นทางหมายเลข ๘ และ ๑๒ และการจัดทำแผนปฏิบัติการการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน เพื่อรองรับการขยายตัวทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ๑.๒.๔ แผนความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนไทย-ลาว ปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ได้แก่ การดำเนินงานโครงการ ICT เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลการค้าใน ๕ แขวงนำร่องของ สปป.ลาว (นครหลวงเวียงจันทน์ สะหวันนะเขต จำปาสัก หลวงพระบาง และหลวงน้ำทา) ให้เป็นไปตามเป้าหมายภายในปี ๒๕๕๘ การจัดโครงการฝึกอบรมและศึกษาดูงานตามแผนงานประจำปี การจัดงานแสดงสินค้า และกิจกรรมการจับคู่ธุรกิจไทย-สปป.ลาว การส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยออกไปลงทุนใน สปป.ลาว โดยเฉพาะในเขตอุตสาหกรรม เขตเศรษฐกิจพิเศษ และเขตเศรษฐกิจเฉพาะต่าง ๆ การแลกเปลี่ยนข้อมูลกฎระเบียบทางการค้ากับหัวหน้าแผนกอุตสาหกรรมและการค้าแขวงตามแนวชายแดนไทย-สปป.ลาว อย่างสม่ำเสมอ การส่งเสริม อำนวยความสะดวก และแก้ไขปัญหาการค้าชายแดน ความร่วมมือด้าน ODOP/OTOP โดยพิจารณาให้ความช่วยเหลือการจัดฝึกอบรมให้แก่ สปป.ลาว และความร่วมมือด้านเกษตรกรรม ได้แก่ การดำเนินงานตามบันทึกความเข้าใจร่วม (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาล สปป.ลาว ว่าด้วยความร่วมมือในการส่งเสริมโครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญาภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) และการให้ความช่วยเหลือด้านการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านวิชาการและเทคนิคในการประเมินความเสี่ยงและการตรวจสอบสุขอนามัยพืช รวมทั้งมาตรฐานและคุณภาพของสินค้าเกษตรของ สปป.ลาว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามผลการประชุมฯ โดยเร็ว โดยเฉพาะเรื่องการยกเลิกมาตรการจำกัดระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จาก สปป.ลาว และการดำเนินงานด้านพิธีการศุลกากรตรวจแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (Single Stop Inspection : SSI) รวมทั้งการเพิ่มบทบาทการเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการแก่ สปป.ลาว ในด้านการเงิน การธนาคาร การบริการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 535 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2557 | กค | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ รวมวงเงินทั้งสิ้น ๑,๒๕๓,๑๓๔.๔๘ ล้านบาท ประกอบด้วย ๓ แผนย่อย ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ รวม ๔๖๒,๕๑๙.๕๒ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ รวม ๖๖๑,๘๐๙.๐๘ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยง รวม ๑๒๘,๘๐๕.๘๘ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๖๘,๓๖๕.๒๘ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้ฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งรัดการติดตามและเร่งรัดการเบิกจ่ายการใช้เงินกู้ของหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรเงินกู้ตามแผนการบริหารหนี้ฯ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงปี ๒๕๕๗ ให้ขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ รวมทั้งให้ความสำคัญกับโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ภายในปีงบประมาณนั้น ๆ โดยการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ฯ ต้องยึดหลักการรักษาวินัยทางการคลังให้สอดคล้องกับกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด และเนื่องจากปัจจุบันสภาพคล่องส่วนเกินในประเทศยังอยู่ในระดับสูง จึงเห็นควรให้หน่วยงานพิจารณากู้เงินในประเทศเป็นลำดับแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 536 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2554 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๔ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งมีประมาณการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ จำนวน ๒,๑๓๖.๕๗๐ ล้านบาท และ ๔๒๔.๗๔๘ ล้านบาท ตามลำดับ ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ รฟท. ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๔ งวดที่ ๒ จำนวน ๘๑๐.๙๗๐ ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับผลการประเมินค่าตัวชี้วัดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ ให้ ขสมก. ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๔ งวดที่ ๒ จำนวน ๒๔.๑๘๓ ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับผลการประเมินค่าตัวชี้วัดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๔ ๑.๓ ให้ รฟท. และ ขสมก. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สาขาขนส่งทางบก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะทราบ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนัย ข้อ ๗ (๓) และ ๗ (๕) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ให้ รฟท. และ ขสมก. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สาขาขนส่งทางบก โดยเฉพาะการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การเร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างและซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐาน และการดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและเพิ่มรายได้ให้กับองค์กร และให้ รฟท. เร่งรัดปิดบัญชีให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจรับรองให้ทันกับปีปัจจุบัน รวมทั้งเร่งรัดการจัดทำแผนบริหารจัดการกิจการรถไฟไทยที่ รฟท. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นที่ปรึกษาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อใช้เป็นฐานในการขอรับเงินอุดหนุน และเพื่อประโยชน์ในการวางแผนบริหารจัดการหรือกำหนดทิศทางการดำเนินงานขององค์กรในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 537 | มติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ครั้งที่ 7/2556 | กค | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเห็นชอบมาตรการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และการผ่อนผันขยายระยะเวลาการก่อหนี้และการปรับแผนปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของหน่วยงาน จำนวน ๒๗ หน่วยงาน จำนวนเงิน ๒๒,๕๑๑.๔๙ ล้านบาท และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ ๒. การผ่อนผันการขยายระยะเวลาการก่อหนี้และการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของหน่วยงานต่าง ๆ จำนวน ๒๗ หน่วยงาน ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ ภายหลังวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๖) จำนวน ๒๑ หน่วยงาน วงเงิน ๖๘๑.๓๖๐๒ ล้านบาท ๒.๒ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันรายจ่ายลงทุน ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๑๖ หน่วยงาน วงเงิน ๑๔,๗๑๑.๕๑๓๔ ล้านบาท และก่อหนี้ผูกพันภายหลังวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๔ หน่วยงาน วงเงิน ๔,๗๖๗.๐๕๓๕ ล้านบาท ๒.๓ ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณโดยโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณ รายจ่ายประจำ วงเงิน ๒๐๐.๔๗๙๒ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน วงเงิน ๑,๐๒๐.๔๖๐๓ ล้านบาท รวมทั้งสิ้น ๑,๒๒๐.๙๓๙๕ ล้านบาท เพื่อไปดำเนินโครงการ/รายการใหม่ จำนวน ๑๓ หน่วยงาน วงเงิน ๑,๑๓๐.๖๒๘๗ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 538 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สอง และแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 20/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สอง และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๖ ขยายตัวร้อยละ ๒.๘ เทียบกับร้อยละ ๕.๔ ในไตรมาสแรก การขยายตัวในด้านการใช้จ่าย มีปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน แม้ว่าจะชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าตามฐานที่สูงขึ้น ในขณะที่การส่งออกหดตัวเนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและการแข็งค่าของเงินบาท ด้านการผลิตมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของสาขาโรงแรมและภัตตาคาร อสังหาริมทรัพย์ การค้าปลีกค้าส่ง และการเงิน การขยายตัวของเศรษฐกิจเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๖ และปรับผลของฤดูกาลออก หดตัวร้อยละ ๐.๓ รวมครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๔.๑ ๑.๒ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๘-๔.๓ ปรับลดจากร้อยละ ๔.๒-๕.๒ ในการประมาณการครั้งก่อนหน้า โดยคาดว่าการบริโภคและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๒.๖ และร้อยละ ๖ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๓-๒.๘ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ๑.๓ ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๕๖ ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินมาตรการเพื่อรักษาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะสั้นควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายเพื่อสร้างขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว ประกอบด้วย การเร่งรัดดำเนินมาตรการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ การเร่งรัดให้เม็ดเงินที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนให้สามารถดำเนินโครงการลงทุนได้โดยเร็ว การเตรียมความพร้อมของโครงการลงทุนภายใต้แผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการดำเนินมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวและขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้สามารถขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง ๒. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๖ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงินทั้งสิ้น ๑๗๐,๔๗๕.๐๒๗ ล้านบาท ภายในไตรมาสที่ ๓ และ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไปด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖)
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 539 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย - ศรีลังกา ครั้งที่ 3 | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-ศรีลังกา (Thailand-Sri Lanka Joint Commission for Bilateral Cooperation) ครั้งที่ ๓ และผลการหารือที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงโคลัมโบ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ระหว่างวันที่ ๑-๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามผลการประชุมฯ โดยเฉพาะการเร่งรัดผลักดันประเด็นสำคัญต่าง ๆ ตามตารางติดตามผลการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. การดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ การขยายความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในด้านความมั่นคง การเพิ่มมูลค่าการค้าโดยฟื้นฟูกลไกอนุกรรมการด้านการค้า (sub-committee on trade) การเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment : BOI) สองประเทศ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุนในสาขาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสาขาซอฟต์แวร์ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยและโครงการ Northem Expressway ความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาด และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาและการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรศรีลังกาในสาขาการท่องเที่ยวและโรงแรม การประชุมคณะทำงานร่วมด้านการเกษตร ครั้งที่ ๓ เพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือในด้านการเกษตร และการประชุมคณะทำงานร่วมด้านการประมง ครั้งที่ ๒ เพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือในด้านการประมง ซึ่งศรีลังกาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม การพิจารณาให้ความร่วมมือด้านการอบรมและพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและแนวคิดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเฉลิมฉลอง ๒๖๐ ปีการสถาปนานิกายสยามวงศ์ในศรีลังกาในปี ๒๕๕๖ การสานต่อการจัดกิจกรรมภายใต้ความตกลงด้านความร่วมมือทางวัฒนธรรม การก่อสร้างวัดไทยในเมืองแคนดี้ การแลกเปลี่ยนการเยือนและการฝึกอบรมของอาจารย์ รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสอนหนังสือ ๒. การจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจ [Memorandum of Understanding (MOU)] และความตกลงต่าง ๆ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างไทยและศรีลังกา บันทึกความเข้าใจเพื่อการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องระหว่างจังหวัดพระนครศรีอยุธยากับเมืองแคนดี้ และความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการระหว่างไทยและศรีลังกา
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 540 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร01 | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมโดยไม่ชักช้า ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๔,๕๗๗ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) ช่องทาง ตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๒. จำนวนเรื่องร้องทุกข์ จำแนกตามประเภทเรื่องในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นในประเภทเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๑๔,๖๗๙ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ เหตุเดือดร้อนรำคาญ และร้องเรียนการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามลำดับ ๓. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามหน่วยงาน [ไม่รวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด] ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๖,๖๘๔ เรื่อง จำแนกเป็นหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ธนาคารออมสิน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ๔. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตาม อปท. และจังหวัด ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๓,๖๖๒ เรื่อง โดยกรุงเทพมหานครได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด รองลงมา ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดปทุมธานี ๕. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นเรียงตามลำดับประเด็นเรื่องที่มีการร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ ไฟฟ้า ยาเสพติด การบริการขนส่งทางบก ถนน น้ำประปา บ่อนการพนัน โทรศัพท์ และร้องเรียนการให้บริการของเจ้าหน้าที่รัฐในสังกัดกระทรวง ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ และไฟฟ้า
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
