ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 151 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 3001 - 3020 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 3001 | ร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กก | 11/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๘ ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และการพัฒนากีฬาของชาติในปัจจุบัน โดยปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย คณะกรรมการกีฬาจังหวัด และบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับอำนาจและหน้าที่การบริหารงานตามแนวทางการปฏิรูประบบราชการ รวมทั้งกำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติขึ้นในการกีฬาแห่งประเทศไทย กำหนดหลักเกณฑ์ในการรับรองสมาคมกีฬา การขออนุญาต และการอนุญาตให้เป็นสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย และการเพิกถอนการรับรองหรือการอนุญาต ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3002 | แผนปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน พ.ศ. 2554 - 2555 | มท | 11/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๕ ที่มีเป้าหมายลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลงเหลือ ๑๔.๑๕ คนต่อประชากรหนึ่งแสน หรือประมาณ ๙,๐๑๒ คน ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยแผนปฏิบัติการฯ จัดทำขึ้นภายใต้แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๕ เน้นในเรื่องการลดปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสียชีวิตและบาดเจ็บรุนแรง และกำหนดให้การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเป็นแนวทางสำคัญในยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี รวมถึงให้จังหวัดพิจารณานำแผนปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัด พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๕ ไปดำเนินการให้บรรลุตามเป้าหมายของแผนปฏิบัติการที่กำหนด ตามที่ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เสนอ ๒. สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ ศปถ. แจ้งว่าเป็นแผนบูรณาการร่วมกันของ ๘ หน่วยงาน และต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ จำนวน ๑,๓๓๙.๘๒ ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จะขอใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๙๔.๐๘ ล้านบาท นั้น เนื่องจากสำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามภารกิจแล้ว ประกอบกับงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น มีจำนวนจำกัด และจะต้องเตรียมไว้รองรับภัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย ภัยแล้ง รวมทั้งภัยหนาว จึงเห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ได้รับจัดสรรไปดำเนินการก่อน ส่วนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเงินการคลังของประเทศตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้ ศปถ. รับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการฯ ควรแยกแผนงานด้านการรณรงค์และลดอุบัติเหตุ และแผนงานการพัฒนาระบบบริการด้านอุบัติเหตุออกจากกันให้ชัดเจน และข้อเสนอแนะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เห็นควรให้มีการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการตรวจสอบและประเมินผลการจัดทำแผนปฏิบัติการฯ และมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี นอกจากนี้ การกำหนดเป้าหมายการลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนควรสัมพันธ์กับปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งบูรณาการแผนปฏิบัติการฯ ให้เชื่อมโยงกับแผนปฏิบัติด้านความปลอดภัยทางถนนของกระทรวงคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ และแผนปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัด เพื่อให้การดำเนินงานเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3003 | รายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 | นร | 11/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นผู้ติดตามกำกับดูแลการดำเนินงานขององค์การมหาชน ๓ แห่ง ซึ่งจะต้องดำเนินการปรับปรุงองค์กรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง สรุปผลการประเมินองค์การมหาชนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒) คือ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับร้อยละของระดับความพึงพอใจในการให้บริการขององค์การมหาชนที่มีคะแนนต่ำกว่า ๓ ให้องค์การมหาชนดังกล่าวปรับปรุงบริการโดยกำหนดเป็นตัวชี้วัดให้มีน้ำหนักสูงขึ้น เพื่อมุ่งให้องค์การมหาชนดังกล่าวพัฒนาคุณภาพบริการให้ดียิ่ง รวมถึงองค์การมหาชนที่ได้คะแนนต่ำกว่า ๓ ในส่วนของตัวแปรชี้วัดความสำเร็จของการจัดทำต้นทุนต่อหน่วยผลผลิต ควรปรับปรุงให้มีระบบต้นทุนที่ดีขึ้น และโดยที่ในอนาคตกระแสโลกจะมุ่งไปสู่ “การเติบโตที่สมดุลระหว่างเศรษฐกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อม” การปรับตัวของประชาชนและภาคธุรกิจเพื่อนำไปสู่อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญ การซื้อขายคาร์บอนจะเป็นรายได้และรายจ่ายของธุรกิจระหว่างประเทศในอนาคต ดังนั้น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกจะต้องส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดความเข้าใจเข้าถึงของประชาชนและธุรกิจมากขึ้นกว่าปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นผู้ติดตาม กำกับดูแลการดำเนินงานขององค์การมหาชนทั้งหมดทั้งในเรื่องของงบประมาณและการแก้ไขปัญหาความซ้ำซ้อนกันในการปฏิบัติภารกิจของส่วนราชการ องค์การมหาชน รัฐวิสาหกิจ ที่มีการดำเนินการอยู่แล้ว โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการปฏิบัติงาน ว่าหน่วยงานใดควรเป็นผู้รับผิดชอบภารกิจนั้นต่อไป หรือควบรวมตลอดจนยุบเลิก เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจขององค์การมหาชนสามารถเสริมสร้างและสนับสนุนการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3004 | ร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการตรวจสอบและกักกันโรคสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและจีน | กษ | 11/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติจัดทำร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการตรวจสอบและกักกันโรคสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและจีน ๑.๒ อนุมัติในหลักการเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยกับกระทรวงควบคุมคุณภาพและตรวจสอบกักกันโรค (AQSIQ) แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้ หากมีการปรับปรุงแก้ไขร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการลงนามร่างพิธีสารฯ ๑.๔ อนุมัติให้ลงนามย่อ (Initial) ในร่างพิธีสารฯ ไปพลางก่อนได้ในกรณีที่มีความล่าช้าในขั้นตอนระหว่างการลงนามร่างพิธีสารฯ โดยผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และผู้แทนกระทรวงควบคุมคุณภาพและตรวจสอบกักกันโรค (AQSIQ) แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ระดับอธิบดี เป็นผู้ลงนามฝ่ายจีน ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับชนิดของผลไม้ที่นำเข้าต้องไม่ซ้ำซ้อนกับผลไม้ของไทยที่มีอยู่ในท้องตลาด และกำหนดปริมาณการนำเข้าเพื่อมิให้กระทบกระเทือนถึงเกษตรกรของไทยที่ปลูกผลไม้ด้วย รวมทั้งปริมาณการนำเข้าและส่งออกต้องสมดุลกันอย่างเหมาะสม ส่วนการตรวจสอบและกักกันโรคควรจัดเจ้าหน้าที่ให้พอเพียงแก่การดำเนินงานและต้องเข้มงวดอย่างจริงจัง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นเพิ่มเติมของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า หากสามารถจัดทำร่างพิธีสารฯ เพิ่มเติมโดยใช้เส้นทาง R 12 ได้ จะทำให้การขนส่งผลไม้จากไทยไปตลาดจีนสามารถดำเนินการได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3005 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 10/2553 | นร | 11/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเรื่อง ความก้าวหน้าของเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) และความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สาขาพัฒนาการท่องเที่ยว รวมทั้งเห็นชอบตามมติคณะกรรมการฯ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ตรวจสอบความชัดเจนของข้อกฎหมายที่รองรับหรือให้อำนาจการใช้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) สำหรับการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเสนอวัตถุประสงค์ หลักเกณฑ์ และแนวทางการจัดสรรเงินกู้ดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ โครงการที่ได้ดำเนินการและเบิกจ่ายแล้ว ติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการในด้านผลลัพธ์หรือผลสำเร็จของโครงการตามดัชนีชี้วัดที่กำหนดไว้ ๑.๒.๒ โครงการที่ยังไม่ได้ขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และโครงการที่ยังไม่เริ่มดำเนินการควรพิจารณายกเลิกโครงการและนำเงินมาใช้ในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยซึ่งมีความเร่งด่วนก่อน ๑.๒.๓ โครงการที่ขอขยายระยะเวลาการขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และขยายระยะเวลาการขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการออกไปเกินกว่าปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ควรตรวจสอบว่าโครงการดังกล่าวได้มีการผูกพันสัญญาไว้แล้วหรือไม่ หากยังไม่มีการผูกพันสัญญาควรพิจารณานำเงินมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยซึ่งมีความเร่งด่วนก่อน และหากเป็นโครงการที่มีวงเงินลงทุนสูงควรพิจารณาทางเลือกในการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนหรือจัดสรรงบประมาณดำเนินการจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ๒. สำหรับโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต วงเงิน ๒,๖๐๐ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓. เห็นชอบการปรับปรุงชื่อโครงการที่หน่วยงานเสนอเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในสาขาต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ อนุมัติไว้แล้ว ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๓.๑ จาก “โครงการช่วยเหลือและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ๘๖๓ รายการ” เป็น “โครงการช่วยเหลือและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย” ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วงเงิน ๔๒๗.๒๓ ล้านบาท ๓.๒ จาก “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย ๙๘ รายการ” เป็น “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย” ของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วงเงิน ๒๑๙.๙๕ ล้านบาท ๓.๓ จาก “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย ๙๘ รายการ (ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสำนักงานบ้านพักข้าราชการ)” เป็น “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย (ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสำนักงานบ้านพักข้าราชการ)” ของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วงเงิน ๑๔.๔๖ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3006 | แผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย | นร | 11/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามรายละเอียดของแผนปฏิบัติการฯ ต่อไป โดยให้สามารถปรับปรุงรายละเอียดของแผนปฏิบัติการฯ ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น แต่ต้องไม่เปลี่ยนหลักการ และให้มีการปรับปรุงแก้ไขข้อความและหน่วยงานดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ การสร้างความเป็นธรรมในสังคม ให้ปรับปรุงเป้าหมายการดำเนินการ เป็น ดังนี้ ๒.๑.๑ ลดคดีความและเพิ่มความยุติธรรมในชุมชนกว่าร้อยละ ๗๐ ผ่านเครือข่ายยุติธรรมชุมชน อาสาสมัครพิทักษ์ยุติธรรม และสถานียุติธรรม โดยสนับสนุนและขอความสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบลให้มีการจัดตั้งสถานียุติธรรมในทุกตำบล ๒.๑.๒ “จัดตั้งสายด่วนเยียวยา” ให้ประชาชนใช้เป็นช่องทางในการร้องเรียนและขอรับความช่วยเหลือหรือเยียวยาทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๒.๑.๓ จัดทำคู่มือและผังภาพขั้นตอนการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ๒.๑.๔ กำกับดูแลให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและประชาชนสามารถเข้าถึงความยุติธรรมและโอกาสในการใช้สิทธิทางกฎหมายได้อย่างทั่วถึง ๒.๑.๕ พิจารณากฎหมายที่มีส่วนก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทั้งนี้ หน่วยงานรับผิดชอบการดำเนินการตามข้อ ๒.๑ ให้ปรับปรุงแก้ไขเป็น ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานกระบวนการยุติธรรม ๒.๒ การใช้สื่อเพื่อสังคมทั้งในระดับประเทศและท้องถิ่นเป็นช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องและเป็นกลาง ให้ปรับปรุงเป้าหมายการดำเนินการ เป็น ดังนี้ ๒.๒.๑ ใช้สื่อท้องถิ่นในการนำเสนอ ผลิต และกระจายสื่อที่เกี่ยวกับการสร้างความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ประชาชนเข้าใจสิทธิ ขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมและเป็นช่องทางเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับประชาชน ๒.๒.๒ จัดให้มีรายการวิทยุ โทรทัศน์ และโครงการยุติธรรมเคลื่อนที่ที่จะอำนวยความยุติธรรมเพื่อประชาชน ๒.๒.๓ พัฒนาการจัดการความรู้ด้านกระบวนการยุติธรรมผ่านช่องทางสื่อดิจิตอล/สังคมออนไลน์ ทั้งนี้ หน่วยงานรับผิดชอบการดำเนินการตามข้อ ๒.๒ ให้ปรับปรุงแก้ไขเป็น ได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ๓. รับทราบกรอบงบประมาณ วงเงิน ๙,๑๙๐.๓๐ ล้านบาท และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ก่อนดำเนินการต่อไป ๔. อนุมัติกลไกและระเบียบวิธีการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ดังนี้ ๔.๑ ให้มีกลไกระดับชาติในการบูรณาการแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทยในลักษณะคณะกรรมการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีหน่วยงานกลางเป็นองค์ประกอบหลัก เช่น สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น ๔.๒ ให้มีคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ รวม ๔ ด้าน ประกอบด้วย ด้านการสร้างอนาคตของชาติ ด้วยการพัฒนาคน เด็กและเยาวชน ด้านยกระดับคุณภาพชีวิตและสวัสดิการสังคม ด้านการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การเมือง และความไม่เท่าเทียมในสังคม และด้านการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและเป็นธรรม ทั้งนี้ เพื่อกำกับและรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการระดับชาติ ตามข้อ ๔.๑ ๔.๓ จัดตั้งสำนักงานประสานงานร่วมภาคเอกชนในการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ขึ้นในสำนักนายกรัฐมนตรี ๕. เห็นชอบการจัดทำระบบการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการร่วมเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย ๖. ในส่วนของการให้สวัสดิการสังคมแก่ผู้ประกอบอาชีพในเศรษฐกิจนอกระบบ (ประกันสังคม มาตรา ๔๐) (โครงการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาเพื่อพัฒนาสิทธิประโยชน์ มาตรา ๔๐) ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการดำเนินการตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์ และอัตราการจ่ายเงินสมทบประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ พ.ศ. .... ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ เห็นชอบในหลักการไว้แล้ว ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ปรับปรุงแก้ไขหลักการเกี่ยวกับการพัฒนาสิทธิประโยชน์ของแรงงานให้เป็นไปตามหลักการในแผนปฏิบัติการฯ ด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3007 | การใช้เกณฑ์มาตรฐานและตัวชี้วัดความโปร่งใสที่กำหนดภายใต้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ของหน่วยงานภาครัฐ | นร | 04/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอเรื่อง การใช้เกณฑ์มาตรฐานและตัวชี้วัดความโปร่งใสที่กำหนดภายใต้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ นำไปทดลองปฏิบัติเพื่อให้การบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารและการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานและตัวชี้วัดอย่างมีมาตรฐานและแนวทางเดียวกัน รวมทั้งให้หน่วยงานสามารถประเมินผลการดำเนินการตามมาตรฐานและตัวชี้วัดโดยอัตโนมัติของตนเองได้จากระบบการประเมินผลตัวชี้วัด (KPI Management) ที่สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการสร้างขึ้น ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะจัดให้มีโครงการหน่วยงานนำร่องในการปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานและตัวชี้วัดดังกล่าวก่อน โดยเปิดรับสมัครหน่วยงานนำร่องและทำการอบรมให้ความรู้อย่างเข้มข้นเกี่ยวกับเกณฑ์มาตรฐานตัวชี้วัดความโปร่งใส และระบบสารสนเทศในการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารตามเกณฑ์มาตรฐานและตัวชี้วัดความโปร่งใสภายใต้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่จัดทำขึ้น เพื่อให้หน่วยงานนำร่องมีความรู้ความเข้าใจและสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง และสามารถรายงานผลการปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานผ่านระบบสารสนเทศฯ ได้ รวมทั้งได้พิจารณากำหนดให้หน่วยงานที่สมัครใจเป็นหน่วยงานนำร่องที่สามารถดำเนินการตามเกณฑ์มาตรฐานและตัวชี้วัดความโปร่งใสฯ ได้เกินระดับที่กำหนดในแต่และเกณฑ์มาตรฐานครบ ๑ ปี เป็นหน่วยงานที่จะได้รับโล่รางวัล โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้มอบรางวัล ๒. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายองอาจ คล้ามไพบูลย์) พิจารณาทบทวนอุปสรรคและปัญหาในการดำเนินการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ว่า สมควรจะต้องดำเนินการปรับปรุงพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ หรือไม่ และอย่างไร ส่วนดัชนีชี้วัดความโปร่งใสที่กำหนดภายใต้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รับไปประกอบการพิจารณาเพื่อทบทวนและปรับปรุงตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อน หรือไม่สอดคล้องกันด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3008 | การปรับปรุงสวัสดิการเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลพนักงาน สำนักงานธนานุเคราะห์ | พม | 04/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. ปรับปรุงค่าห้องและค่าอาหารในการเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการและสถานพยาบาลของเอกชนสำหรับพนักงาน จากเดิมเบิกได้ ๘๐๐ บาท/วัน เป็นเบิกได้ ๑,๐๐๐ บาท/วัน และบุคคลในครอบครัว จากเดิมเบิกได้ ๖๐๐ บาท/วัน เป็นเบิกได้ ๘๐๐ บาท/วัน ๒. ให้พนักงานมีสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกในกรณีที่ได้รับอันตรายแก่กายหรือเจ็บป่วย ให้ใช้สถานพยาบาลเอกชนหรือคลินิกแพทย์ ได้ครั้งละไม่เกิน ๕๐๐ บาท รวมปีละไม่เกิน ๓,๖๐๐ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3009 | รายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 4/2553 | นร | 04/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๔/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยมีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (นายธีรวัฒน์ ศิริวัณสานต์) เป็นประธานการประชุม สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบรายงานผลการดำเนินงานสำคัญของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และรายงานผลการฟื้นฟูผู้ประสบภัยพิบัติ อุทกภัย วาตภัย ดินถล่ม และภัยหนาว ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งรายงานผลการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งรายงานแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวไทย โดยผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๒. ที่ประชุมมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ดังนี้ ๒.๑ ควรมีการตรวจสอบความมั่นคงของหน้าดินและสาเหตุจากธรรมชาติว่าดินถล่มเพราะอะไร และควรมีมาตรการป้องกันการกีดขวางทางน้ำหรือพื้นที่ที่ป่าไม้ถูกทำลายจากสาเหตุต่าง ๆ จนทำให้เกิดปัญหาอุทกภัยและดินถล่ม ๒.๒ การดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬายังขาดการประสานงานที่ดี ๒.๓ เสนอให้นำกีฬาว่ายน้ำ (เด็กเล็ก) บรรจุเข้าในหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ และเสนอให้ใช้แหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่จัดเป็นสถานที่ฝึกเรียนว่ายน้ำ ๒.๔ เสนอให้คณะรัฐมนตรีมีการพิจารณาปัญหาของประเทศในเชิงบูรณาการเรื่องที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงต่าง ๆ มีแผนแม่บทเพื่อเป็นแนวทางที่ชัดเจน / การส่งเสริมการท่องเที่ยวควรมีแผนบูรณะสถานที่ท่องเที่ยวแผนแม่บทในการฟื้นฟูสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้สวยงาม และทำให้เห็นวัฒนธรรมสองฝั่งแม่น้ำ มีการชดเขยที่เป็นธรรมและให้ผลประโยชน์ร่วมกับประชาชน / การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางรถไฟ เน้นเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวก ความสะอาด เรื่องราคาและความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ๒.๕ การปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จำนวน ๔๔ แห่งทั่วประเทศ กระทรวงวัฒนธรรมยังขาดงบประมาณในการปรับปรุง จึงขอรับสนับสนุนงบประมาณดังกล่าวด้วย ๒.๖ ควรมีการส่งเสริมและสนับสนุนนักกีฬาให้ครบวงจร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3010 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 4/2553 | นร | 04/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เสนอผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (รชต.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการปรับแผนการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อไปฟื้นฟูปัญหาน้ำท่วม จำนวน ๔๕.๐๐ ล้านบาท ตามที่กรมประชาสัมพันธ์เสนอ ๒. อนุมัติการปรับแผนการดำเนินโครงการปรับปรุงหออภิบาลผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อไปใช้ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม จำนวน ๑๕๐.๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3011 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 04/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๖ ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ ยกเลิกระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับศพข้าราชการและลูกจ้างประจำของทางราชการซึ่งถึงแก่ความตายในระหว่างเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๐๙ ๑.๒ แก้ไขการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับค่าพาหนะในการเดินทางเพื่อไปปลงศพหรือพาหนะ และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวกับการส่งศพกลับของข้าราชการและลูกจ้างประจำของทางราชการ จากเดิมที่ให้จ่ายได้เฉพาะข้าราชการและลูกจ้างประจำ เปลี่ยนเป็นให้จ่ายแก่ผู้เดินทางไปราชการซึ่งมีทั้งข้าราชการ ลูกจ้างประจำของส่วนราชการ และพนักงานราชการ ๑.๓ กำหนดหลักเกณฑ์การเบิกค่าเช่าที่พักในลักษณะเหมาจ่ายและลักษณะจ่ายจริง โดยอัตราค่าเช่าที่พักให้เบิกตามบัญชี ๓ ท้ายระเบียบ ๑.๔ แก้ไขชื่อตำแหน่งให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ สำหรับการเบิกจ่ายค่าพาหนะเดินทางโดยรถไฟ ๑.๕ แก้ไขชื่อตำแหน่งให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ สำหรับการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศกรณีเดินทางไปปฏิบัติภารกิจร่วมกับหัวหน้าคณะ ๑.๖ แก้ไขให้ผู้เดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราวสามารถเบิกค่าเครื่องแต่งตัวได้ทุก ๒ ปี นับจากปีที่ได้รับค่าเครื่องแต่งตัว ๑.๗ แก้ไขตำแหน่งข้าราชการในบัญชีหมายเลข ๒, ๓, ๖, ๗, ๘ และ ๑๐ ท้ายระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ (ร่างข้อ ๙) ทั้งนี้ ปรับเพิ่มอัตราเบี้ยเลี้ยงเดินทางในราชอาณาจักร (บัญชีหมายเลข ๒) และปรับอัตราค่าเช่าที่พักในราชอาณาจักร (บัญชีหมายเลข ๓) ให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เกี่ยวกับกรณีการเดินทางไปราชการเป็นหมู่คณะ โดยเฉพาะในการเดินทางไปราชการในต่างประเทศต้องพักแรมรวมกันสองคนต่อหนึ่งห้อง โดยให้เบิกค่าเช่าที่พักได้เท่าที่จ่ายจริงในอัตราค่าเช่าห้องพักคู่คนละไม่เกินร้อยละเจ็ดสิบของอัตราค่าเช่าห้องพักคนเดียว เนื่องจากโรงแรมในต่างประเทศส่วนใหญ่มีห้องพักขนาดเล็กและจัดห้องพักในลักษณะเตียงเดี่ยว โดยห้องพักซึ่งเป็นเตียงเดี่ยวสองเตียงมีจำนวนน้อยหรือแทบไม่มีเลย การกำหนดให้ข้าราชการดังกล่าวต้องพักรวมกันสองคนจะไม่สะดวกในทางปฏิบัติ นอกจากนี้ การกำหนดหลักเกณฑ์การเบิกเบี้ยเลี้ยงเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราวและค่าใช้จ่ายอื่น ควรปรับปรุงแก้ไขให้สามารถใช้บริการของเอกชนในการอำนวยความสะดวก เช่น จัดหายานพาหนะและที่พักให้แก่ข้าราชการที่เดินทางไปราชการในต่างประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาความเหมาะสมจำเป็นในการปรับปรุง แก้ไข กฎหมายในเรื่องนี้ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3012 | กำหนดให้มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรเป็นมาตรการถาวร | กค | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบกำหนดให้มีมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างองค์กรเป็นมาตรการถาวร ไม่มี กำหนดระยะเวลา เพื่อให้กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรเป็นไปอย่างต่อเนื่อง อันจะเป็นการเพิ่มประสิทธิ ภาพในการดำเนินงานของบริษัท ช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ตลอดจนเป็น การสอดคล้องกับการดำเนินการตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่ผู้ประกอบกิจ การซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัด หรือบริษัทจำกัด ที่เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน สำหรับมูลค่าของฐานภาษี รายรับ หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องมาจากการโอนกิจการบางส่วนให้แก่กัน และให้ส่งสำนักงานคณะกรรม การกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3013 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการ กรณีการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผล | กค | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการ กรณีการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผล มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้บริษัทมีการควบรวมกิจการหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างกิจการตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย และช่วยให้การจัดเก็บภาษีจากเงินปันผลเป็นมาตรฐานเดียวกันกับกรณีที่ไม่ได้มีการควบรวมกิจการหรือโอนกิจการทั้งหมดซึ่งสอดคล้องกับหลักการดำเนินกิจการต่อเนื่อง ตลอดจนช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับบริษัท และทำให้ฐานภาษีของรัฐบาลเพิ่มขึ้นในระยะยาว ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผลที่ได้จากบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือเงินส่วนแบ่งกำไรที่ได้จากกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ให้แก่ ๒.๑ บริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัดใหม่อันได้ควบเข้ากันหรือเป็นผู้รับโอนจากการโอนกิจการทั้งหมดให้กัน เป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไรที่ได้รับ ๒.๒ บริษัทตาม ๒.๑ ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนหรือเป็นบริษัทที่ถือหุ้นในบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕ ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง โดยบริษัทจำกัดผู้จ่ายเงินปันผลไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทนั้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม เป็นจำนวนเท่ากับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไรที่ได้รับ ทั้งนี้ บริษัทตาม ๒.๑ และ ๒.๒ ได้ถือหุ้นหรือหน่วยลงทุนที่ก่อให้เกิดเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไรไม่น้อยกว่า ๓ เดือนนับแต่วันที่ได้หุ้นหรือหน่วยลงทุนนั้นมาจนถึงวันที่มีเงินได้ดังกล่าว และยังคงถือหุ้นหรือหน่วยลงทุนนั้นต่อไปอีกไม่น้อยกว่า ๓ เดือนนับแต่วันที่มีเงินได้ โดยให้นับระยะเวลาระหว่างที่บริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัดเดิมอันได้ควบกันหรือเป็นผู้โอนกิจการที่ต้องจดทะเบียนเลิกได้ถือหุ้นหรือหน่วยลงทุนนั้นรวมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3014 | การขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ | กค | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยลดระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระบบอันเป็นการลดต้นทุนการจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงินตามแผนการพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ และเพื่อช่วยลดภาระภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ รวมทั้งสนับสนุนให้ภาคเอกชนสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศ รวม ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ อนุมัติหลักการ ๒.๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรแก่ลูกหนี้และเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ๒.๑.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของเจ้าหนี้ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือของเจ้าหนี้อื่นที่เจรจาและตกลงปรับปรุงโครงสร้างหนี้ร่วมกับสถาบันการเงินออกไปอีก สำหรับส่วนของหนี้ที่ได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒.๒ เห็นชอบในหลักการ ๒.๒.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ๒.๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3015 | การดำเนินโครงการ "2554 ปีแห่งความปลอดภัย" | คค | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแผน “คมนาคมปลอดภัย สังคมไทยเป็นสุข” ตามโครงการ “๒๕๕๔ ปีแห่งความปลอดภัย ดังนี้
๑. วัตถุประสงค์ เพื่อลดจำนวนอุบัติเหตุในสายทางหลักและสายรองทั่วประเทศ โดยการบริหารจัดการและปรับปรุงถนนตามหลักวิศวกรรมจราจรและงานทาง รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตในการเดินทางของประชาชนทั่วประเทศบนถนนนำร่องในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ๒. แนวทางการดำเนินการ ได้แก่ การปรับปรุงเส้นทางให้ดีพร้อมทั้งผิวทาง ไหล่ทาง เครื่องหมาย อุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย เกาะกลาง ทางเข้าออกของทางร่วมทางแยก เครื่องหมายเตือนบริเวณก่อสร้าง ฯลฯ พร้อมตรวจสอบความปลอดภัยของถนนทุก ๓ เดือน การให้ความรู้ควบคู่การประชาสัมพันธ์แก่ผู้ใช้ทาง ประชาชนสองข้างทาง และชุมชนในพื้นที่ และการให้หน่วยงานโดยเฉพาะตำรวจทางหลวงเข้มงวดกับผู้ขับขี่ และประชาชนต้องเข้าใจ รักษาวินัย ปฏิบัติตามกฎและเครื่องหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ๓. เส้นทางนำร่อง ระยะแรกกำหนดเส้นทางนำร่อง ๕ สายทาง ใน ๕ ภูมิภาคทั่วประเทศให้เป็น “ถนนสีขาว ถนนแห่งความปลอดภัย” ได้แก่ ภาคกลาง ทางหลวงหมายเลข ๓๐๕ และ ๓๔๒๘,๓๐๕๒ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทางหลวงหมายเลข ๒ (ถนนมิตรภาพ) ภาคตะวันออก ทางหลวงหมายเลข ๓ (ถนนสุขุมวิท) ภาคเหนือ ทางหลวงหมายเลข ๑๒ (สาย East - West) และภาคใต้ ทางหลวงหมายเลข ๔ (ถนนเพชรเกษม) และระยะต่อไป จะพิจารณาแนวสายทางและช่วงกิโลเมตรที่จะกำหนดให้เป็น “ถนนสีขาว ถนนแห่งความปลอดภัย” จังหวัดละ ๑ สาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3016 | การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 และความตกลงเกี่ยวกับการอนุวัติภาค 11 ของอนุสัญญาฯ | กต | 21/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ และภาคยานุวัติความตกลงเกี่ยวกับการอนุวัติภาค ๑๑ ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ฉบับลงวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๕ และเห็นชอบคำประกาศตามข้อ ๒๙๘ และคำประกาศตามข้อ ๓๑๐ ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ และให้เสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนดำเนินการให้มีผลผูกพันต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตรวจสอบบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของตนว่าจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่ตนรับผิดชอบหรือไม่ เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ และหากเห็นว่าจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าวก็ให้เร่งดำเนินการ โดยอาจจัดทำเป็นแผนพัฒนากฎหมายต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการกฎหมายทะเลและเขตทางทะเลของประเทศไทยเป็นกลไกประสานงานเพื่อการบูรณาการการพัฒนากฎหมายให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ โดยประสานกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกำหนดแนวทางการจัดทำแผนพัฒนากฎหมายตามข้อ ๒ ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3017 | ยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศในช่วงการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง พ.ศ. 2552 - 2561 | ศธ | 21/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศในช่วงการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๖๑ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปจัดทำแผนปฏิบัติการให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) สำนักงาน ก.พ.ร. และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เกี่ยวกับการปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาให้ใช้ไอซีทีมาเป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนเพิ่มมากขึ้น การเพิ่มศักยภาพบุคลากรครูในสถาบันการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง อบรม/พัฒนาทักษะด้านไอซีทีให้กับครู การพัฒนาทักษะและความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Literacy) และการรู้เท่าทันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสารอย่างสร้างสรรค์ (Information Literacy) ของประชาชนให้สามารถใช้ประโยชน์จากบริการบรอดแบนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกระตุ้นความสนใจและสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเป็นฐานในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กและเยาวชนในการเลือกสายวิทยาศาสตร์ ตลอดจนเลือกที่จะประกอบอาชีพนักวิจัยในอนาคต รวมทั้งการปรับแก้ไขกฎระเบียบและจัดทำมาตรการส่งเสริมให้มีการเคลื่อนย้าย (mobility) หรือแลกเปลี่ยนบุคลากรวิจัยระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อบุคลากรวิจัยได้พัฒนาศักยภาพของตนเองและเกิดเครือข่ายการวิจัยและพัฒนาที่เข้มแข็ง การจัดทำแผนกำลังคนเพื่อให้ใช้อัตรากำลังที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การผลิตและพัฒนากำลังคนด้านอาชีวศึกษาและพัฒนาสมรรถนะและขีดความสามารถของกำลังแรงงานโดยเน้นความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและสถานประกอบการเอกชนซึ่งเป็นผู้ใช้กำลังแรงงานส่วนใหญ่ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของธุรกิจได้อย่างแท้จริงและสอดคล้องกับการปรับบทบาทภารกิจของรัฐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศ ควรมีความชัดเจนทั้งในด้านจำนวนและกลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกับความต้องการในการพัฒนาประเทศ ทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชน โดยหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการบูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทยเข้าร่วมด้วย เพื่อให้สำนักงบประมาณสามารถใช้เป็นกรอบในการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้อย่างสอดคล้องเหมาะสมต่อไป โดยประเด็นการปฏิรูปการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการควรให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ควรครอบคลุมถึงทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษและการปรับเปลี่ยนทัศนคติและค่านิยมในการศึกษาสายอาชีวศึกษาของนักเรียนนักศึกษา เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3018 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ความปลอดภัยของอาคารสถานบริการประเภทสถานบันเทิง บทเรียนจากกรณีซานติก้าผับ" | สสป | 21/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ความปลอดภัยของอาคารสถานบริการประเภทสถานบันเทิง บทเรียนจากกรณีซานติก้าผับ” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมโยธาธิการและผังเมือง กรุงเทพมหานคร และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับปรุงกฎหมาย ๑.๑ ปรับปรุงกฎหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของสถานบริการที่มีผู้ใช้บริการแออัด หรือมีการจำหน่ายสุรา เช่น การกำหนดจำนวนผู้ใช้บริการ การห้ามใช้วัสดุที่ลามไฟง่ายในการตกแต่งอาคาร การมีระบบป้องกันและบรรเทาภัย เป็นต้น โดยออกเป็นกฎหมายเฉพาะสำหรับควบคุมอาคาร สถานบริการ และอาคารชุมนุมคน และปรับใช้มาตรฐานการออกแบบและก่อสร้างอาคารสถานบริการตามที่วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ (วสท.) กำหนดไว้ ๑.๒ กำหนดให้อาคารสถานบริการทุกประเภทต้องทำประกันภัย ความรับผิดชอบตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของบุคคลภายนอก โดยมีบทลงโทษกรณีไม่ทำประกันภัยดังกล่าว ๑.๓ ปรับปรุงพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจห้ามบริการที่อาจเป็นอันตรายต่อประชาชน ๑.๔ ออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๘ ของพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้ครบถ้วนทั้ง ๑๖ หลักเกณฑ์ และปรับปรุงพระราชบัญญัติควบคุมอาคารให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ๒. การบังคับใช้กฎหมาย ๒.๑ มีระบบตรวจการใช้อาคารและการบังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคาร กฎหมายสถานบริการ และกฎหมายการสาธารณสุข เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าอาคารสถานบริการต่าง ๆ ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วน ๒.๒ บูรณาการการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกฎหมายต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการประสานข้อมูลและพัฒนารูปแบบการตรวจสอบร่วมกัน ๒.๓ มีนโยบายชัดเจนในการปิดสถานบริการที่ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างต่อเนื่อง และลงโทษพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย ๒.๔ คุ้มครองแรงงานภาคบริการให้ได้รับสวัสดิการและความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน ๓. การมีส่วนร่วม ๓.๑ รณรงค์ให้ประชาชนมีสำนึกเรื่องความปลอดภัย และพัฒนาการเรียนการสอนในหลักสูตรการศึกษาระดับต่าง ๆ ในเรื่องดังกล่าว ตลอดจนให้ความรู้แก่เจ้าของอาคาร ผู้ใช้บริการ เพื่อให้รู้จักหน้าที่และมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการใช้บริการสาธารณะ ๓.๒ กำหนดให้องค์กรวิชาชีพที่เป็นกลางและไม่แสวงหากำไรมีส่วนร่วมในการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของอาคาร ๓.๓ กำหนดให้มีการปิดประกาศหรือเผยแพร่ข้อมูลผลการตรวจสอบหรือมาตรฐานความปลอดภัยของอาคารสาธารณะต่าง ๆ ๓.๔ เผยแพร่ข้อมูลสถานบริการต่าง ๆ ที่ได้รับอนุญาตและดำเนินการโดยถูกต้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3019 | การปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ (โดยเพิ่มกรรมการอีกจำนวน 9 คน) | นร | 21/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ โดยเพิ่มกรรมการอีกจำนวน ๙ คน ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. หน่วยงานภาครัฐ จำนวน ๓ คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ๒. ปราชญ์ชาวบ้าน จำนวน ๖ คน ได้แก่ นายอัษฎางค์ สีหาราช พระมหาสุภาพ พุทธวิริโย ดร.แสวง รวยสูงเนิน นายวิจิตร บุญสูง นายธีระ วงษ์เจริญ และนายพงศา ชูแนม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3020 | ขอความเห็นชอบการปรับปรุงสภาพการจ้างเกี่ยวกับการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานและลูกจ้างประจำ กปภ. กรณีเงินเดือนเต็มขั้น | มท | 21/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงสภาพการจ้างเกี่ยวกับการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษให้แก่หน่วยงานและลูกจ้างประจำการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) กรณีเงินเดือนเต็มขั้น ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลนับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๑ กรณีได้รับพิจารณาระดับการให้ผลตอบแทนหนึ่งขั้น แต่เงินเดือนเต็มขั้น ให้ได้รับเงินตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๒ ของอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ถึงขั้นสูงของอันดับหรือตำแหน่ง (ไม่กำหนดโควตา) ๑.๒ กรณีได้รับพิจารณาระดับการให้ผลตอบแทนหนึ่งขั้นครึ่ง แต่เงินเดือนเต็มขั้นให้ได้รับเงินตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๔ ของอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ถึงขั้นสูงของอันดับหรือตำแหน่ง (ไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของจำนวนพนักงานเงินเดือนเต็มขั้น) ๑.๓ กรณีได้รับพิจารณาระดับการให้ผลตอบแทนสองขั้น แต่เงินเดือนเต็มขั้นให้ได้รับเงินตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๖ ของอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ถึงขั้นสูงของอันดับหรือตำแหน่ง (ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของจำนวนพนักงานเงินเดือนเต็มขั้น) ๑.๔ กรณีไม่ได้รับพิจารณาให้ได้รับเงินตอบแทนพิเศษ ให้เบิกจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างในอัตราขั้นสูงของตำแหน่งระดับเดิม ทั้งนี้ การจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษดังกล่าวไม่ถือเป็นค่าจ้าง และมีลักษณะการจ่ายเป็นการชั่วคราว รวมทั้งไม่เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ แก่พนักงานและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจดังกล่าว ๒. ให้ผู้ว่าการ กปภ. รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับกรณีประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัดยังประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับการอุปโภคและบริโภค และปัญหาเรื่องคุณภาพน้ำ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
