ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 25 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 481 - 500 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 481 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 20 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย | นร11 | 03/03/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ กันยายน ๒๕๕๗ ณ เมืองบันดาอาเจห์ จังหวัดอาเจห์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามตารางการมอบหมายภารกิจหน่วยงานดำเนินงานตามผลการประชุมฯ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการตามผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๐ แผนงาน IMT-GT อาทิ การดำรงบทบาทของแผนงาน IMT-GT ในการเป็นกรอบการพัฒนาระดับอนุภูมิภาคที่สำคัญ โดยเฉพาะในการขับเคลื่อนการดำเนินการตามแผนระยะ ๕ ปี ระยะที่สอง ส่วนที่คงเหลือ (ปี ๒๕๕๗-๒๕๕๙) การเข้าร่วมการประชุมในทุกระดับของแผนงาน IMT-GT ของทุกองค์กรภายใต้แผนงาน IMT-GT การเร่งรัดพัฒนาพื้นที่ชายแดนตามแนวพื้นที่-ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของแผนงาน IMT-GT เพื่อสร้างความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค โดยเฉพาะการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์ระดับอนุภูมิภาค การเร่งปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกในการข้ามแดนในการคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางน้ำและทางอากาศ การประสานงานกับธนาคารพัฒนาเอเชียเพื่อให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในการเร่งรัดขับเคลื่อนโครงการโดดเด่น (IMT-GT Signature Projects) ทั้งในโครงการที่มีในปัจจุบันและที่จะพัฒนาเพิ่มขึ้นในอนาคต การประสานงานกับสำนักงานเลขาธิการอาเซียนในการขับเคลื่อนแผนงาน IMT-GT และการพัฒนาด้านการขนส่งอย่างเป็นองค์รวมทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสอดประสานกับแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน เป็นต้น ๒. การดำเนินการตามผลการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ ๒๑ แผนงาน IMT-GT อาทิ การขับเคลื่อนโครงการตามแผนงาน ๕ ปี ระยะที่สอง ตามที่ระบุไว้ในแผนงานที่ได้ปรับปรุงล่าสุดตามผลการประชุมเพื่อขับเคลื่อนตามข้อสั่งการของผู้นำในการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๘ รวมทั้งการดำเนินการให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดใน ๖ สาขาความร่วมมือ (การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมขนส่ง การค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว ผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการเกษตรอุตสาหกรรมเกษตรและสิ่งแวดล้อม) การเสริมสร้างบทบาทของทุกองค์กรในแผนงาน IMT-GT ในการมีส่วนร่วมอย่างมีพลวัตรในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน และเน้นย้ำบทบาทความสำคัญของกรอบการประชุมของมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัดในกิจกรรมของ IMT-GT การขับเคลื่อนโครงการตามแผนงาน IMT-GT ตามที่รัฐบาลไทยได้เน้นย้ำความสำคัญซึ่งสอดคล้องกับข้อสั่งการของผู้นำ IMT-GT เช่น การเร่งพัฒนาตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ การจัดตั้งเมืองสีเขียว การขับเคลื่อนโครงการ IMT-GT Signature Projects ซึ่งไทยมีส่วนร่วม ได้แก่ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย และเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจไปยังอินโดนีเซีย การพัฒนาเมืองสีเขียว การเปิดบริการเดินเรือเฟอร์รี่ขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร (Ferry RoRo Services) ระหว่างเบลาวัน-ปีนัง-ตรัง เป็นต้น ๓. การดำเนินการตามผลการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๑๑ แผนงาน IMT-GT อาทิ การประสานงานอย่างใกล้ชิด แลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ในการดำเนินงานที่ประสบความสำเร็จสูงเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการดำเนินโครงการภายใต้กรอบการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด (Chief Ministers’ and Governors’ Forum : CMGF) ในอนาคต การเข้าร่วมการประชุมในกรอบ CMGF โดยทุกรัฐและจังหวัดในแผนงาน พร้อมทั้งจัดทำกรอบการดำเนินงานของ CMGF ที่สอดประสานกับการดำเนินงานของ ๖ คณะทำงาน การเสริมสร้างบทบาทของกรอบ CMGF ในการเร่งรัดการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่รัฐและจังหวัดที่ยังขาดการพัฒนา โดยร่วมมือกับสภาธุรกิจ IMT-GT และภาคีการพัฒนาภาคเอกชน การขับเคลื่อนโครงการในกรอบ CMGF ที่แต่ละประเทศเสนอในการประชุมในกรอบ CMGF ที่ผ่านมา การเร่งรัดการดำเนินโครงการตามที่รัฐบาลไทยได้มีนโยบายเร่งรัดซึ่งสอดคล้องกับโครงการโดยเด่นภายใต้แผนงาน IMT-GT และการจัดตั้งศูนย์ CMGF ในทุกประเทศสมาชิกเพื่อเสริมสร้างเครือข่าย CMGF สามประเทศกับศูนย์ CMGF ไทยที่ได้จัดตั้งขึ้นที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์หาดใหญ่ เป็นต้น |
||||||||||||||||||
| 482 | ขอความเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D) | มท | 03/03/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D) กับธนาคารที่มีเงื่อนไขเหมาะสมที่สุด เพื่อสำรองไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเสริมสภาพคล่อง ในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เป็นระยะเวลา ๑ ปี (มกราคม-ธันวาคม ๒๕๕๘) ในวงเงิน ๔,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาวิธีการกู้เงินระยะสั้นในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงิน การทำสัญญากู้เงินเมื่อทวงถาม (Call Loan) และเลือกรูปแบบที่สอดคล้องกับความจำเป็นในการใช้เงินภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสมตามอัตราดอกเบี้ยตลาด โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน สำหรับกรณี กฟภ. มีลูกหนี้ค่าไฟฟ้าค้างชำระเป็นส่วนราชการนั้น หากส่วนราชการมีเงินเหลือจ่ายหรือสามารถปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณได้ เห็นควรให้โอนไปชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคเป็นลำดับแรกก่อนตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม และเรื่อง การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 483 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 3 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน - 31 ธันวาคม 2557) | นร | 24/02/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ผลงานที่สำคัญ ได้แก่ ๑.๑.๑ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น ๑.๑.๒ โครงการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน ๑.๑.๓ โครงการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ๑.๑.๔ การแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ๑.๒ การปฏิรูปประเทศ ผลงานที่สำคัญ ได้แก่ ๑.๒.๑ รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนการปฏิบัติงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ๑.๒.๒ มีการเชื่อมโยงการดำเนินการระหว่าง สปช. กับส่วนราชการต่าง ๆ โดยให้ส่วนราชการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเห็นของ สปช. เกี่ยวกับเรื่อง หลักประกันความมั่นคงด้านรายได้เพื่อการยังชีพของผู้สูงอายุ : การเร่งรัดดำเนินงานตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ และเรื่อง การนำเสนอพื้นที่อนุรักษ์ในทะเลอันดามันเป็นเขตมรดกโลก ๑.๒.๓ กระทรวงศึกษาธิการได้เร่งดำเนินการปฏิรูปในเรื่องที่เป็นนโยบายรัฐบาลและอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวง ๑.๓ การบริหารราชการแผ่นดิน ผลงานที่สำคัญ ได้แก่ ๑.๓.๑ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น การจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นจริงเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชกรณียกิจ เร่งขยายผลตามโครงการและแบบอย่างที่ทรงวางรากฐานไว้ เป็นต้น ๑.๓.๒ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ เช่น การจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงต่าง ๆ ดำเนินการโครงการการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน การแก้ไขปัญหายาเสพติด เป็นต้น ๑.๓.๓ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม เช่น เร่งสร้างโอกาส อาชีพ และการมีรายได้ที่มั่นคง การจัดหาที่ดินทำกิน เป็นต้น ๑.๓.๔ การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม เช่น การเสริมสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาให้แก่ผู้ยากจนหรือด้อยโอกาส การส่งเสริมการอาชีวศึกษา ปรับภาพลักษณ์ และเร่งผลิตและพัฒนากำลังคนเพื่อตอบสนองความต้องการพัฒนาประเทศ โดยพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนอาชีวศึกษา เป็นต้น ๑.๓.๕ การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน เช่น สร้างความครอบคลุมของหลักประกันสุขภาพ โดยจัดบริการการรักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตน พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ โดยพัฒนาทีมหมอครอบครัวเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความจำเป็นด้านสุขภาพของประชาชน เป็นต้น ๑.๓.๖ การบริหารเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการเบิกจ่าย ด้านการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน เป็นต้น ๑.๓.๗ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน เช่น ด้านการเชื่อมโยงระบบขนส่งคมนาคม กฎระเบียบและการอำนวยความสะดวกด้านการค้า ซึ่งรัฐบาลได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการปรับปรุงถนนสายนาทวี-บ้านประกอบ/ชายแดนไทยมาเลเซีย เป็นต้น ๑.๓.๘ การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ เช่น การปฏิรูประบบการให้สิ่งจูงใจ ระเบียบและกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการนำงานวิจัยและพัฒนาไปต่อยอดหรือใช้ประโยชน์ การปรับปรุงและจัดเตรียมให้มีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการวิจัยและพัฒนา และด้านนวัตกรรม เป็นต้น ๑.๓.๙ การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เช่น เร่งปกป้องและฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า เร่งปกป้องและฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง เป็นต้น ๑.๓.๑๐ การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ เช่น จัดทำโครงการวางระบบป้องกันการทุจริตในโครงการสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชน และการปรับปรุงระบบราชการ เป็นต้น ๑.๓.๑๑ การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การปรับปรุงประมวลกฎหมายที่ล้าสมัยไม่เป็นธรรม การนำมาตรการทางการเงิน ภาษี และการป้องกันการฟอกเงินมาใช้ในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิด เป็นต้น ๒. ให้หน่วยงานที่ประสงค์จะปรับปรุง แก้ไข หรือเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานในความรับผิดชอบแจ้งไปยังฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลโดยตรง เนื่องจากคณะกรรมการมีผู้แทนทุกกระทรวงเป็นกรรมการและมีหน้าที่ในการปรับปรุงรายงานให้ทันสมัยและเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเป็นประจำเดือนละ ๑ ครั้ง อยู่แล้ว
|
||||||||||||||||||
| 484 | มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 เพิ่มเติม | นร07 | 18/02/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ กรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ยังคงมีความจำเป็นต้องดำเนินการตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบแล้วและมีความพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการหรือสามารถก่อหนี้ผูกพันได้ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายผลผลิตหรือโครงการโดยเร็ว ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเร่งดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ๑.๒ กรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่ได้รับความเห็นชอบแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณแล้ว แต่คาดการณ์ว่าจะไม่สามารถเริ่มดำเนินการหรือก่อหนี้ผูกพันโครงการ/รายการได้ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ รวมถึงได้พิจารณาทบทวนความจำเป็นแล้วเห็นว่า โครงการ/รายการ ดังกล่าวหมดความจำเป็น หรือไม่สามารถดำเนินการ หรือมีความซ้ำซ้อน หรือได้ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และมีงบประมาณเหลือจ่าย หรือคาดว่าจะไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณจากโครงการ/รายการเดิมเพื่อนำไปดำเนินการ (๑) ดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ/นโยบายรัฐบาล ๑๑ ด้าน/ยุทธศาสตร์คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๙ ด้าน/นโยบายความมั่นคง ซึ่งรวมถึงนโยบายสำคัญเร่งด่วนที่จำเป็นต้องแก้ไขปัญหา ๑๑ เรื่อง ได้แก่ การค้ามนุษย์ ยาเสพติด การจัดระเบียบพื้นที่สาธารณะ การแก้ปัญหาการบุกรุก การแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย การปฏิรูปสาธารณูปโภคพื้นฐาน การท่องเที่ยว การศึกษา การเชื่อมโยงเศรษฐกิจ และเขตเศรษฐกิจพิเศษ (๒) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนกรณีเร่งด่วนและตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างทั่วถึง เป็นธรรม ชัดเจน เช่น ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ การซ่อมแซม สิ่งสาธารณประโยชน์ เป็นต้น (๓) เป็นรายการงบประมาณที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจซึ่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน (๔) เป็นการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาของหน่วยงานในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมถึงการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณเพื่อสมทบในรายการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอ และโครงการ/รายการผูกพันที่ดำเนินการได้เร็วกว่าแผน (๕) ชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคหรือชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) หรือดำเนินโครงการ/รายการที่มีข้อผูกพันตามกฎหมาย และ (๖) เป็นรายการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนหากไม่ดำเนินการจะเกิดความเสียหายต่อทางราชการ รวมถึงรายการสำรวจออกแบบเพื่อให้มีความพร้อมในการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเสนอคณะรัฐมนตรีที่รับผิดชอบและกำกับดูแลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เพื่อพิจารณาเห็นชอบภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๘ โดยเมื่อได้รับความเห็นชอบแล้ว ให้ดำเนินการขอปรับแผนฯ และโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณต่อสำนักงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณดังกล่าว ไม่ควรโอนงบประมาณไปเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ยกเว้นกรณีการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจตามสนธิสัญญาหรือที่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย ไม่ควรโอนงบประมาณไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อยานพาหนะ ค่าใช้จ่ายในการจ้างบุคลากร ที่จะก่อให้เกิดภาระงบประมาณระยะยาวในอนาคต จากนั้นให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นไปดำเนินการในโครงการ/รายการที่มีความพร้อมและสามารถเริ่มดำเนินการหรือก่อหนี้ผูกพันได้ภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และสามารถเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ๑.๓ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการใด ๆ ที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นได้รับการจัดสรรงบประมาณไปใช้จ่ายบรรลุวัตถุประสงค์แล้วมีเงินเหลือจ่าย ให้ส่งคืนสำนักงบประมาณ แต่หากมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องนำไปใช้จ่ายในรายการอื่น ๆ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเสนอรัฐมนตรีที่รับผิดชอบกำกับดูแลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แล้วจึงดำเนินการตามกฎหมาย ประกาศ และระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๔ ให้สำนักงบประมาณนำผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบการพิจารณาในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ อย่างเข้มงวด ๒. ให้สำนักงบประมาณรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรมีการวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคของแต่ละหน่วยงานเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่อการเบิกจ่ายงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการเบิกจ่ายโครงการที่ได้มีการทำสัญญาแล้ว เพื่อให้มีการเบิกจ่ายเป็นไปตามแผนงานและสามารถบรรลุเป้าหมายการเบิกจ่ายที่กำหนดไว้ รวมทั้งเร่งรัดการพิจารณากรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นเสนอเรื่องขอโอนเปลี่ยนแปลงรายการปฏิบัติโดยเร็ว รวมถึงให้มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง เรื่องการนำผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบการพิจารณาในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เห็นชอบการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยให้หน่วยงานดำเนินการตามขั้นตอนของการเร่งรัดการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ โดยให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้หัวหน้าส่วนราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่มีผลการเร่งรัดการเบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ ๘๗ เร่งดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างและเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดใหม่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๘๗ ต่อไป สำหรับรายจ่ายลงทุนที่ทำสัญญาแล้วไม่มีผลการเบิกจ่ายงบประมาณ แต่มีผลงานที่ดำเนินการไปแล้วบางส่วน ซึ่งจะเป็นเม็ดเงินจากผู้รับจ้างที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกช่องทางหนึ่ง ให้หน่วยงานรายงานความก้าวหน้าของผลการปฏิบัติงานในระบบเร่งรัดการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของสำนักงบประมาณด้วย ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ |
||||||||||||||||||
| 485 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ 2558 (เพิ่มเติม) พร้อมทั้งขอความเห็นชอบแนวทางการดำเนินงาน | อื่นๆ | 18/02/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงินจำนวน ๗,๘๐๑,๓๓๓,๘๐๐ บาท เพื่อดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (เพิ่มเติม) โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดการดำเนินโครงการในส่วนที่รับผิดชอบให้แล้วเสร็จเกิดผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ โดยเฉพาะโครงการเกี่ยวกับน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค น้ำเพื่อการเกษตร การขุดลอกคูคลอง และการกักเก็บและการระบายน้ำ ทั้งนี้ ให้แผนงาน/โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (เพิ่มเติม) ดังกล่าว ไม่อยู่ในข่ายต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ๒. ในส่วนของโครงการบริหารจัดการน้ำระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (เพิ่มเติม) ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องหรือเป็นโครงการที่จะต้องได้รับอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณก่อนการดำเนินการ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพิจารณาทบทวนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำรายละเอียดของโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||
| 486 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2557 และแนวโน้มปี 2558 | นร11 | 18/02/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี ๒๕๕๗ และแนวโน้มปี ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๗ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๗ ขยายตัวร้อยละ ๒.๓ ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนจากการขยายตัวร้อยละ ๐.๒ ในสามไตรมาสแรก และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ขยายตัวจากไตรมาสที่สามร้อยละ ๑.๗ (QoQ_SA) เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๑.๒ ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัวในเกณฑ์ดีร้อยละ ๑.๙ ส่วนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๕ ด้านการส่งออกสินค้า มีมูลค่า ๕๖,๗๖๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑.๕ และด้านการผลิตปรับตัวดีขึ้นในเกือบทุกสาขา โดยเฉพาะสาขาอุตสาหกรรม สาขาก่อสร้าง และสาขาโรงแรมและภัตตาคารที่กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบหลายไตรมาสที่ผ่านมา สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำร้อยละ ๐.๖ อัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ ๑.๑ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๓๑๖,๗๖๗ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๐.๒ ของ GDP ๒. เศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี ๒๕๕๗ ขยายตัวร้อยละ ๐.๗ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายของภาครัฐ การบริโภคของครัวเรือน และสาขาเกษตรกรรม ซึ่งขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ๐.๓ และร้อยละ ๑.๑ ตามลำดับ แต่การลงทุนรวม และสาขาอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ ๒.๘ และร้อยละ ๑.๑ ตามลำดับ สาขาโรงแรมและภัตตาคาร ลดลงร้อยละ ๒.๑ โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งสิ้น ๒๔.๘ ล้านคน (ลดลงร้อยละ ๖.๗) มูลค่าการส่งออกสินค้าอยู่ที่ ๒๒๔,๗๙๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๐.๓ เนื่องจากการลดลงของราคาส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องโดยเฉพาะราคาข้าวและยางพารา ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปี ๒๕๕๗ ยังเป็นไปอย่างช้า ๆ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจยังคงมีเสถียรภาพ โดยที่อัตราการว่างงานทั้งปีเท่ากับร้อยละ ๐.๘ อัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ ๑.๙ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๓.๘ ของ GDP ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๘ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๕-๔.๕ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ของภาคการส่งออกตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว การเร่งรัดการใช้จ่ายและการดำเนินโครงการลงทุนที่สำคัญ ๆ ของภาครัฐ การเริ่มกลับมาขยายตัวของปริมาณการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ และการลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก สำหรับอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งปีแรก และต้องติดตามและประเมินสถานการณ์การปรับตัวของสถานการณ์ด้านราคาในช่วงครึ่งปีหลังอย่างใกล้ชิด ด้านการส่งออกสินค้าคาดว่ามูลค่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๕ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๒.๙ และร้อยละ ๖.๐ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๐.๐-๑.๐ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๔.๙ ของ GDP
|
||||||||||||||||||
| 487 | การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ | นร | 10/02/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการจัดทำสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ เพื่อเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าหมาย และให้สำนักงบประมาณรวบรวมและรายงานผล ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะเพื่อคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะได้ติดตามการดำเนินการต่อไป ๒. ให้กรมทางหลวง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมทรัพยากรน้ำ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายลงทุนจำนวนมาก จัดทำแผนการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณส่งให้สำนักงบประมาณรวบรวมเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลหน่วยงานให้ดำเนินการตามข้อ ๑ และ ๒ ตามแผนและกรอบเวลาที่กำหนด โดยให้นำผลการดำเนินการในเรื่องนี้ไปใช้ประกอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับอธิบดีขึ้นไป
|
||||||||||||||||||
| 488 | การยืนยันร่างกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และการเสนอความเห็นของส่วนราชการเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี | นร05 | 10/02/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการยืนยันร่างกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และการเสนอความเห็นของส่วนราชการเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้ทุกส่วนราชการถือปฏิบัติต่อไป ดังนี้
๑. ให้ทุกส่วนราชการแจ้งยืนยันร่างกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วภายในกรอบระยะเวลา ได้แก่ ๑.๑ กรณีเป็นร่างกฎหมายที่เป็นไปตามผลการดำเนินการตามมติคณะที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หากส่วนราชการประสงค์ที่จะดำเนินการร่างกฎหมายดังกล่าวต่อไป ให้ส่วนราชการแจ้งยืนยันมาที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันศุกร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ๑.๒ กรณีเป็นร่างกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีชุดก่อนอนุมัติหลักการ หากส่วนราชการประสงค์ที่จะดำเนินการร่างกฎหมายดังกล่าวต่อไป ให้ส่วนราชการแจ้งยืนยันมาที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์นับจากวันที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีหนังสือแจ้งเรื่องดังกล่าว ๑.๓ กรณีเป็นร่างกฎหมายที่ได้มีการอนุมัติหลักการโดยคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน ๑.๓.๑ เมื่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแจ้งให้ส่วนราชการยืนยันในชั้นการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ส่วนราชการแจ้งยืนยันต่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาภายในระยะเวลาที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด หรือหากไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ ให้ส่วนราชการแจ้งยืนยันต่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาภายใน ๒ สัปดาห์นับจากวันที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีหนังสือแจ้งให้ส่วนราชการแจ้งยืนยันร่างกฎหมายที่ตรวจพิจารณาแล้ว ๑.๓.๒ กรณีเป็นร่างกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแจ้งให้ส่วนราชการยืนยันมาที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยตรง ให้ส่วนราชการแจ้งยืนยันมาที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด หรือหากไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ ให้ส่วนราชการแจ้งยืนยันมาที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์นับจากวันที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีหนังสือแจ้งให้ส่วนราชการแจ้งยืนยันร่างกฎหมายที่ตรวจพิจารณาแล้ว ทั้งนี้ หากส่วนราชการไม่แจ้งยืนยันภายในระยะเวลาดังกล่าวข้างต้น ให้ถือว่าส่วนราชการนั้นได้ยืนยันและเห็นชอบร่างกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ๒. ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการเสนอความเห็นเรื่องต่าง ๆ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว กรณีที่เป็นเรื่องเร่งด่วนให้เสนอความเห็นภายในระยะเวลาที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกำหนด สำหรับกรณีเป็นเรื่องปกติให้เสนอความเห็นภายใน ๒ สัปดาห์นับจากวันที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือแจ้งเรื่องดังกล่าว หากส่วนราชการไม่เสนอความเห็นภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าส่วนราชการนั้นได้เห็นชอบเรื่องดังกล่าวแล้ว
|
||||||||||||||||||
| 489 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. .... | สว | 03/02/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. .... เกี่ยวกับการเร่งรัดพิจารณาให้มีกฎหมายเฉพาะว่าด้วยการป้องกันการละเมิดทางเพศ การคุกคามทางเพศและการดูหมิ่นเหยียดหยามทางเพศที่มีบทลงโทษทางอาญาอย่างชัดเจนและครอบคลุมทุกมิติของสังคม การกำหนดขั้นตอนปฏิบัติของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวในการรับคำร้องว่ามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ การกำหนดรูปแบบของหนังสือคำขอรับการชดเชยและเยียวยาแทนผู้เสียหาย การกำหนดบทนิยามของคำว่า “ผู้ดูแล” และ “บุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหาย” โดยให้ครอบคลุมถึงบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศด้วย รวมทั้งกรอบวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินในกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ควรรวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการดำเนินคดีของบุคคลซึ่งถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นผู้ยื่นคำร้องหรือฟ้องคดีแทนด้วย ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๒. มอบให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวได้หรือไม่ประการใดก่อน แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 490 | ผลการหารือข้อราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมา และการเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก | พณ | 03/02/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการหารือข้อราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมา และการเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ มกราคม ๒๕๕๘ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้ข้อมูลดังกล่าวประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการหารือข้อราชการระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมา ฝ่ายไทยได้เสนอแนวทางการขับเคลื่อนการค้าชายแดนแม่สอด-เมียวดี ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการเชื่อมโยงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และนโยบายกระทรวงพาณิชย์ในการส่งเสริมการค้าชายแดน ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะเร่งผลักดันให้เกิดการดำเนินการ (๑) ตั้งเป้ามูลค่าการค้าชายแดนระหว่างกันในปี ๒๕๕๙ ให้เพิ่มขึ้นเท่าตัว (๒) จัดตั้งคณะกรรมการร่วมการค้าชายแดนไทย-เมียนมา เพื่อขับเคลื่อนการค้าชายแดนสองฝ่าย และ (๓) จัดตั้งสภาธุรกิจเพื่อขยายการค้าและการลงทุนบริเวณชายแดนของภาคเอกชน ในขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมาได้เสนอให้มีการเร่งรัดการเปิดด่านมูต่อง จังหวัดมะริด-ด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การจัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาท้องถิ่น การควบคุมราคาสินค้าตามแนวชายแดน และเน้นว่ากระทรวงพาณิชย์ของทั้งสองฝ่ายต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น พร้อมทั้งยินดีจะร่วมมือกับฝ่ายไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าของแม่สอด และเมียวดีให้เป็นประตูหลักในการพัฒนาการค้าชายแดนไทยเมียนมาต่อไป นอกจากนี้ ฝ่ายไทยได้ยื่นข้อเสนอยุทธศาสตร์ “แม่สอด-เมียวดี โมเดล” ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมาพิจารณาเพื่อร่วมดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ซึ่งจะมีการหารือรายละเอียดในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission : JTC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๗ ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ๒. การเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ใช้ศักยภาพความพร้อมของหน่วยงานในสังกัดนำผู้ซื้อและตัวแทนห้างสรรพสินค้าจากกรุงย่างกุ้ง จังหวัดเมียวดี ผาอัน และเมาะลำไย เข้าร่วมงาน มีผู้เข้าร่วมจำหน่ายรวมทั้งสิ้น ๓๐๐ คูหา มีการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ มีนักธุรกิจจากไทยเข้าร่วม ๑๑๒ ราย และจากเมียนมา ๗๐ ราย โดยบริษัท Jaroon-Sawai Engineering Limited Partnership กับ บริษัท Apex World International Co., Ltd สามารถตกลงร่วมทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ ๖๐ ล้านบาท (๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) |
||||||||||||||||||
| 491 | การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการที่โกตากินาบาลู | กต | 03/02/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) ณ โกตากินาบาลู ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ภายใต้หัวข้อหลักคือ "ประชาชนของเรา ประชาคมของเรา และวิสัยทัศน์ของเรา" ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนงานสำหรับการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน รวมทั้งการเสริมสร้างความเข้มแข็งของสำนักเลขาธิการอาเซียนและองค์กรต่าง ๆ ของอาเซียน เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อปัญหาท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยย้ำว่า สำนักเลขาธิการอาเซียนจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านบุคลากรและงบประมาณอย่างพอเพียง นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงการทำงานของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องปรับรูปแบบหรือลดจำนวนการประชุมต่าง ๆ ลงเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้นำและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒. การจัดทำวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลังปี ๒๕๕๘ ที่ประชุมฯ รับทราบการจัดตั้งคณะทำงานระดับสูงเพื่อยกร่างวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลังปี ๒๕๕๘ และเห็นพ้องว่า ต้องสร้างความเป็นปึกแผ่นและความเข้มแข็งของประชาคมอาเซียนและต้องมองไปข้างหน้าในประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ การรักษาเอกภาพความเป็นแกนกลาง เป็นผู้ขับเคลื่อนสถาปัตยกรรมด้านความมั่นคงในภูมิภาค และการให้ความสำคัญกับประชาชน ๓. การเสริมสร้างบทบาทนำของอาเซียนในสถาปัตยกรรมในภูมิภาค ที่ประชุมฯ เห็นว่า อาเซียนจำเป็นต้องรักษาเอกภาพและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศภายนอกภูมิภาค และต้องแสดงท่าทีร่วมกันในประเด็นปัญหาระหว่างประเทศเพื่อเสริมสร้างความเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN Centrality) รวมทั้งย้ำความสำคัญของการเสริมสร้างความเข้มแข็งของกรอบความร่วมมือในภูมิภาคของอาเซียน เช่น อาเซียน+๑ อาเซียน+๓ การประชุมว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum : ARF) โดยเฉพาะกรอบการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit : EAS) เนื่องจากเป็นเวทีหารือในระดับผู้นำที่มีตัวแสดงที่สำคัญในภูมิภาคเข้าร่วมครบถ้วน ๔. สถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศ ที่ประชุมฯ ย้ำความสำคัญของการผลักดันการปฏิบัติให้เป็นไปตามปฏิญญาว่าด้วยการปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ (Declaration on the Conduct of Parties in the South China Sea : DOC) ควบคู่ไปกับการเร่งรัดการจัดทำแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct : COC) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามจากแนวคิดหัวรุนแรงสุดโต่ง โดยได้ออกแถลงการณ์รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนว่าด้วยความรุนแรงและที่กระทำโดยองค์กรหัวรุนแรงในอิรักและซีเรีย (ASEAN Foreign Ministers’ Statement on the Violence and Brutality Committed by Extremist Organizations in Iraq and Syria)
|
||||||||||||||||||
| 492 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/02/2558 | |||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินการสำรวจปริมาณการใช้ยางพาราของแต่ละหน่วยงานโดยเร็ว และจัดทำแผนการใช้ยางพาราในประเทศเพื่อให้การใช้ยางพาราเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวบรวมปริมาณความต้องการใช้ยางพาราของทุกหน่วยงานเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์ ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยพิจารณาหาแนวทางการลดพื้นที่ปลูกยางพาราในประเทศ โดยในระยะแรกให้เริ่มดำเนินการในพื้นที่ซึ่งชาวสวนยางได้บุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำการเพาะปลูก พร้อมทั้งพิจารณาหาแนวทางการเยียวยาชาวสวนยางกลุ่มดังกล่าวด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์จัดให้มีการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคราคาถูกในพื้นที่ต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น และให้หาแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยหรือเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลให้สามารถซื้อข้าวบริโภคได้ในราคาถูกด้วย ๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาหาแนวทางการส่งเสริมการเพาะปลูกมันฝรั่งพันธุ์โรงงานในประเทศให้มากขึ้นเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของตลาดและลดการนำเข้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปจากต่างประเทศ ๑.๕ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) กำหนดมาตรการป้องกันอัคคีภัยสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม และตรวจสอบความพร้อมของมาตรการป้องกันการเกิดอัคคีภัยภายในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะโรงงานในเขตอุตสาหกรรม รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำของชุมชนด้วย ๑.๖ ให้สำนักงบประมาณรวบรวมงบประมาณเหลือจ่ายของแต่ละส่วนราชการและนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาใช้จ่ายสำหรับนโยบายเร่งด่วนที่เป็นการช่วยเหลือประชาชนต่อไป ๒. ด้านการต่างประเทศ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ เรื่อง ผลการเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ บุคคลสองสัญชาติ การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมระหว่างไทยและมาเลเซีย การขนส่งทางถนน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องรถยนต์ ซึ่งขณะนี้ไทยได้อนุญาตให้รถยนต์ของมาเลเซียเข้ายังพื้นที่ตอนในของไทยได้ ในขณะที่ไทยยังไม่ได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกันจากมาเลเซีย) การค้าและการลงทุน (โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้าของมาเลเซีย) และความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ๓. ด้านสังคม รัฐบาลได้มีมาตรการดูแลประชาชนทุกกลุ่มที่มีความเดือดร้อน เช่น เกษตรกร ผู้ประกอบการที่มีรายได้น้อย คนจนเมือง และผู้ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคม และโดยที่รัฐบาลเห็นว่าครูเป็นบุคลากรสำคัญในการสร้างอนาคตของประเทศ ซึ่งมีปัญหาหนี้สินจำนวนมากทำให้เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มประสิทธิภาพ จึงให้กระทรวงการคลังและกระทรวงศึกษาธิการร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินครูเพิ่มเติมด้วย ๔. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๔.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องว่าจะสามารถดำเนินการเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ใต้แนวเขตทางด่วนได้อย่างคุ้มค่า และสามารถจัดเป็นพื้นที่ประกอบอาชีพของประชาชน เพื่อลดผลกระทบผู้ประกอบการที่มีรายได้น้อย คนจนเมือง และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคม ได้หรือไม่ประการใด และหากจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมาย ให้พิจารณายกร่างกฎหมายแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔.๒ ให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทยร่วมดำเนินการเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการเร่งนำตัวผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะคดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญต่อประชาชนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแก่ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการก่อวินาศกรรม ปัญหาอาชญากรรม และปัญหายาเสพติด ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการแจ้งชื่อผู้แทนไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเพื่อแต่งตั้งคณะทำงานบูรณาการขับเคลื่อนนโยบายระดับกระทรวง ทำหน้าที่ติดตาม ประสานและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และงานสำคัญของรัฐบาลร่วมกับคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล และคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๑ ปี ๕.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำฐานข้อมูลกลางโดยเชื่อมโยงข้อมูลในการดำเนินงานจากฐานข้อมูลต่าง ๆ ให้เป็นระบบเดียวกัน โดยแบ่งการดำเนินการเป็น ๓ ลักษณะ ได้แก่ (๑) ให้มีการบูรณาการการใช้ข้อมูล เช่น อัตราส่วนของแผนที่หน่วยจัดเก็บข้อมูลให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในทุกหน่วยงาน (๒) ให้มีการกำหนดเจ้าภาพในการรวบรวม จัดเก็บและกลั่นกรองข้อมูลในแต่ละด้าน โดยมีการกำหนดระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูล และการปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ และ (๓) ให้มีการจัดชั้นความลับและการเข้าถึงข้อมูล กรณีข้อมูลที่อาจจะส่งผลกระทบต่องานด้านความมั่นคงให้มีการคัดกรองโดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ๕.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) นัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาความต้องการของเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เช่น การช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิต การรวมกลุ่มเกษตรกรในลักษณะสหกรณ์การเกษตรพิมาย เพื่อให้การรวมกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมามีความเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ และเพื่อเป็นโครงการนำร่อง ๕.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทยสำรวจพื้นที่ซึ่งประชาชนมีความต้องการใช้น้ำบาดาลและพิจารณากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว เช่น การสนับสนุนเงินทุนเพื่อให้สามารถขุดเจาะบ่อบาดาลเพื่อนำน้ำขึ้นมาใช้ประโยชน์ต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
| 493 | ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส สภาปฏิรูปแห่งชาติ เรื่อง หลักประกันความมั่นคง ด้านรายได้เพื่อการยังชีพของผู้สูงอายุ : การเร่งรัดการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 | สผ | 27/01/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงานรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส สภาปฏิรูปแห่งชาติ เรื่อง หลักประกันความมั่นคงด้านรายได้เพื่อการยังชีพของผู้สูงอายุ : การเร่งรัดการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งมีข้อเสนอแนะให้เร่งปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ เนื่องจากการไม่ดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน เช่น กรณีการเลื่อนเวลาการเปิดรับสมาชิก ก่อให้เกิดผลเสียโดยตรงกับแรงงานนอกระบบที่มีความตั้งใจจะสร้างหลักประกันยามชราภาพ และสิทธิของสมาชิกตามกฎหมายกองทุนการออมแห่งชาติจะมุ่งเน้นไปที่การมีระบบบำนาญที่จ่ายเป็นรายเดือนแก่ผู้สูงอายุ ในขณะที่สิทธิของสมาชิกตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามมาตรา ๔๐ กฎหมายประกันสังคมจะเปิดโอกาสให้สมาชิกเลือกได้ทั้งบำเหน็จชราภาพและบำนาญชราภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรระวังในเรื่องการเปิดให้สมาชิกสามารถรับบำเหน็จได้เพราะอาจไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายกองทุนการออมแห่งชาติ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกองทุนการออมเพื่อวัยสูงอายุควรอยู่ภายใต้หน่วยงานกำกับดูแลเดียวกันเพื่อให้เกิดเอกภาพในด้านนโยบายและประสิทธิภาพในการกำกับดูแลในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 494 | รายงานผลการดำเนินการตามประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) | ทส | 27/01/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปประเด็นสำคัญได้ ดังนี้
๑. เรื่องที่เป็นหลักการหรือเรื่องทั่วไป ๑.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้มีการพิจารณาแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และการเร่งรัดการใช้งบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยมีผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไตรมาสที่ ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) ณ วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ ร้อยละ ๑๕ ๑.๒ การเจรจาหรือจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ได้เข้าร่วมการประชุม เสนอประเด็น กล่าวถ้อยแถลง และแสดงท่าทีของไทยในการประชุมต่าง ๆ ๑.๓ การจัดทำโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการ ได้ดำเนินการตามระเบียบเกี่ยวกับการพัสดุที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและโปร่งใส และได้ทำมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบและส่งเสริมคุ้มครองจริยธรรม รวมทั้งมาตรการการป้องกันและลดโอกาสการทุจริตและประพฤติมิชอบตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑.๔ การแต่งตั้งคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ได้แจ้งรัฐวิสาหกิจในสังกัดถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (๑ ตุลาคม ๒๕๕๗) เกี่ยวกับการพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และมีเวลาเพียงพอที่จะช่วยพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเคร่งครัด ๒. เรื่องหรือโครงการที่สำคัญเร่งด่วน ๒.๑ การจัดทำแผนการเจรจาและจัดทำความตกลงฯ ล่วงหน้า ๖ เดือน ได้มีแผนงานความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๑๓ เรื่อง อาทิ การประชุม The 20th Session of the conference of the Parties to the United Nations Framework Convention on Climate Change (COP20) การประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๔ การประชุม The Meeting of the ASEAN Working Group เป็นต้น ๒.๒ การบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของประเทศ ได้แก่ การพิจารณาทำโครงการแก้มลิงเพื่อเป็นพื้นที่กักเก็บน้ำ การแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในเขตพื้นที่ภาคตะวันออก และการส่งบุคลากรไปศึกษาข้อมูลเทคนิคการฝังท่อลงไปในท่อน้ำเพื่อนำมาแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง ๒.๓ การจัดหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร ได้แก่ การจัดหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรในลักษณะที่ไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่อนุญาตให้เกษตรกรใช้ประโยชน์จากที่ดินประเภทต่าง ๆ ได้ และการจัดพื้นที่ทำกินในลักษณะป่าเศรษฐกิจตามแนวทางโครงการธนาคารอาหารชุมชนตามพระราชดำริ (Food Bank) ๒.๔ การจัดการขยะมูลฝอยและน้ำเสีย ได้แก่ การกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาขยะ การกำจัดน้ำเสียจากโรงงาน และการสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะ และการจัดทำแผนการจัดตั้งโรงงานกำจัดขยะมูลฝอยในภาพรวมของประเทศและแนวทางบูรณาการการบริหารจัดการอย่างครบวงจร ๒.๕ การจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรม ได้มีการพิจารณาจัดทำข้อมูลการให้บริการประชาชนที่อยู่ในความรับผิดชอบ ๒.๖ การรวบรวมกฎหมาย ระเบียบที่ล้าสมัยหรือเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และพิจารณาความจำเป็นเร่งด่วนและจัดลำดับความสำคัญของร่างกฎหมาย ได้แก่ การเสนอร่างกฎหมายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน การค้า เศรษฐกิจ หรือเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายที่จำเป็นต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน
|
||||||||||||||||||
| 495 | ผลการประชุมหารือประเด็นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2558 | นร11 | 27/01/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมหารือประเด็นเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการจากที่ประชุมต่อไป ดังนี้
๑. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๑ แก้ไขปัญหาการเอารัดเอาเปรียบผู้โดยสารของรถแท็กซี่สาธารณะ และไกด์นำเที่ยวที่ไม่มีใบอนุญาต ๑.๒ จัดการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำโดยเร่งด่วน ๑.๓ ให้คณะกรรมการติดตามต่าง ๆ ทั้ง ๓ คณะ ประกอบด้วย คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล คณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล และคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ไปบูรณาการการทำงานร่วมกัน ๑.๔ ให้เร่งรัดการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยในระยะแรกให้เร่งดำเนินการลงทุนพัฒนาในพื้นที่ของทางราชการไปก่อน ๑.๕ ให้มีการบูรณาการศูนย์ข้อมูลต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐให้ทันสมัยและสอดคล้องกัน ๑.๖ ให้หน่วยงานต่าง ๆ สร้างความเข้าใจในเรื่องของการปรองดอง และปฏิรูป ซึ่งเป็นไปตามหลักของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๑.๗ ให้รองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องดำเนินการและสร้างความเข้าใจในการปรับปรุงและออกกฎหมายด้านเศรษฐกิจ จำนวน ๘ ฉบับ ๑.๘ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปจัดหาพื้นที่สำหรับการค้าขายทั้งพื้นที่ค้าขายทางน้ำและทางบกเพื่อสร้างอาชีพให้ประชาชน ๑.๙ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงและจัดการด้านความปลอดภัยในการใช้ทางจักรยานให้มากขึ้น ๑.๑๐ ให้ช่วยประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมกล้วยไม้ของไทย ๑.๑๑ ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการแก้ไขปัญหาการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar cell) ๑.๑๒ ให้จัดการแก้ไขปัญหาการใช้แร่ใยหินและวางแผนการจัดหาวัสดุทดแทนในระยะยาว ๒. ให้กระทรวงพลังงานหาแนวทางในการดำเนินการเปิดประมูลสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ครั้งที่ ๒๑ โดยให้ดำเนินการอย่างรอบคอบ เหมาะสม และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ทั้งในระบบแบ่งปันผลประโยชน์ (Production Sharing Contract : PSC) และระบบสัมปทาน ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการลดปริมาณสต็อกยางพาราของไทย อาทิ การปรับปรุงสนามกีฬาต่าง ๆ โดยใช้ผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติในประเทศ และการเร่งรัดการเจรจาจำหน่ายยางให้ประเทศคู่ค้าสำคัญ ๔. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสำรวจคุณภาพและระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาล ๕. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหามาตรการสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน ผู้มีรายได้น้อยอย่างทั่วถึง อาทิ การซ่อมแซมถนน และการสร้างงานในชุมชน เป็นต้น ๖. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสร้างความเข้มแข็งของภาคการผลิต โดยเฉพาะภาคการเกษตรรายย่อย ๗. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในการปรับขึ้นค่าบริการรถโดยสารสาธารณะ ๘. ให้กระทรวงคมนาคมไปพิจารณาดำเนินการเรื่องการพัฒนารถไฟระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น ในเส้นทางที่ได้มีการหารือในเบื้องต้นแล้วให้ได้ข้อยุติ เช่น เส้นทาง Lower East-West Corridor เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
| 496 | ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 20/01/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงสร้างยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ๘ ยุทธศาสตร์ และ ๑ รายการ คือ ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์เร่งรัดวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม ๑.๑.๔ ยุทธศาสตร์การศึกษา สาธารณสุข คุณธรรม จริยธรรม และคุณภาพชีวิต ๑.๑.๕ ยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑.๑.๖ ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม ๑.๑.๗ ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ๑.๑.๘ ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ๑.๑.๙ รายการค่าดำเนินการภาครัฐ ๑.๒ ยุทธศาสตร์เร่งรัดวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ประกอบด้วยประเด็นยุทธศาสตร์ที่เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเร่งดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างความมั่นคงทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม รวม ๑๒ ประเด็นยุทธศาสตร์ คือ ๑.๒.๑ การเร่งรัดและผลักดันการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต ๑.๒.๒ การสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนแก่เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ๑.๒.๓ การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ๑.๒.๔ การพัฒนาและเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการ ๑.๒.๕ การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ๑.๒.๖ การส่งเสริมเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๑.๒.๗ การพัฒนาระบบบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ ๑.๒.๘ การส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ ๑.๒.๙ การเร่งรัดประยุกต์ใช้งานวิจัยและพัฒนาไปสู่การปฏิบัติ ๑.๒.๑๐ การแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒.๑๑ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ๑.๒.๑๒ การป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐจัดทำแผนงาน/โครงการเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้เป็นไปอย่างละเอียด รอบคอบ รัดกุม รวมทั้งเพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณเป็นไปอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||
| 497 | ผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าสหพันธรัฐรัสเซีย | กต | 13/01/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าสหพันธรัฐรัสเซีย ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๘ เพื่อหารือถึงแนวทางการดำเนินความสัมพันธ์และความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องตามนัยสรุปประเด็นสำคัญสำหรับติดตามผลการหารือระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าสหพันธรัฐรัสเซียดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ได้แก่ ๒.๑ การเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งฝ่ายไทยเสนอระหว่างวันที่ ๒๙ มีนาคม-๑ เมษายน ๒๕๕๘ และการเร่งรัดการเจรจาความตกลงที่คั่งค้าง เพื่อให้สามารถลงนามได้ในระหว่างการเยือน ๒.๒ การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย ครั้งที่ ๖ ที่รัสเซีย ๒.๓ การส่งออกยางพาราไปรัสเซีย ๒.๔ การแลกเปลี่ยนยางพาราของไทยกับอากาศยานหรือยุทโธปกรณ์จากรัสเซีย ๒.๕ ความร่วมมือด้านการเงินและการธนาคารในการใช้เงินสกุลอื่นนอกเหนือจากเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐและยูโร ในการค้าทวิภาคีไทย-รัสเซีย ๒.๖ การขยายการส่งออกสินค้าอาหารและเกษตรไปรัสเซีย ๒.๗ ปัญหาการนำเข้าแร่ใยหินจากรัสเซีย ๒.๘ การส่งเสริมการลงทุนของรัสเซียในไทยโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือเวชกรรม และการลงทุนของไทยในรัสเซีย ๒.๙ การส่งเสริมความร่วมมือและแลกเปลี่ยนคณะนักธุรกิจไทย-รัสเซีย ๒.๑๐ การจัดกิจกรรมฉลองวาระ ๑๒๐ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-รัสเซีย ๒.๑๑ การขยายความร่วมมือด้านการศึกษาและวิชาการ ไทย-รัสเซีย
|
||||||||||||||||||
| 498 | คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2558 ลงวันที่ 9 มกราคม 2558 | สลธ.คสช. | 13/01/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ลงวันที่ ๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ โดยมีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นรองประธานกรรมการ และพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่ติดตามและประเมินผลการดำเนินการของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งกำหนดแนวทางและมาตรการหรือกลไกในการประสานความร่วมมือระหว่างส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ๒. มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) หารือกับประธานกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะ ๓ เดือน ๖ เดือน ๙ เดือน และ ๑ ปี ในการประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ ในวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ โดยให้เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใน ๔ ด้าน ได้แก่ การเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายแก่ประชาชนเพื่อกระตุ้นการบริโภค การเร่งรัดการส่งออก การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและคมนาคมและเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการใช้จ่ายภาครัฐ ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญกับมาตรการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงแก่ผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีรายได้หลักจากเศรษฐกิจนอกระบบให้สามารถประกอบอาชีพและสร้างรายได้จากเศรษฐกิจในระบบได้อย่างถูกต้อง
|
||||||||||||||||||
| 499 | รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 30/12/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี เงินตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก เงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจ (ที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) เงินทุนหมุนเวียน (ที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) และเงินอื่น ๆ (เงินไทยเข้มแข็งเดิม และเงิน พ.ร.ก. น้ำ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม-๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ มีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วทั้งสิ้น ๘๕๖,๗๐๒ ล้านบาท (ไม่รวมเงินลงทุนรัฐวิสาหกิจ และเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่เบิกจ่ายจากงบประมาณ) โดยคาดการณ์ว่าไตรมาสที่ ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) จะมีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จำนวน ๙๘๔,๒๕๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเสนอ ๒. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ได้แก่ ๒.๑ มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม ๒.๑.๑ รายการที่ลงนามในสัญญาแล้ว ให้เร่งรัดการดำเนินงานเพื่อให้สามารถตรวจรับงานและเบิกจ่ายเงินได้ก่อนสิ้นงวดงานแต่ละงวดงาน หรือก่อนระยะเวลาสัญญาสิ้นสุด ๒.๑.๒ รายการที่ไม่สามารถก่อหนี้ได้ภายในไตรมาสที่ ๓ แต่อยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว (ตั้งแต่ขั้นตอนการประกาศเชิญชวน) ให้เร่งรัดการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ ๒.๑.๓ รายการที่ยังไม่ดำเนินการ (ยังไม่เริ่มขั้นตอนการประกาศเชิญชวน) ให้เร่งรัดการประกาศจัดซื้อจัดจ้างภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ กรณีมีรายการที่ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการ หรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ให้ลงนามในสัญญาภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ หากหน่วยงานใดไม่สามารถดำเนินการได้ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ให้กรมบัญชีกลางรวบรวมรายชื่อหน่วยงานพร้อมปัญหาอุปสรรคของหน่วยงานดังกล่าวเสนอคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณาภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ๒.๑.๔ รายการที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ที่อยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว (ตั้งแต่ขั้นตอนการประกาศเชิญชวน) ให้ลงนามในสัญญาภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ สำหรับรายการที่ยังไม่เริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ให้เร่งรัดดำเนินการประกาศจัดซื้อจัดจ้างภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ รวมทั้งให้เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ๒.๑.๕ การเบิกจ่ายงบฝึกอบรมและประชุมสัมมนา ให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการฝึกอบรมและประชุมสัมมนาที่ได้กำหนดไว้โดยเคร่งครัด ๒.๒ มาตรการกระตุ้นการเบิกจ่ายเงินของท้องถิ่นโดยเฉพาะงบเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ๒.๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำกับดูแลเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินของท้องถิ่นให้เป็นไปตามมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงิน รวมทั้งมอบหมายให้คลังจังหวัดร่วมกับท้องถิ่นจังหวัดติดตามเร่งรัดการก่อหนี้และการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจของท้องถิ่น และรวบรวมปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ให้กรมบัญชีกลาง เพื่อเสนอคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณา ๒.๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างและการเบิกจ่ายผ่านเว็บไซต์ www.dla.go.th หัวข้อ ระบบสารสนเทศเพื่อการวางแผนและประเมินผลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (e-Plan) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๕ ของทุกเดือน ไปจนกว่าการดำเนินการจะสิ้นสุด โดยให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นรายงานให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐทราบภายในวันที่ ๑๐ ของทุกเดือน ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้ส่วนราชการในกำกับ เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยให้นำผลการเบิกจ่ายงบประมาณไปใช้ประกอบการพิจารณาในการประเมินผลการปฏิบัติราชการของหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับอธิบดีขึ้นไป ๔. ให้สำนักงบประมาณนำผลการเบิกจ่ายงบประมาณปี ๒๕๕๙ ของแต่ละส่วนราชการไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๙ ของแต่ละส่วนราชการต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 500 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 3 ปี 2557 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤศจิกายน 2557 | อก | 30/12/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๗ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๗) ดัชนีผลผลิตลดลงหรือหดตัวร้อยละ ๓.๙ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมสำคัญที่การผลิตลดลงในไตรมาสนี้ อาทิ ยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๗ แม้ว่าดัชนีฯ ยังคงหดตัวอยู่ แต่มีสัญญาณฟื้นตัวขึ้นจากการที่ดัชนีฯ หดตัวในอัตราที่น้อยลงจากไตรมาสก่อน (ไตรมาส ๒ ปี ๒๕๕๗ ดัชนีฯ หดตัวร้อยละ ๔.๘) ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ดัชนีอุตสาหกรรมของเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ลดลงหรือหดตัวร้อยละ ๒.๙ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตลดลงในหลายอุตสาหกรรมที่สำคัญ อาทิ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม การผลิตเบียร์ เป็นต้น ทั้งนี้ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ แม้ว่ายังคงหดตัวอยู่ แต่มีสัญญาณฟื้นตัวขึ้นจากการที่ดัชนีฯ หดตัวในอัตราที่น้อยลงจากเดือนก่อน (เดือนกันยายน ๒๕๕๗ หดตัวร้อยละ ๓.๙) ด้วยปัจจัยต่าง ๆ เช่น เศรษฐกิจในประเทศเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นจากความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ และการเมืองมากขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี ๒๕๕๘ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรทั้งที่เป็นเงินช่วยเหลือปัจจัยการผลิตและที่เป็นสินเชื่อเพื่อใช้วัตถุดิบการเกษตร ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มเพิ่มระดับการผลิตมากขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของการบริโภคในประเทศในช่วง ต่อ ๆ ไป
|
||||||||||||||||||
.....
