ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 155 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 3081 - 3100 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 3081 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ครั้งที่ 2/2553 เมื่อวันที่ 8 เมษา ยน 2553 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนทางการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของการรถไฟแห่งประเทศ ไทย จำนวน 2,285.418 ล้านบาท จากที่เสนอขอรับเงินอุดหนุนสำหรับบริการสาธารณะ จำนวน 3,795.766 ล้าน บาท ทั้งนี้ ให้ใช้หลักการการคำนวณต้นทุนการให้บริการสาธารณะตามหลักการของปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และ มีสมมติฐานการประมาณการรายได้ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยปรับราคาค่าโดยสารภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และปรับกำหนดการขอรับเงินอุดหนุนจาก "ขอรับเงินอุดหนุนทุกกิจกรรมล่วงหน้าตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2554" เป็น "ขอรับเงินอุดหนุนทุกกิจกรรมล่วงหน้า โดยแบ่งออกเป็น 2 งวด งวดละร้อยละ 50" 1.2 ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำรายงานแผนกลยุทธ์ที่จะปรับปรุงการดำเนินงานให้เข้าสู่ความเป็น เลิศในด้านต่าง ๆ (Best Practice) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณะต่อคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการ สาธารณะ และให้เร่งปรับปรุงระบบบัญชีขององค์กรให้ได้มาตรฐานและเป็นไปตามกิจกรรมของหน่วยธุรกิจต่าง ๆ ตาม โครงสร้างการบริหารจัดการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในหลักการไว้เพื่อให้การแยกบัญชีเชิงพาณิชย์และบัญชี เชิงสังคมมีความชัดเจนและถูกต้องโดยเร็วต่อไป 1.3 ในการจัดทำประมาณการค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงของการรถไฟแห่งประเทศไทย สมควรดำเนินการภายใต้ สมมติฐานที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่เกี่ยวกับประเภทหรือชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิง และมีระดับราคาที่เหมาะสม ใกล้เคียงกับแนวโน้มของราคาขายส่งน้ำมันเชื้อเพลิง 2. ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ ที่เห็นควรเร่งจัดทำแผนปฏิบัติการการปรับโครงสร้างองค์กร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 การปรับปรุงระบบบัญชีตามโครงสร้างองค์กรใหม่ การเตรียมความพร้อมโดยเฉพาะบุคลากรด้านการบัญชีรองรับการ ปรับระบบบัญชีดังกล่าว และการควบคุมการค่าใช้จ่าย รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาปรับ โครงสร้างราคาค่าบริการให้สอดคล้องกับต้นทุนการบริหารจัดการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3082 | ผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) ครั้งที่ 2/2553 | นร | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการเสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) ครั้งที่ 2/2553 1.2 อนุมัติขยายกรอบวงเงินลงทุนโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 จำนวน 2,166.44 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้กรอบวงเงินลงทุนโครงการเพิ่มขึ้นจาก 19,016.00 ล้านบาท เป็น 21,182.44 ล้านบาท 1.3 เห็นชอบในหลักการโครงการจัดทำแผนการใช้ที่ดินของรัฐและการจัดทำแผนแม่บทศูนย์ราชการ โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของวงเงินงบประมาณ และให้กรมโยธาธิการและผังเมือง รวมทั้ง สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณ เพื่อดำเนิน การเป็นรายปีตามความพร้อมในการดำเนินงานต่อไป 1.4 เพื่อให้การดำเนินการจัดทำแผนการใช้ที่ดินของรัฐและการจัดทำแผนแม่บทศูนย์ราชการเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเป็นเอกลักษณ์ และลดภาระการจัดสรรงบประมาณของภาครัฐ เห็นควรให้กรมโยธาธิ การและผังเมือง และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการ ดังนี้ 1.4.1 พิจารณากำหนดกลไกการมีส่วนร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และชุมชนในพื้นที่โดยรอบ เพื่อให้การดำเนินโครงการศูนย์ราชการฯ ในจังหวัดต่าง ๆ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคส่วน และจังหวัดสามารถ กำกับการดำเนินงานตามแผนที่ตั้งไว้ได้ 1.4.2 พิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการว่าจ้างเอกชนเพื่อดำเนินการโดยหน่วยงานภาค รัฐควรพิจารณาดำเนินงานด้านผังนโยบายเอง ได้แก่ งานวางแผนการใช้ที่ดินของรัฐ และงานจัดทำผังแม่บทศูนย์ ราชการ และในส่วนงานออกแบบทางด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมอาจว่าจ้างเอกชน เพื่อลดระยะเวลาและลด ภาระการดำเนินงานของภาครัฐได้ 1.4.3 พิจารณาออกแบบและวางผังอาคารภายในศูนย์ราชการให้มีความสอดคล้องกับรูปแบบ ทางสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น เพื่อความเป็นเอกลักษณ์ของศูนย์ราชการในแต่ละแห่ง 2. ส่วนการขอขยายกรอบวงเงินงบประมาณลงทุนโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ได้ดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยตามความ ต้องการของหน่วยงานต่าง ๆ นอกเหนือไปจากมาตรฐานการออกแบบของโครงการ ปรับแก้ไขแบบก่อสร้างพื้นที่ สำนักงานเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงานใหม่ที่ขอใช้พื้นที่แทนหน่วยงานที่ขอยกเลิก ปรับปรุงพื้นที่ส่วน กลาง และงานระบบประกอบอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งเป็นการดำเนินการไปก่อนล่วงหน้า และ ไม่เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง นั้น ค่าใช้จ่ายเพื่อการดำเนินการดังกล่าวจะต้อง บริหารจัดการเงินรายได้ของ ธพส. ที่ได้รับจากหน่วยงานต่าง ๆ เป็นค่าเช่าเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวเอง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3083 | โครงการปลูกยางพาราในที่แห่งใหม่ ระยะที่ 3 พ.ศ. 2553 - 2555 ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง มาตรา 21 ทวิ | กษ | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการโครงการปลูกยางพาราในที่แห่งใหม่ ระยะที่ 3 พ.ศ. 2553-2555 ตามพระราช บัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง มาตรา 21 ทวิ โดยการส่งเสริมการปลูกยางพันธุ์ดีในเขตพื้นที่ที่เหมาะสม จำนวน 800,000 ไร่ แบ่งเป็น ภาคเหนือ จำนวน 150,000 ไร่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 500,000 ไร่ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ จำนวน 150,000 ไร่ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการ ผลิตยางพาราของไทย โดยเน้นส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ยางที่ได้มาตรฐานสากลร่วมกันระหว่าง สถาบันวิจัยยาง สถาบันเกษตรกร และภาคเอกชนผู้ประกอบการแปรรูปยางเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรให้สูงขึ้นและ เชื่อมโยงกับการตลาดในการรองรับผลผลิตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ตลอดจนลดต้นทุนการผลิตโดยสนับสนุน การใช้ปุ๋ยชีวภาพ และการฝึกอบรมแรงงานกรีดยางเพื่อให้มีทักษะในการกรีดยางได้อย่างมีคุณภาพ ไปพิจารณาด้วย 2. ในส่วนของงบประมาณดำเนินการเฉพาะค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 สำหรับการถ่ายทอด เทคโนโลยี (การฝึกอบรม) และการบริหารโครงการในวงเงินรวมไม่เกิน 33.815 ล้านบาท (20+13.815) ให้ใช้ จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือ จำเป็น โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อ ไป ส่วนค่าปัจจัยการผลิตในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 เป็นต้น ไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาใช้จ่ายจากเงินรายได้ที่เก็บจากผู้ส่งยางออกนอกราชอาณาจักร (Cess) แต่ถ้าไม่สามารถนำเงินรายได้ดังกล่าวมาดำเนินการได้ เนื่องจากจะขัดกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง ก็ให้เสนอ คณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง 3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรี ไปดำเนินการ ด้วยว่าพื้นที่การส่งเสริมการปลูกยางพาราตามโครงการฯ ควรเป็นที่ที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามกฎหมาย และต้องไม่เป็นพื้นที่ป่าสงวนหรือพื้นที่อนุรักษ์ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3084 | สรุปข้อมูลเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ประสบปัญหาภัยแล้ง | วท | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รายงานสรุปข้อมูลเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ประสบปัญหาภัยแล้ง สรุป ได้ดังนี้ 1. การปรับปรุงพันธุ์ข้าวทนแล้ง คณะนักวิจัยได้ทำการพัฒนาข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ กข6 ให้ทนแล้ง โดยยังคงคุณภาพเหมือน กข6 และพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 เดิม โดยใช้วิธีปรับปรุงพันธุ์แบบมาตรฐาน (Conventional breeding) โดยคณะนักวิจัยได้ทำการสืบหาตำแหน่งของยีน และพัฒนาเป็นดีเอ็นเอเครื่องหมาย เพื่อ นำมาใช้ในการคัดเลือกพันธ์ข้าวทนแล้ง ปัจจุบันสามารถพัฒนาสายพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ทนแล้ง ที่ยังคงคุณภาพ การหุงต้มใกล้เคียงกับพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 เดิม รวมทั้งได้พัฒนาสายพันธุ์ กข6 ทนแล้ง ที่ยังคงคุณภาพการหุงต้ม ใกล้เคียงกับพันธุ์ กข6 เดิม 2. การปรับปรุงพันธุ์ข้าวต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล คณะนักวิจัยได้รวบรวมและศึกษาถึงความหลาก หลายในทางพันธุกรรมของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการสืบหาพันธุกรรมข้าวที่ต้านทานเพลี้ย กระโดดสีน้ำตาล และใช้เทคโนโลยีดีเอ็นเอในการสืบหาตำแหน่งของยีน และพัฒนาเป็นดีเอ็นเอเครื่องหมาย เพื่อ นำมาใช้ในการคัดเลือกพันธุ์ข้าวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ กข6 ให้ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โดยยังคงคุณภาพ เหมือนพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ กข6 เดิมร่วมกับวิธีปรับปรุงพันธุ์แบบมาตรฐาน (Conventional breeding) ปัจจุบันได้สายพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ที่ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ส่วนการปรับปรุงพันธุ์ข้าวสายพันธุ์ กข6 ให้ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล อยู่ในกระบวนการคัดเลือกและทดสอบความต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล 3. ทั้งนี้ ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวทานแล้ง และพันธุ์ข้าวต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลดังกล่าว เป็นการ พัฒนาพันธุ์โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพร่วมกับการปรับปรุงพันธุ์แบบมาตรฐาน (Conventional breeding) พันธุ์ข้าว ดังกล่าวที่ได้ไม่ใช่ข้าวดัดแปลงพันธุกรรมหรือ GMO
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3085 | การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมย่านราชประสงค์ กรณีค่าเช่า | นร | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการและ
ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมเสนอ ดังนี้ 1. การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 และวันที่ 8 มิถุนายน 2553 ให้กระทรวง แรงงานจัดสรรค่าใช้จ่ายเรื่องค่าเช่าและค่าบริการให้แก่ผู้ให้เช่าโดยตรง แทนการจัดสรรผ่านสมาคมผู้ประกอบวิสาห กิจในย่านราชประสงค์ 2. มอบหมายสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นหน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป วง เงิน 311 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมเป็นค่าใช้จ่าย เรื่องค่าเช่าและค่าบริการแก่ร้านค้าย่อย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2553 และให้สำนักงบประมาณ จัดสรรงบประมาณจำนวนดังกล่าวให้สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานโดยตรงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3086 | การปรับปรุงข้อมูลลูกจ้างตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2553 เรื่อง มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม กรณีค่าจ้าง | นร | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่
ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมเสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบการปรับปรุงข้อมูลลูกจ้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2553 เรื่อง มาตรการช่วย เหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม กรณีค่าจ้าง ดังนี้ 1.1 ลูกจ้างในระบบ จากเดิมจำนวน 2,242 คน จำนวนเงิน 24,502,935 บาท เป็นลูกจ้างในระบบ 2,458 คน จำนวนเงิน 26,046,204.38 บาท 1.2 ลูกจ้างนอกระบบ จากเดิมจำนวน 1,325 คน จำนวนเงิน 9,937,500 บาท เป็นลูกจ้างนอกระบบ จำนวน 1,090 คน จำนวนเงิน 8,175,000 บาท 2. อนุมัติเป็นหลักการในโอกาสต่อไปหากมีข้อมูลลูกจ้างที่จำเป็นต้องปรับปรุงภายในวงเงินที่คณะรัฐมนตรี อนุมัติไว้แล้ว เมื่อเสนอนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ให้แจ้งส่วนราชการโดยเฉพาะกระทรวงแรงงาน สำนักงาน ประกันสังคม ดำเนินการต่อไปได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3087 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ ครั้งที่ 1/2553 | นร | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผลการประชุม คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2553 เมื่อ วันที่ 21 มิถุนายน 2553 2. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอเพิ่มเติมขอแก้ ไขมติคณะกรรมการ กบส. ในหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร 1115/2330 ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2553 หน้า 8 ข้อ 2.3.3.2 จากเดิมว่า "มอบหมายเลขาธิการนายก รัฐมนตรีพิจารณาการปรับแผนงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการพัฒนาระบบ National Single Window ในปีงบประมาณ 2554 และพิจารณาแนวทางการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยว ข้อง เพื่อให้สามารถทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ National Single Window ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้กรมศุลกากรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดส่งข้อมูลการปรับแผนงบประมาณ พร้อมทั้งกฎหมายและ ระเบียบที่จำเป็นต้องแก้ไข เพื่อนำเสนอเลขาธิการนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป" เป็น "มอบหมายให้เลขาธิการ นายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษาของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนระบบ National Single Window ของประเทศ เพื่อ พิจารณาการปรับแผนงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการพัฒนาระบบ National Single Window ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยให้กรมศุลกากรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดส่งข้อมูลการปรับ แผนงบประมาณ พร้อมทั้งกฎหมายและระเบียบที่จำเป็นต้องแก้ไขเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป"
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3088 | รายงานผลการประชุมผู้เชี่ยวชาญด้านมรดกโลก (Expert Working Group Meeting) | ทส | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการประชุมผู้
เชี่ยวชาญด้านมรดกโลก (Expert Working Group Meeting) ระหว่างวันที่ 26-29 เมษายน 2553 ณ กรุงเทพมหา นคร โดยที่ประชุมได้ให้ข้อคิดเห็นต่อการปรับปรุงกระบวนการ "upstream processes" ดังนี้ 1. จุดมุ่งหมายของการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก (Strong focus upon World Heritage) ควรให้ ประเทศภาคีสมาชิกได้เข้าถึงกลไกทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติในการตระหนักและปก ป้องแหล่งมรดกและทางเลือกเบื้องต้นในการให้ประเทศภาคีสมาชิกเข้าร่วมโดยความสมัครใจเพื่อเข้ารับคำปรึกษา ในกระบวนการขึ้นทะเบียนมรดกโลก 2. ควรอธิบายขั้นตอนที่จำเป็นต่อการส่งบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Role of Tentative Lists) และรวบรวม เอกสารที่จะใช้ในการอธิบายไว้ในกระบวนการฝึกอบรมพัฒนาชุดเครื่องมือในการทำบัญชีรายชื่อเบื้องต้นและร่าง เอกสารการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเพื่อรับการประเมินและผลตอบรับจากศูนย์มรดกโลกและองค์กรที่ปรึกษา 3. ควรทำการแนะแนวแก่ประเทศภาคีสมาชิกในเรื่องการวิเคราะห์เปรียบเทียบและการศึกษาความเชื่อม โยง (Comparative analysis and thematic studies) ที่ชัดเจน และให้องค์กรที่ปรึกษามาช่วยเหลือประเทศภาคี สมาชิกในการพัฒนาการวิคราะห์เปรียบเทียบระหว่างกระบวนการเตรียมเอกสารการขึ้นทะเบียนมรดกโลก 4. ความชัดเจนและความซับซ้อน (Clarity and complexity) ควรพัฒนาวิธีการและคำอธิบายที่เข้าใจง่าย และคงความต่อเนื่องในการสร้างความเข้าใจแก่ประเทศภาคีสมาชิก โดยให้มีส่วนร่วมในการประชุมคณะกรรมการ มรดกโลก 5. ควรให้ความสำคัญต่อกระบวนการเสริมสร้างขีดความสามารถ (Capacity building) และควรพัฒนา กระบวนการให้ง่ายขึ้นเพื่ออนุสัญญาฯ สามารถเป็นที่เข้าใจแก่ประเทศภาคีสมาชิกได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีสื่อเพื่อการ อธิบายกระบวนการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลก 6. การจัดการในอนาคต (Managing expectation) ควรมีเครื่องมือใช้สำหรับสื่อสาร และกระตุ้นเตือน อย่างต่อเนื่องและชัดเจนต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทุกระดับบรรจุไว้ในแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น ในเว็บไซต์ของศูนย์มรดกโลก ในเอสารต่าง ๆ หรือโดยผู้เชี่ยวชาญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3089 | การพิจารณาทบทวนโครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า น้ำหนักกดเพลาสูงสุด 15 ตัน/เพลา จำนวน 7 คัน และการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า น้ำหนักกดเพลาสูงสุด 20 ตัน/เพลา จำนวน 13 คัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าน้ำหนักกดเพลาสูงสุด 15 ตัน/เพลา จำนวน 7 คัน วงเงิน 757.680 ล้านบาท พร้อมอะไหล่วงเงิน 75.768 ล้านบาท วงเงินรวม 833.448 ล้านบาท โดย เปลี่ยนวิธีการจัดหาจากวิธีแลกเปลี่ยนสินค้าที่มีมูลค่าเท่ากัน (Barter Trade) ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณ รัฐประชาชนจีน เป็นการจัดหาด้วยวิธีปกติ โดย รฟท. จะเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายจากเงินกู้ และให้กระทรวงการคลัง เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ 1.2 อนุมัติให้ รฟท. จัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าน้ำหนักกดเพลาสูงสุด 20 ตัน/เพลา จำนวน 13 คัน ใน ราคาคันละ 165 ล้านบาท วงเงินรวม 2,145 ล้านบาท โดย รฟท. รับภาระค่าใช้จ่ายจากเงินกู้ และให้กระทรวงการ คลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ 2. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดมาตรการในการเร่งรัดการบริหารโครงการให้มีประสิทธิ ภาพยิ่งขึ้น และให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้เป็นไปตามแผนงานที่ได้ กำหนดไว้ รวมทั้งเร่งพิจารณาหาแนวทางการเพิ่มบทบาทให้ภาคเอกชนเข้าร่วมลงทุนในส่วนการขนส่งสินค้าเพื่อลด ภาระการลงทุนในส่วนที่ รฟท. ต้องเป็นผู้รับภาระเองและเพื่อเร่งรัดการพัฒนาการให้บริการด้านการขนส่งทางราง ให้สามารถรองรับความต้องการขนส่งสินค้าที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการเสนอขออนุมัติเพื่อ ดำเนินโครงการปรับปรุงทางระยะที่ 5 และ 6 จากแก่งคอยถึงหนองคาย ระยะทางประมาณ 586 กิโลเมตร รวมทั้ง การก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางคู่ส่วนต่อจากฉะเชิงเทราถึงแหลมฉบัง ระยะทาง 78 กิโลเมตร ซึ่งจะเพิ่มขีดความ สามารถของทางให้รองรับน้ำหนักได้มากกว่า 15-18 ตันต่อเพลา นั้น ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. เร่งรัดการขอ อนุมัติและดำเนินโครงการให้สามารถดำเนินการได้ตามแผนที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3090 | ขออนุมัติดำเนินโครงการปรับปรุงทางระยะที่ 5 และ 6 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการปรับปรุงทางระยะที่ 5 ในเส้นทางรถไฟ สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงสถานีชุมทางแก่งคอย-แก่งเสือเต้น ช่วงสถานีสุรนารายณ์-ชุมทางบัวใหญ่ และช่วง สถานีชุมทางถนนจิระ-ชุมทางบัวใหญ่ รวมระยะทางประมาณ 308 กม. ภายในกรอบวงเงิน 8,508 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี 1.2 ให้ รฟท. ดำเนินโครงการปรับปรุงทางระยะที่ 6 ในเส้นทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือช่วง สถานีชุมทางบัวใหญ่-หนองคาย รวมระยะทางประมาณ 278 กม. ภายในกรอบวงเงิน 6,779 ล้านบาท ระยะ เวลาดำเนินการ 4 ปี 2. ส่วนงบประมาณที่จะใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จากเงินกู้ โดยให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ พิจารณาจัดหาแหล่งเงินกู้ เงื่อนไขการกู้ และค้ำประกันเงินกู้ และให้ รฟท. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำ ปีเพื่อชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ย รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการกู้เงินตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความ เห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม (รฟท.) เร่งจัดทำรายละเอียดของแผนปรับโครงสร้างองค์ กรและการบริหารกิจการรถไฟให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3091 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2553 ครั้งที่ 4 | กค | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการ บริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ครั้งที่ 4 ที่ มีวงเงินลดลง 101,689.53 ล้านบาท จากวงเงินเดิม 1,748,662.70 ล้านบาท เหลือ 1,646,973.17 ล้านบาท 1.2 อนุมัติการกู้เงิน การค้ำประกัน และการให้กู้ต่อของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจภายใต้แผนการบริหาร หนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ปรับปรุงครั้งที่ 4 1.3 อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่างๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐ วิสาหกิจนั้น 2. รับทราบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติม เกี่ยวกับการกู้เงินระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพ คล่องในรูป Credit Line กรณีบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ปรับลดวงเงินกู้จากเดิม 2,000 ล้าน บาท เหลือ 1,200 ล้านบาท เพื่อเตรียมไว้เสริมสภาพคล่องหากเกิดกรณีที่หน่วยงานราชการจ่ายชำระค่าก่อสร้าง ในส่วนที่มีการขยายกรอบวงเงินลงทุนโครงการศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ ให้กับ ธพส. ได้ไม่ทัน ตามกำหนด เนื่องจาก ธพส. มีฐานะเป็นบริษัทจำกัดกระทรวงการคลังถือหุ้นร้อยละร้อย และมีหน้าที่ในการบริหาร จัดการโครงการศูนย์ราชการฯ โดยมีรายได้จากการจัดเก็บค่าเช่าจากหน่วยราชการต่าง ๆ ที่เข้าใช้พื้นที่ของโครง การศูนย์ราชการฯ ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นค่าเช่าให้กับหน่วยราชการต่าง ๆ แล้ว แต่การก่อสร้างเพิ่มเติมตามความต้องการของหน่วยราชการต่าง ๆ ที่ ธพส. ได้ดำเนินการไปนั้น เป็นกรณีที่ไม่ สอดคล้อง หรือนอกเหนือไปจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติไว้แล้ว สำนักงบประมาณจึงไม่สามารถตั้งงบประมาณรองรับ การกู้เงินในกรณีดังกล่าวข้างต้นของ ธพส. ได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3092 | ขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 3 | คค | 15/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่ง ข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 3 (GMS Cross-Border Transport Agreement : CBTA) โดยร่าง แถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญประกอบด้วยผลสำเร็จของการดำเนินการตามความตกลง CBTA นับตั้งแต่การประชุม คณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2550 การกำหนดแผนปฏิบัติการเพื่อเร่งดำเนินการตามความตกลง CBTA ใน ด้านกฎระเบียบ ขั้นตอน และระบบโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ การอำนวยความสะดวกด้าน ระบบศุลกากรผ่านแดนและการอนุญาตนำเข้าชั่วคราว การส่งเสริมการดำเนินการตามความตกลง CBTA ระหว่าง ไทย-ลาว-จีน เพื่อเพิ่มความเชื่อมโยงระหว่างกันให้มากขึ้น และการปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันและสร้าง ความเป็นประชาคมเดียวกันของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าว ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยประสานงานกับกรม สนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ 2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมร่วมรับรอง ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3093 | การปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการในกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร | ทก | 15/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการจัดตั้งสำนักป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทค
โนโลยีสารสนเทศ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยให้ถือ เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 (เรื่อง นโยบายการพัฒนาระบบราชการ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553 (เรื่อง การขยาย ระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภา พันธ์ 2552) ทั้งนี้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเรื่องนี้ ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3094 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 16 | พณ | 08/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วง
การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 16 ระหว่างวันที่ 6-9 เมษายน 2553 ณ กรุงฮานอย และมอบหมายหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยในส่วนของการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้มี การพิจารณาประเด็นการมีผลบังคับใช้ของความตกลงด้านเศรษฐกิจของอาเซียน ได้แก่ 1. ASEAN Trade In Goods Agreement (ATIGA) ไทยและฟิลิปปินส์ได้จัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) เรื่อง ข้าว และรัฐมนตรีเศรษฐกิจทั้งสองประเทศได้ลงนามใน MOU ดังกล่าว เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2553 ทำให้ไทยสามารถ ดำเนินการภายในประเทศเพื่อให้สัตยาบัน ATIGA ได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2553 2. Vietnam''s Petroleum Products เวียดนามอยู่ระหว่างปรับปรุงตารางการลดภาษีสินค้าปิโตรเลียมที่เดิม อยู่ในรายการยกเว้นทั่วไป (General Exclusion List : GE) โดยเวียดนามต้องดำเนินการเช่นเดียวกับประเทศสมาชิก อื่นที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เช่น กัมพูชา ซึ่งจะต้องเริ่มลดภาษีในปี พ.ศ. 2554 รวมถึงการทบทวนตารางการลด ภาษีดังกล่าวในช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วย โดยเวียดนามจะเสนอตารางการลดภาษีดังกล่าวให้ที่ประชุม AEM ครั้งที่ 42 ในเดือนสิงหาคม 2553 ให้การรับรองต่อไป 3. ASEAN Comprehensive Investment Agreement (ACIA) อินโดนีเซียยืนยันที่จะปฏิบัติตามข้อผูกพันใน การปรับปรุงรายการข้อสงวนด้านการลงทุน โดยจะเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนพฤษภาคมศกนี้ 4. AEM Road Show อาเซียน 8 ประเทศตกลงจะเข้าร่วม Road Show ณ เมือง Seattle และ Washington DC โดยมีรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน 5 ประเทศ (มาเลเซีย บรูไน ลาว อินโดนีเซีย ไทย) รัฐมนตรีช่วยว่าการของเวียด นามและฟิลิปปินส์ ส่วนสิงคโปร์จะส่งเอกอัครราชทูตที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ร่วมเดินทางไปจัด AEM Road Show โดยมี ภาคเอกชนที่จะร่วมคณะ ได้แก่ อุตสาหกรรมสิ่งทอ โลจิสติกส์ ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหาร และให้มีการ หารือ TIFA Council อย่างไม่เป็นทางการ ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี โดยให้มีการหารือระหว่างอาเซียนก่อนพบกับฝ่าย สหรัฐฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3095 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 6/2553 | นร | 08/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขา
นุการคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจเสนอ ดังนี้ 1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ครั้งที่ 6/2553 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2553 2. เห็นชอบการถ่ายโอนภารกิจกำกับดูแลขับเคลื่อนความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ของ ฝ่ายไทยจากกระทรวงการต่างประเทศไปยังกระทรวงพาณิชย์ และนำเรื่องการเปลี่ยนจุดติดต่อจากกระทรวงการต่าง ประเทศเป็นกระทรวงพาณิชย์รวมไว้กับประเด็นอื่นๆ ที่จะนำเข้าสู่การเจรจากับญี่ปุ่นในรอบต่อไป และในช่วงระหว่าง รอการเจรจา ให้กระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่จุดติดต่อในการประสานงานการจัดประชุมระดับประเทศไปก่อน และให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักในขั้นตอนปฏิบัติงานภายในประเทศ โดยจัดประชุมหารือหน่วย งานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนไทย เพื่อกำหนดกลยุทธ์และท่าทีของฝ่ายไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการ ร่วมว่าด้วยหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3 ต่อไป 3. เห็นชอบมาตรการฟื้นฟูด้านการท่องเที่ยวและการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้ รับผลกระทบจากวิกฤตปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ ได้แก่ มาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาปัญหาสภาพคล่อง มาตรการลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว และมาตรการส่งเสริมการตลาดด้านท่องเที่ยว ตามผล การพิจารณาของคณะกรรมการ รศก. 4. เห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขมาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ย่านราช ประสงค์และพื้นที่ใกล้เคียง ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กำหนดวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมสำหรับการกู้ยืมแบบมีหลักประกันรายละไม่เกิน 3 ล้านบาท รวมเป็นผู้กู้ราย หนึ่งสามารถกู้ได้ทั้งแบบมีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน (Clean Loan) โดยวงเงินสินเชื่อต่อรายรวมทั้งสิ้นต้อง ไม่เกิน 4 ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3096 | ขอความเห็นชอบแผนพัฒนาสุกรทั้งระบบและแผนปฏิบัติงาน พ.ศ. 2553 - 2557 | กษ | 02/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการแผนการพัฒนาสุกรทั้งระบบและแผนปฏิบัติงาน พ.ศ. 2553-2557 เพื่อเป็น กรอบในการดำเนินงานพัฒนาสุกรทั้งระบบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสาระสำคัญของแผนฯ เป็นการพัฒนา และควบคุมคุณภาพการผลิตสุกรตั้งแต่การจัดการฟาร์มที่ถูกสุขลักษณะ การเลี้ยงสุกรให้ปลอดจากโรค ตรวจสอบ คุณภาพอาหารสัตว์ปัจจัยการผลิต และการปรับปรุงพัฒนาโรงฆ่าสัตว์ การฆ่าชำแหละ รวมถึงการขนส่งซากสุกร ที่ถูกสุขอนามัย โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวง เกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ปรับแก้ไขถ้อยคำในหนังสือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ กษ 0614/2560 ลง วันที่ 9 เมษายน 2553 หน้า 5 ข้อ 2.4 บรรทัดที่ 3 จากเดิม "...ซึ่งมีทั้งหมด 4 แผนงาน 16 โครงการ" เป็น "...ซึ่งมีทั้งหมด 4 แผนงาน 18 โครงการ" ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติม 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ กิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการกำหนดให้มีมาตรการช่วยเหลือผู้เลี้ยงสุกรที่ขึ้นทะเบียน เช่น การตั้งศูนย์ช่วยเหลือเกษตรกรในระดับจังหวัด การกำหนดแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาที่ครอบคลุมการ สร้างมูลค่าและคุณค่าเพิ่มให้กับสินค้าโดยเฉพาะการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสุกรประเภทต่าง ๆ การประสานความ ร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ และผู้เลี้ยงสุกรในพื้นที่เพื่อร่วมมือกันขับเคลื่อนแผนฯ ให้ บรรลุตามเป้าหมาย รวมทั้งควรมีมาตรการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษีหรือจัด หาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3097 | ขอจัดตั้งสำนักพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ในสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ และขอจัดตั้งสำนักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมในสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม | วธ | 25/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอว่าการปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการ ในระดับกรม/เทียบเท่าในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม โดยขอจัดตั้งสำนักพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ในสำนักงาน คณะกรรมการวัฒนธรรม และการจัดตั้งสำนักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ในสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม โดยการ ปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการดังกล่าว ไม่ได้เพิ่มอัตรากำลัง และภาระงบประมาณแต่อย่างใด สำหรับความ เห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ซึ่งเห็นว่าการดำเนินการจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงาน เห็นควรให้คณะรัฐมนตรี มีมติให้สำนักงาน ก.พ.ร. นำเสนอ ก.พ.ร. พิจารณาต่อไป นั้น กระทรวงวัฒนธรรมขอรับความเห็นดังกล่าวไปดำเนิน การต่อไป 2. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ 2.1 จัดตั้งสำนักพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ในสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ 2.2 จัดตั้งสำนักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ในสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม 3. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับอัตรากำลังข้าราชการที่จะปฏิบัติงานในสำนักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมให้ดำเนินการโดยเกลี่ยอัตรากำลังภาย ในกระทรวง ส่วนอัตรากำลังข้าราชการที่จะปฏิบัติงานในสำนักพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยปัจจุบันมีอัตรา กำลังข้าราชการตามที่สำนักงาน ก.พ. กำหนด ประกอบกับสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณดำเนินการให้แล้ว จึงมีความพร้อมในการดำเนินงาน รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรบริหารจัดการอัตรากำลังภายในกรอบอัตรากำลังที่มีอยู่เพื่อมิให้เป็นการเพิ่มภาระงบประมาณ โดยในส่วน ของการจัดตั้งสำนักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ควรคำนึงถึงขอบเขตและขนาดของภารกิจในความรับผิดชอบให้เพียงพอ และเหมาะสมที่จะยกฐานะเป็นสำนัก รวมทั้งจำนวนอัตรากำลังที่จะต้องปฏิบัติงานในภารกิจซึ่งอาจมีข้อจำกัดในเรื่อง อัตรากำลังที่จะต้องกำหนดเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 4. ส่วนการจัดทำร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของกระทรวงวัฒนธรรมในเรื่องนี้ ให้ดำเนินการตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 โดยส่งร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในกรม ให้สำนักงาน ก.พ.ร. นำเสนอ ก.พ.ร. พิจารณา แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3098 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อปรับปรุงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม | นร | 25/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง ราย
การเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป วงเงิน 88,331,040 บาท เพื่อเป็นค่าใช้ จ่ายในการปรับปรุงพื้นที่จอดรถบริเวณลานจอดรถและถนนซอยต่าง ๆ ในสยามสแควร์หลายแห่งให้เป็นร้านค้ากึ่ง ถาวรในพื้นที่ใกล้เคียงที่อยู่เดิม เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการบริเวณศูนย์การค้าสยามสแควร์ซึ่งเป็นพื้นที่เขตพาณิชย์ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ได้รับความเสียหายจากการชุมนุมอันเนื่องมาจากอัคคีภัย ให้มีพื้นที่ประกอบการทด แทน ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขอตกลงในรายละเอียดกับสำนัก งบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรให้พิจารณางดการเก็บค่าเช่าจาก ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการชุมชนเป็นระยะเวลา 1 ปี ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3099 | การปรับปรุงแก้ไขหลักการของมาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ย่านราชประสงค์ และพื้นที่ใกล้เคียง ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง | กค | 25/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีดังนี้
1. เห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขหลักการมาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสร้างสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ย่านราชประสงค์และพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ ดังนี้ 1.1 ขยายกลุ่มเป้าหมาย จากที่จำกัดเฉพาะย่านราชประสงค์และพื้นที่ใกล้เคียง เป็นยึดตามกรอบพื้นที่ที่ คณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมกำหนดไว้ สำหรับพื้นที่อื่นที่ได้รับ ผลกระทบ แต่ไม่ได้อยู่ในความครอบคลุมของคณะกรรมการฯ ให้พิจารณาจากเขตพื้นที่ที่กรุงเทพมหานครประกาศ เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติและต้องได้รับความเสียหายทางทรัพย์สินและมีเอกสารการแจ้งความ 1.2 ขยายระยจะเวลาการกู้ยืมสูงสุดจากไม่เกิน 5 ปี เป็นไม่เกิน 6 ปี และระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้น (Grace Period) จาก 1 ปี เป็น 2 ปี 1.3 ลดอัตราดอกเบี้ย จากเดิมที่กำหนดที่ MLR ลบ 3 ต่อปี เป็นธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เรียกเก็บจากผู้กู้ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี ตลอดระยะเวลาการกู้ยืม โดยให้ กระทรวงอุตสาหกรรมชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ ธพว. ผ่านสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี ตลอดอายุโครงการ 1.4 ให้ ธพว. สามารถให้กู้แบบไม่มีหลักประกัน (Clean loan) โดยมีวงเงินกู้ต่อรายสูงสุดไม่เกิน 1 ล้าน บาท และคิดอัตราดอกเบี้ยจากลูกค้าร้อยละ 3 ต่อปี โดย สสว. ชดเชยให้ ธพว. ร้อยละ 2 เช่นกัน 2. ให้ ธพว. ยึดหลักเกณฑ์ ดังนี้ 2.1 เป็นการให้กู้ที่ไม่ต้องใช้หลักประกันและการตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง 2.2 ให้ ธพว. ปล่อยสินเชื่อโดยเร็ว ให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับเอกสารครบถ้วน 2.3 การคิดอัตราดอกเบี้ย 2.3.1 กรณีเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบฯ และกิจการถูกไฟไหม้ วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 1,000,000 บาท โดยวงเงิน 300,000 บาทแรก - ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 โดยปลอดชำระคืนเงินต้น - ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 โดยปลอดชำระคืนเงินต้น - ปีที่ 3 - ปีที่ 6 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 + ชำระคืนเงินต้น สำหรับวงเงินส่วนที่เกินจาก 300,000 บาท ให้คิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดียวกับกรณีตามข้อ 2.3 2.3.2 กรณีเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบฯ แต่กิจการไม่ถูกไฟไหม้ วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 1,000,000 บาท - ปีที่ 1 - ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 โดยปลอดชำระคืนเงินต้น - ปีที่ 3 - ปีที่ 6 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 + ชำระคืนเงินต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3100 | การปรับปรุงสวัสดิการการรักษาพยาบาล กรณีขอปรับเพิ่มค่าห้องและค่าอาหารของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด | ทก | 18/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ปรับปรุงสวัสดิการการรักษาพยาบาล กรณีขอปรับเพิ่มค่าห้อง และค่าอาหารในการเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของทางราชการและสถานพยาบาลของเอกชนประเภทคนไข้ ใน โดยปรับปรุงค่าห้องและค่าอาหารให้พนักงาน/ลูกจ้างประจำ จากเดิมเบิกได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินวันละ 800 บาท เป็นเบิกได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินวันละ 1,200 บาท และปรับปรุงค่าห้องและค่าอาหารให้ลูกจ้างของบริษัทฯ จากเดิมเบิกได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินวันละ 600 บาท เป็นเบิกได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินวันละ 800 บาท โดยให้มี ผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ 11/2552 วันที่ 29 ธันวาคม 2552 ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ 2. ให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรพิจารณาแนวทางการเพิ่ม รายได้เพื่อให้ครอบคลุมรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
.....
