ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 26 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 501 - 520 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 501 | โครงการของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน พ.ศ. 2558 | นร | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน พ.ศ. ๒๕๕๘ ของหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ ดังนี้
๑. กระทรวงยุติธรรม จำนวน ๕ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๑.๑ สำนักงาน ป.ป.ส จัดทำแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ๑.๒ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดจุดบริการ One Stop Service ช่วยเหลือเยียวยาเหยื่ออาชญากรรม ณ สถานีตำรวจภูธรและนครบาลทั่วประเทศ ๑.๓ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จัดตั้งคลินิกให้คำปรึกษาเด็กและครอบครัวอบอุ่น ๑.๔ กรมบังคับคดี จัดทำโครงการ/กิจกรรมเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน ประกอบด้วย กิจกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี โครงการเร่งรัดผลักดันทรัพย์สินออกจากกระบวนการบังคับคดี กิจกรรมขายทอดตลาดในวันเสาร์ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่คู่ความและประชาชน ๑.๕ กรมราชทัณฑ์ จัดโครงการเยี่ยมญาติแบบใกล้ชิดเป็นกรณีพิเศษ ๒. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๔ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๒.๑ การคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๒ โครงการ “ปลูกไทย... ในแบบพ่อ” ๒.๓ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ๒.๔ โครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๓. กรมประชาสัมพันธ์ จำนวน ๒ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๓.๑ โครงการกรมประชาสัมพันธ์คืนความสุขให้ประชาชน “ดนตรีในสวน” ๓.๒ โครงการ “ช่วยเหลือประชาชนในภาคเหนือ” ๔. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค จำนวน ๔ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๔.๑ โครงการตรวจกระเช้าของขวัญปีใหม่ ๔.๒ โครงการตรวจการให้บริการ ณ ท่าเรือ ในจังหวัดพังงา กระบี่ และตรัง ๔.๓ โครงการตรวจการให้บริการ ณ สถานีขนส่ง ๔.๔ โครงการจัดทำระบบ Mobile Application ๕. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จำนวน ๑ โครงการ คือ โครงการสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ๖. สำนักงาน ก.พ.ร. จำนวน ๓ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๖.๑ โครงการ "คืนความสะดวกให้ประชาชน" ๖.๒ โครงการจัดตั้งศูนย์บริการภาครัฐในห้างสรรพสินค้า (Government Plaza) ๖.๓ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริการของหน่วยงานภาครัฐเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย ตามรายงานการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Ease of Doing Business Report) ๗. บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จำนวน ๔ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๗.๑ กิจกรรมเอ็มคอทเรดิโอสโมสร (MCOT RADIO SAMOSORN) ๗.๒ โครงการเวทีความคิด ช่วง ๙๖๕ เดินหน้าปฏิรูป ๗.๓ โครงการ SEED คสช คืนความสุขให้ชาวซี้ด ๗.๔ กิจกรรม MET is Every Where
|
||||||||||||||||||||||||
| 502 | ของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชนของกระทรวงยุติธรรม | ยธ | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการ/กิจกรรมของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยจำแนกเป็นกิจกรรมของหน่วยงานในสังกัด ดังนี้
๑. สำนักงาน ป.ป.ส. จัดทำแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ แบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงที่ ๑ การดำเนินการช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ จำนวน ๓ กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมปิดล้อม ตรวจค้น กิจกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้เสพยาเสพติด และกิจกรรมเร่งรัดติดตามเรื่องร้องเรียนยาเสพติด ๑๓๘๖ และช่วงที่ ๒ การดำเนินการระหว่างเทศกาลปีใหม่ จำนวน ๓ กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมเดินทางปลอดภัย กิจกรรมจุดตรวจยาเสพติด และกิจกรรมการจัดเตรียมกำลังสำหรับภารกิจเร่งด่วน ๒. กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดจุดบริการ One Stop Service ช่วยเหลือเยียวยาเหยื่ออาชญากรรม ณ สถานีตำรวจภูธรและนครบาลทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ๓. กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จัดตั้งคลินิกให้คำปรึกษาเด็กและครอบครัวอบอุ่น เพื่อให้บริการคำปรึกษา การจัดกิจกรรมบำบัดฟื้นฟู การให้บริการทางกฎหมายแก่บิดามารดา ผู้ปกครอง ครอบครัว และประชาชนทั่วไป กำหนดเปิดให้บริการทั่วประเทศในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๔. กรมบังคับคดี จัดโครงการ/กิจกรรมเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน ได้แก่ กิจกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี โครงการเร่งรัดผลักดันทรัพย์สินออกจากกระบวนการบังคับคดี กิจกรรมการขายทอดตลาดในวันเสาร์ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่คู่ความและประชาชน ๕. กรมราชทัณฑ์ จัดทำโครงการเยี่ยมญาติแบบใกล้ชิดเป็นกรณีพิเศษเพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังและญาติได้พบปะแบบใกล้ชิดเป็นกรณีพิเศษในเรือนจำ/ทัณฑสถาน/สถานกักกัน/สถานกักขัง จำนวน ๑๔๓ แห่งทั่วประเทศ ระหว่างเดือนมกราคม ๒๕๕๘ ๖. สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ดำเนินโครงการพิสูจน์สัญชาติเพื่อคืนสิทธิให้กับประชาชน โดยการเพิ่มชื่อในทะเบียนราษฎร์ ภายใต้โครงการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแก่ราษฎรของอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ดำเนินการระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๗. สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ดำเนินโครงการอำนวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ โดยประชาชนสามารถเข้าถึงทุกงานบริการของกระทรวงยุติธรรมได้ภายใต้มาตรฐานเดียวกันทุกจุดทั่วประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
| 503 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ โดยที่การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต้องอาศัยกลไกทางกฎหมายเพื่อให้เกิดการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเพื่อให้สอดคล้องกับความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน (The GMS Agreement) จึงเห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) เร่งรัดให้กฎหมายที่เกี่ยวข้องมีผลใช้บังคับโดยเร็วเพื่อรองรับการดำเนินการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าว และให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งพิจารณากำหนดแนวทางในการจัดตั้งโรงงานในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่มีความสนใจเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งนี้ ให้เน้นโรงงานสำหรับการนำผลิตผลทางการเกษตรมาแปรรูป เช่น โรงงานน้ำตาล เป็นต้น แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการเกี่ยวกับรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) และการเจรจากับบริษัทเอกชนสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงต่อขยาย เพื่อให้สามารถมีรถไฟฟ้าสำหรับให้บริการประชาชนตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยเร็ว ๑.๓ ปัจจุบันมูลค่าการส่งออกสินค้าของประเทศไทยขยายตัวขึ้น โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตรและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จึงให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาหาแนวทางการนำนวัตกรรมมาใช้ส่งเสริมสินค้าเพื่อการส่งออกเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกและการแข่งขันกับนานาประเทศ รวมทั้งพิจารณาขยายฐานการส่งออกไปสู่ประเทศคู่ค้าใหม่ที่มีศักยภาพด้วย ๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการจัดตั้งโรงสีข้าวขนาดกลางในเขตพื้นที่ที่มีการทำนา โดยบริการสีข้าวให้แก่ชาวนาเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในการขายข้าวของชาวนานอกเหนือจากการขายเฉพาะข้าวเปลือกเท่านั้น ๑.๕ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคเหนือ ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และมติที่ประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับแนวทางการยกระดับสถาบันการศึกษาทางด้านวิชาชีพ โดยส่งเสริมสถาบันอาชีวศึกษาในด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น การสนับสนุนเครื่องมือประจำวิชาชีพของนักเรียนอาชีวศึกษา จัดทำฐานข้อมูลผู้จบการศึกษาระดับอาชีวศึกษา และส่งเสริมให้ผู้จบการศึกษาระดับอาชีวศึกษามีงานทำ แล้วรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ๒.๒ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาทบทวนสถานที่ก่อสร้างอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค โดยอาจก่อสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติขนาดใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครหรือในภาคกลาง หรือขยายพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติที่มีอยู่เดิมให้เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ เช่น พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติที่ตั้งอยู่ในเทคโนธานี ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป ๓. ด้านการต่างประเทศ ๓.๑ ให้ส่วนราชการส่งข้อมูลผลการดำเนินการตามบันทึกความตกลง บันทึกความเข้าใจ หรือเอกสารความร่วมมือระหว่างประเทศให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อรวบรวมเป็นฐานข้อมูลสำหรับการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการตามความตกลงหรือความร่วมมือระหว่างประเทศ แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ ที่มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานเจ้าภาพเตรียมการจัดประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๕ ในระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดเตรียมข้อมูลและประเด็นสารัตถะที่จะใช้ในการประชุมให้ครบถ้วนแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีภายในกลางเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ และให้กระทรวงพลังงานจัดเตรียมข้อมูลและแนวทางในการหารือกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเกี่ยวกับผลกระทบที่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและราชอาณาจักรกัมพูชาจะได้รับจากการสร้างเขื่อนผลิตพลังงานไฟฟ้ากั้นแม่น้ำโขง ๔. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๔.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งจัดลำดับความสำคัญร่างกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบตามแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี (ตุลาคม ๒๕๕๗-ตุลาคม ๒๕๕๘) จำนวน ๑๖๓ ฉบับ พร้อมแสดงเหตุผลความจำเป็นและกรอบเวลาให้ชัดเจน แล้วส่งให้กระทรวงยุติธรรมเพื่อรวบรวม และรายงานให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายในสัปดาห์หน้า ๔.๒ ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการรวบรวมผลการพิจารณาคดีขององค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมหลังวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ โดยเฉพาะคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เช่น ความมั่นคง ยาเสพติด อาวุธสงคราม โดยให้รวบรวมจำนวนคดีความที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว จำนวนคดีที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ และจำนวนคดีที่พิจารณาเสร็จสิ้น แล้วเสนอนายกรัฐมนตรีทราบต่อไป ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สำรวจข้อมูลการดำเนินงานตามความรับผิดชอบของทุกส่วนราชการและเชื่อมโยงข้อมูลให้ทุกส่วนราชการสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ เช่น การเชื่อมโยงข้อมูลการบริหารจัดการน้ำระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินการอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๕.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เร่งสรุปผลการดำเนินการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการที่ปัจจุบันให้บริษัทจากเอกชนเป็นผู้ประเมิน ซึ่งภาคเอกชนอาจขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของส่วนราชการ เพื่อให้การประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงภารกิจและการปฏิบัติงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ให้เป็นที่ยอมรับจากส่วนราชการมากยิ่งขึ้น รายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย ๕.๓ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
| 504 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2554 - 2556 และการพัฒนาระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน | กค | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี ๒๕๕๔-๒๕๕๖ โดยในปีบัญชี ๒๕๕๔ ปีบัญชี ๒๕๕๕ และปีบัญชี ๒๕๕๖ มีทุนหมุนเวียนเข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงาน จำนวน ๘๑ ทุน และ ๙๔ ทุน และ ๙๓ ทุน ตามลำดับ โดยทุนหมุนเวียนในปีบัญชี ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๔ จำนวน ๑๓ ทุน เนื่องจากเป็นทุนหมุนเวียนที่เริ่มเข้าสู่ระบบประเมินผลฯ ในปีบัญชี ๒๕๕๕ เป็นปีแรก และทุนหมุนเวียนในปีบัญชี ๒๕๕๖ ลดลงจากปีบัญชี ๒๕๕๕ เนื่องจากยุบเลิกการดำเนินงาน จำนวน ๑ ทุน ทั้งนี้ จากการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน โดยในปีบัญชี ๒๕๕๕ ได้คะแนนเฉลี่ย ๓.๖๑๑๖ คะแนน ปรับเพิ่มขึ้น ๐.๐๖๘๕ คะแนน เมื่อเทียบกับปีบัญชี ๒๕๕๔ ที่ได้คะแนนเฉลี่ย ๓.๕๔๓๑ คะแนน ส่วนในปีบัญชี ๒๕๕๖ ได้คะแนนเฉลี่ย ๓.๔๒๖๒ คะแนน ลดลงจากปีบัญชี ๒๕๕๕ จำนวน ๐.๑๘๕๔ คะแนน เป็นผลกระทบหลังจากการพิจารณากำหนดตัวชี้วัดเพิ่มเติมตามมาตรการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินของทุนหมุนเวียน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งปรากฏว่า ทุนหมุนเวียนส่วนหนึ่งมีการปรับลดคะแนนจากผลรวมด้วยเหตุไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลตามแผนการใช้จ่ายเงินของทุนหมุนเวียนนั้น ๆ ๒. ให้กระทรวงการคลังชะลอการดำเนินการในเรื่องการพัฒนาระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนไว้ก่อนจนกว่าจะดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการรวบรวมผลการดำเนินงานของกองทุนที่อยู่ในความรับผิดชอบ โดยให้วิเคราะห์และเสนอแนวทางการปรับปรุง พัฒนา หรือยุบเลิกกองทุน ให้แล้วเสร็จก่อน |
||||||||||||||||||||||||
| 505 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน - 31 ตุลาคม 2557) | นร | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอรายงานผลการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๑ (วันที่ ๑๒ กันยายน-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗) ซึ่งรายงานดังกล่าวมีเนื้อหาสาระสำคัญประกอบด้วย การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การปฏิรูปประเทศ การบริหารราชการแผ่นดิน ทั้ง ๑๑ นโยบาย ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ ทั้งนี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลมีข้อเสนอแนะว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นควรให้รัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการเร่งรัดการกำกับดูแลงานในความรับผิดชอบให้ผลการปฏิบัติราชการเป็นไปตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีที่กำหนดไว้ รวมถึงกำหนดเป้าหมายผลผลิตและผลสัมฤทธิ์ของงานที่เป็นรูปธรรมในแต่ละแผนงาน/โครงการที่สำคัญของหน่วยงานที่กำกับดูแลเพื่อให้ส่วนราชการได้ถือปฏิบัติอย่างจริงจัง
|
||||||||||||||||||||||||
| 506 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ๑.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงกำกับให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดูแลเกี่ยวกับการนำเสนอความเห็นต่อสาธารณะของประชาชน กลุ่มนักศึกษา นักวิชาการต่าง ๆ โดยความเห็นหรือข้อเสนอแนะควรเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปประเทศและเสริมสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ ๑.๒ ตามที่รัฐบาลได้เปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) เพื่อทำหน้าที่พิจารณาออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวให้แก่แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศแล้วนั้น ในระยะต่อไปให้ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จขยายการดำเนินการออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวให้ครอบคลุมถึงแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามด้วย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการติดตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ภายนอกประเทศ ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าการลงทุนของไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินงานให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ๒.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาคเอกชนของไทยที่มีความประสงค์และมีความพร้อมในการลงทุนในประเทศต่าง ๆ แล้วจัดทำเป็นข้อมูลส่งให้กระทรวงการต่างประเทศเพื่อใช้ประกอบการหารือทวิภาคีร่วมกับประเทศต่าง ๆ ต่อไป ๒.๓ ให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ได้มีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วัน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๒.๔ ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมศึกษาเกี่ยวกับ Bloom Energy Server (Bloom Box) เพื่อพิจารณานำมาเป็นทางเลือกหนึ่งของการผลิตพลังงานเพื่อใช้ในประเทศไทยต่อไป ๒.๕ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนและสาธารณะเกี่ยวกับสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยในขณะนี้ และเร่งกำหนดมาตรการเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว ๒.๖ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลหรือคุ้มครองการดำเนินการทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งระบบ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณากำหนดมาตรการในการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของสินค้าหรือบริการที่มีการซื้อขายโดยตรงต่อผู้บริโภคโดยทั่วไป และซื้อขายโดยผ่านช่องทางในตลาดอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค ๓. ด้านสังคม ๓.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแนวทางการจัดการโรคเอดส์ของไทยที่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งให้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๓.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกอย่างใกล้ชิด เฝ้าระวังโรคทั้งในคนและในสัตว์ และแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบสถานการณ์และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรค ๓.๔ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์และสร้างการรับรู้กับประชาชนเกี่ยวกับภัยของขยะอิเล็กทรอนิกส์ ความรู้เกี่ยวกับการแยกประเภทขยะและวิธีการจำกัดขยะประเภทดังกล่าว ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้ทุกส่วนราชการจัดทำเอกสารเพื่อเผยแพร่ข้อมูลผลการดำเนินงานของรัฐบาลเฉพาะเรื่องที่มีผลสัมฤทธิ์แล้วและเรื่องที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเฉพาะเท่าที่จำเป็นให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยนำข้อมูลที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรได้ดำเนินการสำรวจไว้มาใช้ประกอบการพิจารณา แล้วกำหนดเป็นแผนปฏิบัติการที่ระบุเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ในช่วงเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน และ ๑๒ เดือน รวมทั้งให้ขับเคลื่อนการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมภายใน ๓-๖ เดือน และเสนอผลความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์ ๔.๓ ให้ทุกส่วนราชการควบคุมการก่อสร้างโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยให้ศึกษาสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างละเอียดรอบคอบและเหมาะสมกับสภาพทางกายภาพของพื้นที่ก่อสร้าง ๔.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงกำกับให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เกิดประสิทธิภาพต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา โดยเฉพาะในประเด็นการคงอยู่ของประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๘๕/๒๕๕๗ เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราวด้วย ๔.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการเร่งรัดเพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนเกษตรกรตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร หากมีประเด็นปัญหาในข้อกฎหมาย ให้เสนอสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา แล้วจัดทำเป็นข้อเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๔.๖ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและทุกส่วนราชการเชิญชวนให้พสกนิกรชาวไทยร่วมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๘๗ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ และมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ด้วยการตั้งปณิธานที่จะทำความดีอย่างน้อย ๑ อย่างที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและสังคมโดยรวมให้ดีขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
| 507 | มาตรการเร่งรัดการออกกฎหมายเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล | นร05 | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้ทุกส่วนราชการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการดำเนินการตามมาตรการเร่งรัดการออกกฎหมายตามมติการประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง รายงานผลการบริหารราชการแผ่นดินและการผลักดันนโยบายของคณะรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย) ๑.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งแจ้งยืนยันร่างกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มาที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว รวมทั้งเร่งจัดทำร่างกฎหมายใหม่หรือปรับปรุงร่างกฎหมายและเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ทั้งนี้ การเสนอร่างกฎหมายจะต้องยึดหลักการตามกรอบแนวทางตามมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดให้ทุกส่วนราชการจัดทำแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี (ตุลาคม ๒๕๕๗-ตุลาคม ๒๕๕๘) โดยให้จัดกลุ่มกฎหมายแบ่งออกเป็น กฎหมายที่ล้าสมัย กฎหมายที่ลดความเหลื่อมล้ำของสังคมหรือให้สังคมดีขึ้น กฎหมายที่เกี่ยวกับการค้า การลงทุน หรืออนุวัติการตามหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ และกฎหมายที่วางแนวทางการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ ทั้งนี้ ให้จัดทำเป็นตารางและกำหนดกรอบระยะเวลาแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งการดำเนินการตรวจพิจารณาร่างกฎหมายที่มีความจำเป็นเร่งด่วนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ เพื่อให้ส่วนราชการจะได้แจ้งยืนยันร่างกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มาที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว หรือเพื่อเสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป รวมทั้งให้จัดทำกลุ่มประเภทกฎหมายตามกรอบแนวทางตามมติคณะรัฐมนตรีในข้อ ๑.๑ ตลอดจนจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนและกรอบระยะเวลาในการเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรี แล้วเสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ในฐานะรัฐมนตรีผู้ประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อเร่งรัดร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้สามารถออกบังคับใช้เป็นกฎหมายโดยเร็ว รวมทั้งเร่งรัดการพิจารณาหนังสือสัญญาระหว่างประเทศตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 508 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2557 | กค | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ของส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป้าหมายการเบิกจ่ายรายจ่ายภาพรวม ร้อยละ ๙๕.๐๐ ของวงเงินงบประมาณ และรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๘๒.๐๐ ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒,๒๔๖,๓๐๖.๒๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๘.๙๖ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๕๒๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๖.๐๔ ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๙๖๒,๒๕๖.๖๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๓.๗๓ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๒,๐๙๓,๔๕๒.๓๑ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๘๔,๐๔๙.๕๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๕.๘๒ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๓๑,๕๔๗.๖๙ ล้านบาท ๑.๒ เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วยเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๖ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๓๐๒,๓๓๙.๖๘ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๑๓,๖๘๔.๒๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๐.๖๘ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ๑.๓ เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗ จำนวน ๔,๕๙๖.๕๗ ล้านบาท ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๓๓๗,๑๑๕.๘๓ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓๓๒,๒๘๕.๙๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๘.๕๗ ของวงเงินที่จัดสรร ๑.๔ เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติจำนวน ๓๔๙,๙๙๘.๙๙ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗ จำนวน ๖,๗๙๓.๒๒ ล้านบาท ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๓๔๘,๗๒๔.๒๙ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๒,๒๙๕.๒๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖.๓๙ ของวงเงินที่จัดสรร ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนไปในทุก ๆ ไตรมาส ตามแนวทางของมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) รวมทั้งให้เร่งรัดการพิจารณาทบทวนเงินกันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๖ ตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 509 | การรายงานผลการบริหารราชการแผ่นดินและการผลักดันนโยบายของคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ [ผลการดำเนินงานในเดือนตุลาคม 2557 ของรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล)] | นร04 | 04/11/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) รายงานผลการบริหารราชการแผ่นดินและการผลักดันนโยบายของคณะรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (โดยการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณ) ความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (โดยการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย) การแก้ไขปัญหาสินค้ายางพารา การดำเนินการด้านพลังงาน การเร่งรัดโครงการด้านการคมนาคมขนส่ง การดำเนินการด้านการพาณิชย์ การดำเนินงานด้านอุตสาหกรรม การดำเนินการด้านการคลัง และการดำเนินการด้าน ICT ๒. ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติไว้แล้วอย่างต่อเนื่อง เช่น การเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับโครงการขนาดเล็กที่สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที เป็นต้น ทั้งนี้ ให้ระมัดระวังปัญหาการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นจากการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงานเผยแพร่ข้อมูลที่สร้างความตระหนักเรื่องการประหยัดพลังงานและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานของไทยในปัจจุบัน รวมทั้งให้พิจารณาแนวทางส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และให้เร่งทบทวนโควตาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนซึ่งได้รับอนุมัติไปแล้วแต่ยังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการใน ๓ ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ สำหรับโครงการที่คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีความโปร่งใส ให้เร่งดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลผลงานของผู้ประกอบการทางการเกษตรซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลและประสบความสำเร็จ เช่น ผู้ประกอบการแปรรูปยางที่ได้รับสินเชื่อและนำไปลงทุนแล้วประสบความสำเร็จ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีและเป็นการเผยแพร่ผลงานของรัฐบาลอีกทางหนึ่ง ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งสรุปผลการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวในสต็อกของรัฐบาลเพื่อแจ้งผลต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และให้เร่งระบายข้าวในสต็อกโดยเร็วเพื่อลดปัญหาการเสื่อมคุณภาพ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยให้ประสานคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอระบายข้าวที่เสร็จสิ้นกระบวนการตรวจสอบแล้ว ทั้งนี้ ต้องไม่ให้กระทบกับราคาข้าวทั้งในส่วนที่มีอยู่เดิมและข้าวในฤดูกาลใหม่ที่จะออกมาสู่ท้องตลาด นอกจากนี้ ให้เร่งตรวจสอบสต็อกยางพาราเพื่อจะได้เร่งระบายต่อไป ๖. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) เกี่ยวกับการส่งเสริมการปลูกพืชทดแทนตามแผนการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ของพืชเกษตร และเร่งดำเนินโครงการต้นแบบศูนย์การเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ให้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับการปลูกพืชทดแทน พืชหมุนเวียน และเกษตรผสมผสาน โดยนำองค์ความรู้จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ และปราชญ์ชาวบ้านมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๗. ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยพิจารณาทบทวนความตกลงระหว่างประเทศที่ได้ทำไว้กับประเทศต่าง ๆ ในด้านการคมนาคมว่าเรื่องใดสามารถดำเนินการต่อไปได้หรือเรื่องใดควรพิจารณาปรับปรุงแก้ไข โดยให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลักและไม่ให้ส่งผลประทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ๘. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเร่งรัดการดำเนินการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเพื่อให้เริ่มดำเนินการได้โดยเร็ว ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗] และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ๙. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาเกี่ยวกับกรณีที่ราชอาณาจักรกัมพูชาประสงค์ให้ประเทศไทยไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตน้ำผลไม้ในราชอาณาจักรกัมพูชา โดยให้ประสานผู้ที่สนใจจะไปลงทุนดังกล่าว ๑๐. ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทยเร่งสำรวจและดำเนินการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดบริเวณเส้นทางที่เป็นจุดตัดทางรถไฟ โดยให้หามาตรการป้องกันและติดตั้งสัญญาณเตือนและอุปกรณ์ป้องกันเพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้ที่ต้องสัญจรผ่านบริเวณดังกล่าวโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||
| 510 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงิน และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันการก่อสร้างโครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์ภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2556 - 2560 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กระทรวงศึกษาธิการ | ศธ | 14/10/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเพิ่มวงเงิน และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันโครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์ ภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กระทรวงศึกษาธิการ จากวงเงินรวม ๒,๑๖๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงินรวม ๓,๐๐๑,๓๒๙,๖๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารศูนย์การแพทย์ พร้อมระบบสาธารณูปการ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ โดยใช้เงินรายได้สมทบตามสัดส่วนที่เคยได้รับการจัดสรรงบประมาณ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศในระยะยาว (๕-๑๐ ปี) ตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้มีความชัดเจนว่าในระยะต่อไป สมควรจะมีการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศกี่แห่ง เพื่อความเป็นเลิศด้านใด และจัดทำในพื้นที่ใด ตามลำดับความสำคัญเร่งด่วน ทั้งนี้ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ที่จำเป็นจะต้องจัดตั้งขึ้นอีก ควรมีการกระจายตัวทั่วทุกภาคของประเทศสอดคล้องกับแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดและจังหวัดที่เกี่ยวข้อง และให้โรงพยาบาลและสถานศึกษาในจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมเป็นเครือข่ายเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ได้อย่างเต็มศักยภาพ และให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการนำยุทธศาสตร์ดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
| 511 | ขอเสนอร่างแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี 2558 - 2560 เข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ | นร51 | 23/09/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ประกอบด้วย ๙ กลยุทธ์ ได้แก่ การแก้ปัญหาด้านยาเสพติด ด้านผู้หลบหนีเข้าเมือง ด้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ ด้านความมั่นคงพิเศษ ด้านการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้านการสนับสนุน ส่งเสริมการดำเนินการตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ด้านการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ ด้านการดำเนินการภาคประชาชนเพื่อความมั่นคงของชาติ และด้านการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอ ๒. ให้ กอ.รมน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมสำหรับเผชิญสถานการณ์เร่งด่วน ควรมีการบูรณาการร่วมกับส่วนราชการในการจัดทำแผนร่วมกัน มีการกำหนดบทบาทของทุกส่วนราชการที่ชัดเจน รวมทั้งให้มีการซ้อมแผนอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนให้ภาคประชาชนและอาสาสมัครประจำหมู่บ้านดำเนินการเพื่อความมั่นคง หากมีเหตุการณ์รุนแรงจนถึงขั้นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต บุคคลเหล่านั้นควรได้รับการดูแลช่วยเหลือเพื่อชดเชยและให้ขวัญกำลังใจทั้งการให้ความช่วยเหลือด้านตัวเงินและด้านอื่น ๆ การปรับปรุงสารสนเทศข้อมูลแรงงานต่างด้าว ควรพัฒนาโปรแกรมการบันทึกข้อมูลสารสนเทศและการใช้ประโยชน์ของฐานข้อมูลร่วมกันของทุกส่วนราชการภายใต้ความมั่นคงด้านข้อมูลสารสนเทศเดียวกัน การรักษาพยาบาลและการควบคุมป้องกันโรคระบาดในกลุ่มประชากรตามแนวตะเข็บชายแดน ต้องให้การรักษาพยาบาลตามหลักมนุษยธรรม การควบคุม ป้องกัน สอบสวนและเฝ้าระวังโรคจะต้องมีแผนการแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างส่วนราชการต่าง ๆ และควรมีแผนการแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างจังหวัดของประเทศเพื่อนบ้านในการควบคุมกรณีมีการระบาดของโรค และการแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในส่วนของการจัดบริการรักษาพยาบาลสำหรับผู้บาดเจ็บที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ โดยเฉพาะการดูแลและการเคลื่อนย้าย ณ จุดเกิดเหตุ ต้องดำเนินงานร่วมกับฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจและอาสาสมัครในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการต่าง ๆ ตามอำนาจหน้าที่ตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีไว้ให้สอดคล้องกับแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ โดยให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการและคำนึงถึงสภาพปัญหารวมทั้งภัยคุกคามต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ความมั่นคง ความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นต้น ทั้งนี้ ภารกิจใดมีความจำเป็นเร่งด่วน ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จและเป็นรูปธรรมโดยเร็วภายใน ๓ เดือน ๔. การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับไปกำกับดูแลและบูรณาการการดำเนินงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น ให้เป็นเอกภาพและสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้แผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 512 | รายงานแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 23/09/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๑.๑ รับทราบแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ได้จัดทำแผนฯ ครบทั้ง ๔๑๙ หน่วยงาน/รายการ ตามวงเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นเงิน ๒,๕๗๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยจำแนกเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน ๒,๑๒๕,๕๒๔.๒๔ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๔๔๙,๔๗๕.๗๖ ล้านบาท ทั้งนี้ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ได้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในมิติบูรณาการ ๑๔ แผนบูรณาการ วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๔๘๖,๖๘๑.๙๗ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบการเร่งรัด และกำกับดูแลการบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ และผู้ว่าราชการจังหวัด ติดตามและกำกับดูแลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่กำหนดไว้ รวมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณเป็นรายเดือน ส่งให้สำนักงบประมาณเพื่อใช้ในการติดตามความก้าวหน้าของการปฏิบัติงาน และสรุปรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายไตรมาสต่อไป ๑.๒.๒ หากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ มีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ก็ให้เสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบ และส่งสำนักงบประมาณเห็นชอบการปรับแผนฯ ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ๑.๒.๓ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ นำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่สำนักงบประมาณได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดทำแผนการปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงาน ๒. สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ทั้งในส่วนราชการที่มีการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณมูลค่าโครงการไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท และที่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งงบประมาณรายจ่ายก่อนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐเร่งดำเนินการขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพันกับกระทรวงการคลังทุกงบรายจ่ายโดยด่วน ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐดำเนินการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่ได้ขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีดังกล่าวตามข้อ ๒ และส่งสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๗ เพื่อนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) พิจารณารายการที่มีความจำเป็นและเหมาะสมสอดคล้องกับการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งนโยบายของรัฐบาล ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 513 | มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 02/09/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติในการเร่งรัดการดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และเบิกจ่ายเงินได้ตามกรอบระยะเวลาและแผนที่กำหนดไว้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การเร่งรัดการก่อหนี้และการเบิกจ่ายเงิน ๑.๑.๑ ให้เร่งรัดการก่อหนี้ให้ได้ภายในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการฝึกอบรม ประชุมสัมมนา และเบิกจ่ายงบอบรมและประชุมสัมมนาในประเทศให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรภายในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๑.๓ ให้หน่วยงานที่มีเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีเร่งรัดการเบิกจ่าย เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี โดยเฉพาะในส่วนของรายจ่ายประจำที่ก่อหนี้ผูกพันแล้ว ๑.๒ การเตรียมความพร้อมในการจัดหาพัสดุ ด้วยขณะนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ดังนั้น ให้หน่วยงานที่จะจัดหาพัสดุเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนที่เป็นเรื่องภายในของหน่วยงานให้พร้อมไว้ก่อน เช่น การกำหนดรายละเอียดหรือคุณลักษณะเฉพาะ (Specification) คุณสมบัติผู้เสนอราคา เงื่อนไขในการจัดซื้อจัดจ้าง รูปแบบและเนื้อหาของสัญญาที่จะลงนาม เป็นต้น เพื่อให้สามารถก่อหนี้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ๑.๓ การติดตามเร่งรัดการดำเนินงาน ๑.๓.๑ ให้หน่วยงานรายงานผลการก่อหนี้ให้กระทรวงการคลังทราบภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๓.๒ ให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามและกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดให้ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินโดยเคร่งครัด ๑.๓.๓ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในลักษณะเดียวกับข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ โดยมอบหมายให้คลังจังหวัดทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการหรือคณะทำงานในการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณในภาพรวมของจังหวัดทั้งมิติส่วนราชการ (Function) และมิติพื้นที่ (Area) ๑.๓.๔ ให้กรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาส ๒. คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๑ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐเพื่อก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนไปในทุก ๆ ไตรมาส ทั้งนี้ ให้จัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการ หากแผนงาน/โครงการใดสามารถดำเนินการได้ทันที ก็ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรก ส่วนโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินงาน ก็ให้เตรียมการดำเนินงานคู่ขนานกันไปในเวลาเดียวกัน เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ทั้งนี้ หากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐไม่สามารถดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามแผนที่กำหนดไว้จะถือเป็นเหตุหนึ่งในการพิจารณาปรับลดงบประมาณของหน่วยงานในปีงบประมาณต่อไป ๒.๒ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการก่อหนี้ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ยกเว้นกรณีที่ต้องมีการจัดซื้อจัดหาพัสดุเพื่อใช้ในราชการลับ พัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศหรือดำเนินการโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศ พัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ ๒.๓ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการจัดฝึกอบรมประชุมสัมมนา และเบิกจ่ายงบอบรมและประชุมสัมมนาในประเทศโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้หน่วยงานต่าง ๆ พิจารณาการให้ประชาชนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นในการจัดฝึกอบรมประชุมสัมมนาด้วย ๒.๔ ในกรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐมีปัญหาไม่สามารถดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่เสนอขอตั้งงบประมาณไว้ได้ และมีความประสงค์จะขอโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐจัดทำคำขอไปยังสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณดังกล่าวจะต้องอยู่ในหมวดหมู่หรือรายการเดียวกัน และห้ามโอนเปลี่ยนแปลงแผนงาน/โครงการข้ามวัตถุประสงค์ของแผนงาน/โครงการเดิม |
||||||||||||||||||||||||
| 514 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สองของปี 2557 | นร11 | 02/09/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๗ ซึ่งครอบคลุมความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ บทความพิเศษเรื่อง “เด็กปฐมวัย...จุดเริ่มต้นการพัฒนาตามช่วงวัย” และประเด็นทางสังคมที่ต้องเฝ้าระวังในระยะต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ ๑.๑.๑ การจ้างงานลดลงร้อยละ ๒.๘ อัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ ๑.๐ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับร้อยละ ๐.๗๔ ในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แรงงานมีชั่วโมงการทำงานเฉลี่ย ๔๔.๓ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลาและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่หักด้วยเงินเฟ้อแล้วเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ ๙.๘ ๑.๑.๒ การก่อหนี้ของครัวเรือนชะลอลง จากข้อมูลยอดคงค้างสินเชื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ เท่ากับ ๓,๓๓๔,๐๒๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๘ ชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ ๖ ส่วนหนึ่งจากการสิ้นสุดของมาตรการรถยนต์คันแรก ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับรายได้และการมีงานทำในอนาคต ทำให้ครัวเรือนชะลอการใช้จ่าย แม้การก่อหนี้ยังไม่ส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อภาพรวม แต่ยังต้องเฝ้าระวังการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นเร็ว ซึ่งสะท้อนความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนที่ลดลง ๑.๑.๓ การสร้างความเป็นพลเมืองที่ดีตามระบอบประชาธิปไตย ด้วยการทบทวนการปลูกฝังเรื่องหน้าที่พลเมืองควบคู่กับประวัติศาสตร์ชาติไทยและโลก ความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ มีจิตสำนึกความรับผิดชอบ เห็นประโยชน์ของประเทศชาติ พร้อมทั้งบรรจุค่านิยมของคนไทย ๑๒ ประการตามนโยบายหัวหน้าคณะรักษาความสบแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติให้อยู่ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๑.๑.๔ ผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๖ ร้อยละ ๒๕.๘ แต่ยังต้องเฝ้าระวังโรคที่แพร่ระบาดในช่วงฤดูฝนซึ่งพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดอักเสบ และโรคมือ เท้า ปาก ๑.๑.๕ มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตร้อยละ ๒๘.๙ ของประชากร ๖ ปีขึ้นไป โดยใช้ผ่านสมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์พกพาเพิ่มขึ้น กิจกรรมที่ใช้ร้อยละ ๗๐ เพื่อการบันเทิงและการติดต่อสื่อสาร ขณะที่การทำธุรกรรมทางการเงิน การซื้อขายสินค้าเพิ่มขึ้น แต่ยังมีปัญหาการหลอกลวง สื่อลามก และการดูแลไม่ให้เด็กเข้าถึงสื่อที่ไม่เหมาะสม จำเป็นต้องให้ความรู้ กำกับดูแลและใช้อย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันและลดปัญหาที่จะเกิดขึ้น ๑.๑.๖ คดีอาญาโดยรวมลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๖ ร้อยละ ๑๒.๖ ขณะที่ปัจจุบันคดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญโดยเฉพาะคดีชีวิตร่างกายและเพศมีแนวโน้มของความรุนแรงมากขึ้น การป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างครบวงจรเพื่อสร้างความมั่นคงทางสังคมด้านการปราบปราม การบำบัดรักษา การป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกัน ยังต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ๑.๑.๗ การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๑ แต่จำนวนผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ ๑๗.๙ สาเหตุจากการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขณะที่การเกิดอุบัติเหตุจากรถตู้สาธารณะมีสถิติการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่ารถโดยสารประเภทอื่น จึงต้องมีการจัดระเบียบรถตู้สาธารณะอย่างจริงจังต่อเนื่อง รวมทั้งริเริ่มขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจากการใช้ความเร็วในทุกภาคส่วน ๑.๑.๘ การค้ามนุษย์ ประเทศไทยได้รับการประเมินต่ำสุดอยู่ในระดับกลุ่มที่ ๓ โดยถูกระบุว่ามีสถานการณ์การค้ามนุษย์ในระดับรุนแรง และไม่มีความก้าวหน้าในการรับมือกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ ๑.๑.๙ การแสวงหาผลประโยชน์จากการตั้งครรภ์แทน (อุ้มบุญ) เชิงพาณิชย์โดยใช้ช่องทางบริการทางการแพทย์ในทางที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมีมากขึ้น จำเป็นต้องมีการผลักดันการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับกระบวนการรับตั้งครรภ์แทนทั้งระบบ และเข้มงวดในการควบคุมสื่อออนไลน์ เพื่อมิให้เป็นช่องทางนำไปสู่ธุรกิจรับจ้างตั้งครรภ์หรืออุ้มบุญเชิงพาณิชย์ ๑.๑.๑๐ ปัญหาขยะมูลฝอยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในปี ๒๕๕๖ พบขยะมูลฝอย ๒๖.๘ ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๕ ร้อยละ ๘.๕ อัตราการผลิตขยะเพิ่มขึ้นจาก ๑.๐๓ กิโลกรัมต่อคนต่อวันในปี ๒๕๕๑ เป็น ๑.๑๕ กิโลกรัมต่อคนต่อวันในปี ๒๕๕๖ โดยสามารถกำจัดขยะอย่างถูกต้องเพียงร้อยละ ๒๖.๙ ซึ่งยังต้องการระบบการจัดการขยะมูลฝอยอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ๑.๒ บทความพิเศษเรื่อง “เด็กปฐมวัย...จุดเริ่มต้นการพัฒนาตามช่วงวัย” เด็กปฐมวัยยังประสบปัญหาทั้งด้านภาวะทุพโภชนาการและด้านสติปัญญา ส่วนหนึ่งเนื่องจากพ่อแม่ยังขาดความรู้เรื่องอนามัยเจริญพันธุ์และไม่ให้ความสำคัญกับการวางแผนครอบครัว รวมทั้งสภาพการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม ทำให้เด็กไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งดำเนินการส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการสมวัยทั้งด้านสติปัญญาและอารมณ์อย่างครบวงจร ทั้งในด้านการพัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมทั่วถึงและมีคุณภาพ เน้นความสำคัญของสถาบันครอบครัวทั้งในเรื่องอนามัยการเจริญพันธุ์ การเลี้ยงดูเด็ก ขณะเดียวกันครูและโรงเรียนต้องเข้าใจถึงบทบาทของตนในการส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก ภาครัฐควรอุดหนุนและให้ความช่วยเหลือเด็กในครัวเรือนยากจนอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริม/สนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนมากขึ้น ๑.๓ ประเด็นสังคมที่ต้องเฝ้าระวังในระยะต่อไป ประกอบด้วย การเร่งเพิ่มผลิตภาพแรงงานเกษตร การป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างครบวงจร การระดมความร่วมมือดำเนินแนวทางมาตรการการลดอุบัติเหตุการจราจรทางบกจากรถตู้สาธารณะอย่างจริงจังต่อเนื่อง การผลักดันการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับกระบวนการรับตั้งครรภ์แทนทั้งระบบ การเร่งรัดการจัดการขยะมูลฝอยให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และการเร่งส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการสมวัยทั้งด้านสติปัญญาและอารมณ์อย่างครบวงจร ๒. ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ในด้านสังคมที่เกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการของเยาวชนไทยให้มีความเหมาะสมในแต่ละช่วงวัยทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีความสูงโดยเฉลี่ยเพิ่มมากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
| 515 | รายงานการดำเนินโครงการในความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | สลธ.คสช. | 02/09/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบตามที่รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) คณะรักษาความสงบแห่งชาติรายงานว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้ส่วนราชการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้เบิกจ่ายหรือให้ก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยในส่วนของโครงการลงทุนที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นชอบในหลักการแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการให้สามารถดำเนินงาน/ทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันได้ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ และสำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ทุกหน่วยงานเตรียมการเพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ นั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งรัดดำเนินการโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบแล้ว โดยเฉพาะโครงการลงทุนที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๔ โครงการ ได้ดำเนินการตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจนได้ผู้รับจ้างเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ โดยสามารถลดวงเงินโครงการจากที่ได้รับอนุมัติไว้รวม ๙,๕๓๔ ล้านบาท คงเหลือวงเงินรวม ๗,๐๙๔ ล้านบาท ทำให้สามารถประหยัดงบประมาณเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๔๔๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
| 516 | การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง | กค | 02/09/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีนโยบายให้ส่วนราชการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ในทางปฏิบัติพบว่าส่วนราชการประสบปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง ได้แก่ การจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ที่ใช้ระยะเวลานาน การจัดซื้ออุปกรณ์ทางเทคนิคจากภายนอกประเทศที่ผลิตเพื่อใช้งานเป็นการเฉพาะสำหรับกรณีไม่สามารถประกาศราคากลางได้เนื่องจากไม่มีราคาเทียบเคียงและกรอบวงเงินในอำนาจการสั่งซื้อหรือจัดจ้างของผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบันที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพต้องรับผิดชอบการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่มีมูลค่าสูงมาก จึงมอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดังนี้
๑. ปรับปรุงระยะเวลาในขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการ e-Auction ให้มีความกระชับและสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง ๒. พิจารณาปรับปรุงเกี่ยวกับการประกาศราคากลางสำหรับกรณีเฉพาะข้างต้นที่ไม่สามารถกำหนดราคากลางได้ โดยให้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติด้วย ๓. ตรวจสอบการเทียบเคียงอำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างของผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเสนอแนวทางการปรับปรุงให้มีความเหมาะสมแก่ระดับความรับผิดชอบและสภาพข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ให้การดำเนินการโดยยึดหลักความโปร่งใส เป็นธรรม และประสิทธิภาพ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 517 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 19/08/2557 | |||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้ทุกฝ่ายประสานงานกระทรวงและหน่วยงานในกำกับเพื่อรวบรวมผลการดำเนินงานของกองทุนที่อยู่ในความรับผิดชอบ แล้วส่งให้กระทรวงการคลังเพื่อวิเคราะห์และเสนอแนวทางการปรับปรุง พัฒนา หรือยุบเลิกกองทุน นั้น ๑.๑.๑ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลังเร่งดำเนินการตามมติดังกล่าว โดยเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ ให้ทุกฝ่ายประสานงานกระทรวงและหน่วยงานในกำกับให้จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคณะกรรมการที่กำกับดูแลหรือบริหารจัดการกองทุน ประกอบด้วยกฎและระเบียบที่กำหนดโครงสร้างและการบริหารของคณะกรรมการ แล้วส่งให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาเพื่อบูรณาการการทำงานในภาพรวมเพื่อลดความซ้ำซ้อนและปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อให้การทำงานของคณะกรรมการกองทุนเกิดผลสัมฤทธิ์ในการใช้กองทุนเป็นปัจจัยหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาประเทศ ๑.๒ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้เสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๗ ไปแล้ว นั้น ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้ทุกหน่วยงานนำข้อสังเกตจากการอภิปรายไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยจัดลำดับความสำคัญโครงการที่มีความพร้อมในการดำเนินการ และเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ให้สงวนสิทธิ์การลงนามในสัญญาจนกว่าจะได้รับการอนุมัติเงินงวดจากสำนักงบประมาณ ๑.๒.๒ ในการจัดทำมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี ๒๕๕๘ ให้สำนักงบประมาณเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับทุกหน่วยงานเกี่ยวกับการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณว่าสามารถกระทำได้เฉพาะในยุทธศาสตร์เดียวกัน และในการรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายไตรมาสนั้น นอกจากให้รายงานความคืบหน้าเป็นร้อยละของการเบิกจ่ายแล้ว ให้รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการของแผนงาน/โครงการที่เป็นรูปธรรมด้วย ๑.๓ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลัง ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวบรวมผลกระทบทั้งทางด้านเศรษฐกิจมหภาคและภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายรถคันแรก เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขในระยะต่อไป เช่น การดำเนินการเพื่อเรียกคืนเงินภาษีกรณีผู้ใช้สิทธิตามนโยบายจำนวนมากขอสละสิทธิ์หรือไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการถือครองครบ ๕ ปี ๑.๔ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทยประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์จัดให้มีการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาถูกในทุกจังหวัด เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชน รวมทั้งเป็นการเร่งรัดให้เกิดการใช้จ่ายในภาคประชาชนอันจะส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวมต่อไป ๑.๕ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการผลิตภาพยนตร์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ภาพลักษณ์ วัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย ทั้งนี้ อาจเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอแนวคิดสำหรับภาพยนตร์ โดยใช้ต้นทุนการผลิตไม่เกิน ๑๐ ล้านบาท ๑.๖ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินมาตรการดูแลราคาผลิตผลทางการเกษตร นั้น ๑.๖.๑ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินมาตรการดูแลราคาผลิตผลทางการเกษตรให้เป็นรูปธรรม ทั้งในด้านการระบายสินค้าในสต็อก เช่น การระบายสินค้าเกษตรให้แก่ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีความต้องการใช้หรือบริโภคเป็นจำนวนมาก อาทิ การขายข้าวให้แก่กรมราชทัณฑ์เพื่อใช้เป็นอาหารให้แก่ผู้ต้องขัง การยกระดับราคาผลิตผลทางการเกษตร รวมทั้งขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เช่น พ่อค้าคนกลาง ผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่รับซื้อสินค้าเกษตรในราคาที่เป็นธรรม และกำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยในช่วงที่เศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ๑.๖.๒ ให้คณะอนุกรรมการร่วมจัดทำยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรเป็นรายพืชเศรษฐกิจ ๔ สินค้า (Roadmap) คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และอ้อย คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำแผนยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรและแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการทุกประเภทอย่างเป็นระบบ เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและยกระดับรายได้ให้กับเกษตรกรด้วย ๑.๗ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทยส่งเสริมการปลูกพืชทดแทนตามแผนการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ของพืชเกษตร นั้น ให้ทั้งสองหน่วยงานเร่งดำเนินโครงการต้นแบบเพื่อสร้างความรู้ให้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับการปลูกพืชทดแทน พืชหมุนเวียน และเกษตรผสมผสาน โดยนำองค์ความรู้จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ และปราชญ์ชาวบ้านมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๑.๘ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางในการจัดหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรในลักษณะที่ไม่ได้ให้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน นั้น เพื่อให้การจัดที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรมีความเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณากำหนดแนวทางการจัดพื้นที่ทำกินในลักษณะป่าเศรษฐกิจตามแนวทางของโครงการธนาคารอาหารชุมชนตามพระราชดำริ (Food Bank) โดยปรับปรุงพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ถูกบุกรุกและเสื่อมสภาพแล้วให้เกษตรกรใช้ทำประโยชน์ในที่ดินโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ เพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกร รวมทั้งใช้เป็นแนวป่ากันชนป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มเติมด้วย ๑.๙ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวและมาตรการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว นั้น เพื่อให้การสร้างความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวมีความชัดเจนเป็นรูปธรรม จึงให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดรูปแบบการประกันภัยให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผ่านกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้รับความคุ้มครองในทุกกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่บริษัทประกันภัยเอกชนไม่รับประกัน ๒. ด้านโครงสร้างพื้นฐานและพลังงาน ๒.๑ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงพลังงานเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินที่เกิดจากการลงทุนด้านพลังงาน โดยเฉพาะกรณีท่อส่งก๊าซของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ ปตท. แยกกิจการท่อส่งก๊าซธรรมชาติออกมาเป็นบริษัทใหม่เพื่อให้ธุรกิจท่อส่งก๊าซมีการแข่งขันที่เป็นธรรมในอนาคต ทั้งนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังอาจเข้าไปถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวเพื่อรักษาประโยชน์ของประชาชนในฐานะผู้บริโภคด้วย ๒.๒ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้กระทรวงคมนาคมจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ เพื่อเผยแพร่ผ่านสื่อ ซึ่งได้มีการดำเนินการไปแล้ว นั้น เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการลงทุนด้านการขนส่งสาธารณะ ทั้งในส่วนของการปรับปรุงเส้นทางรถไฟเดิม การสร้างทางรถไฟทางคู่ และการสร้างรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงคมนาคมดำเนินการประชาสัมพันธ์ในเรื่องนี้ โดยเฉพาะเส้นทางที่จะดำเนินการทั้งหมดและกรอบระยะเวลาในการดำเนินการของแต่ละเส้นทางที่ชัดเจน ๓. ด้านความมั่นคง ๓.๑ ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พิจารณาทบทวนแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคใต้ โดยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งดำเนินการตามแนวทางที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติมอบหมายไว้เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ ในการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุน โดยเริ่มต้นจากพื้นที่ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงจัดเป็นพื้นที่ปลอดภัย เพื่อสร้างอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขยายไปสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่องและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในระยะต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 518 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และขออนุมัติวงเงินงบประมาณค่าก่อสร้างใหม่ โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องทางจราจร (ระยะที่ 2) ของกรมทางหลวง | คค | 13/08/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. อนุมัติในหลักการและให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้เปลี่ยนแปลงสัดส่วนการเบิกจ่ายจากแหล่งเงินกู้ร้อยละ ๕๐ และเงินงบประมาณร้อยละ ๕๐ เป็นเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณทั้งจำนวน เนื่องจากสิ้นสุดระยะเวลาโครงการเงินกู้ธนาคารโลกเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ และธนาคารโลกไม่ขยายระยะเวลากู้เงิน ประกอบกับกรมทางหลวงมีงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับไว้ส่วนหนึ่งแล้ว รวมทั้งการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๒ อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันสำหรับโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) จำนวน ๕ สายทาง ได้แก่ ทางหลวงหมายเลข ๒๐๑ สาย อ. สีคิ้ว-ชัยภูมิ ตอน อ. สีคิ้ว-บ. หนองบัวโคก จ. นครราชสีมา, ทางหลวงหมายเลข ๒๔ สาย อ. สีคิ้ว-อุบลราชธานี ตอน อ. นางรอง-อ. ปราสาท จ. บุรีรัมย์ จ. สุรินทร์, ทางหลวงหมายเลข ๓๓๑ สายแยกทางหลวงหมายเลข ๓๖-ทางหลวงหมายเลข ๓ (อ. สัตหีบ) จ. ชลบุรี, ทางหลวงหมายเลข ๔ สายพังงา-กระบี่ ตอน ๓ (ทับปุด-อ่าวลึก) จ. พังงา จ. กระบี่ และทางหลวงหมายเลข ๔๐๘ สายนครศรีธรรมราช-สงขลา ตอน อ. ระโนด-อ. สทิงพระ จ. สงขลา จากเดิมวงเงิน ๕,๒๐๐.๐๐๐๐ ล้านบาท เป็นวงเงิน ๖,๑๘๙.๒๐๐๐ ล้านบาท ตามนัยของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งไม่เกินหลักการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ โดยขอทำความตกลงกรมบัญชีกลางเพื่อเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๙๒.๐๘๔๐ ล้านบาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑,๔๙๖.๐๓๔๓ ล้านบาท ที่ได้รับจัดสรรแล้ว ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๔,๖๐๑.๐๘๑๗ ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๐ และให้กรมทางหลวงเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ให้กรมทางหลวงดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ประสานงานกับคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) เพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยความโปร่งใสและถูกต้อง รวมทั้งการจัดทำขอบเขตงาน (TOR) ให้มีความรัดกุม และประกาศเชิญชวนผ่านสื่อทุกประเภท เพื่อให้ประชาชนและผู้สนใจได้รับทราบล่วงหน้าโดยทั่วกัน และมีการแข่งขันการประมูลอย่างเป็นธรรมตามความเห็นของ คตร. ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 519 | การติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ | กค | 05/08/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ถึง ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ มีรายจ่ายภาพรวม จำนวน ๑,๗๒๐,๐๓๒.๘๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๘.๑๒ ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๑.๘๘ (เป้าหมายไตรมาสที่ ๓ ร้อยละ ๗๐.๐๐) และมีรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๐๙,๑๖๙.๒๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๘.๘๒ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๒๑.๑๘ (เป้าหมายไตรมาสที่ ๓ ร้อยละ ๗๐.๐๐) ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง ได้ออกมาตรการสนับสนุนการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดังนี้ ๑.๑ การอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ กรณีการดำเนินการคัดเลือกเบื้องต้นเพื่อหาผู้มีสิทธิเสนอราคา แล้วมีผู้มีสิทธิเสนอราคาเพียงรายเดียว หรือมีผู้มีสิทธิเสนอราคาเพียงรายเดียว เมื่อถึงเวลาเริ่มการเสนอราคา ซึ่งตามหลักเกณฑ์เดิมต้องยกเลิกการประกวดราคา แต่ตามหลักเกณฑ์ใหม่ ถ้าคณะกรรมการประกวดราคาเห็นว่ามีเหตุผลสมควรที่จะดำเนินการต่อไป ให้คณะกรรมการฯ ต่อรองราคากับผู้มีสิทธิเสนอราคารายนั้น แล้วเสนอหัวหน้าหน่วยงานพิจารณาในขั้นตอนต่อไปได้ ซึ่งจะทำให้การจัดหาพัสดุรวดเร็วขึ้น ๑.๒ การขอยกเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ หรือคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้เร่งเสนอเรื่องให้กรมบัญชีกลางโดยด่วน เพื่อให้ทันกับการดำเนินการก่อหนี้ และเบิกจ่ายภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ ได้ยกเว้นแล้ว จำนวน ๔๑๘ เรื่อง จำนวนเงิน ๔๙,๕๓๑.๓๙ ล้านบาท ๑.๓ การซ้อมความเข้าใจแนวทางการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ และอนุมัติการดำเนินการจัดหาพัสดุ กรณีวงเงินตั้งแต่ ๒ ล้านบาทขึ้นไป ไม่ต้องทำ Auction ถ้าเป็นการจ้างที่ปรึกษา การจ้างออกแบบและควบคุมงาน การซื้อการจ้างโดยวิธีพิเศษ และวิธีกรณีพิเศษ หรือการจัดหาสินค้าและบริการที่มีการแข่งขันน้อยราย มีความซับซ้อนหรือเทคนิคเฉพาะของสินค้าและบริการ หรืองานหรือโครงการ สินค้าและบริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีประเภทระบบ IT ที่เป็นลักษณะเฉพาะ หรือเป็นพัสดุที่มีความผันผวนด้านราคา หน่วยงานสามารถจัดหาพัสดุด้วยวิธีอื่น เช่น วิธีพิเศษได้โดยไม่ต้องเริ่มจาก Auction และไม่ต้องขออนุมัติคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ๑.๔ การเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ กรณีมีการอุทธรณ์ผลการพิจารณาคัดเลือกเบื้องต้น และอุทธรณ์ผลการเสนอราคา ระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ให้หน่วยงานที่จัดหาพัสดุดำเนินการขั้นตอนต่อไปได้ โดยไม่ต้องระงับการดำเนินการ ทำให้ลดระยะเวลาจาก ๘๕ วัน คงเหลือ ๔๒ วัน ๑.๕ กระทรวงการคลังจะไม่อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี ทั้งปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีก่อนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ยังไม่ได้ก่อหนี้ ถ้าหน่วยงานไม่สามารถก่อหนี้ได้ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ เว้นแต่จะมีความจำเป็น ๒. ให้ส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหนังสือของกระทรวงการคลัง (หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๒๐.๕/๙๔๔๓ ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗) อย่างเคร่งครัด เพื่อให้มีความถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 520 | รายงานผลการตรวจสอบรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2555 และ 2554 ของกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร | กค | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ ของกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ๑.๑ ฐานะการเงินของกองทุนฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ โดย ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ กองทุนฯ มีสินทรัพย์ลดลงเมื่อเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๘๔๑,๖๗๔,๙๓๐.๕๔ บาท หรือร้อยละ ๘.๑๖ ส่วนใหญ่เป็นผลจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดที่ลดลง ในขณะที่หนี้สินเพิ่มขึ้น จำนวน ๒๗๑,๗๕๕.๐๒ บาท จากการจัดซื้อครุภัณฑ์สำนักงาน ดังนั้น สินทรัพย์สุทธิลดลง จำนวน ๘๔๑,๙๔๖,๖๘๕.๕๖ บาท ๑.๒ ผลการดำเนินงานของกองทุนฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กองทุนฯ มีรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๘๘๙,๑๖๒,๒๖๖.๕๙ บาท หรือร้อยละ ๘๒.๒๙ เนื่องจากรายได้จากงบประมาณซึ่งเป็นรายได้หลักไม่ได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณเข้ากองทุนฯ ส่วนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จำนวน ๓๑๐,๘๗๕,๒๓๘.๒๔ บาท หรือร้อยละ ๔๓.๐๖ ส่วนใหญ่เป็นผลจากการอนุมัติเงินกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายโครงการ (เงินจ่ายขาด) เพิ่มขึ้น ดังนั้น กองทุนฯ จึงมีรายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายสุทธิลดลง จำนวน ๑,๒๐๐,๐๓๗,๕๐๔.๘๓ บาท ๒. สรุปข้อมูลลูกหนี้ของกองทุนฯ ๒.๑ ลูกหนี้ของกองทุนฯ ประกอบด้วย ลูกหนี้โครงการต่าง ๆ และเงินทดรองจ่าย ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ กองทุนฯ มีลูกหนี้ จำนวน ๗,๔๗๑,๓๑๘,๘๗๒.๐๘ บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๙๔๖,๓๓๖,๑๐๒.๒๑ บาท (โดยเป็นยอดอนุมัติให้ยืม จำนวน ๑,๗๑๑,๒๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท ชำระเงินคืน จำนวน ๗๖๔,๘๖๓,๘๙๗.๗๙ บาท) ๒.๒ ลูกหนี้โครงการต่าง ๆ ประกอบด้วย ลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างดำเนินโครงการและลูกหนี้ที่สิ้นสุดโครงการแล้วแต่ยังไม่นำเงินส่งคืนและปิดบัญชีโครงการ โดยลูกหนี้ที่สิ้นสุดโครงการแล้วแต่ยังไม่นำเงินส่งคืนและปิดบัญชีโครงการ ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๔๑ โครงการ เป็นเงิน ๑,๕๒๑,๖๐๕,๙๐๒.๕๐ บาท คณะอนุกรรมการเร่งรัดติดตามการชำระหนี้กองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรได้จัดทำแผนเร่งรัดติดตามการชำระหนี้คืนกองทุนฯ ขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ พบปัญหาที่หน่วยงานไม่สามารถชำระหนี้คืนกองทุนฯ ได้ มาจากเกษตรกรประสบภัยธรรมชาติน้ำท่วม ผลผลิตตกต่ำ และมีหนี้สินอื่นร่วมด้วย ส่วนการติดตามหนี้คืนกองทุนฯ อยู่ในกระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดีและบังคับคดี
|
||||||||||||||||||||||||
.....
