ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 24 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 461 - 480 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 461 | ผลการเยือนสาธารณรัฐฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือนสาธารณรัฐฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ ๖-๗ เมษายน ๒๕๕๘ เพื่อผลักดันประเด็นต่าง ๆ ตามตารางติดตามผลการเยือนฯ ให้นำไปสู่การปฏิบัติที่เกิดผลและเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมความสัมพันธ์ ได้แก่ การเยือนฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี การเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์เยือนไทยอย่างเป็นทางการและเพื่อเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-ฟิลิปปินส์ (JCBC) ครั้งที่ ๖ ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๘ รวมทั้งประสานกับฝ่ายฟิลิปปินส์เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านการค้า ครั้งแรก (JTC) ในช่วงไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๘ และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยความร่วมมือทางทหารครั้งแรก (JCMC) ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ที่ฟิลิปปินส์ ๒. การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ฟิลิปปินส์จากผลกระทบของพายุไต้ฝุ่น Hagupit ได้แก่ การส่งข้าว ๕๐๐ ตันให้แก่ฟิลิปปินส์ภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ๓. ความร่วมมือด้านการศึกษา ได้แก่ การลงนามร่างบันทึกความตกลงว่าด้วยการแลกเปลี่ยนครู และการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสอนตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา ๔. ความร่วมมือด้านวิชาการ ได้แก่ การเตรียมการจัดการประชุมว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการครั้งแรกระหว่างไทยและฟิลิปปินส์ในปี ๒๕๕๘ ๕. การท่องเที่ยว ได้แก่ การส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างไทยและฟิลิปปินส์ในลักษณะ package ๖. การผลักดันความตกลง/บันทึกความเข้าใจที่คั่งค้าง ได้แก่ การเร่งรัดการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจด้านการปราบปรามยาเสพติดและการควบคุมสารตั้งต้นสำหรับการผลิตสารเสพติด การให้สัตยาบันต่อร่างบันทึกความเข้าใจด้านบริการเดินอากาศ และการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาอาหารสัตว์ ๗. กรณีพิพาทกับบริษัทฟิลิปมอริส ได้แก่ การหารือกับฝ่ายฟิลิปปินส์เพื่อหาแนวทางการแก้ไขกรณีพิพาทกับบริษัทฟิลิปมอริส (ประเทศไทย) อย่างฉันมิตร ๘. ความร่วมมือในการให้ความช่วยเหลือพลเมืองอพยพออกจากเยเมน ได้แก่ การประสานกับฝ่ายฟิลิปปินส์เพื่อร่วมมือกันอพยพชาวไทยและชาวฟิลิปปินส์ออกจากเยเมน ๙. ความร่วมมือในเวทีระหว่างประเทศ ได้แก่ การขอรับการสนับสนุนจากฟิลิปปินส์ต่อไปในการสมัครรับเลือกตั้งของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ และสนับสนุนการสมัครของฟิลิปปินส์ในสมาชิกคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (ECOSOC) วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๐ การสมัครในคณะกรรมการอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี (CEDAW) และตำแหน่งเลขาธิการองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) และคณะมนตรีของ IMO กลุ่ม C วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๑๖ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 462 | รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ มีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วทั้งสิ้น ๑,๗๐๖,๙๓๙ ล้านบาท (รวมเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจและเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๑๖๗,๒๗๓ ล้านบาท ทั้งนี้ จากเป้าหมายการเบิกจ่ายภาพรวม และเป้าหมายการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สะสมถึงไตรมาสที่ ๒ (วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘) กำหนดไว้ร้อยละ ๕๕ ซึ่งผลการเบิกจ่ายในภาพรวมเบิกจ่ายได้ร้อยละ ๕๑.๔ ต่ำกว่าเป้าหมายตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ร้อยละ ๓.๖ และผลการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน เบิกจ่ายได้ร้อยละ ๓๑.๑ ต่ำกว่าเป้าหมายตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ร้อยละ ๒๓.๙ และพบว่า ยังมีรายจ่ายลงทุนที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นยังไม่สามารถก่อหนี้ได้ทันภายในไตรมาสที่ ๒ ตามที่สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นดำเนินการตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม และเรื่อง การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ) ทั้งนี้ หากยังคงมีความจำเป็นต้องดำเนินการตามโครงการ/รายการเดิม ซึ่งไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในไตรมาสที่ ๒ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเสนอรัฐมนตรีที่รับผิดชอบและกำกับดูแลการปฏิบัติราชการพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๘ โดยเมื่อได้รับความเห็นชอบแล้วให้ดำเนินการก่อหนี้ให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ พร้อมทั้งแจ้งผลการพิจารณาให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐรวบรวมเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) และสำนักงบประมาณรับไปตรวจสอบข้อเท็จจริงและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ว่า ให้หาข้อเท็จจริงมาว่าช้าเพราะอะไร และให้ทุกหน่วยงานชี้แจงสาเหตุทุกงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 463 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JCBC) ไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 2 | กต | 31/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JCBC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ มีนาคม ๒๕๕๘ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม เป็นประธานร่วม และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว โดยเฉพาะการเร่งรัดผลักดันประเด็นสำคัญต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติและเกิดผลเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินความสัมพันธ์ ได้แก่ การเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีเวียดนาม นายกรัฐมนตรีเวียดนาม รวมทั้งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Political Consultation Group ไทย-เวียดนาม ของเวียดนาม และการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อหารือการจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ ๔๐ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต ในปี ๒๕๕๙ ๑.๒ ด้านความมั่นคง ได้แก่ ความร่วมมือด้านกลาโหม การแก้ไขปัญหาการลักลอบทำประมงผิดกฎหมาย การลดโทษให้แก่นักโทษไทยในเวียดนาม การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ๑.๓ ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ ความร่วมมือด้านการค้า ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร และความร่วมมือด้านการลงทุน ๑.๔ ด้านความเชื่อมโยง ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาเปิดให้บริการรถโดยสารประจำทางระหว่างกัน การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาความเหมาะสมของการเดินเรือตามแนวชายฝั่งทะเล และความร่วมมือระหว่างสายการบินไทยกับเวียดนาม และการเปิดเที่ยวบินตรงระหว่างกัน ๑.๕ ด้านอื่น ๆ ได้แก่ ความร่วมมือด้านแรงงาน ความร่วมมือระดับจังหวัด และการบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการปรับแก้เนื้อหาในสรุปผลการประชุมฯ ด้านเศรษฐกิจ (หัวข้อย่อยความร่วมมือด้านการค้า) และตารางผลการประชุมฯ ประเด็นความร่วมมือด้านการค้า ให้สอดคล้องกับข้อความที่ปรากฏในบันทึกการประชุม (คำแปลอย่างไม่เป็นทางการ) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 464 | ขอเสนอโครงการตามแผนการปรับโครงสร้างและพัฒนาการผลิตสินค้าประมง | กษ | 31/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๘ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการปรับโครงสร้างประสิทธิภาพการผลิตกุ้งทะเลอย่างครบวงจร จำนวน ๓ โครงการ ประกอบด้วย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกุ้งทะเลอย่างครบวงจร โครงการพัฒนาและปรับปรุงแหล่งผลิตหอยแครง และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะเลี้ยงปลานิลแบบครบวงจร ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการขยายพื้นที่ดำเนินโครงการให้ครอบคลุมเพื่อให้ผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณภาพมาตรฐานเดียวกัน และยังเป็นการลดความเสี่ยงด้านวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมอาหารอีกด้วย รวมทั้งควรเร่งประสานภาคเอกชนและตลาดรับซื้อสินค้าประมงต่าง ๆ เพื่อให้รับทราบและร่วมวางแผนการตลาดเพื่อเชื่อมโยงช่องทางการตลาดของสินค้าประมงทั้งภายในและภายนอกไว้ล่วงหน้า และส่งเสริมให้เกิดการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าและมีช่องทางการตลาดที่เหมาะสม ตลอดจนการสนับสนุนองค์ความรู้และประสบการณ์ทั้งในด้านการผลิต การตลาด การจัดการและดำเนินธุรกิจสินค้าประมงให้กับสถาบันเกษตรกรอย่างเข้มข้นเพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองและเป็นต้นแบบในการขยายผลระยะต่อไป และควรสนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงกับเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ในทุกระดับ โดยมีภาครัฐให้การสนับสนุนในด้านวิชาการและการพัฒนาต่อยอด มีการติดตามดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามระบบมาตรฐานที่มีอยู่ นอกจากนี้ ควรมีการศึกษารวบรวมข้อมูลปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานเพื่อนำมาใช้ปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานในปีงบประมาณถัดไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้กรมประมงพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ได้จัดสรรไว้มาดำเนินการตามภารกิจและตามแผนการปฏิบัติงานที่กำหนดไว้ หากไม่เพียงพอ ให้กรมประมงพิจารณาดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติมและเรื่องการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐมาดำเนินการตามความจำเป็นเร่งด่วนและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอน ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้กรมประมงเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 465 | แผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร | อพท | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนแม่บทบูรณาการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง โดยให้จังหวัดเลยเป็นโครงการนำร่องก่อน และเพื่อให้การยกระดับการพัฒนาพื้นที่พิเศษต่าง ๆ มีการบูรณาการและมีความเชื่อมโยงทุกพื้นที่ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่พัก ที่จอดรถ ทางเดิน และสุขา เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยในการบูรณาการด้านการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่พิเศษให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นจะต้องไม่รุกล้ำพื้นที่เขตป่าสงวนหรือเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยเด็ดขาด ๒.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลักในด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด โดยเน้นการบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการดำเนินงานปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และขออนุมัติให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทยและเป็นวาระแห่งชาติ) ที่เห็นชอบให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปี “ท่องเที่ยววิถีไทย” (2015 Discover Thainess) ๓. ให้ อพท. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาทบทวนกรอบระยะเวลาของแผนแม่บทการบูรณาการการบริหารพื้นที่พิเศษอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร ที่กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๕) ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และพิจารณาทบทวนจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่นำเสนอในแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร ให้เหมาะสม รวมทั้งจัดทำรายละเอียดแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน และ ๑ ปี และกำหนดเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ และตัวชี้วัดที่ชัดเจน รวมถึงแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่กำหนดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในลักษณะปีต่อปี โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าของโครงการ และประโยชน์สูงสุดต่อภาระงบประมาณของประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเร่งรัดการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการพัฒนาและปรับปรุง อพท. ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒) และเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กรณี องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)] ต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 466 | แผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองโบราณอู่ทอง | อพท | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนแม่บทบูรณาการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง โดยให้จังหวัดเลยเป็นโครงการนำร่องก่อน และเพื่อให้การยกระดับการพัฒนาพื้นที่พิเศษต่าง ๆ มีการบูรณาการและมีความเชื่อมโยงทุกพื้นที่ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่พัก ที่จอดรถ ทางเดิน และสุขา เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยในการบูรณาการด้านการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่พิเศษให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นจะต้องไม่รุกล้ำพื้นที่เขตป่าสงวนหรือเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยเด็ดขาด ๒.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลักในด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด โดยเน้นการบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการดำเนินงานปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และขออนุมัติให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทยและเป็นวาระแห่งชาติ) ที่เห็นชอบให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปี “ท่องเที่ยววิถีไทย” (2015 Discover Thainess) ๓. ให้ อพท. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรม/โครงการใด ๆ ในบริเวณเมืองโบราณอู่ทอง ให้คำนึงถึงความกลมกลืนและสอดคล้องกับความเป็นเมืองเก่าด้วย และเห็นควรพิจารณาทบทวนกรอบระยะเวลาของแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทองที่กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๖) ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้ความสำคัญกับกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับแหล่งประวัติศาสตร์ และโบราณสถาน เน้นบทบาทการมีส่วนร่วมของชุมชนทั้งในฐานะของผู้ให้และผู้รับ รวมถึงให้ความสำคัญลำดับแรกกับการดำเนินงานโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นสินค้าหลักของพื้นที่พิเศษ และการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของการส่งเสริมท่องเที่ยวในพื้นที่ ได้แก่ การพัฒนาเส้นทางคมนาคมเพื่อการเข้าถึงพื้นที่เมืองโบราณอู่ทอง และการส่งเสริมประชาสัมพันธ์ด้านการตลาด นอกจากนี้ ควรพิจารณาทบทวนจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสม โดยจัดทำรายละเอียดแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน และ ๑ ปี และกำหนดเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ และตัวชี้วัดที่ชัดเจน รวมทั้งแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่กำหนด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเร่งรัดการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการพัฒนาและปรับปรุง อพท. ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒) และเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กรณีองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)] ต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 467 | แผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่าน | อพท | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนแม่บทบูรณาการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง โดยให้จังหวัดเลยเป็นโครงการนำร่องก่อน และเพื่อให้การยกระดับการพัฒนาพื้นที่พิเศษต่าง ๆ มีการบูรณาการและมีความเชื่อมโยงทุกพื้นที่ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่พัก ที่จอดรถ ทางเดิน และสุขา เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยในการบูรณาการด้านการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่พิเศษให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นจะต้องไม่รุกล้ำพื้นที่เขตป่าสงวนหรือเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยเด็ดขาด ๒.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลักในด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด โดยเน้นการบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการดำเนินงานปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และขออนุมัติให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทยและเป็นวาระแห่งชาติ) ที่เห็นชอบให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปี “ท่องเที่ยววิถีไทย” (2015 Discover Thainess) ๓. ในส่วนของแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่าน ให้ อพท. รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ในพื้นที่เมืองเก่า ควรคำนึงถึงการรักษาคุณ ค่าความสำคัญดั้งเดิมของโบราณสถาน อาคาร สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และสภาพแวดล้อมโดยรอบที่เหมาะสมสอดคล้องกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี และศักยภาพในการรองรับการท่องเที่ยวของพื้นที่ และเห็นควรพิจารณาทบทวนกรอบระยะเวลาของแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองเก่าน่าน ที่กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งควรพิจารณาให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาชุมชนท้องถิ่นเมืองน่านให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้เชิงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออกเป็นดินแดนมรดกน่าน มรดกไทย และมรดกโลก มุ่งเน้นการรักษาเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่น นำต้นทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์ใช้ประโยชน์ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ควรพิจารณาทบทวนจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมโดยจัดทำรายละเอียดแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน และ ๑ ปี และกำหนดเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ และตัวชี้วัดที่ชัดเจน รวมถึงแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่กำหนดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในลักษณะปีต่อปี โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าของโครงการ และประโยชน์สูงสุดต่อภาระงบประมาณของประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเร่งรัดการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการพัฒนาและปรับปรุง อพท. ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒) และเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กรณี องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)] ต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 468 | แผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเลย | อพท | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนแม่บทบูรณาการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง โดยให้จังหวัดเลยเป็นโครงการนำร่องก่อน และเพื่อให้การยกระดับการพัฒนาพื้นที่พิเศษต่าง ๆ มีการบูรณาการและมีความเชื่อมโยงทุกพื้นที่ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่พัก ที่จอดรถ ทางเดิน และสุขา เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยในการบูรณาการด้านการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่พิเศษให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นจะต้องไม่รุกล้ำพื้นที่เขตป่าสงวนหรือเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยเด็ดขาด ๒.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลักในด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด โดยเน้นการบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการดำเนินงานปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และขออนุมัติให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทยและเป็นวาระแห่งชาติ) ที่เห็นชอบให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปี “ท่องเที่ยววิถีไทย” (2015 Discover Thainess) ๓. ให้ อพท. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาทบทวนกรอบระยะเวลาของแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเลยที่กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๕) ให้สอดคล้องกับระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และในการดำเนินการขับเคลื่อนแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเลย ควรคำนึงถึงขีดความสามารถในการรองรับของแหล่งท่องเที่ยว (Carrying Capacity) โอกาสและความเสี่ยงที่จะเกิดจากการขยายตัวของนักท่องเที่ยว กลุ่มเป้าหมายที่จะต้องเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากขึ้น และมีความสนใจเฉพาะด้าน รวมถึงการพัฒนายกระดับมาตรฐานบริการและการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการพำนักระยะยาว (Long Stay) นอกจากนี้ ควรพิจารณาทบทวนจัดลำดับความสำคัญโครงการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาในแต่ละระยะและบทบาทของแต่ละกลุ่มพื้นที่ที่สะท้อนถึงศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวหลักและความต้องการของนักท่องเที่ยว รวมทั้งควรใช้โอกาสความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งของจังหวัดเลยเพื่อพัฒนาเป็นประตูเชื่อมโยงสู่ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเร่งรัดการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการพัฒนาและปรับปรุง อพท. ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒) และเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กรณี องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)] ต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 469 | แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565 และแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2558 (Action Plan) | คค | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ สำหรับใช้เป็นกรอบการลงทุนและการดำเนินงานในระยะ ๘ ปี เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนโครงการไปสู่การปฏิบัติ และแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ (Action Plan) เพื่อใช้ในการเร่งรัดติดตามการดำเนินงานของหน่วยงาน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินการแต่ละโครงการให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นรายโครงการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมรายงานความคืบหน้าของการดำเนินการตามแผนต่อคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจทราบเป็นระยะต่อไป ๒. ในส่วนของงบประมาณและแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ และแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ (Action Plan) เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการเตรียมความพร้อมตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาและกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ การเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งสินค้าโดยเฉพาะทางถนนและทางราง ให้พิจารณาถึงจุดเชื่อมต่อเพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายผลิตผลทางการเกษตรทั้งจากแหล่งผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญ ศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าเกษตร และสหกรณ์การเกษตรหลักของประเทศด้วย การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามแผนฯ ควรมีการใช้ประโยชน์และเชื่อมโยงกับการผลิตอุตสาหกรรมภายในประเทศ เช่น อุตสาหกรรมขนส่งระบบราง อุตสาหกรรมต่อเรือ อุตสาหกรรมอากาศยาน และการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ผลิตและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ภายในประเทศ การเพิ่มบทบาทและสัดส่วนการลงทุนของภาคเอกชนให้มากขึ้นและสร้างความชัดเจนของแหล่งเงินทุนทั้งหมดอีกครั้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การพิจารณาความชัดเจนในเรื่องโครงสร้างการบริหารจัดการในสาขาขนส่งสาธารณะต่าง ๆ เช่น การขนส่งทางบกและทางรางให้มีการแยกบทบาทและภารกิจของหน่วยงานระดับนโยบาย หน่วยงานกำกับดูแล และผู้ประกอบการออกจากกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม รวมทั้งโครงการที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทุกโครงการจะต้องมีความพร้อม ไม่มีปัญหาในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการต่อต้านจากประชาชน รวมทั้งไม่มีปัญหาในเรื่องการเวนคืนที่ดินและการส่งมอบพื้นที่ และการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมความพร้อมในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อตอบสนองกับความต้องการใช้ทรัพยากรในแต่ละช่วงเวลา และบูรณาการการพัฒนาได้อย่างประสานสอดคล้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 470 | ผลการเยือนบรูไนดารุสซาลามอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | กต | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนบรูไนดารุสซาลามอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ มีนาคม ๒๕๕๘ โดยกำหนดการสำคัญของนายกรัฐมนตรีในการเยือนบรูไนฯ ครั้งนี้ ได้แก่ การเข้าเฝ้าฯ และการหารือข้อราชการกับสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ และการร่วมเป็นสักขีพยานกับสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ ในการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือนบรูไนฯ เพื่อผลักดันให้นำไปสู่การปฏิบัติที่เกิดผลและเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ภาพรวมความสัมพันธ์ ได้แก่ การเตรียมการเสด็จพระราชดำเนินเยือนไทยอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ ๒. ความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหารและประมง ได้แก่ การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร บรูไนฯ รับพิจารณาเพิ่มการนำเข้าข้าวจากไทย การค้นคว้าวิจัยและแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกันผ่านศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การเชิญบรูไนฯ ร่วมลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมฮาลาลที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนบรูไนฯ เสนอให้ไทยเป็นศูนย์กระจายสินค้าฮาลาลไปยังตลาดในประเทศตะวันออกกลาง รวมทั้งเชิญให้ภาคเอกชนไทยเข้าร่วมการประชุม “Brunei Bio-Tech and Food Conference 2015” ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน ๓. เศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ได้แก่ การต่ออายุกองทุนไทยทวีทุน ๓ ๔. พลังงาน ได้แก่ การร่วมมือกันด้านพลังงานทดแทน โดยเฉพาะการค้นคว้าวิจัยผ่าน Brunei National Energy Research Institute และการซื้อก๊าซธรรมชาติเหลวและถ่านหินลิกไนต์ของบรูไนฯ ๕. ความร่วมมือด้านการทหาร/ความมั่นคง ได้แก่ การสนับสนุนความร่วมมือด้านการฝึกหลักสูตรต่าง ๆ ของกองทัพไทยและบรูไนฯ การเตรียมการจัดการแสดงสาธิตทางทหารในโอกาสที่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ เสด็จพระราชดำเนินเยือนไทย และการสนับสนุนการเปิดสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบรูไนฯ ประจำประเทศไทยในปี ๒๕๕๘ ๖. การผลักดันความตกลง/บันทึกความเข้าใจที่คั่งค้าง ได้แก่ การเร่งรัดการจัดทำ (๑) ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดส่งแรงงานไทยไปบรูไนฯ (๒) ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ และ (๓) ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ๗. ความร่วมมือในอาเซียน ได้แก่ ข้อเสนอให้บรูไนฯ จัดการหารือเวทีอาเซียนเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตเกษตรตกต่ำ การรักษาป่าไม้ การแก้ไขปัญหาไฟป่า การบริหารจัดการน้ำ และการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรน้ำ ๘. ความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้แก่ การขอรับการสนับสนุนจากบรูไนฯ ต่อไปในกรอบขององค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ในประเด็นจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการสมัครรับเลือกตั้งของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ๙. ความร่วมมือด้านการศึกษา ได้แก่ การสานต่อความร่วมมือด้านการศึกษา และการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างกัน ๑๐. การก่อการร้าย ได้แก่ ความร่วมมือด้านการข่าวเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายสากล |
|||||||||||||||||||||||||||
| 471 | ข้อเสนอแนะในการจัดเก็บภาษีโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ | ศธ | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินงานของหน่วยราชการ ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการทบทวนและแก้ไขประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนเกี่ยวกับโรงเรียนสอนกวดวิชา โดยให้มีการจำแนกประเภทที่ชัดเจน เพื่อเป็นฐานข้อมูลของกระทรวงการคลังในการจัดเก็บภาษี ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดเก็บภาษีจากโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ และดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวงและ/หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้เหมาะสมสอดคล้อง ๑.๓ รัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมด้านโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยต้องมุ่งเน้นการขยายให้บริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพและทั่วถึง ปรับเปลี่ยนวิธีการวัดผลการเรียนและการสอบเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษาเพื่อลดแรงจูงใจและความจำเป็นในการกวดวิชา ๑.๔ กระทรวงศึกษาธิการต้องพัฒนาเรื่องระบบการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพและจัดโครงการสอนเสริมโดยจัดหาครูเก่ง ๆ ที่สอนดี พร้อมเผยแพร่การสอนหรือการติวผ่านทางสื่อต่าง ๆ แก่โรงเรียนทั่วประเทศอย่างทั่วถึง ๑.๕ การสอบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาต้องออกข้อสอบให้อยู่ในขอบเขตของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และควรปรับระบบการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในแต่ละระดับให้สอดคล้องกับการเรียนในระบบโรงเรียนตามปกติเท่านั้น และในการออกข้อสอบต้องไม่เกินจากหลักสูตรที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ๒. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘ [เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร รวม ๕ ฉบับ (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนกิจการโรงเรียนเอกชนและปรับปรุงการจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา)] อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวม ๕ ฉบับ และให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดดำเนินการทบทวนและแก้ไขประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนเกี่ยวกับโรงเรียนกวดวิชาต่อไป นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและกำกับดูแลให้โรงเรียนกวดวิชาต่าง ๆ กำหนดค่าเล่าเรียนให้เหมาะสม เป็นธรรม และไม่เป็นการผลักภาระให้แก่ผู้ปกครองและนักเรียนผู้ใช้บริการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 472 | ภารกิจของนายกรัฐมนตรีระหว่างการเข้าร่วมประชุมสหประชาชาติระดับโลกว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ครั้งที่ 3 วันที่ 13 - 14 มีนาคม 2558 | กต | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภารกิจของนายกรัฐมนตรีระหว่างการเข้าร่วมประชุมสหประชาชาติระดับโลกว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ครั้งที่ ๓ (The Third United Nations World Conference on Disaster Risk Reduction : 3 WCDRR) วันที่ ๑๓-๑๔ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม 3 WCDRR ยืนยันเจตนารมณ์ของไทยในการร่วมมือกับประชาคมโลกเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ย้ำความสำคัญของการป้องกันและการเตรียมความพร้อม และพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความสำเร็จของไทยในการจัดการภัยพิบัติโดยเฉพาะการเสริมสร้างความต้านทานภัยพิบัติระดับชุมชน โดยยึดตามแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ทั้งนี้ ที่ประชุม 3 WCDRR จะรับรองเอกสารผลลัพธ์ของที่ประชุม ได้แก่ (๑) กรอบการดำเนินงานด้านการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติภายหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ สำหรับ ๑๕ ปีข้างหน้าต่อจากกรอบความร่วมมือเฮียวโกะ (Hyogo Framework for Action : HFA) ที่จะสิ้นสุดลงในปีนี้ และ (๒) ปฏิญญาทางการเมืองเพื่อยืนยันเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำในการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านภัยพิบัติ ๒. นายกรัฐมนตรีได้หารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น โดยมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านระบบรถไฟ รถไฟระบบเมือง โครงการทวาย โรงไฟฟ้าพลังถ่านหินที่มีคุณภาพ ด้านการจัดการภัยพิบัติ ด้านความมั่นคง รวมถึงการเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้ไทยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเนื้อสุกรแปรรูป ข้าว ยางพารา ผลไม้ ภายใต้กรอบ JTEPA การเร่งรัดกระบวนการนำเข้าอาหารปลอดการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีจาก ๓ จังหวัดของญี่ปุ่น และการพัฒนาบุคลากรไทยในอุตสาหกรรมยานยนต์มากขึ้น รวมทั้งได้หารือทวิภาคีกับเลขาธิการสหประชาชาติ โดยนายกรัฐมนตรีได้แจ้งพัฒนาการทางการเมืองของไทยให้เลขาธิการสหประชาชาติทราบ โดยระบุว่าไทยกำลังดำเนินการตาม roadmap ที่ได้กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 473 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติเพื่อรับรองวาระการพัฒนาภายในหลังปี ๒๐๑๕ และจัดทำข้อมูลสำหรับนายกรัฐมนตรี ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจัดตั้งศูนย์บริการด้านธุรกิจ (One Stop Service) ในพื้นที่ที่ประชาชนสามารถเดินทางไปติดต่อได้สะดวก เช่น ห้างสรรพสินค้า (ตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๗ เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) และรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๘ ๒.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวเกษตรกรสวนยางและผู้ประกอบการยางพารา ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เริ่มดำเนินโครงการไปแล้ว นั้น ๒.๒.๑ ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ กระทรวงกลาโหม (หน่วยทหารในพื้นที่) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบความก้าวหน้า ความถูกต้อง และความโปร่งใสของการดำเนินโครงการ โดยเฉพาะการรับซื้อยางพาราว่าได้รับซื้อจากเกษตรกรรายย่อยและกลุ่มสหกรณ์ชุมชนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว ๒.๒.๒ ให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการรับซื้อน้ำยางสดจากเกษตรกรที่มีหัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานรายงานผลการตรวจสอบให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ๒.๒.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์กำหนดแนวทางการระบายยางพาราที่รับซื้อจากเกษตรกรรายย่อยและกลุ่มสหกรณ์ชุมชน และจัดหาผู้ประกอบการมาดำเนินการในการขนส่ง/ขนย้ายยางพาราดังกล่าว ๒.๒.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทบทวนองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง ๒.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหมกำหนดมาตรการเพื่อเตรียมการรองรับผลผลิตทางการเกษตรที่จะออกมาในฤดูการผลิตใหม่ โดยให้ครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดรายละเอียดกลุ่มเป้าหมาย ตลาดรับซื้อ การขนส่ง และการระบายผลผลิต ๒.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงอุตสาหกรรมให้การสนับสนุนนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรต่าง ๆ เพื่อขยายตลาดให้กว้างขวางขึ้น เช่น การแปรรูปข้าวให้เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดอื่น ๆ การนำผ้าไหมไปผลิตเป็นกระเป๋าแฟชั่น ๒.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสนับสนุนการพัฒนาและเร่งรัดการผลิตเครื่องสีข้าวขนาดเล็ก และส่งเสริมให้มีการนำไปใช้ในชุมชนขนาดเล็กและสหกรณ์การเกษตรต่าง ๆ ๒.๖ ให้กระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางคมนาคมขนส่งทางรางต่าง ๆ ตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ เพื่อใช้ประกอบในการเจรจากับรัฐบาลญี่ปุ่นที่มีความสนใจที่จะร่วมลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมกับรัฐบาลไทย ๓. ด้านสังคม ๓.๑ ให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของชนชาติไทยให้แก่ประชาชนมีความภาคภูมิใจและให้นานาชาติได้รับรู้ถึงประวัติศาสตร์ของชาติไทย ๓.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรระดับอุดมศึกษา โดยจำแนกให้ชัดเจนว่า สถาบันการศึกษาแต่ละประเภทจะมีหลักสูตรอย่างไรบ้าง ได้แก่ กลุ่มที่ ๑ มหาวิทยาลัยทั่วไปมุ่งเน้นการศึกษาระดับปริญญาตรีตามแบบแผน (เช่น แพทย์ วิศวะ บัญชี รัฐศาสตร์) กลุ่มที่ ๒ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลมุ่งเน้นการพัฒนาสายเทคนิคและช่างอาชีวะ และกลุ่มที่ ๓ มหาวิทยาลัยราชภัฏมุ่งเน้นการพัฒนาครูและบุคลากรในภาคบริการ (เช่น การท่องเที่ยว โรงแรม) และให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ส่งเสริมแนวทางการจัดการอาชีวศึกษาทวิภาคี ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาอาชีวะภาครัฐและผู้ประกอบการภาคเอกชนในการเตรียมกำลังคนด้านอาชีวะให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจผ่านการเปิดโอกาสให้นักศึกษาอาชีวะได้ฝึกงานกับบริษัทต่าง ๆ ๓.๓ ให้กระทรวงศึกษาธิการและทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการกำหนดให้ผู้รับทุนการศึกษาต้องกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเพื่อชดใช้ทุนตามวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้จบการศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ๓.๔ ให้กระทรวงศึกษาธิการศึกษาข้อเสนอแนะของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และระบบการจัดการศึกษาของประเทศต่าง ๆ และเสนอผลการศึกษาและแนวทางการจัดระบบการศึกษา โดยเฉพาะเรื่องที่สามารถดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในปี ๒๕๕๘ เพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินมาตรการดูแลความปลอดภัย มาตรการลงโทษผู้กระทำผิด รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ประสบอุบัติเหตุ เช่น การประกันภัย อย่างต่อเนื่องด้วย ๔.๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักในการหาพื้นที่ควบคุมผู้อพยพแห่งใหม่ โดยร่วมกับกระทรวงกลาโหม (กองบัญชาการกองทัพไทย) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) และให้เสนอผลความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า ๔.๓ ให้กระทรวงแรงงานตรวจสอบและจัดทำบัญชีสำนักงานจัดหางานหรือบริษัทจัดหางานทุกแห่งทั้งที่ได้รับใบอนุญาตแต่ดำเนินการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และที่ไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้หางานทราบ และหามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการหลอกลวงแรงงาน รวมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมให้แรงงานต่างด้าวที่จดทะเบียนในท้องที่ใดให้ทำงานในท้องที่นั้น ๔.๔ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในระยะแรก ให้ใช้สาธารณูปโภคที่มีอยู่เดิมก่อน โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๓ ส่วน คือ (๑) พื้นที่ที่รัฐบริหารโดยจัดโครงสร้างพื้นฐานให้ (๒) พื้นที่เช่าสำหรับภาคเอกชน และ (๓) พื้นที่เพื่อสนับสนุน SMEs ๔.๕ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงการกระจายอำนาจทางการบริหารให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเร็ว และหากมีความจำเป็นต้องทบทวนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องด้วย ๔.๖ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ดำเนินการเกี่ยวกับกรณีที่มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (นายณรงค์ สหเมธาพัฒน์) มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยชี้แจงให้สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปทราบข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นภายในกระทรวงสาธารณสุขมิใช่การสอบวินัยปลัดกระทรวงสาธารณสุขแต่อย่างใด และแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน กำหนดแนวทางการปรับปรุงระบบบริการรักษาพยาบาลและการประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ๔.๗ ให้กรมประชาสัมพันธ์และสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หน่วยงานเจ้าของโครงการ และกระทรวงการต่างประเทศสร้างการรับรู้ในเรื่องดังต่อไปนี้ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การดำเนินการเกี่ยวกับการทำประมงที่ผิดกฎหมาย การปรับปรุงมาตรฐานการบินพลเรือนของไทยตามแนวทางขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ และการดำเนินการตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ๔.๘ ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐพิจารณาให้ภาคประชาชน เช่น ผู้นำชุมชน หรือผู้บริหารในระดับท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของรัฐบาลมากขึ้น เช่น โครงการศึกษาดูงานเพื่อการพัฒนาประเทศทั้งในและต่างประเทศเพื่อเป็นการเปิดรับความรู้ มุมมอง และแนวคิดใหม่ ๆ และนำมาร่วมกันพัฒนาประเทศต่อไป ๔.๙ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช) พิจารณาจัดระเบียบการเดินเรือ เช่น มาตรการควบคุมความเร็วในการเดินเรือ กำหนดจุดจอดเรือหรือปล่อยทุ่น เป็นต้น เพื่อแก้ไขปัญหาเรือท่องเที่ยวสัญจรและจอดบริเวณแนวปะการังตามอ่าวหรือหมู่เกาะต่าง ๆ และทำให้แนวปะการังได้รับความเสียหาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 474 | ขออนุมัติโครงการและการกู้เงินสำหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | กค | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน ภายในกรอบวงเงิน ๗๘,๒๙๔.๘๕ ล้านบาท สำหรับโครงการพัฒนาระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากร รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของกรมศุลกากร ให้กระทรวงการคลังนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ [เรื่อง ยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การกำหนดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ตามมาตรา ๔ (๘) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘] พร้อมทั้งให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนโดยเคร่งครัดด้วย ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการสามารถเริ่มดำเนินกระบวนการจัดหาพัสดุได้ทันทีหลังจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการ แต่จะลงนามในสัญญาได้ เมื่อได้รับการจัดสรรวงเงินกู้จากสำนักงบประมาณแล้ว ๒. อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินตราต่างประเทศเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท และถ้าภาวะตลาดการเงินในประเทศเอื้ออำนวยและจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบการเงิน การคลัง และตลาดทุน ให้กระทรวงการคลังสามารถกู้เป็นเงินบาทแทนการกู้เงินตราต่างประเทศได้ ตามนัยมาตรา ๒๒ และมาตรา ๒๓ ของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และอนุมัติให้จัดสรรเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการตามข้อ ๑ ทั้งนี้ ในการกู้เงินและเบิกจ่ายเงินกู้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่เห็นควรพิจารณากู้เงินให้สอดคล้องกับแผนการเบิกจ่ายของโครงการโดยนำผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงมาพิจารณาประกอบด้วย รวมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาในการเบิกจ่ายงบประมาณ (เงินกู้) ตามขั้นตอนดำเนินการตามระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นมาตรการเร่งรัดให้ส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการสามารถเริ่มดำเนินโครงการได้โดยเร็ว เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการเป็นไปตามกรอบระยะเวลา และวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อเป็นค่าดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน ตามความเหมาะสม ๔. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินโครงการและการจัดหาเงินกู้ การจัดซื้อจัดจ้าง การโอนหรือเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ การจัดหาเงินกู้และการเบิกจ่ายเงินกู้ การติดตาม การประเมินผล และการรายงานผลการดำเนินงาน และการใช้เงินสำรองจ่ายและเงินเหลือจ่าย และให้ส่งร่างระเบียบดังกล่าวให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาต่อไป โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับภาพรวมของแผนการบริหารจัดการน้ำของประเทศ และแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๕. มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางการใช้ประโยชน์จากระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ของหน่วยงานราชการให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด |
|||||||||||||||||||||||||||
| 475 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร รวม 5 ฉบับ (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนกิจการโรงเรียนเอกชนและปรับปรุงการจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา) | กค | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๕ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิหรือผลตอบแทนจากกิจการของโรงเรียนเอกชน หรือกิจการสถาบันอุดมศึกษาเอกชน) ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่มูลนิธิหรือสมาคม สำหรับเงินได้หรือผลตอบแทนจากกิจการของโรงเรียนเอกชน) ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์บางกรณี) ๑.๔ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้จากผลตอบแทนที่ผู้รับใบอนุญาตได้รับจัดสรรจากโรงเรียนเอกชน แต่ไม่รวมถึงเงินได้ที่ได้รับจากกิจการโรงเรียนเอกชนประเภทกวดวิชา) ๑.๕ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้อำนวยการ ผู้บริหาร ครู หรือบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนเอกชน สำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับจากกองทุนสงเคราะห์) ๒. มอบให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดดำเนินการทบทวนและแก้ไขประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนเกี่ยวกับโรงเรียนสอนกวดวิชา โดยให้มีการจำแนกประเภทที่ชัดเจนเพื่อเป็นฐานข้อมูลของกระทรวงการคลังในการจัดเก็บภาษี ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ [เรื่อง (ร่าง) แผนการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ] และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อเสนอแนะในการจัดเก็บภาษีโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ) |
|||||||||||||||||||||||||||
| 476 | ขอปรับเพิ่มเงินลงทุน (Cost Overrun) โครงการพัฒนาระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้า ระยะที่ 8 ส่วนที่ 1 (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) | มท | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินการปรับเพิ่มเงินลงทุน (Cost Overrun) โครงการพัฒนาระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้า ระยะที่ ๘ ส่วนที่ ๑ วงเงิน ๒,๘๗๘ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ ๒,๑๕๘ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. ๗๒๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศภายในกรอบวงเงิน ๒,๑๕๘ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย และ กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับการให้ความสำคัญในการเร่งรัดและติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยเร่งหาแนวทางในการแก้ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นเพื่อให้สามารถดำเนินการแล้วเสร็จได้ตามกรอบเงินลงทุนและกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ การวางแผนการบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้อยู่ภายในกรอบวงเงินลงทุนที่กำหนดไว้เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนทางการเงิน การกำหนดแนวทางในการแสวงหารายได้อื่นเพื่อชดเชยผลขาดทุนของโครงการที่เกิดขึ้น การพิจารณาใช้เงินรายได้เพื่อการดำเนินโครงการเป็นลำดับแรกและใช้เงินกู้เท่าที่จำเป็น รวมทั้งการตรวจสอบการลงทุนในโครงการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดเพื่อควบคุมต้นทุนโครงการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ หากพบว่าต้นทุนโครงการมีโอกาสเพิ่มขึ้นเกินจากกรอบวงเงินลงทุนที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ กฟภ. ควรต้องขออนุมัติเพิ่มเติมกรอบวงเงินลงทุนโครงการจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 477 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเร่งดำเนินการขยายความร่วมมือกับสาธารณรัฐเกาหลีให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๖ เดือน ได้แก่ ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนศึกษาดูงาน การดำเนินโครงการวิจัยร่วมกัน การฝึกอบรมระยะสั้นและระยะยาวร่วมกัน การยกระดับสิ่งประดิษฐ์ไปสู่เชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะในประเด็นที่ฝ่ายไทยมีความต้องการในขณะนี้ เช่น การแปรรูปวัตถุดิบทางการเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น โดยเฉพาะการแปรรูปยางพารา การพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สาธารณรัฐเกาหลีประสบความสำเร็จ ตลอดจนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ดนตรี และละคร การพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านความงามร่วมกันซึ่งไทยมีสมุนไพรที่สามารถนำมาพัฒนาในด้านนี้ได้ และอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศและชิ้นส่วน ๒. ด้านความมั่นคง ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงกลาโหม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานด้านความมั่นคงติดตามและประเมินผลการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น และวิเคราะห์สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อนำมาประกอบการจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับการบริหารสถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ โดยให้ครอบคลุมทุกสถานการณ์ ๓. ด้านเศรษฐกิจ ๓.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความทันสมัยและประสิทธิภาพสูง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและศักยภาพในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ ๓.๒ ให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประสานให้ทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณานำรายได้สะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาใช้ในการดำเนินโครงการที่มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือประชาชนระดับรากหญ้าในพื้นที่ โดยให้เสนอโครงการให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาก่อนดำเนินการ ทั้งนี้ ในการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ๓.๓ ตามที่รัฐบาลได้จัดงานวิถีข้าว : วิถีไทย ระหว่างวันที่ ๕ มีนาคม-๕ เมษายน ๒๕๕๘ บริเวณข้างคลองผดุงกรุงเกษม เพื่อเป็นช่องทางทางการตลาดสำคัญที่เชื่อมโยงผู้ผลิตกับผู้ส่งออก และผู้ผลิตกับผู้บริโภค ตลอดจนเปิดโอกาสให้ประชาชนได้บริโภคข้าวที่มีคุณภาพ นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม จัดสถานที่เพิ่มเติมเพื่อให้เกษตรกร สหกรณ์ และผู้ประกอบการได้พบปะกันเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้มีช่องทางการตลาดเพิ่มเติมและมีผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น และจัดให้มีร้านค้าขายอาหารจานเดียว โดยให้ประชาชนที่เข้าชมงานสามารถเลือกข้าวที่จำหน่ายในงานมาเป็นวัตถุดิบปรุงเป็นอาหารเพื่อจำหน่าย รวมทั้งจัดกิจกรรมเพิ่มเติมเพื่อดึงดูดความสนใจแก่ประชาชนทั่วไปให้มาร่วมเที่ยวงานดังกล่าว นอกจากนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดให้เอกอัครราชทูตหรือแขกต่างประเทศเข้าร่วมชมงานดังกล่าว และให้ทุกหน่วยงานร่วมกันประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมชมงานดังกล่าวด้วย ๓.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม รวมทั้งภาคเอกชนพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือในการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรตามความต้องการของแต่ละหน่วยงาน โดยให้พิจารณากำหนดระดับราคาและวิธีการจัดซื้อที่เหมาะสม เป็นไปตามระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย ๓.๕ ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการหารือความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) และอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ในด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนร่วมกัน โดยเฉพาะในด้านการค้า การลงทุน พลังงาน รวมทั้งพิจารณาหามาตรการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการค้าและแนวทางเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยเนื่องจากค่าจ้างในตลาดแรงงานไทยสูงกว่ากลุ่มประเทศ CLMV ค่อนข้างมาก ๓.๖ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๕ พื้นที่ชายแดน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ โดยนำเสนอนายกรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า ๔. ด้านสังคม ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม (กองทัพบก) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้ทุกจังหวัดมีกิจกรรมสร้างเสริมความรู้และประสบการณ์ที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงวัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปิดภาคเรียน เช่น การจัดค่ายฤดูร้อน การจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะวิชาการ โดยขอความร่วมมือจากภาคเอกชนในการสนับสนุนสถานที่ฝึกงานหรือหารายได้พิเศษที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้ศึกษาตัวอย่างจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาบุคลากร เช่น ประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ปัจจุบันการดำเนินแผนงาน/โครงการ เพื่อช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศยังมีความล่าช้า ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดการดำเนินการและรายงานความก้าวหน้าให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบโดยเร็ว และต่อเนื่อง รวมทั้งให้กรมประชาสัมพันธ์และสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมกับหน่วยงานเจ้าของโครงการเก็บข้อมูลและภาพผลงานโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำ การขุดเจาะบ่อบาดาล งานด้านสาธารณสุข เพื่อนำมาใช้ประกอบการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนได้รับทราบความคืบหน้าในแต่ละขั้นตอน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินการด้วย และให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินการในเรื่องที่รับผิดชอบเพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และช่วยขับเคลื่อนโครงการสำคัญของรัฐบาล ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ๕.๒ ให้กรมประชาสัมพันธ์ปรับกำหนดการเผยแพร่การดำเนินงานหรือผลงานของหน่วยงานต่าง ๆ จากทุก ๑ เดือน เป็นทุก ๑๕ วัน โดยให้แต่ละฉบับมีการนำเสนอการดำเนินงานหรือผลงานของทั้ง ๑๙ กระทรวง และระบุชื่อบรรณาธิการแต่ละเรื่องให้ชัดเจนด้วย ๕.๓ ให้ทุกหน่วยงานติดตามผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาล เพื่อนำมาพิจารณาแก้ไขและปรับปรุงการดำเนินงานของหน่วยงาน พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนด้วย ๕.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้ส่วนราชการต่าง ๆ ติดตามความคืบหน้าในการจัดเวทีสาธารณะเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดในเรื่องต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และในกรณีที่มีการเชิญผู้แทนจากส่วนราชการเข้าร่วม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาส่งผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ และมีความสามารถในการอธิบายและสื่อสารเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ชี้แจงทำความเข้าใจ และสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องกับประชาชนให้เป็นไปตามแนวทางของรัฐบาลด้วย ๕.๕ โดยที่กระทรวงมหาดไทยมีระบบฐานข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานและมีความพร้อมในการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานแล้ว นั้น ให้หน่วยงานที่ประสงค์จะใช้ข้อมูลดังกล่าวประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประกอบการดำเนินงานตามภารกิจที่รับผิดชอบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 478 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ 1/2558 | นร11 | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมรับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (กขย.) รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล (กขร.) และรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้พิจารณารายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการทุกคณะแล้ว เห็นควรที่จะได้มีการติดตามงานที่มีความสำคัญ ได้แก่ การช่วยเหลือเกษตรกร การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา การเร่งรัดกระบวนการยุติธรรม การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว และการแก้ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่า ๒. ให้คณะกรรมการและผู้ประสานงานเพื่อเชื่อมโยงการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๕ คณะ ซึ่งประกอบด้วย คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (กขย.) (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน) (๒) คณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) (นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน) คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) (รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ เป็นประธาน) คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) และผู้ประสานงานบูรณาการการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล (ระดับกระทรวง) (ปขก.) จัดทำแผนการดำเนินงานของแต่ละคณะส่งให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเพื่อบูรณาการแล้วเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปในทิศทาง เป้าหมาย และวัตถุประสงค์เดียวกันตามนัยข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ด้านการบริหารราชการและอื่น ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 479 | รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยภาพรวมงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗-๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ มีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วทั้งสิ้น ๑,๔๓๐,๐๖๒ ล้านบาท (รวมเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจและเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ จำนวน ๑๐๔,๗๔๘ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ และผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งรัดการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่กำหนดไว้ แล้วให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดนำผลการดำเนินการในเรื่องนี้ไปใช้ประกอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับอธิบดีขึ้นไป ทั้งนี้ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (เรื่อง การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ)
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 480 | การปรับปรุงการปฏิบัติราชการและหลักเกณฑ์การปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ของสำนักงบประมาณ | นร07 | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงการปฏิบัติราชการและหลักเกณฑ์การปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. การปรับปรุงการดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๑ ให้หัวหน้าส่วนราชการ/ผู้ว่าราชการจังหวัด สามารถเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินรายการค่าที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างภายในเขตพื้นที่จังหวัดเดียวกันได้ รวมถึงให้แก้ไขข้อความที่ผิดพลาด คลาดเคลื่อนให้ถูกต้องได้ โดยไม่ต้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ๑.๒ ให้ส่วนราชการเร่งรัดจัดสรรงบประมาณไปยังหน่วยงานภูมิภาคภายใน ๓ วันทำการ ๑.๓ ให้อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น/ผู้ว่าราชการจังหวัด มีอำนาจอนุมัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการได้ โดยอยู่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดิม และไม่เป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของรายการ สำหรับกรณีเปลี่ยนวัตถุประสงค์ให้ดำเนินการตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณฯ ๑.๔ กำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการฯ/ผู้ว่าราชการจังหวัด โอนงบประมาณไปสมทบรายการค่าครุภัณฑ์/ที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างที่มีผลการจัดซื้อจัดจ้างเกินกว่าวงเงินงบประมาณที่ได้รับ ได้อีกไม่เกินร้อยละ ๒๐ ของวงเงินที่ได้รับจัดสรร ๒. การปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินการตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒.๑ กำหนดให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของราคาควบคู่ไปกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการ ๒.๒ ให้ส่วนราชการฯ สามารถเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ซึ่งกระทบต่อวัตถุประสงค์ของรายการภายในเขตพื้นที่จังหวัดเดียวกันได้โดยไม่ต้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ๓. ให้ส่วนราชการฯ ขอทำความตกลงแบบรูปรายการมาตรฐานสิ่งก่อสร้างที่กำหนดขึ้นเฉพาะหน่วยงาน กับสำนักงบประมาณให้เป็นปัจจุบัน ๔. การเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณที่กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี ให้ส่วนราชการฯ ดำเนินการตามแนวทางข้อ ๑ และข้อ ๒ โดยอนุโลม ๕. การเร่งรัดขั้นตอนการดำเนินการของสำนักงบประมาณ ประกอบด้วย การพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ การพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง การพิจารณาความเหมาะสมของราคารายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ การพิจารณาอนุมัติโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณ จัดสรรงบประมาณตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
