ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 29 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 561 - 580 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 561 | มาตรการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 เพิ่มเติม | กค | 26/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๑.๑ ณ วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ มีการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้ว จำนวน ๙๖๐,๗๖๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๐.๐๓ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๙.๐๓ โดยการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน ๘๙๐,๖๖๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๔.๕๒ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๒,๐๐๐,๔๘๙ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๗๐,๑๐๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๗.๕๕ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๓๙๙,๕๑๑ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๐.๐๕ ๑.๑.๒ เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วยเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๕ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙๙,๔๑๖ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๒๕,๘๑๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๒.๐๒ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ๑.๑.๓ เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๙๙๗ ล้านบาท และตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๓๔๑,๕๓๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓๒๒,๑๘๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๔.๓๓ ของวงเงินที่จัดสรร ๑.๑.๔ เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ จำนวน ๔,๐๕๑ ล้านบาท และตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๒๒,๖๔๒ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๕,๘๑๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๕.๖๘ ของวงเงินที่จัดสรร ๑.๑.๕ งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๒,๙๗๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖ ของแผนการลงทุนทั้งปี จำนวน ๓๖๘,๖๘๖ ล้านบาท ประกอบด้วย รัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีงบประมาณเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๕,๔๗๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๑ ของแผนงบลงทุนทั้งปี จำนวน ๑๔๐,๓๓๐ ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีปฏิทิน เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๗,๕๐๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓ ของแผนงบลงทุนทั้งปี จำนวน ๒๒๘,๓๕๖ ล้านบาท ๑.๑.๖ เงินทุนหมุนเวียน ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๔๗,๖๓๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๐.๗๗ ของแผนการใช้จ่ายเงิน จำนวน ๓๖๒,๑๒๔ ล้านบาท ประกอบด้วย งบประจำ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๘๗,๘๗๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๐.๒๘ ของแผนการใช้จ่ายเงิน จำนวน ๑๗๔,๗๖๗ ล้านบาท และงบลงทุนรวม เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๕๙,๗๕๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๑.๘๙ ของแผนการใช้จ่ายเงิน จำนวน ๑๘๗,๓๕๗ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบการขยายระยะเวลาการก่อหนี้รายจ่ายลงทุนและการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณตามอำนาจส่วนราชการเจ้าของงบประมาณ ตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ๑.๒.๑ ขยายระยะเวลาการก่อหนี้รายจ่ายลงทุน โดยให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการก่อหนี้รายจ่ายลงทุนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๑.๒.๒ ขยายระยะเวลาการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณตามอำนาจส่วนราชการเจ้าของงบประมาณ ประกอบด้วย การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายลงทุน ให้หน่วยงานดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๖ และการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำที่เหลือจ่ายจากการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่ของบประมาณ ให้หน่วยงานดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ และเบิกจ่ายภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณของหน่วยงาน ควรให้ความสำคัญกับงบประมาณในส่วนที่จะโอนเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของคำขอรับจัดสรรงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 562 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหากรณี FATF ขึ้นบัญชีดำประเทศไทย" | สสป | 26/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร กรมสรรพากร) กระทรวงการต่างประเทศ (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมสหกรณ์) กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง กรมที่ดิน) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย สมาคมธนาคารไทย และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหากรณี FATF ขึ้นบัญชีดำประเทศไทย" โดยสาระสำคัญของความเห็นและข้อเสนอแนะสรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐบาลต้องร่วมมือรัฐสภาในการเร่งรัดการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับการฟอกเงิน ๒. รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามเงื่อนไขและมาตรฐานของ FATF ๓. รัฐบาลจะต้องชี้แจงและสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจทั้งผู้ส่งออก-นำเข้า ภาคท่องเที่ยว ตลาดทุนและภาคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๔. รัฐบาลควรชี้แจงให้ FATF ทราบว่ารัฐบาลกำลังร่วมมือกับรัฐสภาในการเร่งรัดออกกฎหมายเกี่ยวกับการฟอกเงินเพื่อการก่อการร้ายให้เสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๕. รัฐบาลต้องจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเข้ามากำกับในการเร่งรัดการออกกฎหมาย ๖. กฎหมายที่ออกมาต้องครอบคลุมมาตรฐานใหม่ของ FATF ๗. กฎหมายที่ออกมาต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมและผลกระทบในวงกว้าง ๘. รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการกำหนดแนวทางให้หน่วยงานที่กำกับดูแล ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญในการผลักดันและติดตามให้มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขของ FATF โดยเฉพาะในการร่วมมือกับรัฐสภาในการผลักดันให้ออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันระยะเวลาที่ทาง FATF จะประชุมในครั้งต่อไป และดำเนินการทุกวิถีทางในการที่จะปลดล็อคประเทศไทยจากระดับที่เป็น Dark Grey List ไปสู่ระดับปกติโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 563 | รายงานสถานการณ์และการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี พ.ศ. 2555 | พม | 26/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์และการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์การค้ามนุษย์ ประเทศไทยยังคงมีสถานะของการค้ามนุษย์ ๓ สถานะ คือ ประเทศต้นทาง ประเทศทางผ่าน และประเทศปลายทาง ซึ่งประเทศไทยมีกรอบในการดำเนินงานของหน่วยงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ด้วยการใช้หลักการทำงานแบบสหวิชาชีพ ได้แก่ การป้องกัน การดำเนินคดี การคุ้มครองช่วยเหลือ และนโยบายการขับเคลื่อน รวมทั้งยังมีความพยายามที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และมีแนวทางการดำเนินงานเพื่อสกัดกั้นขบวนการค้ามนุษย์และเพิ่มความร่วมมือกับผู้เสียหายในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ๒. จำนวนคดี การดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๐๗ คดี ในจำนวนนี้เป็นคดีพิเศษ ๒ คดี ส่วนใหญ่เป็นคดีค้ามนุษย์ในรูปแบบการแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณี รองลงมาเป็นรูปแบบการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ และรูปแบบการนำคนมาขอทาน ตามลำดับ โดยมีคดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน จำนวน ๒๖๐ คดี อยู่ในชั้นพนักงานอัยการ จำนวน ๓๘ คดี และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล จำนวน ๔ คดี และมีคำพิพากษาจากศาลชั้นต้นแล้ว จำนวน ๕ คดี ๓. การดำเนินการในด้านต่าง ๆ ประเทศไทยมีนโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๙ เป็นกรอบในการดำเนินงานของหน่วยงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ด้วยการใช้หลักการการทำงานแบบสหวิชาชีพและหลักการ 5Ps ซึ่งประกอบด้วย ด้านการป้องกัน (Prevention) การดำเนินคดี (Prosecution) การคุ้มครองช่วยเหลือ (Protection) นโยบายและการขับเคลื่อน (Policy) และหุ้นส่วนความร่วมมือ (Partnership) โดยแต่ละปีจะมีการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีร่วมกัน เพื่อให้เกิดการประสานการปฏิบัติให้ครอบคลุมการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และป้องกันมิให้ปัญหาเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ตลอดจนสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนให้เป็นเครือข่ายการเฝ้าระวังและต่อต้านการค้ามนุษย์ ๔. แนวทางการดำเนินงานในอนาคต ได้แก่ การเร่งรัดการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในรูปแบบประมง การเสริมสร้างศักยภาพการบังคับใช้กฎหมายและความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดีให้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้อง การเพิ่มประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวน ขยายผลปราบปรามและจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดบริการทางสังคม รวมทั้งพัฒนากระบวนการส่งกลับและการคืนสู่สังคม การเสริมสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังจากทุกภาคส่วนและในทุกระดับเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบ การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อกำหนดมาตรการและวิธีการในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ให้ทันกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคต และการพัฒนาระบบข้อมูลและสารสนเทศการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้มีประสิทธิภาพและทันสมัย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 564 | รายงานผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2556 ไตรมาส 1 (ตุลาคม - ธันวาคม 2555) | นร11 | 12/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาส ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) ของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๓๖ แห่ง (ใช้รอบปีบัญชีงบประมาณ) ปรากฏว่า รัฐวิสาหกิจในภาพรวมสามารถเบิกจ่ายลงทุนสะสมถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ได้จำนวน ๑๓,๗๑๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๓.๒ ของเป้าหมาย (จำนวน ๒๕,๗๗๒ ล้านบาท) ซึ่งต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่เบิกจ่ายลงทุนได้ร้อยละ ๖๙.๐ สาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนได้ต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากปัญหาอุทกภัยปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ทำให้ต้องเลื่อนแผนการดำเนินงานและเบิกจ่ายลงทุนออกไป การปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน การชะลอการลงทุนบางส่วนเพื่อรอความชัดเจนด้านนโยบาย รวมทั้งปัญหาความล่าช้าในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภายใน และความล่าช้าจากขั้นตอนการกู้เงินโดยเฉพาะงานด้านเอกสาร โดยรัฐวิสาหกิจที่มีผลการเบิกจ่ายลงทุนในไตรมาสแรกต่ำกว่าเป้าหมาย จำนวน ๑๙ แห่ง ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การประปานครหลวง การท่าเรือแห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การประปาส่วนภูมิภาค องค์การเภสัชกรรม องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท โรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำกัด การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัท ขนส่ง จำกัด โรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต และบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด ๒. เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ๒.๑ ให้รัฐวิสาหกิจจัดทำแผนหรือแนวทางการแก้ไขปัญหาในกรณีที่การดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม โดยผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงเจ้าสังกัด และจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อประกอบการรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนต่อคณะรัฐมนตรีตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖) ๒.๒ ให้หน่วยงานในระดับกระทรวง คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และผู้บริหารสูงสุดรัฐวิสาหกิจ กำหนดให้มีมาตรการในการกำกับ ดูแลให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการและเบิกจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 565 | ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2555 นโยบายของคณะกรรมการและโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค | 12/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ นโยบายของคณะกรรมการและโครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินงานของ รฟม. ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ด้านการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ด้านการเงิน ด้านการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรบุคคล และด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ได้แก่ ๑.๑.๑ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วเสร็จ การก่อสร้างงานโยธา สัญญาที่ ๑-๓ มีความก้าวหน้าร้อยละ ๕๐.๑๔ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๑.๑๔ งานคัดเลือกผู้รับจ้างงานระบบรางและงานระบบรถไฟฟ้า ช่วงบางใหญ่-เตาปูน ดำเนินการคัดเลือกแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรี และงานคัดเลือกผู้รับจ้างงานระบบรางและงานระบบรถไฟฟ้า ช่วงเตาปูน-บางซื่อ อยู่ระหว่างการปรับปรุงรายงานเปรียบเทียบแนวทางการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน ๑.๑.๒ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๙๖.๘๖ ล่าช้ากว่าแผนงานร้อยละ ๓.๑๔ การก่อสร้างงานโยธา สัญญาที่ ๑-๕ มีความก้าวหน้าร้อยละ ๒๓.๖๑ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๕.๓๔ งานระบบรถไฟฟ้า อยู่ระหว่างการนำเสนอผลการศึกษาเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของรูปแบบการเดินรถ ๑.๑.๓ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากแบบรายละเอียดและเอกสารประกวดราคายังไม่แล้วเสร็จ เป็นผลมาจากกรุงเทพมหานครไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่สำนักงานเขตบางเขน ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนแนวเส้นทางและสถานีบริเวณดังกล่าว รวมทั้งต้องเสนอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอีกครั้ง ๑.๑.๔ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๙๓.๔๕ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๖.๕๕ การก่อสร้างงานโยธาสัญญาที่ ๑ มีความก้าวหน้าร้อยละ ๑.๗๓ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๐.๐๘ และอยู่ระหว่างการประกวดราคางานสัญญาที่ ๒ (งานระบบราง) ๑.๑.๕ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ดำเนินการศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบและจัดเตรียมเอกสารประกวดราคาแล้วเสร็จ โดยมีประชาชนบางส่วนในเขตมีนบุรีคัดค้านแนวเส้นทางเดิมตามแผนแม่บทของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) โดยเสนอให้ รฟม. ปรับแนวเส้นทางและตำแหน่งศูนย์ซ่อมบำรุงบริเวณมีนบุรี ขณะนี้อยู่ระหว่าง รฟม. ศึกษารายละเอียดและวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของการปรับแบบแนวเส้นทาง ๑.๑.๖ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-มีนบุรี อยู่ระหว่างการศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้วเสร็จ ๑.๑.๗ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้วเสร็จ ๑.๑.๘ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้วเสร็จ อยู่ระหว่างสำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของราคาก่อนทำสัญญาก่อหนี้ผูกพัน ๑.๒ นโยบายของคณะกรรมการ รฟม. ได้แก่ การเร่งรัดดำเนินโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายต่าง ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายและเปิดบริการได้ตามแผน การให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนด้วยความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ตรงเวลา โดยคำนึงถึงความพึงพอใจของผู้ใช้บริการแต่ละกลุ่ม การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานและนำข้อคิดเห็นของประชาชนมาพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานขององค์กร การดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล มีการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงให้ความสำคัญต่อการป้องกันและลดผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานขององค์กร การบริหารสินทรัพย์ ดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง และให้บริการเสริมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มรายได้และลดภาระการสนับสนุนจากภาครัฐ การบริหารจัดการทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในด้านการบริหารเงินสด การบริหารจัดการหนี้ และการบริหารความเสี่ยง การสื่อสารในเชิงรุกในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน การดำเนินงานขององค์กร และให้การสนับสนุนองค์กร การพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการภายใน และระบบสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร และการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีจากผู้รับเหมาและที่ปรึกษาอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการพัฒนาและปรับปรุงระบบแรงจูงใจทั้งในรูปตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงินเพื่อสร้างความเป็นธรรมและสร้างขวัญกำลังใจแก่พนักงาน ๑.๓ โครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต มีโครงการสำคัญที่จะดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ด้านการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ด้านการเงิน และด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคล จำนวน ๒๔ โครงการ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายของโครงการและแนวทางการดำเนินงานให้ชัดเจนในแต่ละนโยบาย การกำหนดตัวชี้วัดเพื่อใช้ในการประเมินผลการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ การเร่งดำเนินการบริหารความเสี่ยงหนี้เงินกู้ต่างประเทศสกุลเงินเยนของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ การเร่งจัดทำแผนธุรกิจเพื่อรองรับการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนส่วนต่อขยายและสายใหม่ของ รฟม. การประสานสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเพื่อกำหนดแนวทางการบริหารความเสี่ยงทางการเงินที่เหมาะสมและสอดคล้องกับขอบเขตภารกิจหน้าที่ของ รฟม. การให้ความสำคัญกับการกำหนดโครงสร้างอัตราบุคลากรให้สอดคล้องกับบทบาทขององค์กรในการกำกับดูแลการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โดยมีการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งในด้านบุคลากรและสิ่งอำนวยความสะดวกให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการประสานความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและเอกชนผู้รับสัมปทานในการพัฒนาบุคลากรการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการลงทุนระบบไฟฟ้าและอาณัติสัญญาณของบุคลากร และการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บุคลากรของ รฟม. อย่างเป็นระบบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 566 | รายงานข้อมูลปัญหาอาชญากรรม (ในรอบเดือนมกราคม 2556) | ตช | 05/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานข้อมูลปัญหาอาชญากรรม ในรอบเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการป้องกันอาชญากรรม ๑.๑ คดีกลุ่มที่ ๑ คดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๔๒๒ คดี ๑.๒ คดีกลุ่มที่ ๒ คดีประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย และเพศ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๒,๐๗๐ คดี ๑.๓ คดีกลุ่มที่ ๓ คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๔,๐๔๖ คดี ๒. ด้านการปราบปรามอาชญากรรม ๒.๑ คดีกลุ่มที่ ๑ จับกุมได้ ๒๕๓ คดี คิดเป็นร้อยละ ๕๙.๙๕ ของการรับแจ้ง (๔๒๒ คดี) ๒.๒ คดีกลุ่มที่ ๒ จับกุมได้ ๑,๐๘๗ คดี คิดเป็นร้อยละ ๕๒.๕๑ ของการรับแจ้ง (๒,๐๗๐ คดี) ๒.๓ คดีกลุ่มที่ ๓ จับกุมได้ ๑,๗๐๒ คดี คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๐๗ ของการรับแจ้ง (๔,๐๔๖ คดี) ๓. ด้านการประชาสัมพันธ์ ได้ดำเนินการเร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์สื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของตนเองให้มากยิ่งขึ้น โดยไม่เปิดโอกาสให้คนร้ายเข้ามาประทุษร้ายต่อทรัพย์ของตนเองได้ง่าย รวมทั้งการให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสการกระทำผิดของคนร้าย สำหรับกรณีที่มีการจับกุมผู้กระทำความผิดในคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายในภาพรวมหรือกระทบต่อความสงบสุขในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน ให้พิจารณาจัดแถลงข่าวทางสื่อมวลชนให้ประชาชนได้รับทราบ ๔. สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาแต่ละระดับเร่งรัดมาตรการด้านสายตรวจให้มีความถี่เพิ่มมากขึ้น เพื่อลดแรงจูงใจในการกระทำผิด ตามห้วงเวลาที่เกิดเหตุมากของแต่ละพื้นที่ ให้แต่ละหน่วยพิจารณาระดมกวาดล้างอาชญากรรม ในห้วงเวลาที่เหมาะสม เป็นประจำทุกเดือน ๆ ละไม่น้อยกว่า ๕ วัน และให้มีการเร่งรัดจับกุมคดีค้างเก่าอย่างจริงจัง ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญในการระดมกวาดล้าง ได้แก่ อาวุธปืน อาวุธสงคราม และวัตถุระเบิด มือปืนรับจ้างและผู้มีอิทธิพลที่กระทำความผิด คดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ คดีค้างเก่าตามหมายจับ คดียาเสพติดให้โทษ และอบายมุขทุกประเภท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 567 | การสนับสนุนงบประมาณค่าสร้างและซ่อมเครื่องราชอิสริยาภรณ์และการเร่งรัดให้ส่งคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นรอง | นร | 27/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการจัดสรรงบประมาณค่าสร้างและซ่อมเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพายให้ได้เต็มจำนวนที่พร้อมจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสำหรับพระราชทานแก่ผู้ที่ได้รับพระราชทานประจำปีแต่ละปี และไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๔๐ ของจำนวนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในชั้นต่ำกว่าสายสะพาย โดยให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมและกระทรวงพิจารณาเร่งรัดการส่งคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นรองตามระเบียบและกฎเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และให้นำเรื่องการส่งคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประกอบการพิจารณาเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ในกรณีเลื่อนชั้นตราสูงขึ้น ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยในส่วนของงบประมาณจัดสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพายเพิ่มเติมอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้ทุกส่วนราชการส่งข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ รวมถึงข้าราชการประเภทอื่นในระดับที่เทียบเท่า ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อประกอบการนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพายพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย (ประถมาภรณ์มงกุฎไทย) เพื่อมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำและมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีขอความร่วมมือหน่วยงานขององค์กรตามรัฐธรรมนูญส่งข้อมูลดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 568 | รายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 และ 2553 | กษ | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับรายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักเกณฑ์ในการจัดทำงบการเงิน และข้อเสนอแนะประกอบการสอบบัญชี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานงบการเงินของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๑ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๑ ประกอบด้วย ๑.๑ สินทรัพย์หมุนเวียน ปี ๒๕๕๑ รวม ๕,๑๒๖,๐๘๘,๐๙๗.๔๗ บาท ปี ๒๕๕๒ รวม ๕,๒๓๖,๐๔๘,๓๓๖.๙๐ บาท ๑.๒ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ปี ๒๕๕๑ รวม ๓,๕๙๒,๒๓๒,๙๒๓.๘๒ บาท ปี ๒๕๕๒ รวม ๓,๕๒๘,๘๑๐,๗๐๗.๔๒ บาท ๑.๓ รวมสินทรัพย์ ปี ๒๕๕๑ รวม ๘,๗๑๘,๓๒๑,๐๒๑.๒๙ บาท ปี ๒๕๕๒ รวม ๘,๗๖๔,๘๕๙,๐๔๔.๓๒ บาท ๑.๔ หนี้สินหมุนเวียน ปี ๒๕๕๑ รวม ๒,๒๐๐.๐๐ บาท ปี ๒๕๕๒ รวม ๑,๔๐๔.๐๐ บาท ๑.๕ รวมสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ปี ๒๕๕๑ รวม ๘,๗๑๘,๓๑๘,๘๒๑.๒๙ บาท ปี ๒๕๕๒ รวม ๘,๗๖๔,๘๕๗,๖๔๐.๓๒ บาท ๒. รายงานงบการเงินของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ประกอบด้วย ๒.๑ สินทรัพย์หมุนเวียน ปี ๒๕๕๒ รวม ๕,๒๓๖,๐๔๘,๓๓๖.๙๐ บาท ปี ๒๕๕๓ รวม ๕,๒๐๐,๗๙๒,๙๐๓.๓๕ บาท ๒.๒ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ปี ๒๕๕๒ รวม ๓,๕๒๘,๘๑๐,๗๐๗.๔๒ บาท ปี ๒๕๕๓ รวม ๓,๕๙๐,๓๙๔,๗๓๔.๙๘ บาท ๒.๓ รวมสินทรัพย์ ปี ๒๕๕๒ รวม ๘,๗๖๔,๘๕๙,๐๔๔.๓๒ บาท ปี ๒๕๕๓ รวม ๘,๗๙๑,๑๘๗,๖๓๘.๓๓ บาท ๒.๔ หนี้สินหมุนเวียน ปี ๒๕๕๒ รวม ๑,๔๐๔.๐๐ บาท ปี ๒๕๕๓ รวม ๒,๓๔๐.๐๐ บาท ๒.๕ รวมสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ปี ๒๕๕๒ รวม ๘,๗๖๔,๘๕๗,๖๔๐.๔๐ บาท ปี ๒๕๕๓ รวม ๘,๗๙๑,๑๘๕,๒๙๘.๓๓ บาท ๓. ข้อเสนอแนะประกอบการสอบบัญชีประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ โดยให้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกรดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ รายได้ค้างรับ ให้แจ้งเรื่องการติดตามเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อดำเนินการเร่งรัดและติดตามเงินรายได้ค้างรับดังกล่าวจากองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรต่อไป ๓.๒ ลูกหนี้ระยะสั้น ให้เร่งรัดหน่วยงานที่ค้างชำระหนี้รีบดำเนินการนำเงินส่งคืนกองทุนฯ โดยเร็ว ในกรณีที่พบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานหรือคาดว่าไม่สามารถชำระหนี้คืนเงินกองทุนฯ ได้ภายในกำหนดให้รายงานให้คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรทราบโดยด่วน ตามระเบียบคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๖.๒ (๑) และข้อ ๑๒ เพื่อกำหนดมาตรการในการเร่งรัดหนี้ต่อไป ๓.๓ ลูกหนี้ระยะยาว ซึ่งเป็นลูกหนี้ค้างชำระเป็นเวลานานเกินกว่า ๑๐ ปี ให้เร่งรัดหน่วยงานที่ค้างชำระหนี้รีบดำเนินการนำเงินส่งคืนกองทุนฯ โดยเร็ว ในกรณีที่พบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานหรือคาดว่าไม่สามารถชำระหนี้คืนเงินกองทุนได้ภายในกำหนด ให้รายงานให้คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรทราบโดยด่วน ตามระเบียบคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๖.๒ (๑) และข้อ ๑๒ เพื่อกำหนดมาตรการในการเร่งรัดหนี้ต่อไป และขอให้เร่งรัดส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเจ้าของโครงการรีบดำเนินการยื่นเรื่องขอปิดโครงการพร้อมเอกสารตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรโดยด่วนเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อกองทุนฯ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 569 | ผลการเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเชิญนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรเยือนไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญให้นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรเดินทางเยือนไทย ทั้งด้วยวาจา (ระหว่างการหารือทวิภาคี) และในหนังสือขอบคุณหลังเสร็จสิ้นการเยือนแล้ว ซึ่งสหราชอาณาจักรตอบรับ ๒. การจัดการหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-สหราชอาณาจักร ครั้งที่ ๑ โดยนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมในการจัดตั้งกลไกการหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-สหราชอาณาจักร (Thailand-United Kingdom Strategic Dialogue) เป็นกลไกหารือประจำปีเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทั้งประเด็นทวิภาคี ภูมิภาค และประเด็นระหว่างประเทศ ๓. การค้าและการลงทุน โดยไทยขอให้สหราชอาณาจักรสนับสนุนบริษัทไทยที่เข้าไปลงทุน/ดำเนินธุรกิจในสหราชอาณาจักร และต้องการ ผลักดันให้มีการเพิ่มปริมาณการลงทุนของบริษัทสหราชอาณาจักรในประเทศไทย โดยเฉพาะการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership) ในโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการป้องกันอุทกภัย รวมทั้งขอให้สหราชอาณาจักรสนับสนุนการขยายโควตาการนำเข้าไก่สดแช่แข็งของไทยเข้าสหภาพยุโรป สำหรับสหราชอาณาจักรย้ำความสำคัญของการเร่งรัดการจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกัน ๔. การถ่ายทอดประสบการณ์และองค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือ โดยสหราชอาณาจักรเสนอที่จะแบ่งปันประสบการณ์ของสหราชอาณาจักรในกรณีไอร์แลนด์เหนือ เพื่อเป็นกรณีศึกษาที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการปรองดองแห่งชาติของไทย ๕. ความร่วมมือด้านกลาโหมและความมั่นคง โดยสหราชอาณาจักรแสดงความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านกลาโหม และความมั่นคงกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทย โดยเฉพาะในด้านการต่อต้านการก่อการร้าย การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ๖. การศึกษา โดยฝ่ายไทยประสงค์จะได้รับการสนับสนุนการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษจากฝ่ายสหราชอาณาจักรต่อไป เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมความพร้อมในการก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ๗. มาตรการตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดของสหราชอาณาจักร โดยฝ่ายไทยขอให้สหราชอาณาจักรพิจารณาผ่อนปรนข้อกำหนดที่เข้มงวดในการขอรับตรวจตราสำหรับพ่อครัว/แม่ครัวไทยที่ประสงค์จะไปทำงานที่สหราชอาณาจักร แต่ฝ่ายสหราชอาณาจักรย้ำถึงความจำเป็นในการคงกฎระเบียบดังกล่าวเพื่อรักษาความมั่นคงภายในประเทศ ๘. พลังงานทางเลือก โดยไทยสนใจที่จะขอรับการสนับสนุนองค์ความรู้และนวัตกรรมเรื่องพลังงานทดแทนจากสหราชอาณจักร ๙. อุตสาหกรรมอาหาร โดยไทยสนใจขอรับการสนับสนุนด้านองค์ความรู้และนวัตกรรมในด้านอุตสาหกรรมอาหารและการแปรรูปสินค้าเกษตรซึ่งภาคเอกชนสหราชอาณาจักรมีความเชี่ยวชาญ ๑๐. การท่องเที่ยว โดยสหราชอาณาจักรแสดงความห่วงกังวลเรื่องปัญหาการหลอกลวงนักท่องเที่ยว อาชญากรรม และมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนนในไทย พร้อมทั้งข้อเสนอแนะของภาคเอกชนสหราชอาณาจักร อาทิ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ไปพร้อมกับการอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวเดิม ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวประเทศไทยผ่านสื่อมวลชนระดับโลก ให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถยนต์กรองปรีซ์ (Grand Prix) การจัดเตรียมบริการรองรับเที่ยวบินพิเศษ (chartered flight) การเจาะตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวเฉพาะ (niche market) และความไม่สอดคล้องของการตรวจลงตรานักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยทางบกและทางอากาศ (๑๕ วัน และ ๓๐ วัน ตามลำดับ) เป็นต้น ๑๑. เมียนมาร์ โดยไทยขอให้สหราชอาณาจักรสนับสนุนพัฒนาการในเมียนมาร์ให้มีปฏิสัมพันธ์อย่างสมดุล โดยเฉพาะการผลักดันให้สภาพยุโรปยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรโดยสมบูรณ์ และขอให้สหราชอาณาจักรร่วมมือพัฒนาเมียนมาร์กับไทยในลักษณะไตรภาคี ๑๒. บทบาทไทยในเวทีระหว่างประเทศ โดยไทยขอรับการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักรต่อการสมัครของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ และการสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอีกครั้งในวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๑๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 570 | ผลการประชุมผู้นำเอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ 9 | นร04 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ ๙ (The 9th Asia-Europe Meeting : ASEM 9) ระหว่างวันที่ ๕-๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนชาว (สปป.ลาว) ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สาธารณรัฐโปแลนด์ ได้แก่ การเชิญนายโดนัลด์ ทุสค์ นายกรัฐมนตรีโปแลนด์มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ การสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยและโปแลนด์มีความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนกันมากขึ้น โดยการจัดตั้งกลไกเพื่อหารือ และการเชิญชวนให้โปแลนด์นำเข้าข้าวจากไทย การเร่งรัดการพิจารณาร่างความตกลงว่าด้วยการรักษาข้อมูลลับ และการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากโปแลนด์ การขอยกเว้นการตรวจลงตราเขตเชงเก้นสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย การแลกเสียงระหว่างการสมัครเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ของไทย กับการสมัครวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๑๙ ของโปแลนด์ และการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจไทย-โปแลนด์ ๒. ราชอาณาจักรนอร์เวย์ ได้แก่ การจัดตั้ง Joint-Committee ไทย-นอร์เวย์ การขอยกเว้นการตรวจลงตราเขตเชงเก้น และร่วมมือกับนอร์เวย์ในลักษณะไตรภาคีเพื่อให้ความช่วยเหลือเมียนมาร์ ๓. สาธารณรัฐอิตาลี ได้แก่ การเยือนอิตาลีของนายกรัฐมนตรีตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีอิตาลี การจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทยกับอิตาลีว่าด้วยความร่วมมือด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การส่งตัวนาย Vito Roberto Palazzolo เป็นผู้ร้ายข้ามแดน การดำเนินคดีกรณีการเสียชีวิตของนาย Fabio Polenghi ช่างภาพอิสระ ๔. มองโกเลีย ได้แก่ การเยือนมองโกเลียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีตามคำเชิญของประธานาธิบดีมองโกเลีย การเป็นเจ้าภาพการประชุม Community of Democracies ที่กรุงอูลานบาตอร์ ของมองโกเลีย ในวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๖ การลงทุนในสาขาเหมืองแร่และสาขาอื่นในมองโกเลีย การสนับสนุนมองโกเลียในการสมัครเป็นสมาชิกกรอบการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit : EAS) และกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย (Asia Pacific Economic Cooperation : APEC) และการเปิดบริการบินตรง กรุงเทพฯ-กรุงอูลานบาตอร์ ๕. ญี่ปุ่น ได้แก่ การยกเลิกมาตรการห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่สด แช่แข็ง และไก่แช่เย็นจากไทย การเปิดเสรีสินค้าเกษตรเพิ่มเติมภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) การส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระหว่างไทยกับญี่ปุ่น เช่น ระบบราง ระบบ ICT การเชิญญี่ปุ่นร่วมมือในโครงการพัฒนาพื้นที่ทวาย การจัดกิจกรรมฉลอง ๔๐ ปี ความสัมพันธ์กรอบอาเซียน-ญี่ปุ่น รวมถึงการจัดประชุมผู้นำอาเซียน-ญี่ปุ่นสมัยพิเศษในเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ และการสนับสนุนกรุงโตเกียวในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ๖. สาธารณรัฐฟินแลนด์ ได้แก่ การพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงานซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของฟินแลนด์ และการเชิญนายกรัฐมนตรีฟินแลนด์เยือนไทย ๗. สาธารณรัฐบัลแกเรีย ได้แก่ การเยือนบัลแกเรียของนายกรัฐมนตรีตามคำเชิญของประธานาธิบดีบัลแกเรีย ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และการขอเสียงสนับสนุนจากบัลแกเรียในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ของไทย ๘. สาธารณรัฐเอสโตเนีย ได้แก่ การยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาเอสโตเนียเพื่อการท่องเที่ยวพำนักได้ ๓๐ วัน การยกเว้นการตรวจลงตราเข้าเขตเชงเก้นสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย การเชิญนายกรัฐมนตรีเอสโตเนียเยือนไทย และการส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร (IT) ๙. สปป.ลาว ได้แก่ การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน โดยการจัดประชุม JBC ครั้งที่ ๙ ปัญหายาเสพติด การชี้แจงทำความเข้าใจกับประเทศที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับโครงการไซยะบุรี ความคืบหน้าโครงการสะพานมิตรภาพ ๔ ข้อเสนอโครงการสะพานมิตรภาพ ๕ และสะพานสำหรับทางรถไฟหนองคาย-เวียงจันทน์ และการหารือเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระบบรถไฟความเร็วสูง ๑๐. สาธารณรัฐฮังการี ได้แก่ การเยือนฮังการีของนายกรัฐมนตรี ความร่วมมือด้านการเงินการคลังร่วมกัน การเลื่อนการเยือนฮังการีของรองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ การประชุม Joint Economic Commission (JEC) ในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ความร่วมมือระหว่าง VITUKI Academy ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย-ฮังการี ครั้งที่ ๓
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 571 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2012) | นร01 | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2012) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในมิติของการบูรณาการภายใต้ประเด็นนโยบายสำคัญ (การบูรณาการการตรวจราชการเพื่อร่วมขับเคลื่อนประเด็นนโยบายสำคัญ) ของผู้ตรวจราชการกระทรวง และผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ใน ๕ ประเด็น ๑.๑ นโยบายการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต ๑.๑.๑ ด้านปัญหายาเสพติด จากการตรวจติดตามพบว่า การดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเพื่อเอาชนะยาเสพติดของทุกหน่วยงาน โดยการสร้างกลไกการบูรณาการเพื่อการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ มีการกำหนดเป้าหมายการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ แต่การแพร่ระบาดของยาเสพติดยังไม่อาจสกัดกั้นให้ทุเลาหรือหมดสิ้นไปจากสังคมไทยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานศึกษา ซึ่งมีเยาวชนกลุ่มเสี่ยงจำนวนมากที่ยังต้องเฝ้าระวังและสร้างภูมิคุ้มกันให้รอดพ้นจากภัยยาเสพติด โดยการบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ทุกภาคส่วน ๑.๑.๒ ด้านการจัดการที่ดินทำกิน จากการตรวจติดตามโครงการภายใต้ประเด็นสำคัญการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต ด้านการจัดการที่ดินทำกิน เน้นการตรวจติดตามโครงการที่ช่วยในการจัดระบบการจัดการที่ดินทำกินให้มีประสิทธิภาพ ยังคงพบความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ และการจัดการกระจายสิทธิ์ที่ดินที่ยังไม่ทั่วถึง รัฐบาลควรเร่งรัดการดำเนินการจัดการที่ดินทำกินของหน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์จากที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืนต่อไป ๑.๑.๓ ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน จากการตรวจติดตามการดำเนินการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนยังประสบปัญหาอุปสรรคและข้อจำกัดทั้งด้านกระบวนการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน การป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น เยาวชนขาดจิตสำนึกที่เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมประเพณีไทย ทุกหน่วยงาน/ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ควรให้ความสำคัญกับการสร้างทรัพยากรบุคคลให้มีคุณภาพและมีความเข้มแข็งใน ๓ ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านสมอง โดยสนับสนุนให้มีการจัดโครงการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาคุณภาพทรัพยากรบุคคลให้มากขึ้นในทุกช่วงอายุเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติให้อยู่ในระดับแถวหน้าของเอเชียต่อไป ๑.๒ นโยบายการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑.๒.๑ ด้านการเตรียมการรับมือภัยพิบัติและสิ่งแวดล้อม จากการตรวจติดตามโครงการของกระทรวง/กรม (Function) และโครงการของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด (Area) เกี่ยวกับการเตรียมการรับมือภัยพิบัติที่มีความเชื่อมร้อยกันตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมทั้งการตรวจติดตามโครงการเกี่ยวกับการเตรียมการรับมือภัยพิบัติ พบว่า มีหลายปัญหาควรได้รับการแก้ไขจากราชการในส่วนกลาง และในระดับนโยบาย ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีและผู้ตรวจราชการกระทรวงที่เกี่ยวข้องจึงได้ร่วมกันพิจารณาข้อเสนอแนะระดับนโยบายเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลสาธารณะ ระบบเตือนภัย และเครือข่ายเตือนภัยภาคประชาชน ระบบการจัดการและการเข้าถึงองค์ความรู้สาธารณะ โดยการสร้างระบบกลไกการป้องกันในพื้นที่เสี่ยงและพื้นที่เกิดภัยพิบัติซ้ำซาก และจัดทำแผนเตรียมการป้องกันภัยพิบัติทุกประเภท การสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนทั่วไปในการปฏิบัติตามข้อกำหนดและการฝึกซ้อมแผนบรรเทาสาธารณภัย และการสร้างจิตสำนึกและความยั่งยืน เพื่อช่วยผลักดันให้แผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องเกิดผลสัมฤทธิ์อันจะส่งผลให้มูลค่าความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินลดลง ๑.๒.๒ ด้านการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติ จากการตรวจติดตามโครงการด้านการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติพบว่า หน่วยงานระดับพื้นที่สามารถจัดการความเสี่ยงตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการได้ครบถ้วนอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๓ นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จากการตรวจติดตามในมิติด้านการพัฒนาศักยภาพและต่อยอดของอุตสาหกรรมและบริการสร้างสรรค์ไทย และมิติการพัฒนาการท่องเที่ยว (มิติวัฒนธรรม) พบว่า หน่วยงานระดับพื้นที่สามารถจัดการความเสี่ยงตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการกระทรวงได้ครบถ้วน ส่งผลให้โครงการบรรลุเป้าหมายทั้งในระดับผลผลิต และผลลัพธ์ สำหรับผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีได้ให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานรับผิดชอบในระดับพื้นที่ในมิติของการพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมและการสร้างจิตวิญญาณความเป็นไทย การสร้างความพร้อม และความเข้มแข็งของชุมชน และในมิติของการพัฒนาการท่องเที่ยว (มิติวัฒนธรรม) ๑.๔ นโยบายการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร ได้มีการตรวจติดตามโครงการเกี่ยวกับการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรและให้ข้อเสนอแนะระดับนโยบายในการสร้างมูลค่า/คุณค่าสินค้าที่ได้มาตรฐาน การมีตลาดรองรับที่เพียงพอ และการสร้างมาตรฐานการผลิตและความรับผิดชอบต่อคุณภาพสินค้า ๑.๕ การสนับสนุนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จากการตรวจติดตามพบว่า ทุกหน่วยงาน/ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้มีการน้อมนำพระราชดำรัสหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติจนเกิดเป็นผลสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้พบปัญหาที่ยังต้องได้รับการแก้ไขในด้านการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ และการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ๒. ผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในมิติของการบูรณาการการตรวจราชการกรณีปัญหาเฉพาะพื้นที่ (Specific Area) ของผู้ตรวจราชการเพื่อแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จเรื่อง การติดตาม การให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จากการเร่งรัด ติดตาม และประเมินผลโครงการร่วมกันของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ตรวจราชการกระทรวง และที่ปรึกษาโครงการ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) พบปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ หน่วยงานที่รับผิดชอบมีปัญหาด้านการบริหารจัดการโครงการที่ส่งผลให้การป้องกันปัญหาอุทกภัยไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ และการไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบจากการบริหารจัดการโครงการที่เกิดขึ้นต่อประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงพื้นที่ดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 572 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 18 | นร11 | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๘ ณ นครหนานหนิง มณฑลกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยมีผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรี (Joint Ministerial Statement : JMS) มีสาระสำคัญในการผลักดันการดำเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) ฉบับใหม่ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๕ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดทำกรอบการลงทุนระดับภูมิภาคที่ได้มีการวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานรายสาขาและรายประเทศแล้วเสร็จ พร้อมทั้งได้ให้แนวทางในการจัดทำแผนงานโครงการลงทุน GMS และการนำกรอบการลงทุนฯ ไปสู่การปฏิบัติ ๑.๒ เห็นชอบผลการดำเนินงานสำคัญของสาขาความร่วมมือภายใต้แผนงาน GMS ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการสาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ แผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจสำหรับการดำเนินงานร่วมกันเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีการเคลื่อนย้ายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ การขยายระยะเวลาการดำเนินงานของแผนงานสนับสนุนด้านการเกษตร ระยะที่ ๒ ให้สิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ แนวคิดการจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้เป็นองค์กรที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลในระยะเริ่มแรก และบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลต่อการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ๑.๓ รับทราบความก้าวหน้าการจัดทำกรอบการลงทุนของอนุภูมิภาคที่ได้จัดทำการประเมินผลการพัฒนารายสาขา และผลการประเมินรายประเทศแล้วเสร็จ โดยมีหลักการสำคัญคือ การลงทุนเพื่อพัฒนาระบบระเบียงเศรษฐกิจควรสอดคล้องและสนับสนุนความต้องการในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Demand-driven) การสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกับการค้า รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างแผนพัฒนาของประเทศสมาชิกกับโครงการในระดับภูมิภาค การใช้แนวทางการพัฒนาหลากหลายสาขา การกำหนดสาขาการพัฒนาที่เกิดขึ้นใหม่ที่มีลำดับความสำคัญสูง และการจัดลำดับความสำคัญเชิงพื้นที่ในการพัฒนาตามหลักการพิจารณาที่เหมาะสม ๑.๔ รับทราบผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกับภาคีการพัฒนา อาทิ สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งออสเตรเลีย (Australian Agency for International Development : AusAID) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ความริเริ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง (Lower Mekong Initiative : LMI) คณะกรรมาธิการลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong River Commission : MRC) เป็นต้น ๒. เห็นชอบข้อเสนอแผนการดำเนินงานระยะเร่งด่วน เพื่อสนับสนุนแผนงาน GMS ได้แก่ การเร่งรัดกระบวนการลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๖ การเร่งรัดติดตามความก้าวหน้าการจัดทำบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง และการดำเนินงาน ๙ สาขาความร่วมมือและการพัฒนาเมือง (คมนาคม โทรคมนาคม พลังงาน การอำนวยความสะดวกการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เกษตร และสิ่งแวดล้อม) เพื่อคัดเลือกแผนงานโครงการที่มีศักยภาพในส่วนของไทย และเสนอให้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) รวบรวมเป็นแผนงานโครงการภายใต้กรอบการลงทุนของภูมิภาค และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ โดยประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 573 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 21 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | นร04 | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยในส่วนของผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ สรุปได้ ดังนี้
๑. การลงนาม/รับรองเอกสารผลลัพธ์ โดยผู้นำอาเซียนลงนาม/รับรองเอกสารผลลัพธ์ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ รับรอง SAEAN Human Rights Declaration และลงนาม ASEAN Leaders’ Statement on the Adoption of the ASEAN Human Rights รับรอง ASEAN Leaders’ Joint Statement on the Establishment of an ASEAN Regional Mine Action Center และรับรอง Bali Declaration on ASEAN Community in a Global Community of Nations (Bali Concord III) Plan of Action (2013-2017) ๒. การสร้างประชาคมอาเซียน โดยที่ประชุมเห็นควรเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงานสำหรับการจัดตั้งประชาคมอาเซียนทั้ง ๓ เสาหลัก (เศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคง สังคมและวัฒนธรรม) โดยให้กำหนดประเด็นที่มีความสำคัญลำดับต้นในทั้ง ๓ เสา เช่น การรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค การปรับกฎระเบียบให้สอดคล้องกัน และอนุวัติความตกลงทางเศรษฐกิจสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) การกำจัดอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี การบริหารจัดการภัยพิบัติ ๓. การเสริมสร้างความเชื่อมโยง โดยที่ประชุมเห็นพ้องที่จะเร่งรัดการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity) ทั้งด้านกายภาพ กฎระเบียบ และระหว่างประชาชน รวมทั้งสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศนอกอาเซียน และเห็นพ้องว่าควรระดมทุนสนับสนุนกองทุนโครงสร้างพื้นฐานอาเซียน (ASEAN Infrastructure Fund-AIF) เพื่อใช้ดำเนินการตามแผนบทฯ โดยจำเป็นต้องหาแนวทางระดมทุนต่างๆ จากประเทศนอกภูมิภาคและภาคเอกชน ๔. ความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) โดยที่ประชุมยินดีกับการประกาศเริ่มเจรจา RCEP ซึ่งไทยสนับสนุนให้มีการเจรจารอบแรกในช่วงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๕. ยาเสพติด โดยที่ประชุมได้เน้นย้ำเป้าหมายอาเซียนปลอดยาเสพติดปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งไทยได้เสนอให้มีความร่วมมือข้ามพรมแดนระหว่างหน่วยงานด้านยาเสพติดเพื่อส่งเสริมการสร้างอาเซียนปลอดยาเสพติด ๖. การค้ามนุษย์ โดยไทยได้ผลักดันการเร่งรัดการพิจารณาอนุสัญญาเรื่องการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอาเซียน รวมทั้งผลักดันการจัดทำแผนปฏิบัติการในเรื่องนี้เพื่อปูทางไปสู่การจัดทำอนุสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ๗. การบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยที่ประชุมได้ให้ความสำคัญต่อประเด็นการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะการสร้างศักยภาพแก่ศูนย์ประสานงานอาเซียนด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการจัดการภัยพิบัติ (ASEAN Humanitarian Assistance and Coordination Centre : AHA Centre) ให้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ โดยไทยได้แสดงความพร้อมในการเป็นสถานที่เก็บสำรองข้าวในการบรรเทาภัยพิบัติ และแจ้งที่ประชุมเกี่ยวกับการเป็นเจ้าภาพจัดการซ้อมแผนรับมือภัยพิบัติภายใต้กรอบ ASEAN Regional Forum : ARF หรือ ARF DiREx ร่วมกับเกาหลีใต้ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ๘. การลดช่องว่างด้านการพัฒนา โดยที่ประชุมเห็นพ้องที่จะเร่งรัดการดำเนินการด้านการลดช่องว่างด้านการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะการระดมทุนจากประเทศนอกภูมิภาคและภาคเอกชน ตลอดจนองค์การระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมการพัฒนาภายในภูมิภาค
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 574 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร01 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนฯ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๑๑๗,๑๖๒ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ส่วนจำนวนเรื่องร้องทุกข์จำแนกตามประเภท ประชาชนร้องทุกข์ในประเภทเรื่องต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๗๙,๗๒๒ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการแก้ไขปัญหาเหตุเดือดร้อนรำคาญจากเสียง/กลิ่นเหม็น ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามหน่วยงาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๓๓,๓๓๔ เรื่อง โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือ กระทรวงยุติธรรม และสำนักนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รองลงมาคือ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับ อปท. และจังหวัดต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๑๙,๘๔๔ เรื่อง โดยเรียงลำดับจาก อปท. และจังหวัดที่ได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และนนทบุรี ตามลำดับ ๒. รับทราบข้อมูลการร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นจากประชาชนในประเด็นที่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่า ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวในจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกข้าวมาก ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ สุโขทัย และพิษณุโลก ตามลำดับ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ ขอให้เร่งจ่ายเงินรับจำนำข้าว รองลงมาคือ ขอให้ตรวจสอบโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ กับขอให้เร่งออกใบประทวนให้กับเกษตรกร ตามลำดับ และให้กระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักนำข้อมูลไปดำเนินการกำหนดนโยบาย แผนงาน และบูรณาการการทำงานระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาการดำเนินงานของโครงการรับจำนำข้าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 575 | การเร่งรัดติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับการปลูกป่าและฟื้นฟูต้นน้ำ | นร05 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เร่งรัดและติดตามการดำเนินงานตาม “โครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี” อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรีด้วย ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้ข้อมูลจากดาวเทียมในการสำรวจพื้นที่การปลูกป่าเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจน ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาราษฎรบุกรุกที่ดินในเขตพื้นที่ป่าหรือเขตอนุรักษ์อย่างเป็นระบบทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 576 | สถานการณ์เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2555 | นร11 | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในช่วง ๑๐ เดือนแรกของปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วง ๑๐ เดือนแรกของปี ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๓.๐ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๐.๔ และร้อยละ ๔.๔ ในไตรมาสแรก และไตรมาสสอง ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน การใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุน ในด้านการผลิต การขยายตัวมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการผลิตนอกภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสาขาเกษตร การก่อสร้าง การค้าส่งค้าปลีก โรงแรมและภัตตาคาร ที่ขยายตัวสูง อย่างไรก็ตาม การส่งออก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัว รวม ๙ เดือนแรกของปี เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๒.๖ และเมื่อปรับผลของฤดูกาลแล้ว ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในไตรมาสสามขยายตัวร้อยละ ๑.๒ จากไตรมาสสอง ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในไตรมาสสาม และต้นไตรมาสสี่ ปี ๒๕๕๕ เศรษฐกิจโลกในไตรมาสสามชะลอตัวลง ซึ่งได้รับผลกระทบจากการหดตัวของเศรษฐกิจยุโรป การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่น ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียชะลอตัวตามลงไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่พึ่งพิงการส่งออกสูง ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น ขยายตัวร้อยละ ๒.๖ ร้อยละ ๗.๔ และร้อยละ ๐.๑ ตามลำดับ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๒.๒ ร้อยละ ๗.๖ และร้อยละ ๓.๖ ในไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรโซนหดตัวร้อยละ ๐.๖ เทียบกับการหดตัวร้อยละ ๐.๔ ในไตรมาสสอง ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ ๓.๑ แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจยุโรปและการแก้ไขปัญหา Fiscal Cliff ของสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าจะมีความคืบหน้ามากขึ้น เมื่อรวมกับการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศสำคัญ ๆ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ๒๕๕๕ คาดว่าจะส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีความชัดเจนมากขึ้นในครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ และจะขยายตัวเร่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ส่งผลให้เศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกในปี ๒๕๕๖ ขยายตัวร้อยละ ๓.๙ และร้อยละ ๕.๐ ตามลำดับ โดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๒.๔ ๑.๐ และร้อยละ ๘.๓ ในขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรโซนในปี ๒๕๕๖ มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ ๐.๒ ๓.๒ แนวโน้มเศรษฐกิจไทย คาดว่าในปี ๒๕๕๖ เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ ๔.๕-๕.๕ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ ๑๒.๒ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๔.๐ และร้อยละ ๘.๑ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๕-๓.๕ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๑.๐ ของ GDP โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของการค้าสินค้าคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และอุปสงค์ในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดี ๔. ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๕๕ และในปี ๒๕๕๖ ๔.๑ เร่งรัดการส่งออก โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดที่มูลค่าการส่งออกในปี ๒๕๕๕ ปรับตัวลดลงมาก การแก้ไขปัญหาการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTB) ในตลาดส่งออกที่มีความสำคัญ ๔.๒ เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการดำเนินการตามโครงการลงทุนสำคัญ ๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการลงทุนภายใต้แผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ แผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเร่งรัดแผนการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่เพื่อเพิ่มศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ๔.๓ ติดตามและเตรียมการเพื่อรองรับแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท ได้แก่ การเพิ่มผลิตภาพการผลิตให้กับภาคการผลิตและส่งออกโดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs การสร้างโอกาสจากการแข็งค่าของเงินบาท และการดำเนินนโยบายการเงินที่สอดคล้องกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ ๔.๔ ดำเนินการปรับโครงสร้างราคาพลังงานตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริงและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ๔.๕ การปรับกฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุน เพื่อให้สามารถได้รับประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้า การเคลื่อนย้ายเงินทุนและแรงงาน ภายใต้กรอบข้อตกลงการจัดตั้งประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ได้อย่างเต็มที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 577 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา เรื่อง การบริหารจัดการและการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกของไทย | สว | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา เรื่อง การบริหารจัดการและการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกของไทย พร้อมข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะตามรายงานดังกล่าวที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยคณะกรรมาธิการ ฯ มีข้อเสนอแนะในประเด็นเกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนินการประชาสัมพันธ์และปฏิบัติการมวลชนเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องของสาธารณชนเกี่ยวกับมรดกไทยมรดกโลก การติดตั้งระบบการสื่อสารบริเวณเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา การบริหารจัดการ อนุรักษ์ และพัฒนาพื้นที่แหล่งมรดกโลก และการเสริมสร้างให้เยาวชนได้เรียนรู้เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกของไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 578 | การประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย - เวียดนาม อย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 2 | นร04 | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานผลการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-เวียดนาม อย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat-JCR) ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการติดตามผลในประเด็นต่าง ๆ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำเพื่อให้การประชุมดังกล่าวเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
๑. การยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ประเด็นหารือ ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานระดับสูงเพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางในการจัดทำหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในรายละเอียด และการตั้งกลไกติดตามความคืบหน้า โดยใช้รูปแบบของ Joint Commission on Bilateral Cooperation (JCBC) ที่มีกระทรวงการต่างประเทศสองฝ่ายเป็นประธานร่วม หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ ๒. ความร่วมมือด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ประเด็นหารือ ได้แก่ การเพิ่มช่องทางประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างหน่วยงานความมั่นคง และการจัดทำความตกลงความร่วมมือด้านกงสุลเพื่ออำนวยความสะดวกในการดูแลคนไทยที่ถูกจับกุมในเวียดนาม หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๓. ความร่วมมือด้านการทหาร ประเด็นหารือ ได้แก่ การเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกองทัพ สถาบันการศึกษาของกลาโหม และการฝึกร่วมด้านการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติและการแลกเปลี่ยนการเยือนของเครื่องบินกองทัพทั้งสองประเทศ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงกลาโหม ๔. ความร่วมมือด้านประมง ประเด็นหารือ ได้แก่ แนวทางลดเวลาที่ใช้ในการดำเนินคดีเมื่อจับกุมชาวประมงเวียดนาม และการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน หน่วยงานรับผิดชอบ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ๕. การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ประเด็นหารือ ได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการขยายความร่วมมือทางการค้าการลงทุนไทย-เวียดนาม การหาแนวทางเพิ่มปริมาณการค้าขึ้นปีละร้อยละ ๒๐ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงพาณิชย์ และประเด็นหารือเกี่ยวกับการสนับสนุนการลงทุนและการขยายความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในสาขาปิโตรเลียม พลังงาน การผลิตไฟฟ้า การก่อสร้าง และสิ่งทอ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ๖. ความร่วมมือทางการเงิน ประเด็นหารือ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการเงิน อาทิ เงินกู้ยืมหรือการสนับสนุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในรูปแบบการลงทุน Public Private Partnership (PPP) และความร่วมมือด้านการเงินและการคลังโดยเฉพาะในด้านศุลกากร หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการคลัง ๗. ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร : ข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ประเด็นหารือ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการผลิตและการค้าขาย การจัดการประชุมหารือกันในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ภาคเอกชน และชาวนาบ่อยขึ้น การยกระดับความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตข้าวในอาเซียนให้สูงขึ้น การจัดตั้งสมาพันธ์ผู้ค้ามันสำปะหลังแห่งอาเซียน รวมทั้งการรับคำเชิญของเวียดนามในการเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีในกรอบสภาไตรภาคียางพาราและบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด ในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๘. การอำนวยความสะดวกในการขนส่งทางถนนและลดอุปสรรคในการขนส่งข้ามพรมแดนไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม ประเด็นหารือ ได้แก่ การเร่งรัดการลงนามเพิ่มเติมของบันทึกความเข้าใจในการเริ่มใช้ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร ณ จุดผ่านแดน แดนสะหวัน-ลาวบาว และจุดผ่านแดน มุกดาหาร-สะหวันนะเขต ของแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC) การประสานงานกับกัมพูชาเพื่อสนับสนุนการใช้เส้นทางของระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ เส้นทางกรุงเทพฯ-อรัญประเทศ-ปอยเปต-ศรีโสภณ-พนมเปญ-บาเว็ต-ม็อกไบ-นครโฮจิมินห์ และการพิจารณาจัดทำความตกลงการใช้เส้นทางทั้งสองในลักษณะความตกลงสามฝ่ายไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม หรือบรรจุเส้นทางหมายเลข ๘ และ ๑๒ ภายใต้กรอบ Cross Border Transport Agreement (CBTA) ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงคมนาคม ๙. ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและการบิน ประเด็นหารือ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการคมนาคมทางอากาศ โดยเฉพาะการเปิดเส้นทางการบินใหม่ระหว่างกัน หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงคมนาคม การขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมระหว่างสองประเทศ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงอุตสาหกรรม การสนับสนุนการลงทุนและขยายความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในสาขาปิโตรเลียม พลังงาน การผลิตไฟฟ้า การก่อสร้าง และสิ่งทอ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน ๑๐. ความร่วมมือด้านการค้ามนุษย์ ประเด็นหารือ ได้แก่ การเร่งรัดการรับรองแนวทางการคัดแยกและส่งกลับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ระหว่างไทย-เวียดนาม และการประชุม Case Management Meeting หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๑๑. ความร่วมมือด้านแรงงาน ประเด็นหารือ ได้แก่ การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน และการขยายความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลแรงงาน การฝึกอบรม การแลกเปลี่ยนด้านภาษา ทักษะฝีมือแรงงาน และความปลอดภัยของการประกอบอาชีพ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงแรงงาน ๑๒. ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและกีฬา ประเด็นหารือ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทย-เวียดนาม ตามแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) และการท่องเที่ยวทางน้ำ รวมทั้งการสนับสนุนเวียดนามเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ปี ค.ศ. ๒๐๑๘ และการสนับสนุนไทยเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ปี ค.ศ. ๒๐๒๓ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๑๓. ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ประเด็นหารือ ได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมระหว่างไทยและเวียดนาม และการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมเวียดนามในประเทศไทย หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงวัฒนธรรม ๑๔. ความร่วมมือด้านการศึกษา ประเด็นหารือ ได้แก่ การเร่งรัดการดำเนินงานโครงการภายใต้การประชุมคณะทำงานร่วมด้านการศึกษา ครั้งที่ ๒ การผลักดันความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาระหว่างทั้งสองประเทศ การแลกเปลี่ยนครูอาจารย์ การแลกเปลี่ยนทุนการศึกษาและหลักสูตรฝึกอบรม รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์ไทยศึกษาในมหาวิทยาลัยในเวียดนามเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมไทยและภาษาไทยแก่นักศึกษาเวียดนาม หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงศึกษาธิการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 579 | การบูรณาการงบประมาณและการจัดทำแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี พ.ศ. 2556 | นร | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และเห็นชอบในหลักการการบูรณาการงบประมาณและการจัดทำแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดสรรและตัดโอนงบประมาณลงสู่พื้นที่ให้แล้วเสร็จอย่างช้าภายในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และแจ้งศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.)/สำนักงาน ป.ป.ส. ทราบด้วย ๑.๒ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณานำงบประมาณที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ซึ่งรัฐบาลจัดสรรผ่านกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) มาใช้ในการสนับสนุนและเสริมการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยเฉพาะการดำเนินโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ปฏิบัติการปิดล้อม X-Ray เชิงรุก ๙๐ วัน พื้นที่แพร่ระบาดทั่วประเทศ ๑.๓ ให้จังหวัดทุกจังหวัดพิจารณานำงบพัฒนาจังหวัดที่ได้รับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาใช้ในการสนับสนุนและเสริมการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยเฉพาะการดำเนินโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ปฏิบัติการปิดล้อม X-Ray เชิงรุก ๙๐ วัน พื้นที่แพร่ระบาดทั่วประเทศ ๑.๔ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและกลไกเฉพาะที่จัดตั้งขึ้นจัดทำแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี ๒๕๕๖ โดยเฉพาะศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดจังหวัด (ศพส.จ.)/ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอำเภอ (ศพส.อ.) ให้กำหนดเป้าหมายในแต่ละแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหายาเสพติดให้แล้วเสร็จอย่างช้าภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และส่งให้ ศพส./สำนักงาน ป.ป.ส. ต่อไป ๑.๕ ให้กระทรวงสาธารณสุขพัฒนากระบวนการคัดกรองผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด และพัฒนาระบบการติดตามผู้ผ่านการบำบัดรักษาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อลดอัตราเสพซ้ำให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ๑.๖ ให้กระทรวงศึกษาธิการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลิตวิทยากรป้องกันฯ ให้ครบถ้วนตามเป้าหมาย ได้แก่ วิทยากรโครงการการให้การศึกษาเพื่อต่อต้านการใช้ยาเสพติดในสถานศึกษา (Drug Abuse Resistance Education : D.A.R.E) วิทยากรพระ วิทยากรครูทหาร วิทยากรตำรวจ วิทยากรที่เป็นครูในโรงเรียน และป้องกันเยาวชนก่อนวัยเสี่ยง (ระดับชั้น ป.๕-ป.๖) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ๑.๗ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกรมการพัฒนาชุมชนเป็นเจ้าภาพหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหากลุ่มเยาวชนนอกสถานศึกษา โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับ ศพส.จ./ศพส.อ. ๑.๘ ให้ ศพส.จ./ศพส.อ. ดำเนินการเร่งรัดปฏิบัติการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้ผู้เสพเข้าบำบัดโดยสมัครใจทั่วประเทศ โดยการจัดทำแผนพัฒนาระบบการบำบัดรักษาอย่างครบวงจร รวมทั้งการเร่งรัดการดำเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ที่มีปัญหายาเสพติดรุนแรง ตามโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ปฏิบัติการปิดล้อม X-Ray เชิงรุก ๙๐ วัน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยให้ ศพส. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการในเรื่องข้อมูลของผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดที่เข้ารับการบำบัดรักษาให้มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ ให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการในลักษณะบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องมีการพิจารณาแผนดำเนินงานอย่างรอบคอบเพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในภารกิจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน และในการใช้จ่ายเงินงบประมาณ และกลุ่มเป้าหมาย การพิจารณาจัดกลุ่มเป้าหมายในการเข้าร่วมโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ต้องมีการกำหนดขั้นตอนที่ชัดเจนและพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบเพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่มีความสุ่มเสี่ยงกับยาเสพติดอย่างแท้จริง รวมทั้งการบูรณาการในเรื่องงบประมาณและแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดควรมีการกำกับดูแลติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และมีการตรวจสอบการบริหารจัดการงบประมาณให้เกิดความโปร่งใส และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดความเข้าใจร่วมกันเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดได้อย่างแท้จริง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณด้านการบำบัดรักษาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดให้กับ ศพส.อ. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงเรียน วัด ชุมชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ๕. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงทำความเข้าใจกับบุคลากรภายในหน่วยงานและภาคเอกชนถึงความสำคัญและจำเป็นของการให้โอกาสแก่ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดซึ่งพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติดที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้มีสิทธิที่จะสมัครสอบแข่งขันหรือคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการ พนักงานราชการ หรือลูกจ้าง ตลอดจนขอความร่วมมือกับภาคเอกชนในการรับบุคคลดังกล่าวเข้าทำงานหรือศึกษาต่อ เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน รวมทั้งเสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อผู้เสพ/ผู้ติดยาซึ่งพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติดว่าสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเป็นสุข |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 580 | การดำเนินงานของประเทศไทยตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี | นร | 04/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม เป็นต้น ดำเนินการเร่งรัดมาตรการในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและการป้องกันการทรมาน ตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี ที่มีอยู่เดิมหรือกำหนดมาตรการเสริม เพื่อให้การดำเนินการมีความชัดเจนและบังเกิดผลเป็นรูปธรรม แล้วรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๔๕ วัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
