ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 153 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 3041 - 3060 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 3041 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการอ่าน | กค | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการอ่าน โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบุคคลธรรม ดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกรณีซื้อหนังสือและสื่อ เพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อบริจาคแก่สถานศึกษาของ ราชการและเอกชน และกรณีให้ห้องสมุดขององค์กร รวมทั้งให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้น ส่วนนิติบุคคล กรณีซื้อหนังสือและสื่อ เพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อบริจาคแก่ห้องสมุดของเอกชนที่ไม่เก็บค่าใช้จ่ายมา หักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้ ๑.๒ อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎา กร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติ บุคคล สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาหนังสือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งเสริมการอ่าน โดยมี สิทธินำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้เป็นจำนวนสองเท่า หรือเพิ่มขึ้นอีกร้อยละหนึ่งของค่าใช้จ่าย ดังกล่าว แล้วแต่กรณี และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยคณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต เชิญผู้ประกอบการในธุรกิจหนังสือและผู้เชี่ยวชาญด้านระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากรเพื่อประชุมและชี้แจง เรื่องระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และให้กระทรวงการคลังประชาสัมพันธ์ ให้ภาคเอกชนเข้าถึงสิทธิตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการอ่านให้มากยิ่งขึ้น และประเมินผลการดำเนินการทั้ง ในส่วนของบุคคลและวิธีการในการเข้าถึงสิทธิเพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงมาตรการภาษีดังกล่าว ตามความ เห็นของคณะรัฐมนตรี ไปดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3042 | การปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับบริจาคและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | นร | 26/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับบริจาคและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมความในข้อ ๘ แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับบริจาคและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในส่วนขององค์ประกอบคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี จากเดิม “รองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานกรรมการ” เป็น “รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานกรรมการ” ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้ตัดผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการออก และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. เพื่อให้การให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูประชาชนผู้ประสบสาธารณภัยดำเนินไปในแนวทางเดียวกัน ให้คณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยเป็นผู้พิจารณาการให้ความช่วยเหลือ ส่วนกรณีการฟื้นฟูประชาชนผู้ประสบสาธารณภัย ให้คณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจเป็นผู้พิจารณา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3043 | ขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (อาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ฯ) | อส | 26/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเงินงบกลาง จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รายการ
เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๑,๓๒๙,๐๐๐ บาท เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงพื้นที่ บริเวณชั้น ๙ อาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุด เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3044 | มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 (1 ตุลาคม 2553) | ศธ | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) บริหารจัดการภายในวงเงินงบประมาณงบบุคลากรที่ได้รับจัดสรรประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๑๒ ล้านบาท เพื่อสนับสนุนผู้เข้าร่วมมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๓) ที่เหลือในโควตา จำนวน ๗๕๐ ราย ให้ได้เข้าร่วมมาตรการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๓) ต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาบรรจุอัตราทดแทนผู้เกษียณตามโครงการฯ โดยเร็ว เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน การเรียนการสอน และผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3045 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ครั้งที่ 5 | รง | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านการพัฒนา
ทรัพยากรมนุษย์ ครั้งที่ ๕ (Fifth APEC Human Resources Development Ministeria l Meeting) ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๗ กันยายน ๒๕๕๓ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะผู้ แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ สำหรับหัวข้อของการประชุม ฯ ประกอบด้วยการให้ความสำคัญต่อการรักษาและการ เพิ่มระดับการจ้างงาน และการใช้นโยบายเศรษฐกิจที่เน้นการจ้างงาน การปรับปรุงเครือข่ายความปลอดภัยทาง สังคมและการให้ความช่วยเหลือด้านการจ้างงานแก่กลุ่มผู้ด้อยโอกาส และการเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และการเตรียมกำลังแรงงานรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้ให้การรับรองเอกสาร จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ๑. แถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีเอเปค (joint statement) เน้นการให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทรัพยา กรมนุษย์และการส่งเสริมการจ้างงาน และให้การสนับสนุนกิจกรรมที่จะนำไปสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระยะ ยาว โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ๒. แผนปฏิบัติการ (action plan) เป็นแนวทางในการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ ของคณะทำงานด้านการ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์เอเปคในการส่งเสริมการจ้างงาน การให้ความคุ้มครองทางสังคม การพัฒนาทักษะฝีมือแรง งาน ซึ่งสอดคล้องกับเศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัตน์ (globalization) ๓. โครงการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานเอเปค (APEC Skills Development Promotion Project ๒๐๑๑ -๒๐๑๔) เสนอโดยสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นโครงการตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมในการเสริมสร้างความสัมพันธ ของประเทศสมาชิกในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของกลุ่มสมาชิกเอเปค โดยมีกิจกรรม ประกอบด้วย การฝึก อบรมบุคลากรฝึก (ครูฝึก) การแลกเปลี่ยนและร่วมมือกันด้านการพัฒนาหลักสูตร การวิจัยและการกำหนดคุณ สมบัติ/ทักษะฝีมือแรงงาน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3046 | ขอความอนุเคราะห์แก้ไขพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | สผ | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้มีการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราช
การตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้มีผลครอบคลุมถึง ข้าราชการรัฐสภาสามัญ โดยให้สอดคล้องกับมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการตามข้อสังเกตของ กระทรวงการคลัง และเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับข้าราชการพลเรือน โดยมอบให้กระทรวงการคลังรับ ไปดำเนินการยกร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับประเด็นข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง มีดังนี้ ๑. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ให้ปรับคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมมาตรการ ปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ จากเดิมที่กำหนดให้มีเวลาราชการเหลือตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป เป็นตั้งแต่ ๒ ปี ขึ้นไปแต่มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการสังกัดรัฐสภากำหนดให้ผู้เข้าร่วมมาตรการดังกล่าวของ ส่วนราชการสังกัดรัฐสภามีเวลาราชการเหลือตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป ๒. พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วน ราชการ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ บัญญัติให้ผู้เข้าร่วมมาตรการจะต้องไม่เป็นจำเลยในคดีอาญาซึ่งมิใช่ความผิด ลหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท แต่มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ไม่ได้กำหนดเรื่องดังกล่าวไว้ ๓. มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการสังกัดรัฐสภากำหนดเงื่อนไขไว้ว่าผู้ซึ่งออกจากราช การตามมาตรการดังกล่าวห้ามบรรจุกลับเป็นข้าราชการประจำ พนักงานราชการ และลูกจ้างของส่วนราชการ สังกัดรัฐสภา แต่มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการกำหนดเงื่อนไขไว้ว่า ผู้ซึ่งออกจากราชการตาม มาตรการดังกล่าวห้ามบรรจุกลับเข้ารับราชการประจำในฝ่ายบริหารอีก ทั้งนี้ ไม่ว่าจะบรรจุกลับเป็นข้าราช การ พนักงานและลูกจ้างของส่วนราชการสังกัดใดในฝ่ายบริหารก็ตาม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3047 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 และการประชุมหารือร่วมรัฐมนตรีและภาคเอกชนครั้งที่ 1 ภายใต้กรอบความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม | นร | 05/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๒ และการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีและภาคเอกชน ครั้งที่ ๑ ภายใต้กรอบความร่วมมือ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ณ เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ ๒๕- ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๓ โดยที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมระหว่าง ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น (Mekong Japan Economic and Industrial Cooperation Initiative : MJ-CI) ประกอบ ด้วยการดำเนินงาน ๔ ด้านคือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงตลาดนอกภูมิภาค การอำนวยความสะดวก การค้าและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ การพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และภาคอุตสาห กรรม และการขยายศักยภาพอุตสาหกรรมบริการและอุตสาหกรรมใหม่ของอนุภูมิภาค โดยที่ประชุมฯ จะนำเสนอ แผนปฏิบัติการ MJ-CI ต่อที่ประชุมระดับผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ที่เวียดนามจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในปลาย เดือนตุลาคม ๒๕๕๓ ต่อไป รวมทั้งเห็นชอบข้อเสนอของภาคเอกชนประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ซึ่งได้บรรจุข้อเสนอ ส่วนใหญ่ไว้ในแผนปฏิบัติการ MJ-CI แล้ว โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้ ๑.๑ เร่งพัฒนาเส้นทางคมนาคมที่ยังไม่สมบูรณ์ตามแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) และแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) การพัฒนาเส้นทางรถไฟ การพัฒนาท่า เรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศบนสองฝั่งมหาสมุทร คือ ฝั่งอันดามัน และทะเลจีนใต้ ๑.๒ อำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินรถข้ามพรมแดนระหว่างกัน อย่างสะดวก การตรวจปล่อย ณ จุดเดียว ลดจำนวนและความซับซ้อนของเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ให้ความช่วยเหลือ SMEs เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและการเข้าถึงแหล่งเงินโดยจัดตั้งกองทุ นพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs Development Fund) และร่วมมือกับสถาบันทางการเงินของ ปุ่นโดยใช้แนวทางการปล่อยกู้ต่อ (Two-step loan) ๑.๔ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพการผลิตในภาคบริการและอุตสาหกรรมใหม่ โดย เฉพาะในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ร วมทั้งการใช้เทคโนโลยีการจัดการน้ำในภาคอุตสาห กรรม ๑.๕ ร่วมมือในการพัฒนาเรื่องอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนการค้าการลงทุน เช่น การปรับปรุงระบบการแลก เปลี่ยนเงินตราในอนุภูมิภาคและการใช้สกุลเงินท้องถิ่นสำหรับการค้าชายแดน การเพิ่มความโปร่งใสในการทำธุรกิจ และการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง ๒. มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประสานส่วนราช การที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ MJ-CI ต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยว กับการจัดทำรายงานความก้าวหน้าและทบทวนแผนปฏิบัติการดังกล่าวเห็นควรให้มีผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ อยู่ในการประชุมคณะทำงาน ASEAN Economic Ministers-Ministry for International Trade and Industry Economic and Industrial Cooperation Committee’s Working Group on West-East Corridor Development (AMEICC WEC- WG) รวมทั้งในการประชุมระหว่างรัฐมนตรีกับภาคเอกชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3048 | การขออนุมัติกู้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ค่าดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดชำระในปีงบประมาณ 2554 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 05/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อนำไปชำระค่าดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดในปี งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒,๐๔๑.๖๗๗ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธี การเงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงินได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้ ขสมก. เป็นผู้รับภาระชำระเงินต้น ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ ขสมก. เร่งดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กร และลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพื่อ บรรเทาปัญหาสภาพคล่องทางการเงินต่อไป รวมทั้งรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่ ให้ ขสมก. หารือกับกระทรวงคมนาคมถึงแนวทางในการปรับโครงสร้างค่าโดยสารรถโดยสารปรับอากาศ เพื่อ เพิ่มรายได้ให้สอดคล้องกับต้นทุนและลดรายจ่ายลงให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลงด้วย และควรมีมาตรการปรับ ขนาดองค์กรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ส่วนการลงทุนในโครงการต่าง ๆ จะต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีผลตอบ แทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุนจึงจะดำเนินการ นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตว่า ขสมก. ได้รับอนุมัติให้กู้เงินเพื่อชำระดอก เบี้ยเงินกู้เดิมมาโดยตลอด เนื่องจากปัญหาการขาดสภาพคล่อง ดังนั้น ขสมก. ควรเร่งรัดพิจารณาดำเนินการแก้ ไขประเด็นปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ในการปรับปรุงการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อลดภาระค่า ใช้จ่ายและลดภาระหนี้สินที่สะสมมาต่อเนื่องทุกปี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3049 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินงานของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ | กค | 05/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง มาตรการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ (ในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับปรุงระบบและเพิ่มศักยภาพการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) รวม ๒ ข้อ ดังนี้
๑. การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน จากเดิม “ให้ลดอัตราค่าธรรมเนียมค้ำประกันลงจากร้อยละ ๒.๐๐-๒.๗๕ ลงเหลือประมาณร้อยละ ๑.๗๕ ของวงเงินค้ำประกันในระยะแรก และจะมีการปรับปรุงค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมในระยะต่อไป โดยจะคำนึงถึงคุณภาพของลูกค้าและคุณภาพการคัดเลือกลูกค้าของสถาบันการเงินที่ใช้บริการ” เป็น “ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงคุณภาพของลูกค้า และคุณภาพการคัดเลือกลูกค้าของสถาบันการเงิน” ๒. เกณฑ์การจ่ายค่าประกันชดเชย จากเดิม “ปรับปรุงเกณฑ์การชดเชยความเสียหายให้รวดเร็วขึ้นจากที่จะต้องจ่ายเมื่อคดีถึงที่สุด และมีการบังคับคดียึดทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันครบถ้วนแล้ว เป็นจ่ายเมื่อมีการฟ้องร้องดำเนินคดีระหว่างสถาบันการเงินกับผู้กู้” เป็น “จ่ายเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เฉพาะการค้ำประกันให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ภายใต้การค้ำประกันสินเชื่อโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ โดยให้ ธ.ก.ส. และ บสย. ตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางและขั้นตอนของการจ่ายค่าประกันชดเชยต่อไป”
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3050 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2554 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 28/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้ดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนา ปี 2554 ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จำนวน 15 โครงการ วงเงินลงทุนรวม 2,018.529 ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ประกอบด้วย 1.1 โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายระบบประปาที่ใช้เงินกู้ 1 โครงการ คือ โครงการประปาจันทบุรี วงเงินโครงการ 508.460 ล้านบาท โดยให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) เพื่อลงทุนโครงการโดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน 1.2 โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายระบบประปาที่รัฐให้การสนับสนุนงบประมาณร้อยละ 75 ของวงเงินโครงการ จำนวน 7 โครงการ วงเงินโครงการรวม 1,179.619 ล้านบาท 1.3 โครงการปรับปรุงกิจการประปาภายหลังการรับโอน จำนวน 7 โครงการ วงเงินโครงการรวม 330.450 ล้านบาท โดยรัฐให้การสนับสนุนทั้งหมด 2. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้ กปภ. พิจารณาในเรื่องของความคุ้มค่าจากการลงทุนทางด้านการเงินโดยการควบคุมค่าใช้จ่ายการผลิตและเพิ่มรายได้จากการให้บริการและลดอัตราน้ำสูญเสียให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มความสามารถในการลงทุนของ กปภ. และลดภาระของภาครัฐในการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการลงทุนในโครงการก่อสร้างระบบประปาและเงินชดเชยค่าดำเนินการในการให้บริการเชิงสังคม รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำของประเทศควรพิจารณาในด้านความคุ้มค่าของการใช้ทรัพยากรน้ำในกิจกรรมต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับทรัพยากรน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่จะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งกำหนดเป้าหมายการพัฒนาและดัชนีชี้วัดทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจ ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3051 | มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มสมรรถนะอากาศยานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส | 28/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มสมรรถนะอากาศยาน
ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดย รับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงคมนาคมด้านความปลอดภัย การจัดองค์กรด้านการบิน และการกำกับดูแล ในด้านการบินพลเรือนซึ่งเป็นข้อเสนอแนะการปรับปรุงโครงสร้างและการเพิ่มประสิทธิภาพการบินไปพิจารณา ด้วย โดย 1. การจัดหาอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยและเพิ่มสมรรถนะของอากาศยานเฮลิคอปเตอร์ จำนว น 9 เครื่อง ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ส่วนการจัดหาอากาศยานตามแผนแม่บทการใช้ การจัดหา และการบำรุงอากาศยาน ปี พ.ศ. 2547 ให้สำนัก งบประมาณพิจารณาจัดสรรสนับสนุนให้ตามความเหมาะสมตามลำดับความจำเป็นเร่งด่วน และสอดคล้องกับ สถานะทางการเงินการคลังของประเทศต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 2. การขอคงตำแหน่งนักบิน ช่างเครื่องบิน และช่างวิทยุการบิน กรณีการเกษียณอายุราชการ ขยาย อัตรากำลังตามจำนวนอากาศยานที่จัดหาเพิ่ม ให้กระทรวงคมนาคมเสนอเรื่องให้คณะกรรมการบริหารพนัก งานราชการพิจารณาต่อไป ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. 3. การพัฒนาศูนย์ปฏิบัติการบินและซ่อมบำรุงอากาศยาน (การใช้สนามบินร่วม) ให้กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ท่าอากาศยานใน ส่วนกลางและส่วนภูมิภาคไปพิจารณาดำเนินการต่อไป 4. เห็นชอบในหลักการการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการ บริหารทรัพยากรด้านการบิน และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำรายละเอียดขององค์ ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าวมาเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3052 | มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2552 - 2556) | นร | 28/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการมาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2552-2556) เพื่อให้การดำเนินงาน ตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและกำลังคนภาครัฐ (คปร.) บรรลุเป้าหมายในการบริหาร จัดการกำลังคนให้สอดคล้องกับความจำเป็นตามภารกิจในภาครัฐ รวมทั้งเพื่อให้มีแนวทางในการบริหารกำลังคน ภาครัฐทดแทนยุทธศาสตร์การปรับขนาดกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2549-2551) ซึ่งสิ้นสุดลงโดยมาตรการบริหาร กำลังคนภาครัฐฯ จะครอบคลุมถึงกำลังคนภาครัฐทุกประเภท ได้แก่ ข้าราชการ (ไม่รวมข้าราชการทหาร) พนัก งานราชการ ลูกจ้างประจำ และกำลังคนประเภทอื่น ๆ ในส่วนราชการสังกัดฝ่ายบริหารที่ใช้งบประมาณงบบุคลา กรจากงบประมาณรายจ่ายแผ่นดิน ประกอบด้วยมาตรการบริหารอัตรากำลังปกติ : ให้ปรับในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ แนวทางการจัดสรรอัตราข้าราชการจากผลการเกษียณอายุ โดยให้ คปร. พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและ เงื่อนไขการจัดสรรอัตรา เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับการดำเนินงานตามบทบาทภารกิจและตามความจำเป็นที่ แท้จริง และมาตรการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ : ให้ปรับในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการนำยุทธศาสตร์ไปสู่การ ปฏิบัติโดยเห็นควรให้องค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคลร่วมกับส่วนราชการจัดทำแผนปฏิบัติการให้สอดคล้อง เหมาะสมกับสภาพ บริบทและเงื่อนไขของส่วนราชการแต่ละแห่งต่อไป และ 2. มอบหมายให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐและองค์กรกลางบริหาร ทรัพยากรบุคคลร่วมกับส่วนราชการดำเนินการเพื่อให้มีการนำมาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐดังกล่าวไปปฏิบัติ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ตามที่รองเลขาธิการ ก.พ. (นายนนทิกร กาญจนะจิตรา) กรรมการและเลขานุการ ร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของการกำหนดให้ส่วนราช การมีความคล่องตัวในการบริหารอัตรากำลัง เห็นชอบเป็นหลักการให้ส่วนราชการมีอัตราว่างได้ไม่เกินร้อยละ 5 ของจำนวนตำแหน่งทั้งหมด 3. ให้ คปร.รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ที่เห็นควรกำหนดเป้าหมายการดำเนินมาตรการให้ชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้ และกำหนดแนวทางใน การติดตามประเมินผลการดำเนินงานของมาตรการดังกล่าวเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการบริหารกำลังคน ภาครัฐ รวมทั้งความเห็นของ ก.พ.ร. เกี่ยวกับทบทวนการจัดอัตรากำลังให้สอดคล้องกับบทบาทภารกิจควรมีการ บูรณาการการทำงานของหน่วยงานกลางที่เกี่ยวข้องโดยประสานกับส่วนราชการให้นำเสนอแผนการทบทวนภาร กิจ การปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาก่อนจัดทำแผนอัตรากำลังให้สอดคล้องกับ บทบาทภารกิจใหม่ต่อไป ไปพิจารณาด้วย 4. การกำหนดการใช้กำลังคนแต่ละประเภทให้เหมาะสมกับภารกิจ โดยให้พนักงานราชการสามารถ ปฏิบัติงานในภารกิจหลักด้วยนั้น มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการบริหารพนักงานราชการรับไปพิจารณาในคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ แล้วนำเสนอ คณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3053 | รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ปี 2552 และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ปี 2553 | กค | 28/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการสอบบัญชีและงบการเงินกองทุนบำเหน็จ
บำนาญข้าราชการ (กบข.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทน สมาชิก ปี พ.ศ. 2553 สรุปได้ดังนี้ 1. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบดุล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 งบรายได้ค่าใช้จ่าย งบ แสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิและงบกระแสเงินสดของ กบข. สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของปี พ.ศ. 2553 โดยเห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป 2. ที่ประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2553 ได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยว กับการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้ 2.1 ให้มีการปรับปรุงการทำงานและการใช้จ่ายอย่างประหยัด รวมถึงการปรับรูปแบบการสื่อสารกับ สมาชิก 2.2 ให้มีการเปิดเผยรายการหรือรายละเอียดเกี่ยวกับงบการเงินของบริษัทย่อย 2.3 คัดเลือกผู้แทนสมาชิกให้มีผู้แทนสมาชิกที่มาจากการคัดเลือก และให้เพิ่มและปรับปรุงวิธีการใน เรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการเข้าร่วมประชุม 2.4 การเสนองบการเงินให้ที่ประชุมใหญ่พิจารณานั้นต้องมีการรับรองการเงินหรือไม่ 2.5 ติดตามให้มีการแก้ไขสูตรการคำนวณบำนาญของสมาชิก เพื่อให้ได้รับบำนาญตามจำนวนเงินที่ ประมาณการโดยกรมบัญชีกลางเมื่อครั้งได้รับการชักชวนเมื่อปี พ.ศ. 2540
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3054 | ขออนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณก่อนดำเนินการประกวดราคารายการปรับปรุงสิ่งก่อสร้างปรับปรุงอาคาร 1 | ศธ | 28/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3055 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ 17 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย | นร | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ 17 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2553 และการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ 7 ของแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2553 สรุปได้ดังนี้ 1.1 ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 17 ที่ประชุมฯ ได้ติดตามการดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ การทบทวนกลางรอบแผนที่นำทางปี 2550-2554 ซึ่งได้เสนอการปรับยุทธศาสตร์ความร่วมมือรายสาขา และได้คัดเลือก จัดลำดับความสำคัญและแผนการดำเนินโครงการใน 6 สาขาความร่วมมือ ประกอบด้วย โครงสร้างพื้นฐาน การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว ผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร และสิ่งแวดล้อม ที่จะดำเนินการในปี พ.ศ. 2553-2554 จำนวน 12 แผนงาน (Flagship Programmes) พร้อมทั้งโครงการสำคัญด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเร่งรัดการเชื่อมโยงแนวพื้นที่เศรษฐกิจ IMT-GT จำนวน 10 โครงการ โดยมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย 2 โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาท่าเรือไทยด้านฝั่งทะเลอันดามัน และโครงการพัฒนาทางพิเศษสะเดา-หาดใหญ่ รวมทั้งการปรับปรุงเสริมสร้างกระบวนการและองค์กรในกรอบ IMT-GT ซึ่ง ADB และ IMT-GT Eminent Persons ได้ยกร่างขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้ให้ความสำคัญระดับสูงกับประเด็นความร่วมมือระหว่าง IMT-GT และญี่ปุ่นในด้านความมั่นคงด้านอาหารและการเกษตรที่มีมูลค่าสูง ตลอดจนรับทราบความเห็นของผู้แทนสำนักงานเลขาธิการอาเซียน (ASEC) ต่อโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนา CIQ และอื่น ๆ ในกรอบการทบทวนกลางรอบพร้อมทั้งโครงการเชื่อมโยงแนวพื้นที่เศรษฐกิจในกรอบ IMT-GT ว่าจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตามวิสัยทัศน์ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2015 และเป็นโอกาสในการเปิดกว้างสู่ตลาดและการบูรณาการระบบเศรษฐกิจภูมิภาค 1.2 ผลการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ 7 ที่ประชุมฯ ได้ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการที่สำคัญใน 9 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงแนวพื้นที่เศรษฐกิจ IMT-GT (2) การพัฒนาโครงข่ายการค้าชายฝั่ง IMT-GT (3) การพัฒนาธุรกิจที่บูเก๊ะตา จังหวัดนราธิวาส-บูติกบุหงา รัฐกลันตัน (4) การจัดตั้ง IMT-GT Plaza เพิ่มเติมที่พอร์ทกลางและมะละกา (5) การปรับลดกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนการค้าการลงทุนบริเวณชายแดน โดยสามประเทศร่วมกันจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจด้าน CIQ (6) การจัดทำคู่มือธุรกิจ IMT-GT (7) การจัดงานแสดงสินค้า (Trade Fair) ที่หาดใหญ่ เมดาน ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ด่านนอก/สะเดา ปัตตานี (8) การพัฒนาท่าอากาศยานเป็นประตูการค้าที่มะละกา และ (9) การเพิ่มการบินเชื่อมโยงในพื้นที่ในเส้นทางภูเก็ต-มะละกา กับประเด็นที่ที่ประชุมฯ รับทราบข้อเสนอจากสภาธุรกิจ IMT-GT ให้จัดตั้งคณะทำงานพิเศษ (Special Working Committee) ในระดับรัฐ/จังหวัด เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการโครงการในพื้นที่กับการจัดตั้งศูนย์ IMT-GT เพื่อสนับสนุนและกลั่นกรองแผนงานในระดับรัฐ/จังหวัด 2. มอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3056 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตเก็บ จัดหา หรือรวบรวมพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปหรือพันธุ์พืชป่า เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ ศึกษา ทดลอง หรือวิจัยเพื่อประโยชน์ในทางการค้า และการทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ พ.ศ. .... | กษ | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตเก็บ จัดหา หรือรวบรวมพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปหรือพันธุ์พืชป่า เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ ศึกษา ทดลอง หรือวิจัยเพื่อประโยชน์ในทางการค้า และการทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตเก็บ จัดหา หรือรวบรวมพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปหรือพันธุ์พืชป่า เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ ศึกษา ทดลอง หรือวิจัยเพื่อประโยชน์ในทางการค้า และการทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3057 | โครงการปรับปรุงอาคารที่ทำการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | นร | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ดำเนินการ ดังนี้ 1. เพิ่มวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงอาคารที่ทำการ สศช. จาก 130,866,000 บาท เป็น 138,218,000 บาท ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2553-2555 รวมระยะเวลา 3 ปี โดยให้ใช้จ่ายจากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จำนวน 9,056,000 บาท สมทบกับ งบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปีของปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 จำนวน 8,000,000 บาท และงบ ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จำนวน 13,500,000 บาท โดยผูกพันงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 จำนวน 26,173,400 บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 อีกจำนวน 81,488,600 บาท 2. ดำเนินการก่อสร้างปรับปรุงอาคาร 2 (อาคารสำนักงานสถิติแห่งชาติเดิม ซึ่ง สศช. ได้ขอสงวน สิทธิการเป็นผู้เข้าใช้อาคารดังกล่าวให้กลับมาเป็นสิทธิของ สศช. เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2551 ที่อนุมัติให้ สศช. ใช้สถานที่เดิมของสำนักงานสถิติแห่งชาติเป็นสถานที่ปฏิบัติงาน) พร้อม รั้ว ประตูรั้ว และป้ายชื่อสำนักงานฯ ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2554-พ.ศ. 2555 รวม ระยะเวลา 2 ปี ในวงเงินไม่เกิน 51,000,000 บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เหลือจ่ายจำนวน 26,000,000 บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 จำนวน 25,000,000 บาท |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3058 | รายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงถนนหมายเลข 3 (R3) และโครงการปรับปรุงถนนและระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กค | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับ
ปรุงถนนหมายเลข 3 (R3) และโครงการปรับปรุงถนนและระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2553 ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือ พัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ได้ลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือทางการ เงินกับ สปป.ลาว วงเงินรวม 655 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการ จำนวน 2 โครงการ ดังนี้ 1. โครงการปรับปรุงถนนหมายเลข 3 (R3) วงเงินให้ความช่วยเหลือ 405 ล้านบาท โ ดยแยกสัญญาฯ ออกเป็น 2 สัญญา คือ สัญญาฯ สำหรับการปรับปรุงถนนหมายเลข 3 (R3) วงเงิน 205 ล้านบาท และสัญญาฯ สำหรับค่าปรับปรุงราคาวัสดุก่อสร้าง (Price Adjustment) วงเงิน 200 ล้านบาท เนื่องจากเงื่นอไขทางการเงิน ของทั้ง 2 สัญญา มีอายุสัญญาและระยะเวลาปลอดหนี้ที่แตกต่างกัน 2. โครงการปรับปรุงถนนและระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ วงเงินให้ความช่วยเหลือ 250 ล้านบาท โดย สพพ. ได้กำหนดขอบเขตของงานก่อสร้าง จำนวน 5 รายการ ได้แก่ 2.1 ปรับปรุงผิวถนน T2 ช่วงที่ 1 ก่อสร้างทางเท้าและท่อระบายน้ำระยะทาง 3.2 กิโลเมตร 2.2 ปรับปรุงผิวถนน T2 ช่วงที่ 2 ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร 2.3 ก่อสร้างถนน T2 ช่วงที่ 3 ระยะทาง 300 เมตร โดยเป็นถนน 4 ช่องจราจรพร้อมทางเท้าและท่อ ระบายน้ำ 2.4 ปรับปรุงร่องระบายน้ำคลองทุ่งสร้างนาง 2.5 ปรับปรุงบึงหนองด้วงและร่องระบายน้ำคลองหนองด้วง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3059 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 3/2553 | นร | 14/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและอนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (รชต.) ในการประชุมครั้งที่ 3/2553 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2553 ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ รชต. เสนอ โดยที่ประชุมคณะกรรมการ รชต. มีมติในเรื่อง ต่าง ๆ ดังนี้ 1.1 มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีผล การเบิกจ่ายอยู่ในเกณฑ์ต่ำเร่งรัดดำเนินโครงการและรายงานผลการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณให้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นำเสนอประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนพัฒนาพื้น ที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (อชต.) เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน 1.2 อนุมัติโครงการพัฒนาอาชีพตามผลประชาคม 696 หมู่บ้าน เพิ่มเติม จำนวน 7 โครงการ วงเงิน 41.99 ล้านบาท โดยใช้เงินเหลือจ่ายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จากโครงการตามแผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปี พ.ศ. 2553 ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 1.3 อนุมัติโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้แผน ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ในพื้นที่ 26 หมู่บ้านของจังหวัดสตูล รวม 4 โครงการย่อย ว งเงิน 17.00 ล้านบาท โดยใช้เงินเหลือจ่ายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จากโครงการตามแผนการพัฒนาฯ 1.4 อนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินการตามผลการประชาคมหมู่บ้านปี 2554 ของกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ที่ยังไม่ได้รับการจัดสรร วงเงิน 2,394.00 ล้านบาท โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำความตกลงกับ สำนักงบประมาณเพื่อปรับลดความซ้ำซ้อน ปรับต้นทุนค่าก่อสร้างให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของสำนักงบ ประมาณ และยืนยันเป้าหมายตามผลการประชาคมหมู่บ้าน และนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครง การภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร่งด่วน 1.5 อนุมัติโครงการผลิตแพทย์เพิ่มของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ วงเงิน 950.00 ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาแหล่งงบประมาณสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ 1.6 อนุมัติตามข้อเสนอของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ดำเนินโครงการ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของจังหวัดสตูล 1.7 อนุมัติการเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างและการปรับแบบรูปรายการก่อสร้างโครงการศูนย์ครูใต้ จังหวัดยะลา ภายในวงเงิน 160.80 ล้านบาท 1.8 อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดแผนงานและงบประมาณโครงการเสริมสร้างประสิทธิภาพและ พัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการในจังหวัดชายแดนภารใต้ โดยปรับลดระยะเวลาดำเนินการให้เหลือ 4 เดือน (กันยายน-ธันวาคม 2553) งบประมาณดำเนินการ 85.76 ล้านบาท โดยใช้เงินสำรองจ่ายตามระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 ข้อ 16 (8,500 ล้าน บาท) 1.9 ให้องค์การสะพานปลาจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการปรับปรุงสุขภาพ อนามัยท่าเทียบเรือประมงสตูลเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาตามขั้นตอนก่อนเสนอขออนุมัติ โครงการ 1.10 ให้คณะอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดน ภาคใต้ (อปต.) ปรับปรุงแผนประชาสัมพันธ์ฯ ให้มีเป้าหมายที่ชัดเจน ได้แก่ การใช้กิจกรรมที่เป็นภารกิจปกติของ หน่วยงานเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ เช่น การแข่งขันกีฬา การจัดงานประเพณีวัฒนธรรม เป็นต้น การประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนในพื้นที่โดยใช้สื่อและภาษาที่เข้าถึงประชาชน และการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนนอกพื้นที่รับรู้และ เข้าใจข้อเท็จจริงของสถานการณ์และการแก้ปัญหาอย่างสมดุล 1.11 ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาหาแนวทางช่วยเหลือข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในเรื่องของการปูนบำเหน็จเลื่อนขั้น การรับเงินพิเศษสู้รบ (พ.ส.ร.) และการปรับวิทยฐานะเป็นกรณีพิเศษ รวมทั้ง การตรวจสอบสิทธิประโยชน์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำหรับการจัดระบบการรักษาความ ปลอดภัย ให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยดำเนินการตามมาตรการรักษา ความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด 2. อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการตามผลประชาคมหมู่บ้าน ปี 2555 ของกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (ตามข้อ 6.5 ของหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร 1103/2555 ลงวันที่ 13 กันยายน 2553 หน้า 4) ออกไปสิ้น สุดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 และให้ปรับลดวงเงินที่จะจัดสรรให้จากเดิม วงเงินรวม 2,394 ล้านบาท เป็นวงเงิน 1,880 ล้านบาท โดยวงเงินส่วนที่เหลือจากการปรับลดดังกล่าว ให้นำไปจัดสรรเพิ่มเติมให้แก่โครงการอื่น ๆ ตาม ลำดับความสำคัญและเร่งด่วน ดังนี้ 1) โครงการผลิตแพทย์เพิ่มเติมของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาส ราชนครินทร์ (ตามข้อ 6.6) 2) โครงการเสริมสร้างประสิทธิภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ (ตามข้อ 6.9) และ 3) โครงการด้านการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานแก้ไขปัญหาในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (อปต.) (ตามข้อ 6.11) โดยมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. กรม ประชาสัมพันธ์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามที่รัฐมนตรีว่า การกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอและที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3060 | แผนแม่บทการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ | ทส | 07/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการตามแผนแม่บทการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกของอุทยานแห่ง ชาติเขาใหญ่ทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างยั่งยืนต่อไป เนื่องจากสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่หน่วยงานต่าง ๆ สร้างไว้ภายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เริ่มทรุดโทรม สภาพไม่ปลอดภัย และมีผังบริเวณไม่เหมาะสมต่อการจัด การอุทยานแห่งชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวง มหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าแผน แม่บทการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เน้นการพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางด้านสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นหลัก เห็นควรเพิ่มเติมแนวทางการดำเนินงานให้ครอบคลุมมิติการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาให้ครบทั้งด้านการอนุรักษ์ และป้องกันทรัพยากรธรรมชาติ และการปรับปรุงระเบียบปฏิบัติที่สอดคล้องกับสภาพปัญหา รวมทั้งปัญหาพื้น ที่ทับซ้อนของแนวเขตอุทยานฯ และควรมีแผนบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ทุกด้าน คือ ด้านการอนุรักษ์สภาพ ธรรมชาติ การท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อยใจ และการศึกษาค้นคว้าวิจัยทางธรรมชาติให้ชัดเจนในแผนแม่บทฯ นอก จากนี้ ให้นำเรื่องของความสามารถในการรองรับการท่องเที่ยวของพื้นที่อุทยานฯ มาเป็นหลักในการวิเคราะห์และ พิจารณาในการวางแผนดำเนินการ รวมทั้งระบุผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้รับหลังจากการดำเนินการไว้ในแผนแม่บทฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 2. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัด การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและการฟื้นฟูสภาพภูมิทัศน์และระบบนิเวศบริเวณทางหลวงหมาย เลข 2090 (ถนนธนะรัชต์) ตอนแยกทางหลวงหมายเลข 2-ต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2553 [เรื่อง โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงหมายเลข 2090 และเรื่อง รายงานผล กระทบและความเสียหายกรณีการตัดไม้จากการดำเนินการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 2090 (ถนนธนะรัชต์)] ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
