ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 156 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 3101 - 3120 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 3101 | รายงานผลการประชุมคณะประศาสน์การขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ 307 | รง | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอรายงานผลการประชุมคณะประศาสน์การของ
องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (GB) สมัยที่ 307 ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 13-28 มีนาคม 2553 ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบและรับรองรายงานของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงาน ที่สำคัญสรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมรับทราบการผลักดันให้ประเทศสมาชิกนำข้อตกลงเรื่องงานของโลก (Global Jobs Pact) ที่รับรองในการประชุมใหญ่ ILO สมัยที่ 98 เมื่อเดือนมิถุนายน 2552 เพื่อนำมาปรับใช้เป็นแนวทางในการแก้ไข ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยผู้บริหารสูงสุดของแผนงานเพื่อการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ร่วมกับ ILO รับเอา Global Jobs Pact มาบรรจุในวาระงานของ UNDP โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของ UNDP เพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายของการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ซึ่ง UNDP และ ILO มีแนวทางความร่วมมือในการ สร้างงาน สร้างรายได้ และบูรณาการทางสังคม การส่งเสริม "Green Jobs" โดยสร้างงานและการพัฒนามนุษย์ ในเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการสร้างฐานความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของการจ้างงานต่อนโยบาย และแผนงานด้านการจ้างงาน และการสร้างมาตรการการคุ้มครองทางสังคมขั้นพื้นฐาน 2. ที่ประชุมได้รับรองข้อสรุปเกี่ยวกับปัญหาแรงงานบังคับในพม่า โดยรับทราบความก้าวหน้าในการ ดำเนินการที่ผ่านมา และขอให้พยายามอย่างจริงจังต่อไป เพื่อแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานบังคับให้หมดสิ้นอย่าง แท้จริง รวมทั้งเรียกร้องให้พม่าปล่อยตัวผู้นำแรงงานและนักโทษทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการร้องทุกข์เกี่ยวกับการ การใช้แรงงานบังคับโดยเร็ว 3. ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของ ILO ที่ขอให้โอนเงิน Net Premium ซึ่งเป็นเงินกำไรจากอัตราแลก เปลี่ยนเงินสกุลฟรังก์สวิสกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2552 รวมจำนวน 29.7 ล้าน ฟรังก์สวิสเข้ากองทุนก่อสร้างและปรับปรุงอาคารสำนักงาน โดยตกลงที่จะเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ ILO สมัยที่ 99 ในเดือนมิถุนายน 2553 พิจารณา 3 ข้อเสนอคือ แบ่งเงิน Net Premium เป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน โดยเข้ากองทุน ก่อสร้างฯ ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งแบ่งคืนประเทศสมาชิก หรือคืนเงินทั้งหมดให้แก่ประเทศสมาชิก หรือโอน เงินทั้งหมดเข้ากองทุนก่อสร้างฯ และหากมีส่วนเหลือจากการปรับปรุงอาคารขอให้โอนคืนประเทศสมาชิกภาย หลัง 4. ที่ประชุมรับทราบกำหนดจัดการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Asia Pacific Regional Forum -APRM) ครั้งที่ 15 ที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 12-15 ตุลาคม 2553 โดยวัตถุประสงค์ของการประชุมเพื่อ ทบทวนและติดตามผลการดำเนินงานตามมติที่ประชุม APRM ครั้งที่ 14 ที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลี หัวข้อการ ประชุมที่สำคัญระดับ High Level ได้แก่ การเป็นหุ้นส่วนเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของวาระงานที่มีคุณค่าในภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก การจัดการด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานและวาระงานที่มีคุณค่าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ Green Jobs และวาระงานที่มีคุณค่าในเอเชียและแปซิฟิก 5. ที่ประชุมรับทราบเกี่ยวกับการบรรจุเรื่อง แผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าลงในยุทธศาสตร์ ที่ส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการในกระบวนการปฏิรูปของสหประชาชาติ โดยเฉพาะกรอบงานความช่วยเหลือ เพื่อการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDAF) โดยมี 44 ประเทศที่กำลังดำเนินการตามแผน และมี 11 ประเทศ ทำแผนเสร็จแล้วเมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2552 และ 12 ประเทศคาดว่าจะทำเสร็จในปี พ.ศ. 2553 อีก 80 ประเทศกำลัง จัดทำแผน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3102 | รายงานผลการดำเนินโครงการควบคุมและรับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมง IUU ตามมติคณะรัฐมนตรี | กษ | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอรายงานผลการดำเนินโครงการควบ
คุมและรับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมง IUU (โครงการ IUU) ในช่วง 3 เดือนแรก (มกราคม-มีนาคม 2553) สรุปได้ดังนี้ 1. ทำการตรวจ stock สัตว์น้ำและสินค้าที่โรงงานมีอยู่ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2553 จำนวน 124 โรงงาน แล้วสร็จเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2553 และออกเอกสารยืนยันสัตว์น้ำจับก่อนวันที่ 1 มกราคม 2553 ให้แก่โรงงานที่ ร้องขอจำนวน 102 โรงงาน รวม 2,375 ฉบับ รวมทั้งออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำให้แก่ผู้ประกอบการโรงงานรวม 81 ฉบับ ตามที่ผู้ประกอบการร้องขอ 2. ทำการจดทะเบียนเรือได้ 1,545 ลำ 3. ทำการคัดเลือกท่าเทียบเรือได้ครบจำนวน 64 แห่ง และอยู่ระหว่างตรวจประเมินสุขอนามัยและศักย ภาพของท่าเทียบเรือดังกล่าว เพื่อคัดเลือกและกำหนดเป็นท่าเทียบเรือที่จะทำการปรับปรุงในปีต่อไป ซึ่งกำหนดได้ แล้ว 11 ท่า เป็นขององค์การสะพานปลา ที่เหลือกำลังอยู่ระหว่างการตรวจประเมินเพื่อคัดเลือกให้ได้ครบ 20 ท่า ตามที่ตั้งเป้าไว้ รวมทั้งอยู่ระหว่างการกำหนดมาตรฐานและเงื่อนไขการตรวจรับรองเรือประมง 4. จัดทำเอกสารประกวดราคาการจัดจ้างทำระบบเครือข่ายข้อมูลคอมพิวเตอร์แล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการ ดำเนินการประกวดราคา 5. จัดทำแผนการประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ วิทยุ รวมทั้งแผนการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปเอกสาร โบรชัวร์ โปสเตอร์ เพื่อประชาสัมพันธ์ในระดับพื้นที่ 6. กรมประมงจัดตั้งศูนย์ประสานงานการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2553 โดย ศูนย์ประสานงานได้ปฏิบัติงานมา 1 เดือนแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงสำนักงานและจัดซื้อครุภัณฑ์และวัสดุ สำนักงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3103 | ผลการประเมินการปฏิบัติราชการและการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่มีการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 | นร | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ในการประชุมครั้งที่ 2/2553 เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2553 ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ 1.1 เห็นชอบผลการประเมินการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและ จังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 1.2 ไม่สมควรจัดตั้งกองทุนเงินสะสมในรูปแบบ "เงินทุนหมุนเวียน" เนื่องจากไม่สอดคล้องกับหลักการ เหตุผล และเจตนารมณ์ของการจัดตั้งกองทุนตามหลักการของพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 มาตรา 12 และ พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 18 หากรัฐบาลพยายามที่จะผลักดันการ จัดตั้งกองทุนเงินสะสมโดยมาจากเงินเหลือจ่ายของส่วนราชการต่าง ๆ จะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติเฉพาะเท่านั้น 1.3 เห็นชอบให้มีการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาที่มีการจัด ทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 1.4 ให้มีการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาที่มีการจัดทำคำรับ รองการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 เพียงก้อนเดียวรวมกันทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติของส่วนราช การจังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา โดยให้ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษานำไปจัดสรรต่อในแต่ละหน่วย งานตามความเหมาะสม โดยให้ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติอยู่ในหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีการจัดสรรเงินรางวัลเดียวกัน 1.5 เห็นชอบการปรับปรุงวิธีการคำนวณเพื่อจัดสรรเงินรางวัลสำหรับหน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติราช การที่บรรลุเป้าหมายในระดับคะแนน 3.0000 ขึ้นไป 2. ส่วนการนำเงินงบประมาณเหลือจ่ายมาจัดสรรเป็นเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบัน อุดมศึกษาที่ไม่มีเงินเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 หรือมีอยู่ไม่เพียงพอ นั้น ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับไป พิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการ ที่เหมาะสมต่อไป รวมทั้งดำเนินการกำหนดวิธีการจ่ายให้กับข้าราชการและลูกจ้างประจำต่อไป ตามความเห็นของ กระทรวงการคลังไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3104 | ข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) | นร | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุม ครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2553 ตามที่รองเลขาธิการ ก.พ. (นายนนทิกร กาญจนะจิตรา) กรรม การและเลขานุการร่วม คปร. เสนอ โดย คปร. มีมติดังนี้ 1.1 ให้ดำเนินมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 1.1 ให้ส่วนราชการจัดระบบบริหารจัดการ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การคัดกรองผู้เข้าร่วมมาตร การฯ ตามความจำเป็นและความเหมาะสม เพื่อให้การดำเนินมาตรการฯ เกิดประสิทธิภาพและไม่มีผลเสียหาย ต่องานราชการ 1.3 ให้คงคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ตามหลักเกณฑ์เดิม คือ ต้องมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป (อายุ 45 ปีขึ้นไป สำหรับข้าราชการทหาร) หรือมีเวลาราชการสำหรับคำนวณ บำเหน็จบำนาญตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป (ไม่รวมเวลาทวีคูณ) โดยต้องมีเวลาราชการเหลือตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป นับตั้งแต่ วันที่ออกจากราชการ) 1.4 กำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินมาตรการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 เพิ่มเติมบางส่วนดังนี้ 1.4.1 ปรับปรุงคุณสมบัติผู้เข้าร่วมมาตรการฯ จากเดิมกำหนดให้มีเวลาราชการที่เหลือตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป เป็นตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป เพื่อให้การดำเนินมาตรการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูง สุดต่อภาคราชการ 1.4.2 ให้หน่วยงานกลางร่วมกันพิจารณาปรับกำหนดการดำเนินการตามมาตรการฯ ให้เร็ว ยิ่งขึ้น เพื่อให้ส่วนราชการมีเวลาในการบริหารจัดการงาน และวางแผนการสรรหาบุคลากรทดแทน หรือแผน การบริหารจัดการอัตรากำลัง 2. ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการดำเนินการตาม มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังข้าราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ควรจะต้องมีความสอดคล้องกับ แผนการดำเนินการถ่ายโอนภารกิจที่สำนักงาน ก.พ.ร. กำลังดำเนินการ รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการนำผลการประเมินโครงการไปใช้ในการพิจารณา การดำเนินโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดระยะที่สอง เพื่อปรับปรุงแนวทาง กระบวนการ และหลักเกณฑ์ใน การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการให้เหมาะสมกับข้าราชการแต่ละกลุ่ม ตลอดจนนำผลการประเมินโครงการนี้ไป ขยายผลการปรับปรุงอัตรากำลังกับองค์กรอื่นของภาครัฐนอกเหนือจากข้าราชการพลเรือนสามัญไปพิจารณา ดำเนินการด้วย 3. นอกจากการดำเนินมาตรการฯ แล้ว ควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและพัฒนาศักยภาพและ ประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของบุคลากรที่มีอยู่ควบคู่ไปกับการดำเนินการเตรียมบุคลากรที่มีประสิทธิ ภาพเข้าสู่ระบบราชการ โดยมีอัตราค่าตอบแทนที่เหมาะสม มีการกำหนดตัวชี้วัดและระบบการประเมินผลการ ปฏิบัติงาน รวมทั้งเส้นทางความก้าวหน้าในการรับราชการที่ชัดเจนด้วย โดยให้สำนักงาน ก.พ. รับแนวทางดัง กล่าวไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3105 | โครงการปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนบางลาง เครื่องที่ 1 - 3 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 04/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบโครงการปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนบางลาง เครื่องที่ 1-3 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย (กฟผ.) มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงโรงไฟฟ้าให้มีความพร้อม (Availability) ความมั่นคง (Reliability) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า จาก 72 เมกะวัตต์ (3x24 เมกะวัตต์) เป็น 84 เมกะวัตต์ (3x28 เมกะวัตต์) ยืด อายุการใช้งานออกไปอีกไม่น้อยกว่า 25 ปี รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและเพิ่มความเชื่อมั่นด้านเศรษฐ กิจและการลงทุนของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระยะเวลาการดำเนินงาน ระหว่างปี พ.ศ. 2552-2557 วงเงินลง ทุนรวมทั้งสิ้น 2,426.28 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของทุน 845.55 ล้านบาท และส่วนเงินกู้ 1,580.73 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ 2. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ สำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้ กฟผ. พิจารณาจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงทางด้านการเงินเพื่อการลงทุนโครง การนี้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3106 | ขออนุมัติใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท สำหรับงานปรับปรุงอุโมงค์ส่งน้ำเดิมสัญญา G-TN-R2-7(R) และงานโครงการปรับปรุงกิจการประปาแผนหลักครั้งที่ 8 | มท | 04/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้ใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทสำหรับงานปรับปรุงอุโมงค์ส่งน้ำเดิม สัญญา G-TN-R2-7(R) ที่กำลังจะดำเนินการประกวดราคา และงานโครงการปรับปรุงกิจการประปาแผนหลักครั้งที่ 8 ซึ่ง ประกอบด้วย สัญญา G-BK-8 สัญญา S-BK-8 สัญญา G-PK/RB-8 สัญญา E-RW/TR(BK)/(MS)-8 สัญญา E-RW(SL)/(BK)-8 สัญญา E-BP-8 ที่จะดำเนินการประกวดราคาในลำดับต่อไป และสัญญา CS-802 ที่กำลังจะ ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษา ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ 2. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้การประปานครหลวง (กปน.) ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการโครงการทั้งในด้านการก่อสร้างและการเบิก จ่ายเงินลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด รวมทั้งในการจัดทำสัญญาเงินกู้ดังกล่าวควรพิจารณาถึงข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำเนินงานของ กปน. ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3107 | ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ | ยธ | 04/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับร่างกฎหมายว่าด้วย แรงงานสัมพันธ์ เพื่อพิจารณาประกอบการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ดังนี้ 1.1 ควรพัฒนาหลักการแรงงานสัมพันธ์ให้เป็นรูปแบบใหม่ที่เป็นการยกระดับลูกจ้างและนายจ้าง ให้อยู่ในระดับเดียวกัน 1.2 ปรับปรุงพระราชบัญญัติแรงานสัมพันธ์ฯ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและ การคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกัน พ.ศ. 2491 และอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวกันและการ ร่วมเจรจาต่อรอง พ.ศ. 2492 เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิการรวมตัวกันได้อย่างเสรีของนายจ้างและลูกจ้าง รวมทั้ง สิทธิในการก่อตั้งและเข้าร่วมสหพันธ์ระดับชาติและเป็นสมาชิกองค์การระหว่างประเทศด้านแรงงาน 1.3 ควรมีการพัฒนาระบบวิธีพิจารณาคดีแรงงาน เนื่องจากผลของคำพิพากษาในคดีแรงงานแตก ต่างไปจากคดีแพ่งทั่วไปซึ่งมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความเท่านั้น แต่ในคดีแรงงาน ผลแห่งคำพิพากษามีผลกระทบในวง กว้างถึงนายจ้างและลูกจ้างคนอื่นด้วย นอกจากนี้ ควรกำหนดให้มีระบบชั้นศาลในศาลแรงงานที่สูงกว่าศาลแรง งานในปัจจุบันเพื่อแบ่งเบาภาระของศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน รวมทั้งการกำหนดให้มีผู้พิพากษาที่มีความรู้ความ เชี่ยวชาญด้านคดีแรงงานมาประจำอยู่ในศาลแรงงาน เพื่อจะได้มีบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจบริบท หรือสภาพ ปัญหาด้านแรงงานมาเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดี 2. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ไปประกอบการพิจารณาใน การปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่วมกับหน่วยงานที่เสนอความเห็นต่อ ไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3108 | โครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ของ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) | ทก | 27/04/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ.กสท) ดำเนินโครงการขยายโครง ข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ในภูมิภาค 51 จังหวัด วงเงิน 3,800 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายที่จะขยายพื้นที่ให้ บริการของโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA2000 1xEV-DO ออกไปให้ครอบคลุมพื้นที่ที่มีประชากรอาศัย โดย เฉพาะพื้นที่ชุมชนและสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อเป็นสิ่งจูงใจให้ผู้ใช้บริการหันมาใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA มาก ยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นระบบที่มีความหลากหลาย นอกเหนือไปจากโครงข่ายระบบ GSM ทำให้ประชาชนผู้ใช้บริการได้ ประโยชน์จากบริการรูปแบบใหม่ ๆ ต่อไป กำหนดระยะเวลาดำเนินการรวม 27 เดือน (พ.ศ. 2553-2555) ตามที่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ 2. ให้ บมจ.กสท รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการกำกับ นโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรกำหนดแผนการดำเนินงานและแผนกลยุทธ์ทางการตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ที่ชัดเจนและสอดคล้องกับสภาวะทางการตลาดของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งควรเร่ง เจรจาเชื่อมต่อกับโครงข่ายกับผู้ประกอบการรายอื่นให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาประเมินมูลค่าทางบัญชีของทรัพย์สินที่ แท้จริงอย่างรอบคอบ รวมไปถึงเงื่อนไขการปรับปรุงอุปกรณ์และระบบให้ได้มาตรฐานที่สอดคล้องกับระบบของโครง ข่าย CDMA ในภูมิภาค การรับโอนภาระหนี้สินจากการเข้าซื้อกิจการ CDMA ในส่วนกลาง และราคาที่เหมาะสม คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อ บมจ.กสท มากที่สุด การบริหารจัดการโครงข่ายระบบ CDMA และบริษัทในเครือที่จัดตั้ง ขึ้น ต้องไม่ดำเนินการซ้ำซ้อนกับหน่วยธุรกิจของ บมจ.กสท โดยมีการแยกระบบบัญชีอย่างชัดเจน หรืออาจพิจารณา ทางเลือกรูปแบบโครงสร้างอื่น เพื่อให้เกิดความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และมีเอกภาพในการบริหารงาน ตลอดจนมี การวิเคราะห์ระบบงาน และโครงสร้างองค์กรที่เหมาะสมสำหรับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA นอก จากนี้ ควรมีการเน้นตลาดในเชิงรุก เพื่อขยายฐานผู้ใช้บริการทั้งในส่วนของผู้ใช้บริการระบบ 2G และผู้ใช้บริการใหม่ ซึ่งยังมีความเป็นไปได้ในการทำการตลาด การสร้างรายได้เพิ่มจากบริการเสริม และบริการรับส่งข้อมูล ซึ่งเป็นข้อได้ เปรียบของโครงข่าย CDMA ในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3109 | สรุปผลการประชุมนานาชาติ "Asia Forum : Low Cabon Asia" และการประชุมหารือภายใต้ข้อตกลงระหว่างองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าจีนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและการประชุมหารือกับกระทรวงทรัพยากรน้ำของสาธารณรัฐประชาชนจีน (ระหว่างวันที่ 8 - 9 เมษายน 2553) | ทส | 20/04/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอสรุปผลการประชุม
นานาชาติ "Asia Forum : Low Carbon Asia" การประชุมหารือภายใต้ข้อตกลงระหว่างองค์การสวนสัตว์ในพระบรม ราชูปถัมภ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าจีน (The China Wildlife Conservation Association) และการประชุมหารือกับกระทรวงทรัพยากรน้ำของจีน (Ministry of Water Resources of China: MWR) ระหว่างวัน ที่ 8-9 เมษายน 2553 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีผลการประชุมสรุปได้ดังนี้ 1. การประชุมหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงป่าไม้จีนและสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าจีน เกี่ยวกับการจัด ตั้งศูนย์วิจัยแพนด้าในประเทศไทยและการขยายเวลาการอยู่เมืองไทยของหลินปิง ผลการประชุมหารือฝ่ายจีนจะได้ มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อพิจารณาการจัดตั้งศูนย์วิจัยหมีแพนด้าในประเทศไทย และพิจารณาการปรับปรุง เพิ่มเติมบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับระยะเวลาที่จะให้หลินปิงอยู่ในประเทศไทยโดยจะพิจารณาหาคู่ให้กับหลินปิงและ จะส่งผู้เชี่ยวชาญมาเยือนไทยตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2. การประชุมหารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำของจีน ได้มีการหารือเพื่อเจรจาแลก เปลี่ยนความร่วมมือในการจัดการน้ำ รวมถึงการใช้น้ำจากแม่น้ำโขง โดยกระทรวงทรัพยากรน้ำของจีนเห็นด้วยที่จะ ความร่วมมือกับประเทศไทยใน 2 ระดับ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ กล่าวคือ ความร่วมมือสืบเนื่องจากคณะกรรมาธิการลุ่มแม่น้ำโขง และความร่วมมือในระดับทวิภาคีในลักษณะความ ร่วมมือทางวิชาการ (Technical Cooperation) ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ เรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำของจีนและคณะเยือนไทยในฐานะแขกของกระทรวงฯ เพื่อดำเนิน การจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจครั้งแรกที่ประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3110 | ผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) ครั้งที่ 1/2553 | นร | 20/04/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและ
เลขานุการคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กศร.) เสนอ ดังนี้ 1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการ กศร. ครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 โดยที่ ประชุมได้พิจารณาเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบ ศูนย์ราชการ พ.ศ. 2539 ในส่วนองค์ประกอบคณะกรรมการ การดำเนินโครงการศูนย์ราชการในที่ดินราชพัสดุ ถนนแจ้งวัฒนะ และขอขยายกรอบวงเงินงบประมาณลงทุนโครงการ ฯ และการปรับแผนการก่อสร้างศูนย์ราชการ จังหวัดบุรีรัมย์ 2. เห็นชอบ 2.1 ปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ พ.ศ. 2539 ในส่วนขององค์ประกอบคณะกรรมการ กศร. และมอบหมายฝ่ายเลขานุการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป โดยให้ ปรับเปลี่ยนองค์ประกอบคณะกรรมการดังกล่าวตามมติคณะกรรมการ กศร. 2.2 มอบหมายให้กระทรวงการคลังในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ กศร. ดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดวงเงินที่เพิ่มขึ้น และกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องในการขอขยายกรอบวงเงินงบประมาณลงทุนโครงการศูนย์ราชการในที่ดินราชพัสดุ ถนนแจ้ง วัฒนะทั้งในส่วนงานที่หน่วยงานต้องตั้งงบประมาณคืนให้ ธพส. และในส่วนงานที่ ธพส. ดำเนินการ และประสาน กับหน่วยงานที่ต้องตั้งงบประมาณคืนให้แก่ ธพส. เพื่อยืนยันการอนุมัติวงเงินงบประมาณดังกล่าว และนำเสนอ คณะกรรมการ กศร. พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป 2.3 มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม เป็นหน่วยงานหลักประสานการแก้ไขปัญหาการจราจรบริเวณ โครงการศูนย์ราชการ ฯ โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการก่อสร้างถนนเชื่อมต่อโครงการศูนย์ราชการ ฯ กับโครงข่ายถนนรอบนอกในส่วนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งเร่งจัดทำแผนการแก้ไข ปัญหาจราจรในระยะเร่งด่วน และผลักดันการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในพื้นที่โดยรอบโครงการศูนย์ ราชการ ฯ ต่อไป 2.4 เห็นชอบในการปรับแผนการก่อสร้างศูนย์ราชการจังหวัดบุรีรัมย์ จากเดิมโครงการต่อเติมปรับ ปรุงศูนย์ราชการจังหวัดบุรีรัมย์ บริเวณศาลากลางเดิม เป็น โครงการก่อสร้างศูนย์ราชการจังหวัดบุรีรัมย์แห่งใหม่ บริเวณที่ดินสาธารณประโยชน์ ที่สงวนเลี้ยงสัตว์โคกเขากระโดง ตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ตามที่ คณะอนุกรรมการจัดวางผังแม่บทศูนย์ราชการส่วนภูมิภาคเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3111 | ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... | กค | 20/04/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการการปรับปรุงโครงสร้างและการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตามที่กระทรวง การคลังเสนอ 2. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... มีสาระ สำคัญคือ ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดิน และกฎหมายว่าด้วยภาษีบำรุงท้องที่ ไปพิจารณาร่วมกับ กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งจัดให้มีการทำประชาพิจารณ์หรือรับฟังความคิดเห็นของประชา ชน ตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีควบคู่กันไปเพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติฯ แล้ว นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3112 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (กพบ.) ครั้งที่ 1/2553 | นร | 20/04/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรม
การและเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านเสนอผลการประชุมคณะ กรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (กพบ.) ครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2553 สรุปผลการประชุมได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมมีมติรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตามกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ได้แก่ กรอบความ ร่วมมือ GMS กรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจ กรอบความร่วมมือ IMT-GT กรอบความร่วมมือ ACMECS กรอบความร่วมมือสามเหลี่ยมมรกต การประชุมระดับรัฐมนตรี JDS ครั้งที่ 2 และคณะกรรมาธิการร่วม ว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-มาเลเซีย (JC) ครั้งที่ 11 รวมทั้งการห้ามรถบรรทุกเปล่าของไทย และ สปป.ลาว เข้าไปรับสินค้าในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง 2. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงโครงสร้างกลไกการดำเนินงานอำนวยความสะดวกการค้า และการขนส่งข้ามพรมแดน (Trade and Transport Facilitation : TTF) ของไทย โดยให้เปลี่ยนองค์ประกอบคณะ กรรมการประสานการขนส่งผ่านแดนและขนส่งข้ามแดนแห่งชาติ (NTFC) จากผู้แทนกรมการขนส่งทางบก เป็นผู้ แทนจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และมอบหมายกรมศุลกากรเร่งรัดกระบวนการนำเสนอ ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. .... (ว่าด้วยข้อบทเรื่องการผ่านแดน) ต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในวันที่ 31 มีนาคม 2553 3. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับการเตรียมการประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 16 ดังนี้ 3.1 มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา อีกครั้งหนึ่งหลังจากมีการปรับปรุงแก้ไข ก่อนประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 16 3.2 เห็นชอบข้อเสนอของฝ่ายไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรี GMS ครั้งที่ 16 3.3 มอบหมายให้ NTFC ของไทย (กระทรวงคมนาคม) เร่งรัดการให้สัตยาบันภาคผนวก 7, 9 และพิธี สาร 3 3.4 มอบหมายให้ NTFC ของไทย (กระทรวงคมนาคม) กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายเพื่อรองรับการดำเนินงาน CBTA และให้นำ เสนอร่างกฎหมายรวม 5 ฉบับ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อให้สามารถให้สัตยาบันภาคผนวกและพิธีสารที่ เหลือได้ภายในปี พ.ศ. 2553 โดยให้เร่งรัดนำร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการดำเนินงานด้านอำนวยความ สะดวกทางการค้าและการขนส่งข้ามพรมแดนภายใต้ความรับผิดชอบของกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง เสนอต่อ คตณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนมีนาคม 2553 3.5 ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ดำเนินการตามความ เห็นที่ประชุมไปประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาให้การศึกษาโครงข่ายระบบรางของอนุภูมิภาค (GMS Railways Strategy Study) ที่จัดทำโดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) สอดคล้องกับแนวทางและแผนการดำเนิน การของไทย และประสาน ADB ในการกำหนดแผนงานที่ชัดเจนเพื่อเร่งรัดจัดตั้ง SMEs Development Fund 4. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการพัฒนาเชื่อมโยงพื้นที่ภาคใต้ของไทยและพื้นที่ภาคเหนือ (NCER) และภาคตะวันออก (ECER) ของมาเลเซีย และให้ สศช. ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำประเด็นความ ร่วมมือในรายละเอียด โดยให้รับความเห็นของที่ประชุมไปพิจารณาประกอบด้วย โดยให้แยกให้ชัดเจนระหว่างการ กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาภายในของไทย และยุทธศาสตร์พัฒนาร่วมกับประเทศมาเลเซีย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3113 | การพัฒนาการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government Procurement) | กค | 07/04/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2548 [เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยว กับการบริหารการเงินการคลังภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Government Fiscal Management Information System : GFMIS) และการจัดหาพัสดุโดยการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction)] 2. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐทุกแห่งประกาศจัดซื้อจัดจ้าง สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีสอบราคา ประกวดราคา และประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เว็บ ไซต์ศูนย์ข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (www.gprocurement.go.th) และเว็บไซต์ของหน่วยงาน 3. ให้หน่วยงานต่าง ๆ ปฏิบัติงานในระบบ (e-Government Procurement) ระยะที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2553 เป็นต้นไป โดยกรมบัญชีกลางจัดฝึกอบรม จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานและจัดทำสื่อการเรียนรู้ใน รูปแบบของแผ่นดีวีดีเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้กับผู้เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3114 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ | ทส | 07/04/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รับเรื่อง ขออนุมัติดำเนินการโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง 2. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นของโครงการฯ (Feasibility Study) ควบคู่ไปกับการดำเนิน โครงการสำรวจ ออกแบบ โดยพิจารณาถึงความสอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนงานลงทุนด้านน้ำของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยว ข้อง และแผนงานภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ด้วย และจัดทำประมาณการงบประมาณปี พ.ศ. 2553 ที่ เหลือจ่ายของกรมทรัพยากรน้ำที่สามารถนำไปใช้กับโครงการฯ ส่วนแผนงานที่ยังไม่ได้จัดสรรเงินให้ขอใช้งบประมาณ ปกติ ปี พ.ศ. 2554 ต่อไป สำหรับโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำ และโครงการปรับปรุงสิ่งก่อสร้างด้านแหล่งน้ำภาย ใต้โครงการฯ ควรมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการฯ ศึกษาความพร้อมด้านต่าง ๆ และประสานกับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องโดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ก่อนการดำเนินการเพื่อให้เกิด ความชัดเจนและยอมรับร่วมกัน รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดให้มีการศึกษาความเหมาะสม ของโครงการฯ การวิเคราะห์ทางเลือกในเชิงเปรียบเทียบต้นทุน ความคุ้มค่าในการดำเนินงาน และการศึกษาถึงผล กระทบสิ่งแวดล้อมแยกเป็นรายโครงการ และกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในแต่ละโครงการ/รายการให้เหมาะสมและ สอดคล้องตามสภาพปัญหาและความจำเป็นเร่งด่วนโดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องน้ำมาร่วมพิจารณาในเชิงบูรณา การเพื่อให้ได้ข้อสรุปในรายละเอียด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3115 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM retreat) ครั้งที่ 16 | พณ | 07/04/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่
เป็นทางการ (AEM retreat) ครั้งที่ 16 ระหว่างวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ 2553 ณ เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เป็นผู้แทนฝ่ายไทยเข้าร่วมการประชุม โดยสาระ สำคัญของการประชุมสรุปได้ดังนี้ 1. การติดตามการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจของอาเซียน 1.1 การปรับปรุง AEC Scorecard ที่ประชุมเห็นชอบให้ปรับปรุงการวัดผลตาม AEC Scorecard ใน ด้านการเปิดเสรีและอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน การอำนวยความสะดวกทางการค้า การขนส่ง รวมทั้งบริการ โลจิสติกส์ 1.2 การดำเนินมาตรการตามแผนงาน AEC Blueprint ที่ประชุมมอบให้เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจ เร่งรัดการดำเนินงานที่ล่ากว่าเป้าหมาย โดยเน้นเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะเรื่องสิทธิใน ทรัพย์สินทางปัญญา นโยบายการแข่งขัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการเงิน 1.3 การปฏิรูปโครงสร้างและกฎระเบียบภายในอาเซียน ที่ประชุมเห็นควรให้จัดลำดับความสำคัญของ สาขาที่จะปฏิรูป โดยให้ประเทศสมาชิกระบุสาขาที่ต้องการ Capacity Building และมอบสำนักเลขาธิการอาเซียนจัด ทำ Work Plan on Regulatory Reform เสนอในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 42 ในเดือนสิงหาคม 2553 1.4 Trade Policy Dialogue and Review (TPRD) ที่ประชุมมอบหมายสำนักเลขาธิการอาเซียนใช้ข้อมูล ที่ประเทศสมาชิกรายงานต่อ WTO จัดทำรายงานนโยบายด้านเศรษฐกิจในกรอบอาเซียน เสนอให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจ อาเซียนพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป 1.5 พัฒนาการของสถาปัตยกรรมภูมิภาคและการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ที่ประชุมได้มอบให้สำนัก เลขาธิการอาเซียนศึกษาและประมวลผล FTA ที่อาเซียนได้จัดทำกับประเทศคู่เจรจาเพื่อใช้กำหนดยุทธศาสตร์การเป็น ศูนย์กลางของอาเซียน 1.6 ASEAN-Gulf Cooperation Council (GCC) และ MERCOSUR ที่ประชุมได้รับรองข้อเสนอและการ ประชุมคณะทำงานระดับสูงว่าด้วยการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนที่มอบหมายให้สำนักเลขาธิการอาเซียนเริ่ม แลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องกฎระเบียบการค้าและการลงทุนกับ GCC และ MERCOSUR และให้สำนักเลขาธิการอาเซียนจัด สัมมนาโต๊ะกลมกับฝ่ายเลขา ฯ ของ GCC ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของอาเซียนเพื่อหารือแนวทางในการร่วมมือกันต่อไป 2. ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 การมีผลบังคับใช้ของความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) ซึ่งไทยได้แจ้งว่าบรรลุข้อตกลง เรื่องข้าวกับฟิลิปปินส์แล้วและอยู่ระหว่างการดำเนินการภายในประเทศและคาดว่าจะสามารถให้สัตยาบันความตกลง ATIGA ได้ภายในเดือนเมษายนศกนี้ 2.2 การเปิดเสรีด้านการลงทุน (ASEAN Comprehensive Investment Area : AGIA) ไทยได้แจ้งว่าจะให้ สัตยาบันในความตกลงเมื่อรายการข้อสงวน (Reservation List) ของสมาชิกอาเซียนทั้งหมดได้รับความเห็นชอบ ซึ่ง เหลือเพียงรายการข้อสงวนของอินโดนีเซียเพียงประเทศเดียวที่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบ 2.3 ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาร่างแถลงการณ์ของผู้นำ เรื่อง การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างยังยืนของ อาเซียน โดยไทยขอเพิ่มประเด็นเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเศรษฐกิจพอเพียง 2.4 ที่ประชุมเห็นชอบทิศทางการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนหลังปี 2015 โดยให้สำนักเลขาธิ การอาเซียนรวบรวมความคิดเห็นของประเทศสมาชิกโดยให้พิจารณาแนวโน้มทางเศรษฐกิจและการเมืองประกอบเพื่อ เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับรัฐมนตรีหารือในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3116 | โครงการจัดหาเครื่องบิน ปี 2553 - 2557 ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 30/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติโครงการจัดหาเครื่องบิน ปี 2553-2557 จำนวน 15 ลำ ประกอบด้วยการจัดหาเครื่องบินภูมิ ภาคความจุประมาณ 300 ที่นั่ง จำนวน 7 ลำ โดยวิธีการเช่าซื้อ (Financial Lease) และเครื่องบินข้ามทวีปความจุ ประมาณ 350 ที่นั่ง จำนวน 8 ลำ โดยวิธีการเช่าดำเนินงาน (Operating Lease) รวมทั้งจัดหาเครื่องยนต์อะไหล่ สำหรับเครื่องบินภูมิภาค จำนวน 2 เครื่องยนต์ และสำหรับเครื่องบินข้ามทวีป จำนวน 3 เครื่องยนต์ วงเงินลงทุน ทั้งสิ้น 35,484 ล้านบาท โดยให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) ดำเนินการตามแผนการเงินและ แผนการกู้เงินตามข้อเสนอของ บกท. ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ 2. ให้ บกท. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ดังนี้ 2.1 ในระยะต่อไปควรพิจารณาปรับเปลี่ยนวิธีการจัดหาเครื่องบิน โดยวิธีการเช่าดำเนินการ เป็นวิธี การเช่าซื้อ 2.2 จัดเตรียมแผนการเงินระยะยาวเพื่อรองรับการจัดหาเครื่องบินในระยะต่อไป และจัดทำแผนการ บริหารความเสี่ยงและแผนสำรองฉุกเฉิน และคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งมอบเครื่องบิน ความผัน ผวนของราคาน้ำมัน ภาวะเศรษฐกิจโลก พร้อมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการลดค่าใช้จ่ายน้ำมันอากาศยาน และให้เร่งจำหน่ายเครื่องบิน A340-500 จำนวน 4 ลำ โดยเร็ว เพื่อลดภาระการขาดทุนจากการให้บริการโดย เครื่องบินแบบดังกล่าว 2.3 พิจารณาเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นในสายการบินนกแอร์เพื่อให้สามารถกำหนดนโยบายการ ให้บริการทั้งในด้านการบริหารจัดการในเส้นทางบิน ฝูงบิน และคุณภาพการให้บริการของสายการบินนกแอร์ 2.4 ให้นำระบบการบริหารจัดการที่ดีตามหลักเกณฑ์ของบริษัทมหาชนและมาตรฐานสากลมาใช้กับ องค์กรควบคู่ไปกับการเร่งปรับโครงสร้างองค์กรเป็นหน่วยธุรกิจตามที่กำหนดไว้ในแผนวิสาหกิจปี 2553-2557 โดยเฉพาะการแยกโครงสร้างในการบริหารจัดการ และระบบบัญชี เพื่อให้หน่วยธุรกิจของ บกท. มีอิสระในการ บริหารจัดการและสามารถพัฒนาศักยภาพของหน่วยธุรกิจบางหน่วยให้สามารถขยายบริการกับสายการบินอื่น ได้ 2.5 เร่งจัดทำแผนการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และคุณภาพการให้บริการเพื่อให้การให้บริการอยู่ในระดับ เดียวกันกับสายการบินชั้นนำอื่น ๆ 2.6 ควบคุมค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานทั้งที่ ปฏิบัติงานอยู่ในปัจจุบัน และสิทธิประโยชน์ของกรรมการและผู้บริหารในอดีต โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ด้านการ ใช้บริการการบินของ บกท. ควรปรับลดสิทธิพิเศษทั้งในด้านจำนวนครั้งระยะเวลาในการได้รับสิทธิ และบัตรโดย สารจะต้องไม่เกินกว่าชั้นธุรกิจ พร้อมทั้งปรับปรุงระบบงาน การบริหารและพัฒนาบุคลากร (Modern Human Resource Management) ค่าจ้างเงินเดือน สวัสดิการ และอื่น ๆ รวมทั้งแผนสร้างบุคลากรทดแทน (Succession Plan) และนำการจัดการคุณภาพทั่วทั้งองค์กร (Total Quality Management : TQM) มาเป็นนโยบายดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3117 | รายงานผลการเข้าร่วมประชุมของศูนย์พัฒนาชนบทแบบผสมผสานสำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก หรือ CIRDAP | กษ | 30/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบผลการเข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการพัฒนาชนบทและการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้องของ ศูนย์พัฒนาชนบทแบบผสมผสานสำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (Centre on Integrated Rural Development fo Asia and the Pacific : CIRDAP) ระหว่างวันที่ 24-28 มกราคม 2553 ณ กรุงธากา ประเทศบังกลาเทศ ประกอบ ด้วยผลการประชุม Executive Committee และ Governing Council ผลการประชุม Policy Dialogue on Sustainable Rural Livelihood และผลการประชุม Ministerial Meeting on Rural Development รวมทั้งเห็นชอบการบริจาคเงิน เข้ากองทุนร่วม จำนวน 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 850,000 บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ โดยในส่วนของเงินที่จะบริจาคเข้ากองทุนร่วม ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอขอตั้งงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ เกี่ยวกับการบริจาคเงินเพื่อ การก่อสร้าง/ตกแต่งห้องต่าง ๆ ในศูนย์ประชุมนานาชาติของ CIRDAP ตามข้อเสนอของที่ประชุมนั้น อาจพิจารณา การบริจาค in kind เช่น การส่งทีมสถาปนิกของไทยไปออกแบบตกแต่งให้โดยรัฐบาลไทยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเพื่อ เป็นการเผยแพร่ความสามารถของงานสถาปนิกของไทย สำหรับประเด็นการปฏิบัติตามปฏิญญากรุงธากาในการ สร้าง CIRDAP ให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้เพื่อพัฒนาชนบท นั้น CIRDAP ควรขยายความร่วมมือทางวิชาการกับ องค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรภูมิภาค โดยคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาทบทวนการปรับปรุงโครงสร้างองค์ กร CIRDAP ซึ่งจัดตึ้งขึ้นตามมติที่ประชุม Governing Council เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2553 อาจพิจารณากำหนด ในแผนงานการปรับปรุงโครงสร้างขององค์กรเกี่ยวกับการหารือเชิงนโยบายร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศและราย งานให้ประเทศสมาชิกทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3118 | การปรับปรุงวันหยุดพักผ่อนประจำปีของพนักงานบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด | กค | 23/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ปรับปรุงวันหยุดพักผ่อนประจำปี
ของพนักงาน ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2551 ตามที่กระทรวง การคลังเสนอ ดังนี้ 1. กำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีสำหรับลูกจ้างที่ทำงานติดต่อกันมาแล้วครบ 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี มี สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ปีละ 8 วันทำงาน 2. อายุงาน 3 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ปีละ 10 วันทำงาน 3. อายุงาน 5 ปีขึ้นไป มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ปีละ 15 วันทำงาน และให้มีการสะสมหรือเลื่อน ไปหยุดในปีถัดไปได้ ทั้งนี้ สะสมได้ไม่เกิน 2 ปีติดต่อกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3119 | โครงการปรับปรุงระบบสื่อสารวิทยุเฉพาะกิจ (Trunked Radio) 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | มท | 23/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการโครงการปรับปรุงระบบสื่อสารวิทยุเฉพาะกิจ (Trunked Radio) ตามที่กระทรวง มหาดไทยเสนอ ดังนี้ 1.1 ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณปี พ.ศ. 2551 ตามที่ได้รับอนุมัติเมื่อวัน ที่ 1 เมษายน 2551 มาเป็นดำเนินการในพื้นที่จังหวัดยะลา และศูนย์สื่อสารกรมการปกครอง เขต 8 (จังหวัด สงขลา) เท่านั้น เนื่องจากมีงบประมาณในการดำเนินงานอยู่แล้ว จำนวน 180 ล้านบาท ประกอบกับกระทรวง การคลังได้รับอนุมัติให้กันเงินและขยายเวลาการเบิกจ่ายเงินไว้แล้ว 1.2 สำหรับงบประมาณในการบริหารโครงการหลังจากทำการติดตั้งระบบและอุปกรณ์ต่าง ๆ และ เริ่มใช้งานแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป เช่น ค่าซ่อมบำรุง ค่าจ้างเหมาบริการ และค่าสาธารณูปโภค ให้ กรมการปกครองขอสนับสนุนงบประมาณโดยทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเป็นรายปีไป 2. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการปรับปรุงระบบสื่อสารให้เหมาะ สมกับสภาพปัญหาความต้องการ และสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยให้เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกับระบบการสื่อสาร อื่นๆ และมีการบูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการด้านการสื่อสาร รวมทั้งการ ประมาณการค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในแต่ละปีให้ชัดเจน เพื่อพิจารณาถึงความคุ้มค่าและเหมาะสมของระบบ ไป ดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3120 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) ครั้งที่ 1/2553 | นร | 23/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรม
การและเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เสนอผลการประชุมคณะกรรม การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (คณะกรรมการ กพข.) ครั้งที่ 1/2553 วันที่ 5 มีนาคม 2553 โดยได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ รวม 3 ข้อ ดังนี้ 1. ร่างกรอบการจัดทำยุทธศาสตร์การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว ที่ ประชุมมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ติดตามข้อมูลและผล การดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านความสามารถในการแข่งขันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรายงานคณะกรรมการ กพข. ทราบ รวมทั้งให้นำความเห็นของที่ประชุมไปประกอบการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถใน การแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว และรายงานความก้าวหน้าต่อคณะกรรมการ กพข. ภายใน 3 เดือน 2. ลำดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ปี 2552 ที่ประชุมรับทราบรายงานผลการศึกษา สถานภาพความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ปี 2552 พร้อมทั้งมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ผลการสำรวจของ IMD และ WEF จะประกาศเป็นประจำทุกปี อย่างไรก็ดี รัฐบาลมีกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาขีดความสามารถในการ แข่งขันของประเทศ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับผลการสำรวจประกอบด้วย (1) แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 โดย จะดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (ประปา ถนน และอื่น ๆ) รวมทั้งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่ง จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ และ (2) คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในการดำเนินงานควรมี การตั้งเป้าหมายพร้อมกรอบเวลาให้ชัดเจนเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงที่เห็นเป็นรูปธรรม 3. ดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย ที่ประชุมรับทราบรายงานดัชนีชี้ วัดความสามารถในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย และมีความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้ 3.1 ประเทศไทยสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ได้อีกมากและดำเนินการได้ ทันที อาทิ ปรับปรุงกฎ ระเบียบ และการปรับปรุงระบบบริหารจัดการภายในขององค์กรโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาด กลางและขนาดย่อม โดยศึกษาจากตัวอย่างที่ดี (เช่น การบริหารสินค้าคงคลัง เป็นต้น) ซึ่งภาคเอกชนสามารถที่จะ ดำเนินการได้ทันที 3.2 ควรมีการจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการที่ควรเร่งรัด มีการกำหนดกรอบระยะเวลา ดำเนินการที่ชัดเจน รวมทั้งกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการ 3.3 ปรับปรุงระบบบริหารจัดการองค์กรของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้ชัดเจน และเร่งพัฒนาระบบ การตรวจสอบสินค้าข้ามแดน ณ จุดเดียวร่วมกัน (Single Stop Inspection) และศูนย์การให้บริการ ณ จุดเดียว (National Single Window System) โดยเฉพาะการบูรณาการระบบงานรับรองและออกใบอนุญาตการนำเข้าส่ง ออกของสินค้าเกษตรที่สำคัญ 3.4 ในการพิจารณาต้นทุนโลจิสติกส์ โดยใช้สัดส่วนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ต่อ GDP เปรียบ เทียบกับต่างประเทศควรจะต้องพิจารณาลักษณะและประเภทของสินค้าที่มีมูลค่าแตกต่างกัน ซึ่งหากสินค้ามีมูลค่า สูงหรือหากฐาน GDP มีค่าสูง จะทำให้สัดส่วนดังกล่าวลดลง และอาจจะไม่ได้สะท้อนต้นทุนโลจิสติกส์ที่แท้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
