ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 22 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 421 - 440 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 421 | รายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | สว | 10/11/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สว.สนช.) รายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยกำหนดให้มียุทธศาสตร์จัดสรร จำนวน ๒ ยุทธศาสตร์ คือ (๑) ยุทธศาสตร์สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม และ (๒) ยุทธศาสตร์บริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ซึ่งกำหนดงบประมาณ จำนวน ๑,๓๑๒.๒๐๕๑ ล้านบาท และดำเนินการได้ จำนวน ๑,๒๖๕.๔๙๙๕ ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม กำหนดงบประมาณ จำนวน ๕๑.๖๔๓๓ ล้านบาท ดำเนินการได้ จำนวน ๕๐.๖๘๙๖ ล้านบาท โดยนำไปใช้พัฒนาข้อมูลระบบสารสนเทศและระบบเครือข่าย และการบำรุงรักษาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเป็นรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๕.๑๕๖๓ ล้านบาท และเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน ๒๕.๕๓๓๔ ล้านบาท ๒. ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี กำหนดงบประมาณ จำนวน ๑,๒๖๐.๕๖๑๘ ล้านบาท ดำเนินการได้ จำนวน ๑,๒๑๔.๘๐๙๙ ล้านบาท โดยนำไปใช้เกี่ยวกับการให้บริการสนับสนุนเพื่อการดำเนินงานในด้านนิติบัญญัติ และการพัฒนาองค์กรเพื่อให้งานด้านนิติบัญญัติเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ ๓. ปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไข สว.สนช. ได้รับจัดสรรงบประมาณรายการครุภัณฑ์ จำนวน ๓๑,๐๓๐,๗๐๐ บาท สามารถเบิกจ่ายได้ครบ จำนวน ๑๒ รายการ เป็นเงิน ๒๕,๙๕๖,๑๒๗.๔๐ บาท ซึ่งเป็นไปตามมาตรการเร่งรัดฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ รายการครุภัณฑ์สำหรับใช้ในการพัฒนาระบบสารสนเทศทรัพยากรบุคคลและระบบสารสนเทศข้อมูลประวัติผลงานสมาชิกวุฒิสภามีกำหนดการแบ่งจ่ายออกเป็น ๓ งวด โดย ณ สิ้นปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีการเบิกจ่ายงวดที่ ๑ และงวดที่ ๒ แล้ว จำนวน ๒,๙๒๑,๑๐๐ บาท และจำนวนเงินค้างจ่ายในงวดที่ ๓ จำนวน ๑,๙๔๗,๔๐๐ บาท มีกำหนดจ่ายในเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ซึ่งได้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๕๘ แล้ว
|
|||||||||||||||
| 422 | มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ | กค | 03/11/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีผู้ประกอบการทั่วไป ให้หักรายจ่ายเป็นจำนวน ๒ เท่าของรายจ่ายเพื่อการลงทุนหรือการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ๑.๒ กรณีผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน ๑.๒.๑ กรณีโครงการที่ได้มีการลงทุนไปแล้ว หากผู้ประกอบการประสงค์จะขอใช้สิทธิตามข้อ ๑.๑ ผู้ประกอบการรายนั้นจะต้องมีการลงทุนในโครงการใหม่แยกต่างหากจากโครงการเดิมที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว และต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในข้อ ๑.๑ ๑.๒.๒ กรณีโครงการที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุน แต่ยังไม่มีการลงทุน และสามารถได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมตามมาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ผู้ประกอบการสามารถเลือกรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมตามมาตรการดังกล่าว หรือเลือกใช้สิทธิตามข้อ ๑.๑ เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องและหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขอื่น ในการเข้าใช้สิทธิตามมาตรการดังกล่าวโดยเร่งด่วนเพื่อให้มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้โดยเร็วต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการ ๓.๑ ดำเนินมาตรการประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับนักลงทุนในประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์และวิธีการในการเลือกขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ๓.๒ พิจารณาแนวทางหรือมาตรการอื่น ๆ เพื่อชดเชยหรือเพิ่มเติมรายได้ภาครัฐที่สูญเสียไป ๓.๓ ให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศให้ภาคเอกชนไทยทราบอย่างชัดเจนและทั่วถึง ตลอดจนอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับขั้นตอนการใช้ประโยชน์จากมาตรการภาษีดังกล่าว รวมทั้งจัดทำประมาณการและรวบรวมผลกระทบจากการดำเนินการตามมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่มีผลต่อรายได้ภาครัฐให้ทันต่อสภาวการณ์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
| 423 | มาตรการเร่งรัดการลงทุน | นร | 03/11/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอมาตรการเร่งรัดการลงทุนที่ปรับปรุงใหม่ โดยมีสาระสำคัญเป็นการให้สิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมสำหรับโครงการลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ และสามารถเริ่มผลิตหรือเริ่มให้บริการ และมีรายได้ภายในปี ๒๕๖๐ ในพื้นที่ทั่วไปและพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีการกำหนดเงื่อนไขตามระยะเวลาที่มีการลงทุนจริงและร้อยละของเงินลงทุน และคาดว่าจะทำให้การลงทุนที่เกิดขึ้นจริงในปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙ มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและกระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้ผู้ประกอบการต้องเลือกรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมตามมาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือสิทธิตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนของกระทรวงการคลังได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง รวมทั้งพิจารณาแนวทางหรือมาตรการอื่น ๆ เพื่อชดเชยหรือเพิ่มเติมรายได้ที่สูญเสียไป และรองรับกรณีที่สถานการณ์เศรษฐกิจในภาพรวมไม่สามารถขยายตัวได้ตามคาดการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
| 424 | มาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) | กค | 03/11/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในการกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติตามมาตรา ๑๘ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการ ประกอบด้วย การจัดเตรียมโครงการ การเสนอโครงการ การคัดเลือกเอกชน และการคัดเลือกโครงการและกลไกการควบคุมมาตรการ PPP Fast Track และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมอบหมายผู้แทนเข้าร่วมในการจัดทำการศึกษาและวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุน หน่วยงานดังกล่าวไม่ควรมีที่มาจากองค์ประกอบของคณะกรรมการคัดเลือกตามนัยมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ และเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้คำปรึกษาและข้อแนะนำกับหน่วยงานเจ้าของโครงการในการจัดเตรียมข้อเสนอโครงการและข้อมูลอื่นที่หน่วยงานเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้ประกอบการวิเคราะห์โครงการ และกรณีที่ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รับข้อเสนอโครงการแล้ว ควรจัดประชุมหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาความเหมาะสมของโครงการในประเด็นความครบถ้วนของข้อมูลร่วมกับหน่วยงานเจ้าของโครงการและกระทรวงเจ้าสังกัด รวมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้ครบถ้วน เพื่อให้สามารถนำเสนอคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ พิจารณาได้ทันทีหลังจากคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเห็นชอบในหลักการของโครงการ หรือคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติมว่า กระทรวงคมนาคมจะดำเนินการเสนอโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน และกรุงเทพฯ-ระยอง เพื่อขอบรรจุไว้ในแผนการดำเนินการตามมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) ต่อไป |
|||||||||||||||
| 425 | แนวทางในการแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | กษ | 03/11/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตามแนวทางในการแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์ จำนวน ๔ โครงการ ที่ได้รับความเห็นชอบให้ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ แล้ว นำมาดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ได้แก่ โครงการบล็อกยางปูพื้นในสนามฟุตซอล โครงการบล็อกยางปูพื้นภายนอกอาคาร (สนามเด็กเล่น) โครงการแผ่นยางปูพื้นคอกปศุสัตว์ และโครงการจัดหายางรถยนต์ชนิดและขนาดต่าง ๆ สายสรรพาวุธ สายขนส่ง และสายช่าง ใช้ยางพาราปริมาณ ๔,๓๙๑ ตัน และโครงการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในการจัดทำยางปูพื้นลู่วิ่งลานกรีฑาตามมาตรฐานสากลและยางปูพื้นลู่วิ่งลานกรีฑาตามมาตรฐานท้องถิ่น จำนวน ๑๔ สนาม ใช้ยางพารา ๓๔๑.๒๕ ตัน โดยให้หน่วยงานกำหนดให้ผู้รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์ยางตามโครงการซื้อยางพาราจากการยางแห่งประเทศไทยในอัตรากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า ๖๐ บาท ทั้งนี้ ให้หน่วยงานจัดทำรายละเอียดแผนงานโครงการ ขอความเห็นชอบขอใช้งบกลางจากรัฐมนตรีเจ้าสังกัดนำส่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อรวบรวมและนำเสนอต่อสำนักงบประมาณและคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ๑.๒ รับทราบรายงานการจัดและปรับเปลี่ยนงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ของกระทรวง ทบวง กรม ที่มีการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้น ปริมาณ ๒๑,๓๗๓.๙๘ ตัน ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม ๑๙,๓๐๐.๘๕ ตัน กระทรวงมหาดไทย ๑,๓๕๗ ตัน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๓๑๕ ตัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๓๙๑.๗๕ ตัน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๙.๓๘ ตัน ๑.๓ กำหนดให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีโครงการสร้างถนนใหม่ บำรุงรักษาและซ่อมแซมถนนลาดยางมะตอย ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ทุกหน่วยงานปรับแก้โครงการให้มีการใช้ยางพาราร้อยละ ๕ สำหรับกรณีที่หน่วยงานได้เริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างไปก่อนแล้วและสามารถปรับแก้ไขให้มีการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นได้ ให้สามารถปรับระยะเวลาตามนโยบายการเร่งรัดการใช้จ่ายของภาครัฐที่จะต้องลงนามในสัญญาภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ไปได้อีกจนถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๙ ๒. รายละเอียดงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ก่อนในโอกาสแรก หากไม่เพียงพอจึงขอเสนอใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายฯ ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลางและรายละเอียดที่ชัดเจนเสนอผ่านรัฐมนตรีเจ้าสังกัดนำส่งให้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณาในภาพรวมของโครงการก่อน แล้วจึงรวบรวมเสนอสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนแล้วแต่กรณีต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการดำเนินงานเพิ่มเติมเพื่อร่วมสนับสนุนและผลักดันการแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ได้แก่ การติดตามและประเมินผลการนำผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปโดยใช้ยางพาราจากสต็อกของรัฐบาลไปใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ รวมทั้งเร่งเผยแพร่องค์ความรู้ มาตรฐานและราคากลาง ตลอดจนระเบียบและแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เพื่อให้ภาคเอกชนและผู้ประกอบการได้เรียนรู้และปรับระบบการดำเนินงานให้สอดคล้องกับแนวทางของภาครัฐ และมีความพร้อมในการร่วมกับภาครัฐในการสนับสนุนแนวทางดังกล่าวได้อย่างกว้างขวาง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
| 426 | การเร่งรัดพิจารณาออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน | นร | 27/10/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทุกกระทรวงเร่งรัดพิจารณาออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์โดยรวมกับประชาชนและประเทศชาติ นอกจากนี้ เพื่อให้การออกกฎหมายที่อยู่ระหว่างดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดประโยชน์สูงสุด ให้ส่วนราชการผู้รักษาการตามกฎหมายสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และประโยชน์ที่จะได้รับจากกฎหมายนั้นด้วย
|
|||||||||||||||
| 427 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2557 ขององค์การขนส่ง มวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 27/10/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งมีผลการขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๘๒๙.๒๘๖ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีผลการขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๒,๔๖๙.๕๔๒ ล้านบาท ๒. ให้ ขสมก. เบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ งวดที่ ๒ จำนวน ๑๗๖.๑๕๘ ล้านบาท และ รฟท. เบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ งวดที่ ๒ จำนวน ๗๗๔.๙๔๖ ล้านบาท ๓. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้ ขสมก. ปรับปรุงการให้บริการตามผลการสำรวจความพึงพอใจ เช่น ลดความเร็วในการขับขี่ ปฏิบัติตามกฎจราจรโดยเคร่งครัด และนำผลการศึกษาต้นทุนต่อกิโลเมตรที่ทำการศึกษาโดยศูนย์วิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาประกอบการจัดทำข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ และให้ รฟท. เร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและยกระดับคุณภาพการให้บริการ โดยเฉพาะด้านความสะอาด ความปลอดภัยและความตรงต่อเวลา การเร่งรัดการดำเนินโครงการและเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามแผนการลงทุน การจัดทำแนวทางการปรับปรุงผลการดำเนินงานการให้บริการสาธารณะสำหรับตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์ค่าเป้าหมาย รวมทั้งการศึกษาต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ในการให้บริการของรถไฟที่มีประสิทธิภาพเพื่อประกอบการพิจารณาข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||
| 428 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 13/10/2558 | ||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทยร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรและการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มต่าง ๆ ที่อาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติม เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ำมัน สับปะรด ประมง และให้พิจารณาแนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกของเกษตรกร โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการน้ำและการเชื่อมโยงกับตลาด โดยอาจเชิญภาคเอกชน ปราชญ์ชาวบ้าน หรือเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จแล้วมาร่วมดำเนินการในการให้ความรู้แก่เกษตรกร เช่น การจูงใจเพื่อให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งในอนาคตด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle-EV Car) เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการวิจัย พัฒนา และสนับสนุนองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตแบตเตอรี่สำหรับใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าว ๒. ด้านสังคม ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการจัดระบบการศึกษาของไทย โดยเฉพาะในประเด็นการเปรียบเทียบระบบการศึกษาที่มีคุณภาพของประเทศต่าง ๆ ได้แก่ ประเทศสิงคโปร์ในเรื่องการจัดการศึกษาในระดับปฐมวัย ประเทศเกาหลีใต้ในเรื่องการจัดการศึกษาในระดับอาชีวศึกษา และประเทศฟินแลนด์ในเรื่องการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศไทย ทั้งนี้ ให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีโดยด่วนด้วย ๓. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำข้อมูลเปรียบเทียบผลดีผลเสียที่ประเทศไทยจะได้รับจากการเข้าเป็นสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership : TPP) การป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งการใช้ประโยชน์ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้าเพื่อประกอบการพิจารณากำหนดท่าทีของไทยต่อไป รวมทั้งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนได้รับทราบด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่ก่อสร้างโครงการจัดการน้ำเสียคลองด่าน โดยอาจพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนเพื่อดำเนินการ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดของรัฐเป็นสำคัญ ๔.๒ ให้กระทรวงกลาโหมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานกับประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนเพื่อสร้างความร่วมมือเกี่ยวกับการผลิตอุตสาหกรรมป้องกันประเทศตามศักยภาพ เช่น กระสุนปืน เพื่อไม่ให้ประเทศไทยมีการผลิตซ้ำซ้อนกับประเทศอื่นอันจะทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคากันในอนาคต และให้กระทรวงกลาโหมร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยพัฒนาเกี่ยวกับการผลิตอุปกรณ์ป้องกันตนเองของเจ้าหน้าที่ เช่น เสื้อเกราะ รถเกราะ โดยอาจให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน รวมทั้งเร่งรัดกำหนดมาตรฐานสำหรับรับรองอุปกรณ์ป้องกันตนเองดังกล่าวตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไปด้วย ๔.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดชุดกู้ชีพบริเวณชายหาด โดยเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์และผ่านการอบรมด้านการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุโดยเฉพาะ ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวและประชาชน พร้อมทั้งจัดให้มีอุปกรณ์ เครื่องมือที่เพียงพอและเหมาะสมด้วย
|
|||||||||||||||
| 429 | นโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ห้า (พ.ศ. 2559 - 2564) | นร02 | 06/10/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ห้า (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) โดยมีแนวคิดและทิศทางการประชาสัมพันธ์ที่มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันในมิติต่าง ๆ เพื่อให้การประชาสัมพันธ์เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศสู่ความสมดุล มั่งคง มั่งคั่งและยั่งยืนตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประเด็นการปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ทิศทางของยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี และทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่สิบสอง พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ โดยให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนไทยทุกภาคส่วนในสังคมตั้งแต่ระดับปัจเจก ครอบครัว ชุมชนและประเทศ ฟื้นฟูระเบียบสังคมและสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย มุ่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ เข้าใจและให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการบริหารประเทศ เตรียมพร้อมให้ประชาชนมีความเท่าทันต่อข่าวสารในภาวะวิกฤตสามารถแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความคิดเห็นได้ เสริมสร้างการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานรัฐในห้วงสถานการณ์ฉุกเฉินให้มีเอกภาพควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์บทบาทประเทศไทยในการเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียนและในเวทีประชาคมโลก ตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งรัดการนำนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติไปดำเนินการเพื่อหน่วยงานระดับกระทรวงและหน่วยงานในสังกัดจะได้นำไปประกอบการจัดทำแผนประชาสัมพันธ์ให้มีความสอดคล้องกับแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติในโอกาสแรกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้งคณะทำงานประชาสัมพันธ์ส่งเสริมภาพลักษณ์ไทย การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงช่องทางการเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐในรูปแบบ Mobile Applications และศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ (Government Application Center : GAC) การกำหนดดัชนีชี้วัดความสำเร็จของแผน การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งการกำหนดประเด็นการประชาสัมพันธ์ที่เป็นวาระแห่งชาติ และจัดลำดับการเผยแพร่ในแต่ละปี/ช่วงเวลา เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ นำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||
| 430 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 10 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 31 กรกฎาคม 2558) | นร | 22/09/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๑๐ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ ซึ่งมีผลงานสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น โครงการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน โครงการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ โดยศูนย์ดำรงธรรม ๒. การปฏิรูปประเทศ ในช่วงเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ คณะรัฐมนตรีได้พิจารณารายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอเพื่อการปฏิรูป ได้แก่ รายงานผลการพิจารณาข้อเสนอการปฏิรูประบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัย และรายงานผลการพิจารณาเรื่อง แนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา รวมทั้งให้กระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงานรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง และคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรีฯ เรื่อง การเร่งรัดการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงด้านรายได้เพื่อการยังชีพของผู้สูงอายุ ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน การบริหารเศรษฐกิจ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
|
|||||||||||||||
| 431 | ขอความเห็นชอบการดำเนินโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล | ทก | 22/09/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จากโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา โครงการพัฒนาระบบโครงข่ายไร้สาย (Wi-Fi Network) เพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (One Tablet Per Child) ที่ได้รับความเห็นชอบให้ชะลอการดำเนินการไว้ และได้เสนอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ไปดำเนินโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ทั้งนี้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนำเสนอรายละเอียดแผนงาน/โครงการและงบประมาณในการดำเนินการภายใต้โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการก่อนดำเนินโครงการต่อไป และขอทำความตกลงโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ กับสำนักงบประมาณ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๑ (เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการกันเงินงบประมาณไว้เบิกเหลื่อมปี และการขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน) รวมทั้งขอขยายเวลาเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีดังกล่าวกับกระทรวงการคลังตามระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ด้วย ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการเร่งรัดจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และการใช้งบประมาณโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||
| 432 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 2/2558 | กค | 15/09/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๘ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ โดยที่ประชุมมีมติและข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. มาตรการเร่งรัดการดำเนินโครงการในกลุ่มโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ระหว่างดำเนินการ สำหรับโครงการตามแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบกลางปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๙ เห็นควรเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สำหรับโครงการที่เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๙ ให้เร่งดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามมาตรการเร่งรัดของกรมบัญชีกลาง โครงการเงินกู้ตามแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน เห็นควรเร่งรัด (๑) โครงการที่ลงนามในสัญญาแล้วให้เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกู้ให้เป็นไปตามแผนงาน และขอความร่วมมือผู้รับจ้างให้เบิกเงินล่วงหน้า (Advance Payment) ร้อยละ ๑๕ ตามวงเงินสัญญา โดยกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ไม่น้อยกว่า ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการที่ยังไม่ลงนามในสัญญา ให้เร่งรัดการลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ (๓) โครงการที่อยู่ระหว่างรอสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรที่มีผลประกวดราคาแล้ว เห็นควรให้สำนักงบประมาณจัดสรรให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ และ (๔) โครงการที่ยังไม่มีผลประกวดราคา เห็นควรให้เร่งรัดดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างและลงนามในสัญญาเมื่อได้รับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณ ๒. มาตรการเร่งรัดการดำเนินโครงการในกลุ่มโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมเริ่มประกวดราคาได้ในปี ๒๕๕๘ เห็นควรเร่งรัดขั้นตอนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ตั้งไว้ รวมทั้งเร่งรัดและติดตามให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามกระบวนการประกวดราคาให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้ ๓. มาตรการเร่งรัดการดำเนินโครงการในกลุ่มโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมเริ่มประกวดราคาได้ในปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ สำหรับกลุ่มโครงการที่อยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรี เห็นควรเร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอโครงการที่มีความพร้อมให้ดำเนินโครงการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติภายในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๘ กลุ่มโครงการที่ยังไม่ได้อนุมัติ EIA เห็นควรเร่งรัดกระบวนการอนุมัติ EIA โดยกำหนดให้เป็นโครงการ “Fast Track” กลุ่มโครงการรถไฟขนาดทางมาตรฐาน (ไทย-ญี่ปุ่น/ช่วง กรุงเทพฯ-หัวหิน/กรุงเทพฯ-ระยอง) เห็นควรให้รัฐรับภาระเฉพาะค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน การให้สิทธิ์การใช้ราง (Right of Way) และให้เอกชนร่วมลงทุนค่าใช้จ่ายอื่นทั้งหมดในรูปแบบ PPP Net Cost และกำหนดค่าโดยสารเอง รวมทั้งต้องมีการกำหนดระยะเวลาการร่วมลงทุนที่ชัดเจนด้วย และโครงการร่วมพัฒนารถไฟความเร็วปานกลาง (ไทย-จีน) จึงต้องให้ความสำคัญกับการพิจารณาด้านต้นทุนโครงการให้เหมาะสม จึงควรกำหนดมาตรการเพื่อเร่งรัดขั้นตอนการดำเนินการในรูปแบบ EPC ให้มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบต้นทุนของโครงการได้ ในการนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยควรต้องจ้างที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบและประเมินค่าใช้จ่ายของโครงการในส่วนที่ฝ่ายจีนเป็นผู้ออกแบบรายละเอียดและกำหนดต้นทุนของโครงการให้ชัดเจน ๔. การส่งเสริมการลงทุนควรเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนแล้วให้มีการลงทุนจริงโดยเร็ว โดยลดระยะเวลาการถือบัตรส่งเสริมให้สั้นลง ๕. การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs เพื่อแก้ไขปัญหาข้อจำกัดของทุนจดทะเบียน เห็นควรให้มีการแปลงสินทรัพย์ถาวรเป็นทุนจดทะเบียนก่อนทำการร่วมทุน และสำหรับการแปลงสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนเห็นควรให้มีการเปิดกว้างเอาไว้ โดยระบุเรื่องดังกล่าวเอาไว้ในสัญญาร่วมลงทุนและหากจะนำสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนมาใช้ขอเพิ่มเงินร่วมลงทุนจากกองทุนฯ ในภายหลัง จำเป็นต้องได้รับการประเมินมูลค่าตามวิธีมาตรฐานและแปลงเป็นทุนจดทะเบียนให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ๖. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมของมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||
| 433 | ประสิทธิภาพการดำเนินงานวิจัยของหน่วยงานภาครัฐประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 - 2555 | นร | 08/09/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบประสิทธิภาพการดำเนินงานวิจัยของหน่วยงานภาครัฐประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๕ จากการติดตามผลการดำเนินงานการใช้จ่ายงบประมาณการวิจัยของหน่วยงานภาครัฐยังมีโครงการวิจัยจำนวนมากที่มีความล่าช้าในการรายงานผลการดำเนินงาน ซึ่งผลการติดตามพบว่าประสิทธิภาพการดำเนินงานวิจัยของหน่วยงานภาครัฐมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ๑.๒ เห็นชอบมาตรการในการเร่งรัดหน่วยงานภาครัฐที่ยังคงค้างรายงานผลการดำเนินการวิจัยในระบบบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (National Research Project Management System : NRPM) ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จนถึงปีปัจจุบัน โดยหากนักวิจัยในหน่วยงานใดไม่รายงานผลการดำเนินงานดังกล่าว นักวิจัยผู้นั้นจะไม่สามารถของบประมาณการวิจัยในปีงบประมาณถัดไป ๑.๓ เห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐรายงานผลการดำเนินงานวิจัยในระบบ NRPM เป็นประจำรายไตรมาสอย่างเคร่งครัด เพื่อสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติจะได้ดำเนินการประมวลผลความสำเร็จของการวิจัยของหน่วยงานภาครัฐเพื่อการบริหารงบประมาณวิจัยของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการจัดการนำผลงานวิจัยมาใช้เพื่อการแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศได้อย่างสมบูรณ์ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานวิจัยและการจัดสรรงบประมาณวิจัย ให้หน่วยงานควรมีมาตรการผ่อนปรนในกรณีเกิดเหตุสุดวิสัยที่มีผลกระทบโดยตรงต่องานวิจัย และมีมาตรการจูงใจเพื่อเพิ่มสัดส่วนนักวิจัยในหน่วยงานให้มากขึ้น รวมทั้งระบบการรายงานผลการดำเนินการวิจัยควรเป็นระบบที่ไม่ซับซ้อนสะดวกต่อการใช้งาน ส่วนการใช้ข้อมูลในระบบ NRPM เป็นฐานในการประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานวิจัยของหน่วยงานเป็นหลัก ควรมีการพัฒนาระบบให้มีความเสถียรและให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งมีการจำแนกโครงการวิจัยที่มีการดำเนินงานในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อให้การติดตามและรายงานผลการดำเนินการวิจัยของหน่วยงานภาครัฐมีประสิทธิภาพและมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ให้ความสำคัญเร่งด่วนกับการติดตามโครงการที่อยู่ในแผนงานวิจัยเชิงบูรณาการที่ตอบสนองต่อนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล มีการรวบรวมแผนงานการวิจัยของหน่วยงานในระยะ ๓-๕ ปี เพื่อใช้ในการประเมินประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณวิจัยของภาครัฐ ควรบูรณาการแผนการวิจัยตามกลุ่มหัวข้อวิจัยหลักเป็นแผน ๕ ปี เพื่อใช้ในการเสนองบบูรณาการวิจัยรายปี ควรกำหนดช่วงระยะเวลาในการให้หน่วยงานภาครัฐรายงานผลการวิจัยในระบบ NRPM เป็นราย ๖ เดือน เพื่อให้การรายงานผลสามารถแสดงความก้าวหน้าของผลการวิจัยได้อย่างชัดเจน ตลอดจนกำหนดให้หน่วยงานที่ต้องรายงานสถานภาพการดำเนินการโครงการวิจัยครอบคลุมถึงองค์การมหาชนอื่น ๆ และมีการวัดสถานภาพการดำเนินงานโครงการวิจัยในเชิงคุณภาพของโครงการวิจัยในการนำไปใช้ประโยชน์ด้วย เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ ควรมีการรายงานผลประสิทธิภาพการดำเนินงานการวิจัยในปีงบประมาณที่ผ่านมา มีการพิจารณาในด้านประสิทธิผลของการวิจัยด้วย และมีการปรึกษาหารือกับหน่วยงานภาครัฐที่มีปัญหาความล่าช้าในการรายงานผลการดำเนินงานวิจัยเพื่อให้ทราบรายละเอียดของปัญหาและนำไปสู่การกำหนดแนวทางหาทางออกร่วมกัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||
| 434 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตที่เกิดจากการอนุญาตให้ราษฎรครอบครองที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน | มท | 01/09/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอ/แนวทางการดำเนินการของหน่วยงานราชการ ตามแบบรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อป้องกันการทุจริตที่เกิดจากการอนุญาตให้ราษฎรครอบครองที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน โดยมีข้อเสนอ/แนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการทบทวนกระบวนการจัดที่ดินผืนใหญ่ การทบทวนนโยบายเรื่องการดำเนินงานโฉนดชุมชนหรือนโยบายเรื่องอื่นที่มีลักษณะเดียวกันเพื่อป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐแปลงอื่น ๆ ในอนาคต การเร่งรัดการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางที่รวบรวมข้อมูลที่ดินของทุกหน่วยงานให้เป็นระบบและมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งการเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขและประกาศใหม่เฉพาะเขตที่จะดำเนินการปฏิรูปจริงให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน ๓ ปี เป็นต้น และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้รับมอบหมายจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. ในส่วนของกรณีข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่ให้เร่งรัดการดำเนินการแก้ไขและประกาศใหม่เฉพาะเขตที่จะดำเนินการปฏิรูปจริงให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน ๓ ปี นั้น หากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาแล้วว่า ไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาดังกล่าว ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แจ้งปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
| 435 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ | ปช | 01/09/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างอาคารสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ประจำจังหวัด พร้อมทั้งขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา งบประมาณทั้งสิ้น ๓๓,๗๕๕,๒๐๐ บาท งบประมาณปี ๒๕๕๘ จำนวน ๖,๗๕๑,๑๐๐ บาท และงบประมาณปี ๒๕๕๙ จำนวน ๒๗,๐๐๔,๑๐๐ บาท เปลี่ยนแปลงเป็น ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดนครปฐม งบประมาณทั้งสิ้น ๓๓,๗๕๕,๒๐๐ บาท พร้อมขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ๑.๒ ค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา งบประมาณทั้งสิ้น ๖๑๕,๗๐๐ บาท งบประมาณปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑๒๓,๒๐๐ บาท และงบประมาณปี ๒๕๕๙ จำนวน ๔๙๒,๕๐๐ บาท เปลี่ยนแปลงเป็น ค่าควบคุมงานก่อส้รางอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดนครปฐม งบประมาณทั้งสิ้น ๖๑๕,๗๐๐ บาท พร้อมขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ๒. ให้สำนักงาน ป.ป.ช. ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการเสนอขอตั้งงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ควรให้มีการสำรวจ กำหนด รายละเอียด รวมถึงค่าใช้จ่ายให้เสร็จสิ้นก่อนการเสนอคำของบประมาณ รวมทั้งให้มีการเร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณให้ได้ตั้งแต่ปีงบประมาณ ถึงแม้จะเป็นหน่วยงานอิสระก็ตาม ทั้งนี้ การดำเนินการในทุกขั้นตอนการปฏิบัติ จะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||
| 436 | แนวทางปฏิบัติต่าง ๆ เกี่ยวกับคณะรัฐมนตรี | นร05 | 25/08/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ เกี่ยวกับคณะรัฐมนตรี ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การผลัดเวรเฝ้าฯ ของรัฐมนตรีในพระราชพิธี รัฐพิธี และพิธีสำคัญในโอกาสต่าง ๆ ๑.๒ การยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของรัฐมนตรี ๑.๓ การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ๑.๔ หลักการเกี่ยวกับการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี (๑) หลักการทั่วไปในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี (๒) หลักการในการเสนอขออนุมัติงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี และการขออนุมัติงบประมาณหรือเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจ และ (๓) หลักการเสนอเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ๑.๕ การแต่งตั้งคณะกรรมการตามมติคณะรัฐมนตรีที่สำคัญ ๒. เห็นชอบให้ส่วนราชการดำเนินการและถือปฏิบัติเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ เกี่ยวกับคณะรัฐมนตรีตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัดต่อไป ดังนี้ ๒.๑ หลักในการปฏิบัติ ๒.๑.๑ ยึดหลักความโปร่งใส ความมีประสิทธิภาพ ความรวดเร็วทันต่อเวลา การรักษาความลับ และสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรม โดยเน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน คำนึงถึงประชาชนเป็นศูนย์กลาง และให้ความสำคัญต่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ ๒.๑.๒ เป้าหมายการทำงาน คือ สร้างรากฐานในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน สร้างความมีเสถียรภาพทางการเมืองและความมั่นคง และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคประชาชน ๒.๑.๓ ร่วมกันสร้างความเข้าใจและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประชาชนกับรัฐบาล โดยให้รัฐมนตรีชี้แจงในเรื่องต่าง ๆ ที่ประชาชนสงสัยหรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐบาล และชี้แจงความคืบหน้าในการดำเนินการ รวมทั้งเผยแพร่ผลงานในความรับผิดชอบให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่องด้วย ๒.๑.๔ เรื่องใดถึงแม้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี แต่หากจะมีแนวโน้มที่จะมีผลกระทบโดยรวมต่อนายกรัฐมนตรี รัฐบาล หรือประเทศชาติ ให้หารือนายกรัฐมนตรีหรือนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนดำเนินการ เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ๒.๒ สิ่งที่ต้องดำเนินการ ๒.๒.๑ ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่จะดำเนินการในช่วงปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙ ให้จัดทำแผนที่ชัดเจนว่าในทุก ๆ ระยะ ๓ เดือนจะมีผลสัมฤทธิ์อย่างไร ๒.๒.๒ ให้มีการสื่อสารกับต่างประเทศในโอกาสต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องว่าการดำเนินการของรัฐบาลเป็นไปตาม Roadmap ที่กำหนดไว้ ๒.๒.๓ ให้นำตัวอย่างเรื่องที่ต่างประเทศดำเนินการประสบความสำเร็จมาศึกษา และประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับภารกิจของหน่วยงาน เช่น การพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศเกาหลีใต้ สิงคโปร์ และฟินแลนด์ ๒.๒.๔ ในการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒.๒.๕ เรื่องเร่งด่วนที่ต้องเร่งรัดการดำเนินการ เช่น การแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย การส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน การเร่งรัดการลงทุนทั้งในส่วนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้า ถนน โดยเน้นการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ และการส่งเสริมการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ลงทุนให้มากขึ้น ๒.๒.๖ ในการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองเพื่อช่วยงานให้พิจารณาแต่งตั้งผู้ที่มีความเหมาะสมและระมัดระวังไม่ให้มีการใช้อำนาจเกินกว่าที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งกรณีที่อาจจะมีการแอบอ้างคำสั่งนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีในการดำเนินการต่าง ๆ ที่ไม่เหมาะสมด้วย ๒.๒.๗ เพื่อให้รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ปฏิบัติงานในตำแหน่งได้อย่างเต็มที่ จึงขอให้รัฐมนตรีที่ยังดำรงตำแหน่งข้าราชการประจำและจะเกษียณอายุราชการในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ นี้ แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนในตำแหน่งของฝ่ายข้าราชการประจำเพื่อปฏิบัติหน้าที่แทน ส่วนรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งข้าราชการประจำแต่ยังไม่เกษียณอายุราชการในปีนี้ ขอให้พิจารณาการลาออกจากตำแหน่งภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||
| 437 | รายงานการตรวจสอบสินค้านำเข้าและมาตรการต่อการนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็น | พณ | 18/08/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบรายการสินค้านำเข้าและมาตรการต่อการนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการต่อการนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการด้านมาตรฐานสินค้า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ๑.๒ มาตรการเข้มงวดการตรวจสอบสินค้านำเข้า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ๑.๓ มาตรการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาสินค้าภายในประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ๑.๔ สนับสนุนการใช้ไบโอดีเซลหรือพลังงานทดแทนที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ รวมถึงการรณรงค์ให้ใช้พลังงานอย่างประหยัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักในการเร่งรัดการดำเนินการให้มีผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว พร้อมทั้งรวบรวมผลการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบภายใน ๖ เดือน ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า มาตรการเข้มงวดการตรวจสอบสินค้านำเข้า และมาตรการต่อการนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็น ควรเพิ่มหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามีบทบาททำหน้าที่โดยตรงตามกฎหมายในการควบคุมการนำเข้าผลิตภัณฑ์สุขภาพเข้ามาในราชอาณาจักร ได้แก่ ยา อาหาร เครื่องสำอาง วัตถุอันตราย วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และยาเสพติด นอกจากนี้ การนำมาตรการต่อการนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็นมาใช้ ควรคำนึงถึงความตกลงที่ไทยได้ผูกพันไว้ภายใต้กรอบเจรจาต่าง ๆ เพื่อไม่ให้คู่เจรจามองว่าเป็นมาตรการกีดกันทางการค้า รวมทั้งมีการติดตาม ประเมินผลมาตรการดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ทันต่อสภาวะการแข่งขันทางการค้าในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
| 438 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการระยะ 1 ปี (ประจำปี พ.ศ. 2558) ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2558 (ตุลาคม 2557 - มีนาคม 2558) | นร11 | 28/07/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการระยะ ๑ ปี (ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘) ในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (ตุลาคม ๒๕๕๗-มีนาคม ๒๕๕๘) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้รายงานผลการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่สำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย ๑๑ ข้อของรัฐบาลในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ ๒๕๕๘ จำนวน ๒๐๑ โครงการ โดยมีโครงการที่สามารถดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมาย จำนวน ๑๕๗ โครงการ (คิดเป็นร้อยละ ๗๘.๑๒) และโครงการที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย จำนวน ๔๔ โครงการ (คิดเป็นร้อยละ ๒๔.๘๙) ๑.๒ ปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินแผนงาน/โครงการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เช่น โครงการยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม โครงการยังอยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ งบประมาณที่ได้รับจัดสรรไม่เพียงพอต่อการดำเนินโครงการ เจ้าหน้าที่รับผิดชอบขาดองค์ความรู้ในการดำเนินโครงการ โครงการไม่สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายทำให้มีการเข้าร่วมโครงการต่ำ มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการหรือพื้นที่ในการดำเนินการทำให้เกิดความล่าช้า รวมทั้งโครงการขาดความพร้อมในการดำเนินโครงการเนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง หรือยังอยู่ในขั้นตอนของการหารือกับผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ เป็นต้น ๑.๓ ข้อเสนอแนะ หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการคัดกรองแผนงาน/โครงการควรให้ความสำคัญกับการพิจารณา วิเคราะห์ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแผนงาน/โครงการให้มีความรอบคอบ รัดกุม คำนึงถึงศักยภาพของผู้ดำเนินโครงการในระดับปฏิบัติทั้งในส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น รวมทั้งกำหนดระยะเวลาในการดำเนินโครงการให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง นอกจากนี้ ควรเร่งรัดการดำเนินงานของโครงการ/แผนงานต่าง ๆ ที่ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในไตรมาสที่สองโดยเร็ว โดยเฉพาะการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย การเร่งรัดการจัดซื้อจัดจ้าง และการปรับปรุงรายละเอียดโครงการ และการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ในการดำเนินโครงการ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการแจ้งให้ส่วนราชการเตรียมการล่วงหน้าในการเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เช่น การหาพื้นที่ในการดำเนินการ การสร้างการรับรู้ให้แก่เจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ เมื่อส่วนราชการได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้วจะได้สามารถดำเนินการได้โดยทันทีจะได้ไม่ล่าช้า ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||
| 439 | ขออนุมัติดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขของกระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 และวันที่ 31 มีนาคม 2556 | สธ | 21/07/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข ของกระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ และวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ เกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงการจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข และหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย โดยครอบคลุมตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและไม่เป็นภาระต่อสภาวะการคลังระดับประเทศจนเกินไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขวางแผนการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเพื่อไม่ให้มีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนย้อนหลังอีก ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการศึกษา วิเคราะห์ ข้อดี ข้อเสีย ของการจ่ายค่าตอบแทน และจัดทำระบบและอัตราค่าตอบแทนที่เหมาะสม เป็นธรรม และเป็นที่ยอมรับของบุคลากรสาธารณสุขทุกวิชาชีพ การกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายในพื้นที่และหลักการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน (P4P) โดยการปรับอัตราการจ่ายค่าตอบแทนบางวิชาชีพให้เพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม และหาข้อสรุปที่ชัดเจน ข้อดี ข้อเสีย และผลกระทบของการดำเนินการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน (P4P) โดยนำหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนมาใช้ การศึกษารูปแบบที่เหมาะสมในการจ่ายค่าตอบแทนเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านสาธารณสุขให้สามารถทำงานในพื้นที่ห่างไกลได้อย่างแท้จริง การเร่งรัดดำเนินการหาข้อสรุปผลการศึกษาหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายในพื้นที่และค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานที่เหมาะสม เป็นธรรม และสอดคล้องกับภาระงาน และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการพิจารณาภาระรายจ่ายในภาพรวมเปรียบเทียบกับภาระรายจ่ายเดิมเพื่อนำไปสู่การกำหนดแหล่งเงินที่เหมาะสมและคำนึงถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างวิชาชีพ พื้นที่ อายุงาน ตลอดจนการประเมินในประเด็นที่สำคัญ เช่น ผลลัพธ์ด้านคุณภาพการให้บริการ การกำหนดประเภทกิจกรรมและแนวทางบริหารค่าตอบแทนที่สะท้อนประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน หลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนที่สัมพันธ์กับการแก้ปัญหาความขาดแคลนบุคลากร เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
| 440 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคม 2558 | นร11 | 14/07/2558 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ๑.๑ เศรษฐกิจไทยเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๑.๔ เช่นเดียวกับดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๗ ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวร้อยละ ๔.๗ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๐.๕ ในเดือนเมษายน ในด้านการใช้จ่าย ดัชนีการอุปโภคบริโภคเริ่มกลับมาขยายตัวร้อยละ ๑.๓ ในขณะที่ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนและดัชนีปริมาณการส่งออกยังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ๑.๒ เศรษฐกิจไทยเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวและการเบิกจ่ายของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ในด้านการผลิต จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๘ (ร้อยละ ๓๘.๒) ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ ๗.๖ ตามการลดลงของอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ส่วนดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ ๗.๓ เนื่องจากสภาพอากาศและราคาที่ไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งการลดพื้นที่เพาะปลูก ในด้านการใช้จ่าย การลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามความคืบหน้าของการเร่งรัดการเบิกจ่ายของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ แต่ดัชนีปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ ๓.๘ ในขณะที่ดัชนีการบริโภคและดัชนีการลงทุนภาคเอกชนลดลงเล็กน้อยร้อยละ ๐.๔ และร้อยละ ๐.๔ ตามลำดับ ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อลดลงตามราคาพลังงานและราคาอาหารสด อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ ดุลการค้าเกินดุล แต่ดุลบริการขาดดุล ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้สุทธิลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีและงบประมาณกันไว้เหลื่อมปีในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ยังคงอยู่ในระดับที่มั่นคง ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ ๑.๕๐ ต่อปี เงินให้กู้ยืมภาคเอกชนยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๕.๓ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อครัวเรือนและการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขยายตัวของสินเชื่อภาคการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์ เงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน) ขยายตัวร้อยละ ๗.๖ ค่าเงินบาทเฉลี่ยในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ ๓๓.๕๕ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงร้อยละ ๓.๒ จากเดือนก่อนหน้า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เคลื่อนไหวผันผวน โดยปิดที่ ๑,๔๙๖.๑ จุด ลดลงจากเดือนเมษายน ร้อยละ ๒.๐ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มกลับมาฟื้นตัว เช่นเดียวกับเศรษฐกิจยุโรปและญี่ปุ่นที่ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ เศรษฐกิจจีนและหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียยังชะลอตัว ขณะที่เศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนายังอยู่ในช่วงชะลอตัว และอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||
.....
