ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 160 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 3181 - 3200 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 3181 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช 2478 (แก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดเกี่ยวกับเครื่องแบบของข้าราชการพลเรือนหญิงมุสลิม) | นร | 27/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติ เครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช 2478 มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ออกตามความในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช 2478 ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 71 (พ.ศ. 2523) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้า ราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช 2478 เกี่ยวกับเครื่องแบบปฏิบัติราชการและเครื่องแบบปกติขาวของหญิง มุสลิม ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ 2. เห็นชอบในหลักการให้ส่วนราชการต่าง ๆ และหน่วยงานของรัฐดำเนินการปรับปรุงแก้ไขในส่วน ของเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการพลเรือนหญิงมุสลิมให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของศาสนาอิสลามต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3182 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่างๆ ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 | นร | 20/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 และ รายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) คณะต่าง ๆ ประจำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ซึ่งผลการประเมินตนเองในภาพรวมของคณะกรรมการ ฯ รายคณะ อยู่ในเกณฑ์ระดับดี เยี่ยม รวมทั้งเห็นชอบกับข้อเสนอของ ค.ต.ป. ที่ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดทำ แผนการตรวจสอบและประเมินผลด้านต่าง ๆ และการดำเนินการตามแผน การจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ รายงานการเงิน และการสอบทานกรณีพิเศษ ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการ ค.ต.ป. เสนอ 2. มอบให้ ค.ต.ป. ส่วนราชการที่เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการตามข้อเสนอของ ค.ต.ป. รับความเห็นของ กระทรวงการคลังในประเด็นข้อเสนอของ ค.ต.ป. ที่กำหนดให้ส่วนราชการและจังหวัดมอบหมายให้ผู้ปฏิบัติงานด้าน บัญชี การเงินของส่วนราชการและจังหวัดที่ผ่านการอบรมด้านบัญชีของระบบ GFMIS ต้องปฏิบัติงานตามที่ได้อบรม มาเป็นระยะเวลา 2 ปี จะโยกย้ายเปลี่ยนแปลงได้ต่อเมื่อสามารถถ่ายทอดความรู้ด้านบัญชีของระบบ GFMIS ให้กับ บุคลากรเพื่อนร่วมงานที่ได้มอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่แทน โดยหัวหน้าส่วนราชการและจังหวัดกำกับดูแลอย่างใกล้ ชิด ควรกำหนดให้ส่วนราชการและจังหวัดส่งเสริมให้ข้าราชการทุกคนที่ต้องรับผิดชอบปฏิบัติงานด้านบัญชี การเงิน ได้มีโอกาสรับการอบรมจากกรมบัญชีกลางอย่างสม่ำเสมอโดยทั่วถึงหรือสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินการจัดฝึก อบรมภายในส่วนราชการเองด้วย และข้อเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำกับดูแลผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชี การเงินอย่าง ใกล้ชิด นั้น เนื่องจากงบการเงินจังหวัดที่จัดทำขึ้นจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 เป็นงบการเงินจังหวัดที่แยกแสดง ตามพื้นที่ โดยรวบรวมงบทดลองของส่วนราชการทุกแห่งในพื้นที่ของจังหวัด และมิได้มีการปรับปรุงรายการซ้ำซ้อน ระหว่างงาน ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 งบการเงินจังหวัดที่จะจัดทำขึ้นมี 2 แบบ คือ งบการเงินจังหวัดที่ แยกแสดงตามพื้นที่ (ผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดทำคือ สำนักงานคลังจังหวัด) และงบการเงินจังหวัดในฐานะเจ้าของ งบประมาณจังหวัดซึ่งจะแสดงฐานะการเงิน รายได้ ค่าใช้จ่าย จัดทำรายการทางบัญชีที่เกิดจากการใช้งบประมาณ รายจ่ายของจังหวัดของส่วนราชการและของหน่วยงานภายในจังหวัด ซึ่งมิได้มีการปรับปรุงรายการซ้ำซ้อนระหว่าง หน่วยงาน (ผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดทำคือ สำนักงานจังหวัด) รวมทั้งรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรายงานความก้าวหน้า การดำเนินงานตามข้อเสนอแนะทุก 6 เดือน จะเป็นการรายงานซ้ำซ้อนกับรายงานผลการตรวจสอบและประเมิน ผลภาคราชการที่ ค.ต.ป. ประจำกระทรวง ต้องจัดทำทุก ๆ 6 เดือน จึงสมควรมอบหมายให้ ค.ต.ป. ประจำกระทรวง เป็นผู้ติดตาม และรายงานผลการปรับปรุงการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะดังกล่าวต่อ ค.ต.ป. ตามแนวปฏิบัติที่ได้ กำหนดไว้แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3183 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2552 | ทส | 20/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะ
กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เสนอมติการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2552 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2552 โดยมีเรื่องสำคัญรวม 12 เรื่อง ดังนี้ 1. แนวทางการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและการฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรทราย 2. แนวทางการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ 3. โครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ของประเทศ 4. ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้ม ครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัด เพชรบุรี อำเภอหัวหินและอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... 5. ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้ม ครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดกระบี่ พ.ศ. .... 6. ความเห็นต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมือง แร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่อทำปูนขาว และหิน อุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ของบริษัท สหศิลาเพิ่มพูล จำกัด ประทานบัตรที่ 24828/ 13873 ที่ตำบลเขาวง (เดิมอยู่ในเขตตำบลขุนโขลน) อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี 7. ความเห็นต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เส้นที่ 4 (ระยอง-แก่งคอย) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 8. ความเห็นต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการระบบส่งไฟฟ้า 500 เควี จาก โครงการโรงไฟฟ้าหงสาลิกไนต์ (การปรับปรุงข้อมูลสภาพแวดล้อมปัจจุบันและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม) ของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 9. การปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดระดับเสียงของ เรือกล 10. การปรับปรุงวิธีตรวจสอบค่ามาตรฐานน้ำทิ้งจากฟาร์มสุกร 11. การกำหนดค่ามาตรฐานก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และก๊าซไฮโดรคาร์บอน จากไอเสียรถยนต์ ขนาดใหญ่ใช้งานที่ใช้ก๊าซธรรมชาตและก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง 12. แนวทางการจัดการและแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินและกิจกรรมชายฝั่งที่ก่อให้เกิดผลกระทบ สิ่งแวดล้อมบริเวณชายฝั่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3184 | การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร | นร | 20/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบหลักการการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหารที่ได้ปรับปรุงใหม่ และ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องซึ่งมีอำนาจดำเนินการตามกฎหมายยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ และให้คณะกรรมการพัฒนา ระบบราชการเป็นผู้พิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในการจำแนกประเภทให้แก่หน่วยงานของรัฐที่จัดตั้ง ขึ้นใหม่ และแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ 2. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบ ประมาณ และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เกี่ยวกับกรณีรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในเกณฑ์ที่อาจปรับสถานภาพ เป็นองค์การมหาชน จำนวน 10 แห่ง ประกอบด้วยองค์การสวนสัตว์ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การกีฬาแห่งประเทศไทย สถาบันการบิน พลเรือน องค์การสวนพฤกษศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ องค์การจัดการน้ำเสีย และองค์การ ตลาดเพื่อเกษตรกร เนื่องจากรัฐวิสาหกิจเหล่านี้มีกฎหมายจัดตั้งเป็นการเฉพาะตามสถานะการดำเนินงานที่แตก ต่างกัน และปัจจุบันมีระบบการกำกับดูแลที่ชัดเจนโดยเฉพาะระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะมี การประเมินผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นประจำทุกปี หากปรับสถานภาพหน่วยงานเหล่านั้นเป็นองค์การมหาชนอาจ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินงานในหลายด้าน ตลอดจนสภาพการจ้างงานของบุคลากรในองค์กร และการ ดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายต่าง ๆ จึงเห็นควรคงสถานภาพหน่วยงานดังกล่าวเป็นรัฐวิสาหกิจ เช่นเดิม ส่วนกรณีที่เสนอให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเป็นผู้พิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีใน การจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นใหม่ นั้น ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องและนำเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกันเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3185 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่ออุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงิน จำนวน 2,355 ล้านบาท เพื่ออุดหนุนบริการ สาธารณะ (PSO) โดยรัฐบาลเป็นผู้รับชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน และให้กระทรวงการคลัง ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งเป็นผู้พิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะ สมต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. เสนอขอกู้เงินจำนวนดังกล่าวต่อคณะกรรมการนโยบายและกำกับ การบริหารหนี้สาธารณะในการบรรจุเรื่องดังกล่าวไว้ในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ปี 2553 เพื่อ ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2549 และเร่งดำเนินการตามแผน ปฏิบัติการเพื่อปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานะทางการเงินของ รฟท. เพื่อเพิ่มความสามารถ ในการสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่าย สร้างกลยุทธ์ในการดำเนินงานที่ชัดเจน รวมทั้งเพื่อลดเงินอุดหนุนที่จะได้รับ ชดเชยจากภาครัฐในอนาคต ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำน้กงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ 2. ให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะจัดทำบันทึกตกลง (MoU) กับ รฟท. และตรวจสอบ ระบบบัญชี ซึ่งแสดงถึงการแยกรายได้และค่าใช้จ่ายของการให้บริการเชิงพาณิชย์ และบริการสาธารณะและต้นทุน การให้บริการสาธารณะให้พร้อมก่อนที่ รฟท. จะกู้เงิน ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง นอกจากนี้ ให้ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานของ รฟท. อย่างใกล้ชิดเพื่อให้การกู้เงินดังกล่าวมีความสอดคล้องกับความจำเป็นในการ ใช้เงินในแต่ละช่วงเวลา และมิให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายทางการเงินเกินความจำเป็นแก่ภาครัฐ ตามความเห็นของสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3186 | ขออนุมัติโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (เพิ่มเติมครั้งที่ 2) | กค | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ดำเนินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (เพิ่มเติมครั้งที่ 2) ในวง เงินรวม 227,939.0193 ล้านบาท โดยกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎ หมายใดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ต่อไปด้วย 2. อนุมัติให้โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกร และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการประกันราคาข้าว เปลือก วงเงิน 40,013.0000 ล้านบาท และโครงการจำนำผลผลิต การเกษตรปีการผลิต 2551/2552 (ภาระ ดอกเบี้ยเงินกู้ให้สถาบันการเงิน) วงเงิน 1,919.6680 ล้านบาท เป็นโครงการภายใต้วัตถุประสงค์ข้อ 8 : วัตถุ ประสงค์อื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผน ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 3. เห็นชอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินโครงการ ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกว่าด้วย การบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ จ่ายเงินตามแผนงานให้แล้วเสร็จภายใน 31 ธันวาคม 2553 และให้คณะกรรมการ ฯ เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการปฏิบัติเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปฏิบัติต่อไป 4. อนุมัติโอนหรือเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ฯ จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วยโครงการปรับปรุงทางที่ไม่ปลอดภัยสำหรับการเดินรถ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และโครงการพัฒนาระบบบริการด้านสาธารณสุขระดับตติยภูมิ ของ มหาวิทยาลัยนเรศวร 5. อนุมัติกรอบวงเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้าง ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 เพื่อนำมาสนับสนุนโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ฯ ในวงเงิน 150,000 ล้านบาท และมอบหมายให้คณะกรรมการ ฯ พิจารณาจัดสรรเงินกู้ให้แก่โครงการภายใต้ แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ฯ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการแล้ว โดยให้ความสำคัญกับโครงการ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องเร่งดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 รวมทั้งโครงการของส่วนราชการและ รัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3187 | ร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกายกเลิกพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ พ.ศ. 2521 พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 4 ฉบับ | กค | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้นำเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญตามพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัด พ.ศ. 2521 มารวมเป็นเบี้ยหวัด หรือบำนาญ และให้ถือเป็นเบี้ยหวัดตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยเงินเบี้ยหวัด หรือ บำนาญตามพระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่กรณี รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การจ่ายบำเหน็จตกทอดให้สอดคล้อง กับกรณีที่ได้นำเงินช่วยเหลือค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญมารวมเป็นบำนาญ และร่างพระราชบัญญัติกองทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้นำเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ ตามพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ พ.ศ. 2521 มารวมเป็นเบี้ยหวัด หรือบำนาญ และ ให้ถือเป็นเบี้ยหวัดตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยเงินเบี้ยหวัด หรือบำนาญตามพระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งคณะกรรมการ ประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป 2. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกายกเลิกพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัด บำนาญ พ.ศ. 2521 พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำ นาญ พ.ศ. 2521 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และร่างพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และ เงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขการจ่ายเงินช่วยพิเศษให้สอดคล้องกับการ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ 3. งบประมาณรายจ่ายที่ต้องใช้ในการจ่ายเพิ่มเงินบำเหน็จดำรงชีพ อันเนื่องมาจากการปรับปรุงแก้ไข กฎหมายทั้ง 4 ฉบับดังกล่าว ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นสำนักงบประมาณ โดยเบิกจ่ายจาก งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ที่ได้ตั้งงบ ประมาณรายจ่ายไว้แล้ว จำนวน 87,633.7238 ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3188 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตร
การปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญคือ 1. กำหนดให้ข้าราชการผู้ซึ่งจะเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดต้องมีอายุตั้งแต่ห้าสิบปี บริบูรณ์ขึ้นไป เว้นแต่ข้าราชการทหารต้องมีอายุตั้งแต่สี่สิบห้าปีบริบูรณ์ขึ้นไปหรือมีเวลาราชการตั้งแต่ยี่สิบ ห้าปีขึ้นไป โดยจะต้องไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักราชการ ถูกสอบสวน หรือสอบหาข้อเท็จจริงทางวินัย หรืออยู่ระหว่างการดำเนินการลงโทษทางวินัยตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการประเภทนั้น ๆ หรือ เป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาซึ่งมิใช่ความผิดลหุโทษหรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท 2. ผู้ซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือจะบรรจุกลับเข้ารับราชการประจำในฝ่ายบริหารอีกไม่ได้ แต่หากกลับ เข้ารับราชการประจำในส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือกำกับของฝ่ายบริหารอีก ให้ผู้นั้นส่งคืนเงิน ช่วยเหลือที่ได้รับไว้ทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ยตามอัตราเงินฝากประจำสิบสองเดือนของธนาคารออมสิน 3. กรณีผู้ซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือแล้ว และต่อมาได้รับการบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ต้องคืน เงินช่วยเหลือที่ได้รับไว้ทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ยตามอัตาราเงินฝากประจำสิบสองเดือนของธนาคารออมสิน ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่สัญญาจ้างมีระยะเวลาเกินหนึ่งปี โดยให้นับรวมระยะเวลาการต่ออายุสัญญาจ้างด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3189 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก" | สสป | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการ แข่งขันของไทยในเวทีโลก และรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณารายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี และนำเสนอ คณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ในภาคการผลิต 1.1 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอุตสาหกรรมตาม แนวบริเวณชายแดน 1.2 ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ เพื่อรองรับการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้สามารถแข่งขันได้ ในอนาคต 1.3 ส่งเสริมและสนับสนุนระบบการขนส่งที่ประหยัดพลังงาน (Mode Shift) 1.4 ส่งเสริมและสนับสนุนอย่างจริงจังต่อการย้าย หรือขยายฐานการผลิตเข้าสู่แหล่งวัตถุดิบ หรือ ตลาดผู้บริโภค 2. ด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการขนส่งและโลจิสติกส์ 2.1 ปรับปรุงระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าให้ตรงต่อเวลา และมีระบบเชื่อมโยงที่มีประสิทธิ ภาพ 2.2 ปรับปรุงประสิทธิภาพระบบการขนส่งทางรางตามเส้นทางหลักเชื่อมโยงทุกภูมิภาค 2.3 พัฒนาการใช้ระบบรางคู่ที่สามารถเชื่อมต่อศูนย์กระจายสินค้าจุดเชื่อมโยงการขนส่งทั้งในและ ต่างประเทศ 2.4 พัฒนาระบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ให้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบกและ ทางน้ำ 3. ด้านการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้า สินค้าคงคลัง หรือศูนย์แสดงสินค้า โดยเร่งรัดการจัด ศูนย์กระจายสินค้าทั้งของรัฐและเอกชนที่มีอยู่ให้เกิดการบริหารจัดการในการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ 4. ด้านการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า 4.1 นำเทคโนโลยีระบบสารสนเทศมาใช้กับพิธีการศุลกากรในการนำเข้า-ส่งออกให้มีความคล่อง ตัวและมีประสิทธิภาพสูง 4.2 เร่งรัดการจัดทำข้อตกลง เงื่อนไข การผ่านแดน และกฎหมายการให้ข้าราชการจากด่านศุลกา กรออกไปทำงานนอกด่านร่วมกับด่านเพื่อนบ้านได้ 4.3 เร่งรัดเจรจาข้อตกลง การสร้างมาตรฐานด้านศุลกากร การขนส่งการประกันภัย รวมทั้งความ ปลอดภัยสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมตามมาตรฐานสากล 4.4 ปรับปรุงระบบภาษีและพิธีทางศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออก ให้สอดคล้องกับกฎ ระเบียบองค์การการค้าโลก (WTO) และข้อตกลงความร่วมมือในอนุภูมิภาค รวมทั้งข้อตกลงทวิภาคีกับประเทศที่ ไม่ได้เป็นสมาชิก WTO 5. ด้านการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ 5.1 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีศูนย์กระจายสินค้า (DS) และ/หรือศูนย์โลจิสติกส์ ตามแนวระเบียง เศรษฐกิจหลัก (EWEC) 5.2 ส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย (Thai Logistice Service Provider) ให้มี ปริมาณและคุณภาพมากยิ่งขึ้น 5.3 พัฒนาศูนย์กลางการบินในแต่ละภูมิภาคของประเทศควบคู่ไปกับการพัฒนาอุตสาหกรรมการ บิน 6. ด้านการพัฒนากำลังคนและยุทธศาสตร์การพัฒนา โดยให้มีการพัฒนาองค์ความรู้ด้านระบบโลจิส ติกส์ในสถานศึกษาโดยเฉพาะระดับปฏิบัติ ระดับจัดการ และระดับบริหาร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3190 | การปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ | กค | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วย การเงินการคลังของรัฐ เพื่อกำหนดกรอบวินัยทางการเงินการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนด ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นำเงินรายได้ของ อปท. ทั้งหมดฝากคลัง ยกเว้นเงินรายได้ที่ อปท. เก็บเอง และเมื่อจำเป็นต้องใช้เงินดังกล่าวให้เบิกจากคลังโดยให้คำนึงถึงสถานะทางการคลังของประเทศ นั้น เห็นควรให้ อปท. นำส่งเงินรายได้เข้าบัญชีเงินฝากของ อปท. เพื่อที่จะได้บริหารจัดการตามข้อบัญญัติงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบ จากสภาท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามแผนพัฒนาที่กำหนดไว้ และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยว กับเนื้อหาสาระของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ บางเรื่องไม่ได้เป็นไปในลักษณะของการกำหนดกรอบในการรักษาวินัย การเงินการคลังแต่มีลักษณะเป็นการกำหนดรายละเอียดและวิธีการปฏิบัติ ส่วนการกำหนดทิศทางและแนวนโยบาย การคลังเพื่อประสิทธิภาพทางการคลัง การสร้างมาตรฐานทางบัญชี การตรวจสอบภายในและหลักเกณฑ์การดำเนิน กิจกรรมทางการคลังอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสทางการคลัง รวมทั้งการจัดทำข้อมูลทางการคลังเพื่อนำไปสู่ ความรับผิดชอบทางการคลัง ควรกำหนดในลักษณะเป็นกรอบให้ปฏิบัติ นอกจากนี้ การกำหนดให้หน่วยงานของรัฐ จัดทำแผนการใช้จ่ายเงินเสนอต่อกระทรวงการคลัง และหากมีความจำเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสามารถ ปรับแผนการใช้จ่ายเงินได้นั้น ไม่ได้มีการกำหนดกรอบหรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน อาจมีผลต่อการดำเนินภารกิจของรัฐ บาล และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติ พิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป 2. ให้สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง ไปพิจารณาร่วมกันในประเด็นตามคำชี้แจงของผู้อำนวยการ สำนักงบประมาณ ที่ว่าร่างพระราชบัญญัติ ฯ ได้กำหนดรายละเอียดของขั้นตอนปฏิบัติในด้านรายจ่ายบางประการที่ อาจทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติและการจัดทำงบประมาณของส่วนราชการ เช่น ร่างมาตรา 25 บัญญัติให้รายจ่าย ที่เป็นภาระตามกฎหมายของรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณให้ครบถ้วน ซึ่งการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี นั้น เป็นเพียงตัวเลขประมาณการ ส่วนการใช้จ่ายหรือเบิกจ่ายงบประมาณมีกระบวนการ ขั้นตอน วิธีการที่ยืดหยุ่น และ สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เป็นจริง และให้ส่งผลการพิจารณาดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาของสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3191 | ขอขยายระยะเวลาตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 | กค | 06/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบการผ่อนผันการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทาง อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐที่อยู่ในสังกัด การบังคับบัญชา หรือการกำกับดูแลของฝ่ายบริหารตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือ กฎหมายจัดตั้งหน่วยงานดังกล่าว ทั้งนี้ ให้มาตรการผ่อนผันมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 ถึงวันที่ระเบียบ ฯ ฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมมีผลใช้บังคับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ 2. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขระเบียบ ฯ ตามนัยมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2552 [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไข ปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 4/2552] ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3192 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการการกำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) | นร | 06/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการอำนวย
การกำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยรายงานผลการประชุมคณะกรรมการกำกับ ติดตามการช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2552 โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์ อุทกภัย ระหว่างวันที่ 29 กันยายน-2 ตุลาคม 2552 ที่เกิดจากไต้ฝุ่นพายุ "กิสนา" และการให้ความช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัยของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีบทบาทและภารกิจในแต่ละ ยุทธศาสตร์ได้ติดตามสถานการณ์จัดเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ไว้ให้พร้อมปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนและรายงาน ให้ที่ประชุมรับทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไป รวมทั้งสำรวจความเสียหาย และเสนอแผน/โครงการมายัง คชอ. ภายในวัน ที่ 31 ตุลาคม 2552 เพื่อมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนงาน/โครงการ และงบประมาณการช่วย เหลือผู้ประสบอุทกภัยรับไปพิจารณากลั่นกรองตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยมีหลักเกณฑ์การพิจารณา แผนงาน/โครงการ/งบประมาณการให้ความช่วยเหลือ อาทิ เป็นเหตุการณ์อุทกภัยตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2552 เป็นต้นมา เป็นการให้ความช่วยเหลือความเดือดร้อนที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เป็นการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิม (ไม่เป็นการปรับปรุงเพื่อจัดหาใหม่ในลักษณะการเพิ่มประสิทธิภาพ) และระยะเวลาดำเนินการควรแล้วเสร็จภายใน 30 กันยายน 2553 เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและ การช่วยเหลือโดยรายงานให้ คชอ. ทราบ ทุก 7 วัน จนสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3193 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนานโยบายป่าไม้ให้เป็นนโยบายสาธารณะและการแก้ไขปัญหาการรุกป่า" | สสป | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การพัฒนานโยบายป่าไม้ให้เป็นนโยบายสาธารณะและการแก้ไขปัญหา การบุกรุกป่า" และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา รวมทั้งผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อ เสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. มาตรการเร่งด่วน 1.1 กำหนดให้ปัญหาทรัพยากรป่าไม้เป็นวาระแห่งชาติ และเป็นประเด็นสาธารณะที่จะต้องนำไปสู่ การมีมติคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการปรับปรุงวิธีการและกระบวนการในการจัดทำนโยบายป่าไม้แห่งชาติ โดยนำ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 นโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม นโยบายที่ดิน นโยบายปฏิรูป ระบบราชการมาพิจารณาในการจัดทำนโยบายป่าไม้แห่งชาติใหม่ 1.2 นำยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและสังคมเป็นรากฐานที่มั่นคงของประเทศ ตามแนวทาง "การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน ในการอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสันติ และเกื้อกูล ด้วยการส่งเสริมสิทธิชุมชนและกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการสงวน อนุรักษ์ฟื้นฟู พัฒนา ใช้ ประโยชน์และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น" ซึ่งกำหนดไว้ใน แผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 มาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินป่าไม้ และดำเนินการ ทันทีในพื้นที่ที่มีการขัดแย้งกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับชุมชน 1.3 บูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรป่าไม้ทั้งหมด ร่วมกับชุมชนในการ แก้ไขปัญหาและป้องกันการบุกรุกป่า และการรักษาพื้นที่ป่าไม้ที่เหลืออยู่ทั้งประเทศ โดยการทบทวนมาตรการ และแนวทางการป้องกันรักษาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 1.4 ดำเนินการตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ดินในเขตป่าทั่วประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่ป่าชายเลน ซึ่งใน ระหว่างการตรวจสอบจะต้องมีมาตรการยับยั้งไม่ให้ผู้อ้างสิทธิกระทำการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่า และให้เพิก ถอนสิทธิทันทีหากพบว่าที่ดินนั้นได้มาโดยมิชอบ รวมทั้งดำเนินการลงโทษตามกฎหมาย 1.5 แก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 พระราช บัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติ สวนป่า พ.ศ. 2535 ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เพื่อทำให้เกิดการ บูรณาการระหว่างพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรป่าไม้ 2 มาตรการระยะกลางและระยะยาว 2.1 จัดตั้งหน่วยงานกลาง ทำหน้าที่ในการจัดระบบฐานข้อมูลที่เกี่ยวกับพื้นที่ป่าไม้แผนที่ ภาพถ่าย ดาวเทียมที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ป่าไม้ และทำหน้าที่ประสานกับคณะกรรมการด้านทรัพยากรทุกชุด และเข้าร่วมกับ ชุมชนในการทำวิจัย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการจัดทำนโยบายและแผนการบริหารจัด การป่าไม้ของประเทศ 2.2 สำรวจและจัดทำข้อมูลพื้นที่ป่าไม้ที่มีอยู่จริงให้ถูกต้องตามความเป็นจริง รวมทั้งวางแผนการใช้ ที่ดินทั้งประเทศ และแบ่งเขตการใช้ (Zoning) ที่ชัดเจน 2.3 กำหนดแนวทางและวางมาตรการในการดำเนินงาน เพื่อให้องค์กรและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยว ข้องกับการนำนโยบายป่าไม้แห่งชาติไปปฏิบัติโดยยึดหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีตามพระราช กฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3194 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์เตรียมตัวประเทศไทยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะ 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2552 - 2562)" | สสป | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ยุทธศาสตร์เตรียมตัวประเทศไทยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมใน ระยะ 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2552-2562)" และรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วม กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์ที่ 1 : การดำเนินการเพื่อความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน ควรมีกลยุทธ์การพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ กลยุทธ์เกษตรเพื่อพลิกฟื้นระบบนิเวศน์ในภูมิภาคต่าง ๆ กลยุทธ์การเพิ่มผลผลิต ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม กลยุทธการให้เกษตรกรมีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีอย่างจริงจัง และกลยุทธ์ การตลาดเกษตรที่มีประสิทธิผลผ่านองค์การเข้มแข็ง เป็นต้น 2. ยุทธศาสตร์ที่ 2 : การเป็นศูนย์การท่องเที่ยวของภูมิภาคเพื่อคนทุกวัย ควรมีกลยุทธ์กรุงเทพมหา นครเมืองแห่งการท่องเที่ยว กลยุทธ์พัฒนากลุ่มจังหวัดให้เป็นศูนย์การท่องเที่ยวของภาคและภูมิภาค กลยุทธ์การ พัฒนาชานเมืองเป็นบ้านใหม่เพื่อความสงบสุขสบายของวัยเกษียณ กลยุทธ์ศูนย์กลางสุขภาพ กลยุทธ์ชายทะเล แห่งเอเชีย กลยุทธ์ฟื้นฟูอัตลักษณ์ท้องถิ่น และกลยุทธ์สร้างความมั่นใจต่อชีวิตและความปลอดภัยของนักท่อง เที่ยว เป็นต้น 3. ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ควรมีกลยุทธ์การศึกษาครั้งเดียวได้ความรู้ความชำ นาญพร้อมกัน กลยุทธ์การปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมในระบบการศึกษาให้สังคมและชุมชนเข้มแข็ง กลยุทธ์ การฝึกอบรมในหน่วยงานภาคราชการและเอกชน และกลยุทธ์กำจัดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและ ส่งเสริมนักวิชาการ เป็นต้น 4. ยุทธศาสตร์ที่ 4 : การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ควรมีกลยุทธ์การจัดสรรงบ ประมาณเพื่อการวิจัยและพัฒนา กลยุทธ์มันสมองไหลเข้า กลยุทธ์การถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านการลงทุนจากต่าง ประเทศ กลยุทธ์การเชื่อมต่อระหว่างสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และภาคอุตสาหกรรม และกลยุทธ์การ สร้างเส้นทางอาชีพที่มั่นคง 5. ยุทธศาสตร์ที่ 5 : การค้าและการลงทุน ควรมีกลยุทธ์ด้านการปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ต่อการค้า และการลงทุน กลยุทธ์เป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการเงินในหกเหลี่ยมเศรษฐกิจ กลยุทธ์ การลงทุนเชิงรุกในต่างประเทศ และกลยุทธ์การให้ทุนการศึกษาแก่ประเทศเพื่อนบ้าน 6. ยุทธศาสตร์ที่ 6 : การสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ควรมีกลยุทธ์การดูแลและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกลยุทธ์การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และบูรณาการเชิงรุก 7. ยุทธศาสตร์ที่ 7 : การสร้างสังคมที่มีธรรมาภิบาล และสมานฉันท์ ควรมีกลยุทธ์การแก้ไขและป้อง กันการทุจริตคอร์รัปชั่น กลยุทธ์การพัฒนาองค์ความรู้คู่คุณธรรม และกลยุทธ์การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ 8. ยุทธศาสตร์ที่ 8 : การบริหารประเทศและการบริหารการจัดการงบประมาณแบบใหม่ ควรมีกล ยุทธ์การใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารประเทศ กลยุทธ์การบริหารเชิงบูรณาการและเบ็ดเสร็จ กล ยุทธ์การบริหารจัดการด้านงบประมาณแบบใหม่ให้ตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ และกลยุทธ์การบังคับใช้กฎ หมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3195 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่อง การพัฒนาระบบราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน : ศึกษาเฉพาะกรณีการให้บริการประชาชน ของคณะกรรมาธิการการปกครอง วุฒิสภา | สว | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอผลการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อ
เสนอแนะของคณะกรรมาธิการการปกครอง วุฒิสภา เกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน : ศึกษาเฉพาะกรณีการให้บริการประชาชน ที่เห็นว่า ในการปรับปรุงการให้บริการประชาชนของหน่วยงานภาครัฐให้ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควรยึดแนวคิดเรื่องการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance) เป็นหลักในการ บริการประชาชน การใช้เทคโนโลยีเป็นพลังขับเคลื่อนในการพัฒนาไปสู่รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) การ วิเคราะห์หารูปแบบให้บริการที่เหมาะสมกับพื้นที่และลักษณะงาน และการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาไปสู่รัฐบาลอิเล็ก ทรอนิกส์ (e-Government) และให้ส่งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3196 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2553 | กค | 22/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 วงเงิน 1,637,896.68 ล้าน บาท ซึ่งประกอบด้วย 6 แผนงานย่อย และกรอบวงเงินเพื่อรองรับการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ฯ ในส่วนของการกู้เงินเพื่อดำเนินกิจการทั่วไปและอื่น ๆ ภายใต้แผนการบริหารและจัดการเงินกู้ในประเทศของรัฐ วิสาหกิจ จำนวน 50,000 ล้านบาท รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศ ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ฯ และให้กระทรวงการคลังเป็น ผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้ง ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ฯ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการ กู้เงินได้เอง ก็สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ รวมทั้งให้กระทรวงการ คลัง โดยสำนักงานบริหารนี้สาธารณะดำเนินธุรกรรมเพื่อการบริหารความเสี่ยงหนี้ของรัฐบาล และให้รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงิน และ หรือการค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ 2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ ที่ให้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสภาพคล่องของระบบ การเงินในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว รวมทั้งจัดทำแผนและเผยแพร่แผนป้องกันความเสี่ยงจากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ ที่จะเริ่มปรับตัวสูงขึ้นในปี พ.ศ. 2553 และอาจเป็นผลให้ธนาคาร ฯ มีการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นซึ่งจะมี ผลทำให้อัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยมีความผันผวนมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อการบริหารหนี้สาธารณะ ของประเทศได้ ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3197 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (สำนักราชเลขาธิการ) | รล | 22/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จำนวน
28,320,000 บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จำนวน 60,000,000 บาท เพื่อ เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงอาคารสำนักราชเลขาธิการ ตามที่สำนักราชเลขาธิการเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3198 | ขอปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme | กค | 01/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงและเพิ่มเติมรายละเอียดของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ใน
ลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ำประกันในปีแรกเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยให้บังคับ ใช้กับทุกรายที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมอนุมัติค้ำประกันตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงวันที่ 31 ธันวา คม 2552 และขยายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อของแต่ละรูปแบบของ Portfolio Guarantee Scheme จากเดิมไม่เกินราย ละ 20 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน เป็นไม่เกิน 40 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน ตามที่กระทรวงการ คลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3199 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ 15 | พณ | 01/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ 15 (APEC
Ministers Responsible for Trade Meeting : APEC MRT) ระหว่างวันที่ 21-22 กรกฎาคม 2552 ณ ประเทศสิงค โปร์ โดยสาระสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการเจรจารอบโดฮาและประเด็นเจรจา ที่เป็นปัญหาและประเด็นสำคัญที่รัฐมนตรีหารือกันคือ ทำอย่างไรให้ new momentum ของความมุ่งมั่นทางการเมือง ซึ่งประกาศโดยผู้นำในการประชุม G20, OECD และกลุ่ม Cairns ส่งผลต่อความคืบหน้าของการเจรจาอย่างแท้จริง และหารือถึงการดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐิจที่ทำอยู่ และมีความเห็นร่วมกันในการขยายพันธกรณีที่จะไม่ใช้มาตร การกีดกันทางการค้าออกไปอีก 1 ปี จากเดิมที่ผู้นำเศรษฐกิจเอเปคเมื่อปี พ.ศ. 2551 ได้ตกลงกันไว้ รวมทั้งตกลงให้ มีกลไกติดตามการดำเนินมาตรการของสมาชิกในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้หารือเรื่องการเตรียม ความพร้อมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และมีความเห็นร่วมกันที่จะเสริมสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแบบมีส่วน ร่วมที่ยั่งยืน (inclusive growth) ที่จะต้องเสริมสร้างขีดความสามารถของสมาชิกในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (economic restructuring) และการปรับตัวของประชากรในสังคม (social resilience) เช่น การเสริมรายได้แก่ประชา ชน การสร้างหลักประกันทางสังคม การลงทุนด้านการศึกษา เป็นต้น นอกจากนี้ ได้มีการทบทวนความคืบหน้าการ ดำเนินงานการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดมากขึ้นในภูมิภาค (Regional Economic Integration : REI) ประกอบ ด้วยการเร่งรัดการเปิดเสรีการค้าการลงทุนที่พรมแดน (at the border) การปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ (behind the border) และการเสริมสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์และการขนส่ง (across the border)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3200 | การแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรตามโครงการส่งเสริมหรือสงเคราะห์ของรัฐ โครงการกองทุนที่ดินและโครงการบริการเครื่องจักรกลเพื่อปรับโครงสร้างการผลิต | กษ | 25/08/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามมติคณะกรรมการบริหารสินเชื่อเกษตรแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2551 เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 ที่เห็นชอบมาตรการจำหน่ายหนี้เงินกู้ของเกษตรกรโครงการกองทุนที่ดินที่ดำเนินงานไม่ประสบผลสำเร็จ ออกจากบัญชีกองทุนที่ดิน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 จำนวน 1,397 ราย ต้นเงิน 596,791,341 บาท ดอกเบี้ย 200,760,595.51 บาท รวมเป็นเงิน 797,551,936.15 บาท โดยไม่ขอเงินชดเชยจากรัฐบาล และเห็นชอบมาตร การจำหน่ายหนี้เงินกู้ ดอกเบี้ยค้างชำระเพื่อเกษตรกรรม ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 เป็นหนี้สูญ จำนวน 773 ราย ต้นเงิน 8,720,480.30 บาท ดอกเบี้ยและค่าปรับ 2,625,701.50 บาท รวมเป็นเงิน 11,346,181.80 บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรมีมาตรการควบคุมและ กำกับดูแลการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมโดยเฉพาะการตรวจสอบคุณสมบัติของเกษตร กรที่เข้าร่วมโครงการ ฯ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็น ควรเพิ่มศักยภาพในการปฏิรูปที่ดินให้เกษตรกรสามารถมีแหล่งทำกินและประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน โดยการ กำกับดูแลหน่วยงานในระดับพื้นที่ให้มีการดำเนินการตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด การพิจารณาให้ ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นในทุกกระบวนการ การป้องกันการสูญเสียที่ดินทำกินของเกษตรกร โดย ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรที่สำคัญ การพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ รวมทั้งการ เพิ่มขีดความสามารถขององค์กรเกษตรกร ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
