ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 152 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 3021 - 3040 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 3021 | การปรับปรุงกรอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวสารตามโครงการแทรกแซงของรัฐบาล (ครั้งที่ 12/2553) | พณ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงกรอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวสารตามโครงการแทรกแซงของรัฐบาล กรณีการเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๓ โดยกำหนดหลักการเพิ่มเติมในส่วนของเกณฑ์ราคาสำหรับกรณีเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐตามกรอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวสารตามโครงการแทรกแซงของรัฐบาล ให้สามารถเจรจาขายข้าวได้ทั้งในเทอม FOB (Free on Board) และ CFR (Cost & Freight) เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการเจรจาให้บรรลุผลสำเร็จ สำหรับการขายข้าวในราคาแบบ CFR ให้ขายให้กับรัฐบาลต่างประเทศในกรณีที่เป็นความประสงค์ของผู้ซื้อ ทั้งนี้ การขออนุมัติขายให้แยกเป็นราคา FOB และค่าระวางเรือ (Freight) ให้เห็นชัดเจนเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจะส่งผลให้ราคาเทอม CFR สูงขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องประสานงานกันอย่างบูรณาการเพื่อให้ราคา CFR ของไทยสามารถแข่งขันด้านราคาได้ โดยเพิ่มปัจจัยด้านความแน่นอนในการได้รับสินค้าคุณภาพดี (guaranteed supply and quality) และในการบริหารจัดการของฝ่ายไทยควรดำเนินการอย่างรอบคอบและทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสถานการณ์การค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งการคัดเลือกผู้ประกอบการเข้ามาดำเนินการระวางและขนส่งสินค้าจะต้องรัดกุม ถี่ถ้วน และโปร่งใสเพื่อป้องกันช่องทางการทุจริตต่าง ๆ นอกจากนี้ ควรพิจารณาเลือกบริษัทเดินเรือที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในเส้นทางขนส่งสินค้า และควรเจรจาให้ประเทศผู้ซื้อทำประกันภัยการขนส่งสินค้าด้วย โดยอาจนำแนวทางที่ไทยเคยดำเนินการแบบ CFR แล้วในอดีต (คณะกรรมการจัดหาเรือขนส่งข้าวให้รัฐบาลต่างประเทศ แต่งตั้งเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๒๗) มาพิจารณาปรับปรุงและประกอบการพิจารณาในโอกาสนี้ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า การเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐในราคาเทอม CFR จะต้องไม่กระทบกับราคาข้าวที่พึงขายได้ในราคาเทอม FOB |
||||||||||||||||||||||||
| 3022 | มาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 - 28 กุมภาพันธ์ 2554) | กค | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนออกไป ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ประกอบด้วย มาตรการลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของครัวเรือน มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง และมาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ โดยให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวต่อไปจนถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ตามหลักการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และให้รัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย กู้เงินเพื่อชดเชยรายได้จากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวในช่วงขยายระยะเวลา และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าใช้จ่ายในการกู้เงินให้กับรัฐวิสาหกิจทั้ง ๔ แห่งต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดพิจารณาความจำเป็นของการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยมาตรการในเรื่องใดที่เป็นบริการเชิงสังคมควรปรับเข้าสู่ระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (Public Service Obligation : PSO) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการพิจารณาให้เงินอุดหนุนที่ชัดเจนและเป็นระบบ และอาจพิจารณาความจำเป็นในการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจให้สามารถรองรับการอุดหนุนตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 3023 | การให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง | รง | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๘๗ ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ ๙๘ ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนดำเนินการให้สัตยาบัน ๒. สำหรับขั้นตอนการลงนามและการให้สัตยาบันอนุสัญญาดังกล่าว รวม ๒ ฉบับ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การทำความตกลงกับต่างประเทศ การทำอนุสัญญา และสนธิสัญญาต่าง ๆ) ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบอนุสัญญาฯ แล้ว ดังนี้ ๓.๑ ร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๓.๑.๑ แก้ไขเพิ่มเติมให้การจัดตั้งสำนักงานทะเบียนกลาง สำนักงานคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ และสำนักงานผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานอยู่ในกระทรวงแรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ๓.๑.๒ ยกเลิกหลักเกณฑ์การจำกัดจำนวน การแต่งตั้ง การจดทะเบียนที่ปรึกษาด้านแรงงานสัมพันธ์ และยกเลิกกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืนเป็นที่ปรึกษาด้านแรงงานสัมพันธ์โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งยกเลิกอำนาจของนายทะเบียนในการสั่งให้พ้นจากการเป็นที่ปรึกษาด้านแรงงานสัมพันธ์ ๓.๑.๓ ปรับปรุงคุณสมบัติผู้ก่อการจัดตั้งสหภาพแรงงาน เงื่อนไขการจดทะเบียนจัดตั้งสหภาพแรงงาน คุณสมบัติของการเป็นกรรมการสหภาพแรงงาน และคุณสมบัติของกรรมการสหภาพแรงงาน ๓.๑.๔ แก้ไขปรับปรุงและยกเลิกการลงโทษการกระทำที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ๓.๒ ร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๓.๒.๑ แก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับข้อตกลงสหภาพการจ้างข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันมิได้ การห้ามมิให้นายจ้างปิดงานหรือลูกจ้างนัดหยุดงาน ๓.๒.๒ แก้ไขคุณสมบัติของบุคคลในการจัดตั้งสหภาพแรงงาน การจดทะเบียนสหภาพแรงงาน การรับคำขอจดทะเบียนสหภาพแรงงาน การเลิกสหภาพแรงงาน ๓.๒.๓ แก้ไขให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจกับสหภาพแรงงานเอกชนสามารถรวมตัวเพื่อจัดตั้งสหพันธ์แรงงานได้ |
||||||||||||||||||||||||
| 3024 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. ...." | สสป | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. ....” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้แจ้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ต่อไป โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ๑.๑ บัญญัติรายละเอียดด้านวิสัยทัศน์ของระบบการศึกษาปกติ การศึกษาทางเลือกทั้งหมด และทางออกของชุมชนชนบทที่ขาดโอกาสและแนวทางปฏิบัติ ๑.๒ เพิ่มเป้าหมายให้การศึกษาวิทยาลัยชุมชนเพื่อการศึกษาพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนในท้องถิ่นทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ๑.๓ เพิ่มเติมเจตนารมณ์และหลักการสำคัญ อาทิ การให้ความสำคัญกับการเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญาควบคู่ไปกับการจัดการศึกษาตลอดชีวิต การกำหนดให้สถาบันให้ความสำคัญในประด็นการมีส่วนร่วมของชุมชน การบริการการศึกษาตลอดชีวิต การต่อยอดการพัฒนาของชุมชน และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ การกำหนดแนวทางและวิธีการปฏิบัติในการรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับบทบาทและหน้าที่ของสถาบันเป็นสำคัญ เป็นต้น ๒. ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาลัยชุมชน ๒.๑ เร่งรัดการประกาศใช้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยชุมชนให้สอดคล้องตามปรัชญาและความมุ่งหมายของการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน ๒.๒ ปรับปรุงรูปแบบการดำเนินการวิทยาลัยชุมชนให้มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการและพัฒนาทางวิชาการ ๒.๓ ให้ชุมชน สถาบันการศึกษา และองค์กรภาคเอกชน มีการศึกษาและกำหนดแนวทางการจัดทำมาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนเป็นการเฉพาะ ๒.๔ สนับสนุนในการส่งเสริมการเชื่อมโยงและประสานการส่งเสริมและให้การสนับสนุนในการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน ระหว่างหน่วยงานส่วนกลางและหน่วยงานส่วนท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาของวิทยาลัยชุมชน ๓.๑ ให้ความสำคัญกับโครงสร้าง เนื้อหาและหลักสูตรของวิทยาลัยชุมชนที่ไม่เน้นแนวคิด เพื่อนำไปสู่การศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ๓.๒ ส่งเสริมและกำหนดแนวทางการพัฒนาเนื้อหาและหลักสูตรระยะสั้นและหลักสูตรวิชาชีพให้สามารถเทียบเคียงกับการศึกษาในระบบโดยเฉพาะองค์ความรู้ของชุมชนแต่ละท้องถิ่นให้เป็นเนื้อหาวิชาหลัก ๓.๓ ส่งเสริมให้ชุมชน องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและส่งเสริมการศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีส่วนร่วมสำคัญในการปรับปรุงหลักสูตรและเนื้อหาวิชาการ ๓.๔ พัฒนาและส่งเสริมบุคลากรทางการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา และส่งเสริมค้นหาศักยภาพของชุมชนด้วยการสนับสนุนสวัสดิการค่าตอบแทนเพิ่มเติม ๔. ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและการจัดการศึกษาของชุมชนและท้องถิ่น ๔.๑ ส่งเสริมการค้นหาศักยภาพของชุมชนและท้องถิ่นโดยมีวิทยาลัยชุมชนเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ๔.๒ ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาตามความต้องการของชุมชนและท้องถิ่นโดยเฉพาะการพัฒนาวิชาชีพและการพัฒนาและอนุรักษ์องค์ความรู้ ๔.๓ ส่งเสริมขีดความสามารถของชุมชนและท้องถิ่นให้มีความโดดเด่นและเป็นแหล่งเรียนรู้ของสังคม
|
||||||||||||||||||||||||
| 3025 | เสนอขอมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้งบประมาณเพื่อจ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างผลอาสิน และซื้อที่ดินในพื้นที่โครงการด่านศุลกากรบ้านประกอบส่วนขยาย ระยะที่ 2 | กค | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการเกี่ยวกับการใช้เงินงบประมาณในการจ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสิน และจัดซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ จ่ายเงินชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสิน ให้กับผู้ครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติที่ได้ตกลงโดยมีบันทึกยินยอมรับราคาตามที่คณะทำงานตกลงราคาและจ่ายเงินชดเชยกำหนดโดยไม่มีเงื่อนไข จำนวน ๔๗ แปลง เนื้อที่ ๑๒๔-๓-๓๑ ไร่ เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๐,๓๘๒,๔๔๓ บาท สำหรับพื้นที่ส่วนที่เหลือ (๙ แปลง) ให้จ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสินโดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน ๑.๒ จัดซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ (น.ส.๓ ก) จำนวน ๑๗ แปลง เนื้อที่รวม ๒๔-๑-๒๒ ไร่ ตามราคาที่คณะทำงานตกลงราคาซื้อขายที่ดินด่านพรมแดนบ้านประกอบ ระยะที่ ๒ กำหนดในราคาตารางวาละ ๘๒๕ บาท (ไร่ละ ๓๓๐,๐๐๐ บาท) รวมกับราคาค่าสิ่งปลูกสร้างและราคาค่าต้นไม้ในที่ดินด้วย ๑.๓ ในระหว่างรอขั้นตอนดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมส่งมอบพื้นที่ให้กรมศุลกากร อนุมัติให้กรมศุลกากรร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลาและสำนักงานจังหวัดสงขลาร่วมกันจ่ายเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการไปก่อน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยให้กระทรวงการคลังและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในประเด็นข้อกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยไว้ แต่ในกรณีที่รัฐเห็นสมควรให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องไร้ที่ทำกิน คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับการจ่ายเงินช่วยเหลือได้ ส่วนกรณีที่รัฐประสงค์จะซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ รัฐต้องคำนึงถึงสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ กรณีเจ้าของที่ดินตกลงซื้อขายที่ดินย่อมตกอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ในการดำเนินกิจการของรัฐอันเป็นประโยชน์สาธารณะ แม้เจ้าของที่ดินไม่ยินยอมในการตกลงซื้อขาย รัฐสามารถใช้อำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ของเอกชน แต่รัฐต้องชดใช้ค่าทดแทนที่เป็นธรรมให้แก่ผู้ถูกเวนคืนนั้นด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการปรับปรุงสภาพถนนบริเวณโครงการด่านศุลกากรบ้านประกอบส่วนขยาย ระยะที่ ๒ ตามแผนงานปรับปรุงด่านศุลกากรชายแดนไทย-มาเลเซีย ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อรองรับการขยายตัวด้านการเดินทางและขนส่งสินค้าในสายทางดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาการจ่ายเงินชดเชยหรือเงินช่วยเหลือสิ่งปลูกสร้าง ผลอาสิน และซื้อที่ดินในพื้นที่สำหรับโครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 3026 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | นร | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอขอแก้ไขถ้อยคำตามหนังสือสำนัก นายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร ๐๑๐๖/๑๙๙๔ ลงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ หน้า ๑ จาก “... รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๑ ...” เป็น “... รัฐบาลได้แถลง นโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ ...” ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ จัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินในรูปแบบขององค์การมหาชน เพื่อให้การ ดำเนินตามวัตถุประสงค์ของสถาบันฯ เป็นไปอย่างอิสระ คล่องตัว และมีประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับ ความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการปรับปรุงองค์กรและกฎหมายที่ เกี่ยวข้องไปพร้อมกับการจัดตั้งธนาคารที่ดิน เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ การกำหนดวัตถุประสงค์ในการช่วย เหลือผู้จะสูญเสียสิทธิในที่ดินด้วยเหตุที่ดินจะหลุดจำนองหรือเหตุจากการค้ำประกัน การกำหนดมาตรการสนับ สนุน เพื่อให้ผู้ครอบครองที่ดินรายใหญ่ หรือผู้ที่ไม่ใช้ประโยชน์ในที่ดินเท่าที่ควรจำหน่ายที่ดินออกไป รวมทั้ง ประเด็นความเห็นเกี่ยวกับข้อจำกัดในการสนับสนุนทางการเงินของสถาบันฯ ที่จะจัดสรรให้แก่ส่วนราชการ รัฐ วิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐตามกฎหมายวิธีการงบประมาณและขอบเขตการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ ของสถาบัน ฯ ซึ่งมีความคาบเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่น ๆ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้ว ดำเนินการต่อไปได้ ๓. สำหรับการดำเนินการจัดตั้งสถาบันฯ ให้ดำเนินการตามขั้นตอนการจัดตั้งองค์การมหาชน ตาม หนังสือสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ นร ๑๒๐๐/ว ๑๕ ลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๙ |
||||||||||||||||||||||||
| 3027 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 17 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอผลการประชุมคณะมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
(AEC Council) ครั้งที่ ๕ และการประชุมทวิภาคีกับประเทศสมาชิกอาเซียน ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๗ ระหว่างวันที่ ๒๖ – ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๓ ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม สรุปได้ ดังนี้ ๑. ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๕ ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ ดำเนินการตาม AEC Scorecard ซึ่งเป็นกลไกในการประเมินผลการดำเนินงานของอาเซียนเพื่อให้เป็นไปตาม แผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC Blueprint และได้มีการหารือแลกเปลี่ยนความคิด เห็นเกี่ยวกับการปรับปรุง Scorecard เพื่อให้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการวัดผลการดำเนินงานของ อาเซียน สำหรับการที่อาเซียนมอบหมายให้ ERIA (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia) ทำการศึกษาเพื่อปรับปรุง AEC Scorecard รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยได้แสดงข้อคิดเห็น ว่าอาจมีข้อจำกัดเนื่องจากมีเรื่องต้องศึกษามาก จึงเสนอให้อาเซียนจัดตั้งสถาบันเพิ่มเติมในแต่ละประเทศโดย อาจจัดตั้ง ASEAN University Network เพื่อช่วยศึกษาด้วย ซึ่งที่ประชุมมีมติให้อาเซียนพิจารณาการจัดสรรเงิน ทุนให้ ERIA เพื่อให้สามารถดำเนินงานเพื่อรองรับความต้องการของอาเซียนได้มากขึ้น นอกจากนี้ รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยเสนอ เกี่ยวกับความล่าช้าของการดำเนินการสำหรับการเปิดเสรีการค้าภาค บริการ เนื่องจากเป็นสาขาที่มีความอ่อนไหวสำหรับอาเซียนทุกประเทศ จึงจำเป็นต้องทำให้ทุกภาคส่วนที่ เกี่ยวข้องเข้าใจโดยประชาสัมพันธ์ทั้งในระดับชาติและระดับภูมิภาค เช่น การจัดทำ Workshop เพื่อให้ผู้มีส่วน ได้เสีย (stakeholder) เห็นประโยชน์ของการเปิดเสรีการค้าภาคบริการในอาเซียน สำหรับประเด็นอื่น ๆ ของการประชุม ได้แก่ การให้ประธานการประชุมอธิบดีศุลกากรรายงานต่อที่ประชุม AEC Council เกี่ยวกับ ความคืบหน้าการดำเนินงานด้านศุลกากรอย่างต่อเนื่องทุกปี และรับทราบตาราง Matrix เกี่ยวกับปัญหาที่ เอกชน (เช่นจาก ASEAN Business Advisory Council, US Business Council) ร้องเรียนมา ทั้งนี้ ในช่วงการ ประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ ๑๗ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทย ได้ลงนามในเอกสารด้านเศรษฐกิจ ๓ ฉบับ ได้แก่ พิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๘ ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการค้าบริการ (The 8th ASEAN Framework Agreement on Services Protocol) พิธีสารแก้ไขพิธีสารเรื่องข้าวและน้ำตาล (Protocol to Amend the Protocol to Provide Special Consideration for Rice and Sugar) และพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าภายใต้กรอบความ ตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีน ฉบับที่ ๒ (Protocol to Amend the 2nd Package of Specific Commitments under the Agreement on Trade in Goods of the Framework Agreement on Comprehensive Economic Co-operation between ASEAN and China) ๒. การหารือทวิภาคีกับประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยได้พบหา รือทวิภาคีกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจของประเทศอาเซียน ๔ ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา พม่า ลาว และเวียดนาม ใน ระหว่างการประชุมฯ โดยมีประเด็นข้อหารือเกี่ยวกับการเปิดเสรีการค้าภาคบริการ ผลการดำเนินงานตาม AEC Scorecard และความสัมพันธ์ทวิภาคีกับประเทศสมาชิกอาเซียน
|
||||||||||||||||||||||||
| 3028 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 เรื่อง การทำสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการ เกี่ยวกับการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน) โดยสรุปคือ ให้จำกัดประเภทของข้อพิพาทที่ควรหรือไม่ควรใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท เช่น ข้อพิพาททางปกครอง ขนาดของโครงการ แหล่งเงินของโครงการ เป็นต้น ซึ่งอาจเกิดปัญหาในการตีความในทางปฏิบัติตามมาได้ และเปิดกว้างให้สัญญาระหว่างรัฐและเอกชนสามารถใช้วิธีอนุญาโตตุลาการได้ แต่หากสัญญาทางปกครองหรือสัญญาสัมปทานใดที่รัฐเห็นว่าจะกระทบต่อผลประโยชน์สาธารณะหรือความมั่นคงของประเทศแล้ว อาจพิจารณาสงวนสิทธิ์ในการไม่ใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในสัญญาโดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติเป็นกรณีไป ซึ่งจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ของประเทศและสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยร่วมกับกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรด้านกฎหมายของหน่วยงานต่าง ๆ และการพัฒนาระบบการบริหารจัดการสัญญาที่มีประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ในส่วนของการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ [เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] ที่ให้กระทรวงยุติธรรมรับไปพิจารณาหาแนวทางการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดจากการทำสัญญา การบริหารสัญญาและการตั้งอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทของสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน ๒ เดือน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 3029 | ขอความเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ชาติด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย | ปง | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบยุทธศาสตร์ชาติด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางสำหรับแผนปฏิบัติการปรับปรุงพัฒนาระบบการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายของประเทศไทยในระยะ ๕ ปีข้างหน้า ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย โดยมีแนวทางการวัดประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติอย่างชัดเจน ซึ่งประกอบด้วยวัตถุประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ ๘ ด้าน เพื่อยกระดับการดำเนินการด้าน AML/CFT ของประเทศไทย และให้หน่วยงานและส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ รับผิดชอบดำเนินกิจกรรมตามอำนาจหน้าที่และภารกิจตามกฎหมายของแต่ละหน่วยต่อไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับวัตถุประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ข้อที่ ๔ ที่กำหนดให้ “นายหน้าซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า” เป็นสถาบันการเงินประเภทหนึ่งซึ่งต้องปฏิบัติตามร่างยุทธศาสตร์ชาติฯ นั้น เห็นควรพิจารณาปรับถ้อยคำเป็น “ผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า” เพื่อให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเห็นควรให้สำนักงาน ปปง. เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการเพิ่มขีดความสามารถทางเทคนิคด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแก่หน่วยงานกำกับดูแลอื่น ๆ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีองค์ความรู้และชำนาญการในเรื่องนี้มากที่สุด นอกจากนี้ เห็นควรมีการบูรณาการหน่วยงานภาครัฐ และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ระหว่างกั้น รวมทั้งจัดทำเป็นข้อมูลเผยแพร่ให้แก่ประชาชนได้รับทราบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 3030 | การบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงในยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายร่วมกันและการจัดทำตัวชี้วัดร่วม (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงในยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายร่วมกัน และ การจัดทำตัวชี้วัดร่วม (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันในยุทธศาสตร์สำคัญด้านต่าง ๆ ที่ สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ประเมินผลและศึกษาไว้แล้วในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ รวมทั้งยุทธศาสตร์ที่ดำเนินการตาม มติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีการดำเนินการต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๙ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธ ศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ยุทธศาสตร์ความมั่นคงชายแดนภาคใต้ ยุทธศาสตร์การป้องกันและ บรรเทาอุบัติภัยทางถนน ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม (คุณภาพน้ำ) ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม (คุณภาพอากาศและ หมอกควัน) ยุทธศาสตร์ข้าวไทย ยุทธศาสตร์พลังงานผสม ยุทธศาสตร์เอดส์ และยุทธศาสตร์การปรับปรุงบริการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศ (ตามรายงานผลการวิจัย เรื่อง Doing Business ของ ธนาคารโลก) โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในยุทธศาสตร์ต่าง ๆ นำยุทธศาสตร์ไปดำเนินการให้เกิดผลร่วมกัน มีการกำหนดตัวชี้วัดและประเมินผลสำเร็จร่วมกัน ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบร่วมกันในยุทธศาสตร์สำคัญอื่น ๆ ที่มีผลกระทบสูงที่ สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ อีกจำนวน ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำ ยุทธศาสตร์การ บริหารจัดการการท่องเที่ยวและบริการ ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ยุทธศาสตร์การกระจาย อำนาจ ยุทธศาสตร์การบูรณาการความร่วมมือในการส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในประชาคมอาเซียน และ ยุทธศาสตร์เยาวชนไทย โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดยุทธศาสตร์ กำหนดเป้าหมายความ สำเร็จและตัวชี้วัดร่วมกัน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๓ ให้รัฐมนตรีและปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์สำคัญต่าง ๆ ประชุมร่วม กับคณะกรรมการเจรจาข้อตกลงและประเมินผลเพื่อบูรณาการระหว่างกระทรวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการและส่วนราชการในสังกัดกระทรวงนำร่องที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธาน ก.พ.ร. เพื่อบูรณาการ การทำงานระหว่างกระทรวงในยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายร่วมกัน และกำหนดตัวชี้วัดในระดับกระทรวง ประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนัก งานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) และสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ ในภาพรวมที่เห็นควรให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นเจ้าภาพหลักในการหารือรายละเอียดยุทธศาสตร์ ตัวชี้วัด ร่วม รวมทั้งกำหนดแนวทาง/มาตรการ และเกณฑ์การประเมินผลของตัวชี้วัดร่วม เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง กับยุทธศาสตร์ต่าง ๆ สามารถดำเนินการตามยุทธศาสตร์ได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของแนวทางดังกล่าว และเห็น ควรมีหน่วยงานหรือกลไกหลัก เช่น คณะกรรมการระดับชาติทำหน้าที่กำกับ ดูแล และประเมินผลในภาพรวมของ ตัวชี้วัดร่วม (Joint KPIs) ของแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อให้การบูรณาการการทำงานของส่วนราชการต่าง ๆ สามารถ ดำเนินการไปได้ในทิศทางที่สอดคล้องเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์กับเป้าหมายในภาพรวมอย่างแท้จริง ไป พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 3031 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 เรื่อง การทำสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการ เกี่ยวกับการ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน) โดยสรุป คือ ให้จำกัดประเภทของข้อพิพาทที่ควร หรือไม่ควรใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท เช่น ข้อพิพาท ทางปกครอง ขนาดของโครงการ แหล่งเงินของโครงการ เป็นต้น ซึ่งอาจเกิดปัญหาในการตีความในทางปฏิบัติ ตามมาได้ และเปิดกว้างให้สัญญาระหว่างรัฐและเอกชนสามารถใช้วิธีอนุญาโตตุลาการได้ แต่หากสัญญาทาง ปกครองหรือสัญญาสัมปทานใดที่รัฐเห็นว่าจะกระทบต่อผลประโยชน์สาธารณะหรือความมั่นคงของประเทศแล้ว อาจพิจารณาสงวนสิทธิ์ในการไม่ใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในสัญญา โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติเป็นกรณีไป ซึ่งจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยร่วมกับกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเสริมสร้างขีดความ สามารถของบุคลากรด้านกฎหมายของหน่วยงานต่าง ๆ และการพัฒนาระบบการบริหารจัดการสัญญาที่มี ประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ในส่วนของการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ มอบหมายให้กระทรวง ยุติธรรมเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ [เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติอนุ ญาโตตุลาการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] ที่ให้กระทรวงยุติธรรมรับไปพิจารณาหาแนวทางการปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยอนุญาโตตุลาการและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดจากการทำสัญญา การบริหาร สัญญาและการตั้งอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทของสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน ให้แล้ว เสร็จโดยเร็วภายใน ๒ เดือน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 3032 | ร่างกฎกระทรวงที่ออกตามความพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. 2551 จำนวน 4 ฉบับ | กษ | 30/11/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดรูปแบบรูปถ่ายที่จะติดบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ใช้รูปถ่ายที่ถ่ายไม่เกินหก เดือนก่อนวันที่ยื่นคำขอ ขนาด ๒.๕ x ๓.๐ เซนติเมตร ครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวกและแว่นตาสีเข้ม แต่งเครื่อง แบบขาว หรือเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งตนสังกัด ๑.๒ กำหนดระยะเวลาการใช้บัตรต้องไม่เกินหกปีนับแต่วันออกบัตร ๒. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข และอัตราค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์ ตรวจสอบตัวอย่างดินเป็นการเฉพาะราย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ กำหนดให้ผู้ประสงค์ให้กรมพัฒนาที่ดินวิเคราะห์ตรวจสอบตัวอย่างดินเป็นการเฉพาะราย ให้ ยื่นคำขอ ณ กรมพัฒนาที่ดิน หรือยื่นต่อสำนักงานพัฒนาที่ดินเขต หรือสถานีพัฒนาที่ดินท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ ๒.๒ กำหนดอัตราค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์ตรวจสอบตัวอย่างดิน ๒.๓ ยกเว้นอัตราค่าใช้จ่ายในกรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐประสงค์จะให้กรมพัฒนาที่ดิน วิเคราะห์ตรวจสอบตัวอย่างดินเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ ให้ลดอัตราค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง สำหรับการตรวจสอบ ในโครงการพิเศษตามนโยบายของรัฐบาล หรือโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือจัดซื้อสารเคมีฯ ๓. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข และอัตราค่าใช้จ่ายในการบริการ แผนที่ หรือข้อมูลทางแผนที่เป็นการเฉพาะราย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๓.๑ กำหนดให้ผู้ประสงค์ให้กรมพัฒนาที่ดินบริการแผนที่หรือข้อมูลทางแผนที่ ให้ยื่นคำขอ ณ กรม พัฒนาที่ดิน หรือสำนักงานพัฒนาที่ดิน หรือสถานีพัฒนาที่ดินท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ ๓.๒ แผนที่ หรือข้อมูลทางแผนที่ที่ให้บริการ กรมพัฒนาที่ดินสงวนไว้มิให้ผู้ขอรับบริการทำการเปลี่ยน แปลง ทำซ้ำ จำหน่าย จ่าย แจก หรือเผยแพร่ส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมดของแผนที่ หรือข้อมูลทางแผนที่แก่บุคคล ที่สามโดยเด็ดขาด ๓.๓ ยกเว้นค่าใช้จ่ายในกรณีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ทำข้อตกลงความร่วมมือกับกรมพัฒนา ที่ดินเพื่อแลกเปลี่ยนแผนที่หรือข้อมูลทางแผนที่ ซึ่งได้ปรับปรุงให้ถูกต้องและชัดเจนแล้วใช้ประโยชน์ทางราชการร่วม กันทั้งสองฝ่าย ๔. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข และอัตราค่าใช้จ่ายในการปรับปรุง ดินหรือที่ดิน หรือการอนุรักษ์ดินและน้ำเป็นการเฉพาะราย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๔.๑ กำหนดให้ผู้ประสงค์ให้กรมพัฒนาที่ดินทำการปรับปรุงดินหรือที่ดิน หรือการอนุรักษ์ดินและน้ำ เป็นการเฉพาะราย ให้ยื่นคำขอ ณ กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต หรือสถานีพัฒนาที่ดินท้องที่ซึ่งที่ดิน นั้นตั้งอยู่ ๔.๒ กำหนดอัตราค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงดิน หรือที่ดิน หรือการอนุรักษ์ดินและน้ำเป็นการเฉพาะราย
|
||||||||||||||||||||||||
| 3033 | การจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง | นร | 30/11/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการกำหนด ราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้าง ซึ่งจะใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดราคากลาง โดยสำนักงบประมาณได้ทบทวน รายการตามบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างที่ได้กำหนดไว้และใช้อ้างอิงในปัจจุบัน ฉบับเดือนมีนาคม ๒๕๕๓ เพื่อ ยกเลิก หรือเพิ่มเติม ปรับปรุงแก้ไข รวมทั้งกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างของ สำนักงบประมาณให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะเศรษฐกิจ มีวิธีการคำนวณที่โปร่งใสและเป็นธรรม และ เป็นราคามาตรฐานที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ตลอดจนกำหนดแนวทางในการปรับปรุงราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้าง ให้เชื่อมโยงกับราคาวัสดุของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้สามารถปรับราคาได้โดยอัตโนมัติตามราคาปัจจุบัน ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าวสำนักงบประมาณได้กำหนดแผนการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.๑ จัดทำฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย รายการวัสดุมาตรฐาน รายการวัสดุมวลรวม รายการ งานมาตรฐาน หน่วยนับที่ใช้ในบัญชีแสดงปริมาณงานและราคา (BOQ) รวมทั้งกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของแต่ละ รายการให้ชัดเจน และกำหนดรหัสรายการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ๑.๒ สร้างระบบงานการคำนวณเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสำหรับพัฒนาบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างเป็น โปรแกรมอัตโนมัติ ๑.๓ พัฒนาระบบการเผยแพร่ข้อมูลบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างในเครือข่าย Internet ๒. ให้สำนักงบประมาณประสานงานกับกระทรวงการคลังเพื่อทบทวนระยะเวลาในการจัดทำราคากลาง ตามที่ได้รับมอบหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง วาระแห่งชาติการส่งเสริมคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตและต่อต้านการทุจริตของคนไทย และโครงการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในกระบวนการ จัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ) ให้แล้วเสร็จเร็วกว่าที่กำหนดไว้เดิมในเดือนเมษายน ๒๕๕๔ โดยให้เชิญผู้แทนจาก สภาหอการค้าและภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
| 3034 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 6/2553 | นร | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทาง
เศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยที่ประชุมได้มีมติในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามมติของคณะทำงานร่วม ภาครัฐและเอกชนเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๕๔๘ และส่งเสริมอุตสาห กรรมแปรรูปไม้ยางพารา ในการปรับปรุงแก้ไขข้อกำหนด ระเบียบ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และเห็นชอบ มาตรการระยะยาวที่ให้มีการจัดตั้งคณะทำงานย่อยศึกษาความเหมาะสมในการแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารา ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมของคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพิจารณาแนวทางการยกเลิก อัตราการนำเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาล ที่กำหนดให้กองทุนฯ ชำระหนี้เงินกู้เพื่อเพิ่มราคาอ้อยฤดูกาลผลิตปี ๒๕๔๑/๒๕๔๒-๒๕๕๑/๒๕๕๒ ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้เสร็จสิ้นภาย ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาอัตราการนำเงินเข้ากองทุนฯ ที่เหมาะสมใหม่สำหรับช่วงหลังเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยให้ได้ข้อสรุปผลการศึกษาเสร็จสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ๓. มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) รับไปพิจารณาเพิ่มเติมและปรับปรุงข้อมูลเพื่อสนับสนุนแนวทางการพัฒนา อุตสาหกรรมการขนส่งระบบรางและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ๔. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคงอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลที่ ๘.๕๐ บาท/ลบ.ม. และเร่งรัดการออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการจ่ายเงินสำหรับโครงการที่จะได้รับการช่วยเหลือ และอุดหนุนจากกองทุนพัฒนาน้ำบาดาล พ.ศ. .... โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๖๐ วัน ๕. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการประกาศนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลือง) ปี ๒๕๕๔ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และพิจารณาความเหมาะสมในการปรับ ลดอัตราภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง จากร้อยละ ๒ เหลือร้อยละ ๐ และการกำหนดระยะเวลาการประกาศนโยบาย และมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลือง) ที่มีอายุมากกว่า ๑ ปี แล้วเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาในคราวประชุมวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ๖. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการแต่งตั้งผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการเพิ่มเติมในคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แห่งชาติ และให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาประกอบการจัดตั้งสำนักงานเฉพาะกิจด้าน การเจรจาภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในเรื่องโครงสร้างและรูปแบบ การทำงานของสำนักงานฯ รวมทั้งให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งทำความ เข้าใจกับภาคส่วนต่าง ๆ ในเรื่องการดำเนินนโยบายที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป ๗. มอบหมายให้ประธานผู้แทนการค้าไทยประสานกรมสอบสวนคดีพิเศษในเรื่องของแนวทางการ ปฏิบัติตามประกาศ ฉบับที่ ๖ ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับภาคเอกชน ส่วนการจัดตั้งคณะ ทำงานร่วมระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐเพื่อดำเนินการทบทวนบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย ให้ใช้ช่องทางของคณะ อนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการวัตถุอันตราย ทั้งนี้ ในการดำเนินการให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวง สาธารณสุขและกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรวิเคราะห์ประเด็นปัญหาอย่างรอบคอบ ชัดเจน เพื่อให้สามารถ กำหนดแนวทางแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๘. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) ประชาสัมพันธ์ชี้แจงแผนการดำเนินโครงการให้ ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ผู้ประกอบกิจการและธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วม โครงการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 3035 | ขอปรับปรุงโครงสร้างกรมสอบสวนคดีพิเศษ | ยธ | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงยุติธรรมปรับปรุงโครงสร้างกรมสอบสวนคดีพิเศษ
โดยให้ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง นโยบายการพัฒนาระบบราชการ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงานมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒) โดยให้ปรับปรุงโครงสร้างกรมสอบสวนคดีพิเศษให้เป็นไปตามมติคณะ กรรมการพัฒนาระบบราชการ ครั้งที่ ๗/๒๕๕๓ และครั้งที่ ๘/๒๕๕๓ ซึ่งได้ให้ความเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่ง ส่วนราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. .... ด้วยแล้ว ทั้งนี้ การยุบรวมสำนัก/กอง ตามที่คณะ กรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ให้คงกรอบอัตรากำลังเพิ่มใหม่จำนวน ๓๐๐ อัตรา ตามนัยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง ขออนุมัติการปรับปรุงโครงสร้างกรมสอบสวนคดีพิเศษขออัตราข้าราชการ และพนักงานราชการ) และคงภารกิจเดิม รวมทั้งคงสิทธิประโยชน์ของข้าราชการไม่ให้น้อยไปกว่าเดิมด้วยโดยให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จโดยด่วนต่อไปเพื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้เริ่มปฏิบัติ งานตามโครงสร้างที่ปรับปรุงนี้ก่อน หากมีปัญหาหรืออุปสรรคในการดำเนินการประการใด ให้นำเสนอคณะ รัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
| 3036 | ร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาเฮมพ์บนพื้นที่สูง ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2553 - 2557) | นร | 16/11/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาเฮมพ์บนพื้นที่สูง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗) ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการปลูกเฮมพ์เป็นพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แนวทางการวิจัยและพัฒนาเฮมพ์บนพื้นที่สูงภายใต้แผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการปลูกเฮมพ์เป็นพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูง ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖) นำไปสู่การพัฒนาเฮมพ์ที่เป็นรูปธรรม และเพื่อสร้างความเชื่อมโยงของการดำเนินงานพัฒนาเฮมพ์บนพื้นที่สูง โดยบูรณาการแผนงาน โครงการ กิจกรรม และงบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับสภาพภูมิสังคมของชุมชนบนพื้นที่สูง รวมทั้งเพื่อให้มีกลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาเฮมพ์ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ และร่างแผนปฏิบัติการพื้นที่นำร่องส่งเสริมการปลูกเฮมพ์ใน ๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ น่าน เชียงราย ตาก และเพชรบูรณ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเฮมพ์บนพื้นที่สูงอย่างเป็นรูปธรรมตามแผนปฏิบัติการพัฒนาเฮมพ์ฯ โดยกำหนดแผนปฏิบัติการพื้นที่นำร่องการพัฒนาเฮมพ์ใน ๕ พื้นที่ ระยะ ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕) ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและผลิตเมล็ดพันธุ์ การวิจัยและศึกษาวิธีการเขตกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิตเฮมพ์ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการประสานหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อพิจารณาบรรจุแผนงาน/โครงการตามแผนปฏิบัติการนี้ไว้ในแผนบริหารราชการแผ่นดินและแผนปฏิบัติราชการ ๔ ปี ของหน่วยงานต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณในประเด็นความคุ้มค่าของการใช้งบประมาณเพื่อพัฒนาเฮมพ์ตามยุทธศาสตร์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนงบประมาณในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการพัฒนาเฮมพ์บนพื้นที่สูงฯ วงเงิน ๗๒.๓๕๐ ล้านบาท และแผนปฏิบัติการโครงการนำร่องพัฒนาเฮมพ์บนพื้นที่สูงภาคเหนือ ระยะ ๒ ปีฯ วงเงิน ๑๗.๕๔๙ ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้น ๘๙.๘๙๙ ล้านบาท ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ภายในกรอบงบประมาณที่ได้รับไว้แล้ว และสำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเสนอคำขอตั้งงบประมาณให้สอดคล้องกับแผนตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งต้องตรวจสอบและกำหนดแผนงาน/โครงการไว้ในแผนบริหารราชการแผ่นดิน/แผนปฏิบัติราชการ ๔ ปี ของหน่วยงานตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
| 3037 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. .... | มท | 16/11/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่อง
ขยายเสียง พ.ศ. .... ของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๒) ซึ่งเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติที่กระทรวงมหาด ไทยเสนอ เป็นเพียงการปรับปรุงพระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. ๒๔๙๓ ใน รายละเอียดโดยมิได้มีเนื้อหา สาระสำคัญ หรือมาตรการทางกฎหมายแตกต่างไปจากพระราชบัญญัติควบคุม การโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. ๒๔๙๓ อันจะทำให้การใช้บังคับกฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่ อย่างใด จึงไม่เป็นการสมควรที่จะปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว โดยการออกกฎหมายฉบับใหม่ที่มีเนื้อหาสาระ ส่วนใหญ่เป็นเช่นเดิม ทั้งนี้ ให้ชะลอการดำเนินการร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไว้ก่อน โดยให้พระราชบัญญัติ ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. ๒๔๙๓ ใช้บังคับไปพลางก่อน และให้กระทรวงมหาดไทยและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาหารือร่วมกันเพื่อดำเนินการยกร่างกฎหมายกลางเกี่ยวกับการควบคุมการใช้ เสียงเป็นการทั่วไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
| 3038 | การปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2548 | นร | 16/11/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะ รัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขระเบียบฯ ข้อ ๑๘ ข้อ ๒๔ และข้อ ๒๕ ที่ให้อำนาจหัวหน้าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณ โดยเพิ่ม เงื่อนไขจำกัดอำนาจของหัวหน้าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในการโอนเปลี่ยนแปลงรายการ และรายละเอียด ของรายการงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับการจัดสรรแล้ว ดังนี้ ๑. ระเบียบฯ ข้อ ๑๘ เพิ่มเงื่อนไขให้สำนักงบประมาณสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ หรือวิธีปฏิบัติ เพื่อ กำหนดขอบเขตหรือข้อจำกัดของการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของรายการในการจัดหาครุภัณฑ์ ที่ดินหรือ ๒. ระเบียบฯ ข้อ ๒๔ เพิ่มเงื่อนไขห้ามโอนงบประมาณออกจากงบบุคลากรไปตั้งจ่ายในงบรายจ่ายใดๆ และห้ามโอนจากรายการใดๆ ไปตั้งจ่ายเป็นค่าจัดหาครุภัณฑ์ยานพาหนะ เพื่อมิให้เกิดภาระงบประมาณที่จะ ตามมาในอนาคต ๓. ระเบียบฯ ข้อ ๒๕ เพิ่มเงื่อนไขการโอนและหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณภายใต้แผนงานเดียว กัน โดยห้ามมิให้นำเงินเหลือจ่ายที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ไปตั้งเป็นอัตราบุคลากรตั้งใหม่ ค่าใช้จ่ายใน การเดินทางไปราชการต่างประเทศที่ไม่ได้กำหนดไว้ในแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ค่าครุ ภัณฑ์ตั้งแต่ ๑ ล้านบาทขึ้นไป ค่าที่ดินหรือค่าสิ่งก่อสร้างตั้งแต่ ๑๐ ล้านบาทขึ้นไป และค่าจัดหาครุภัณฑ์ยาน พาหนะ ยกเว้นการจัดหาครุภัณฑ์ยานพาหนะเพื่อทดแทนของเดิมที่สูญหายหรือชำรุด เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบ ประมาณเหลือจ่ายมีขอบเขตจำกัดที่ชัดเจนและเหมาะสม และมิให้เป็นภาระงบประมาณในอนาคต
|
||||||||||||||||||||||||
| 3039 | รายงานผลการเข้าร่วมประชุม Aichi - Nagoya Ministerial Meeting on REDD+Partnership ณ เมืองนาโงย่า จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น (ระหว่างวันที่ 25 - 26 ตุลาคม 2553) | ทส | 16/11/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการเข้าร่วม
ประชุม Aichi-Nagoya Ministerial Meeting on REDD+Partnership ณ เมืองนาโงย่า จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๓ สรุป ได้ดังนี้ ๑. ที่ประชุมได้ยืนยันการให้เงินช่วยเหลือเพิ่มเติมกิจกรรม REDD+ ของประเทศพัฒนาแล้ว ได้แก่ ประเทศ เบลเยียม ประเทศอิตาลี และสหราชอาณาจักร ๒. ที่ประชุมได้แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของการดำเนินงานตามโปรแกรม REDD+Partnership ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ในส่วนของความโปร่งใสด้านการเงินและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง website ที่จัดทำเพื่อการแลก เปลี่ยนและสื่อสารข้อมูลอันเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่การปรับปรุงการดำเนินงาน REDD+ ได้อย่างต่อเนื่อง โดย ที่ประชุมได้เน้นถึงความสำคัญของการลดช่องว่างและหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อนทางการเงินโดยให้เพิ่มศักยภาพการ ดำเนินงานและการสนับสนุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นให้แล้วเสร็จ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๓. ที่ประชุมเห็นชอบที่จะให้หุ้นส่วนความร่วมมือดำเนินการเสริมศักยภาพทางการเงินและกิจกรรม REDD+ โดยการเสริมสร้างความโปร่งใส และเพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงาน โดยขยายเวลาการดำเนินกิจกรรมภาย ใต้โปรแกรมงานปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งได้แก่การจัดตั้งหน่วยงานรองรับ (institutional arrangement) ด้าน REDD+ การเตรียมความพร้อมในการเสริมศักยภาพด้าน REDD+ การจัดทำโครงการนำร่องด้าน REDD+ กิจ กรรมที่อยู่บนพื้นฐานของผลสัมฤทธิ์ (result based action) REDD+ ที่มีกระบวนการรายงาน ติดตามผล และตรวจ สอบได้ และการเพิ่มศักยภาพด้านการเงิน (scaling up finance) พร้อมทั้งได้ย้ำถึงความจำเป็นจะต้องจัดทำโปร แกรมงานปี พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ ให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ ๔. ที่ประชุมเห็นพ้องถึงความสำคัญของหุ้นส่วนความร่วมมือ REDD+ ในการใช้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการเสริมสร้างความร่วมมือ เสริมศักยภาพกิจกรรมด้าน REDD+ และความช่วยเหลือทาง การเงินอันจะช่วยผลักดันและส่งเสริมกลไกที่สามารถสร้างแรงจูงใจทางบวกทางนโยบายและกิจกรรมด้าน REDD+ ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) โดยคาดหวังว่าการดำเนิน งานแบบค่อยเป็นค่อยไปของ REDD+Partnership จะทำให้กลไกของ REDD+ ภายใต้ UNFCCC จะได้รับการรับรอง ในที่ประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ ๑๖ ณ เมืองแคนคูน สหรัฐเม็กซิโก
|
||||||||||||||||||||||||
| 3040 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 09/11/2553 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระ สำคัญคือ เพิ่มเติมหมวด ๓/๒ บำเหน็จตกทอด กำหนดให้กรณีที่ผู้รับบำเหน็จรายเดือน หรือผู้รับบำเหน็จพิเศษ รายเดือนถึงแก่ความตาย ให้จ่ายบำเหน็จตกทอดเป็นจำนวนสิบห้าเท่าของบำเหน็จรายเดือน หรือบำเหน็จพิเศษ รายเดือนแล้วแต่กรณีให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของผู้รับบำเหน็จราย เดือน หรือผู้รับบำเหน็จพิเศษรายเดือน โดยแบ่งจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิตามสัดส่วนของเงินมรดก โดยมิต้องกันส่วนเป็น สินสมรสก่อนแบ่ง เนื่องจากเงินดังกล่าวไม่ถือเป็นสินสมรส และกำหนดให้นำวิธีการในการยื่นเรื่องราวขอรับบำ เหน็จลูกจ้างตามข้อ ๒๐ มาใช้กับการยื่นเรื่องราวขอรับบำเหน็จตกทอด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่ง คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป ได้ ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อรองรับการปรับปรุงสิทธิให้แก่ทายาทรับบำเหน็จตกทอดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบ กลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ที่ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้แล้ว จำนวน ๙๖,๑๐๓ ล้านบาท ตาม ความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
.....
