ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 141 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2801 - 2820 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2801 | ขออนุมัติต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน 800 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) สำหรับใช้ในกรณีที่ รฟท. อาจขาดเงินทุนหมุนเวียนในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินงาน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้ รฟท. ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานะการเงิน เน้นการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ควบคู่ไปกับการควบคุมและลดค่าใช้จ่ายลงเพื่อบรรเทาภาวะการขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว และเนื่องจาก รฟท. มีโครงการที่จะต้องดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว โดยใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมากทั้งโครงการปรับปรุงทาง โครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง จึงเห็นควรเร่งรัดพิจารณาแผนการปรับโครงสร้างองค์กร แผนการปรับปรุงประสิทธิภาพและศักยภาพการให้บริการ และแผนการบริหารจัดการหน่วยธุรกิจของ รฟท. เพื่อให้สามารถสร้างรายได้ที่เพียงพอกับการชำระหนี้ที่มีอยู่เดิมและภาระการลงทุนในอนาคต แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2802 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 3/2555 | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต โดยได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีตามผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ จังหวัดภูเก็ต และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม และรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๘ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ โครงการขยายถนนฝั่งอันดามัน (ทางหลวงหมายเลข ๔) ให้เป็นถนน ๔ ช่องทางจราจรทั้งระบบ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเร่งรัดดำเนินการโครงการดังกล่าว ตั้งแต่แยกปฐมพร จังหวัดชุมพร - ระนอง - พังงา - ตรัง เชื่อมทางหลวงหมายเลข ๔๐๔ - หมายเลข ๔๑๖ และหมายเลข ๔๑๘๔ - ด่านวังประจัน จังหวัดสตูล โดยให้ยึดเส้นทางเพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเป็นหลัก และคำนึงถึงหลักความปลอดภัยในการเดินทางของนักท่องเที่ยวและประชาชน ๒.๑.๒ โครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้ (เส้นทางกรุงเทพฯ - ชุมพร - สุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการพัฒนาเร่งรัดระบบโครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้ (เส้นทางกรุงเทพฯ - ชุมพร - สุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์) ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาระบบรางและรถไฟความเร็วสูงที่กระทรวงคมนาคมได้ศึกษาไว้ รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรางให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๒.๑.๓ โครงการ “ทางรถไฟสายอันดามัน” ที่ประชุมมีมติให้ สทท. ศึกษาความเป็นไปได้ และจัดทำรายละเอียดของโครงการทั้งปริมาณการขนส่ง ผู้โดยสารและสินค้า ความคุ้มค่าในการลงทุน ตลอดจนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ๒.๑.๔ การศึกษาโอกาสและความเป็นไปได้ในการพัฒนาสนามบินในกลุ่มพื้นที่อันดามัน (สนามบินนานาชาติภูเก็ต สนามบินกระบี่ และสนามบินตรัง) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อศึกษาแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการของท่าอากาศยานทั่วประเทศ ทั้งในด้านการแก้ไขปัญหาความแออัดและการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร การจัดเตรียมอัตรากำลังของภาครัฐที่เหมาะสม การปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของท่าอากาศยาน รวมทั้งการบริหารจัดการของท่าอากาศยาน และความเป็นไปได้ในการจัดจ้างหน่วยงานภายนอกมาให้บริการ โดยให้ สทท. จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการดำเนินงานของคณะทำงานต่อไป ๒.๑.๕ การอำนวยพิธีการตรวจคนเข้าเมือง เข้า - ออก ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) ซึ่งมีมติให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง และ สทท. แก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวและรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาภาพรวมการปรับปรุงการให้บริการ ณ จุดตรวจคนเข้าเมือง โดยพิจารณารูปแบบ เทคโนโลยี และกำลังพลที่เหมาะสม และให้หารือกับกระทรวงคมนาคมในเรื่องความเพียงพอของพื้นที่กายภาพที่จะให้บริการ ๒.๑.๖ โครงการบ้านปลาเฉลิมพระเกียรติทะเลไทย (ปะการังเทียม) ฝั่งอันดามัน ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบูรณาการโครงการดังกล่าวและข้อเสนอของภาคเอกชนทั้งในเรื่องการกำหนดพื้นที่ เทคนิคการวางปะการัง งบประมาณที่เหมาะสม และการร่วมกันรับภาระค่าใช้จ่ายระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๒.๑.๗ การเร่งรัดดำเนินการ เรื่อง แนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) เกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการจัดทำบัญชีไม้ การกำหนดค่ามาตรฐานในการแปลงค่าน้ำหนักเป็นปริมาตรเพื่อประกอบการจัดทำบัญชีไม้ และปรับปรุงการออกใบอนุญาตและต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานแปรรูปไม้ยางพารา ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการพิจารณาการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๒.๑.๘ กลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาและการแก้ปัญหาที่สามารถปฏิบัติและหวังผลได้ในกลุ่มจังหวัดอันดามัน โดยการจัดตั้ง “คณะกรรมการการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวจังหวัดเชิงปฏิบัติการ” ทำหน้าที่ติดตามความก้าวหน้าของงานด้านต่าง ๆ จากหน่วยงานที่รับผิดชอบ และเสนอโครงการต่อนายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ที่ประชุมมีมติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดรูปแบบของกลไกที่สามารถขับเคลื่อนการบูรณาการการแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวทั้งในระดับภาพรวม และระดับพื้นที่/กลุ่มจังหวัด ๒.๒ ข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรี จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ ๒.๒.๑ การแก้ปัญหาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับจังหวัดในการแก้ไขปัญหาระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะด้านความเพียงพอและคุณภาพการให้บริการ ๒.๒.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมแต่งตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาความแออัดของสนามบินภูเก็ต การให้บริการ และการบริหารจัดการสนามบิน ๒.๒.๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยและจังหวัดรับไปดำเนินการในเรื่องระบบบำบัดน้ำเสียและกำจัดขยะ รวมทั้งเรื่องน้ำประปาไม่เพียงพอ ๒.๒.๒ การแก้ไขปัญหาหลอกลวงเอาเปรียบนักท่องเที่ยวและปัญหาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นคุกคามผู้ประกอบการ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาดำเนินการ โดยเร่งพัฒนายกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ๒.๒.๓ การแก้ปัญหาการบุกรุกของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และคุณภาพของชายหาดและน้ำทะเลของชายหาดสาธารณะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของกลุ่มจังหวัดอันดามัน ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและพื้นที่ (จังหวัด ท้องถิ่น และสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว) ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาในการพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ๒.๒.๔ การสร้างศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดอันดามันเพื่อตอบสนองแนวโน้มการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ โดยเห็นควรส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวทางทะเลในกลุ่มจังหวัดสามเหลี่ยมอันดามัน (ภูเก็ต - กระบี่ - พังงา) เพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวระดับบน และส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของตลาดที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ๒.๒.๕ การแก้ปัญหาพื้นที่ป่าชายเลนเริ่มเสื่อมโทรม ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์กรภาคเอกชน และประชาชนร่วมกันดำเนินกิจกรรมการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และมาตรการดูแลและป้องกันผลกระทบที่มีต่อพื้นที่ป่าชายเลนในพื้นที่ ๒.๓ เรื่องอื่นที่ ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๒.๓.๑ การเร่งรัดการขยายด่านศุลกากรสะเดา ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดกระบวนการเจรจาความตกลงกับประชาชนและจ่ายค่าผลอาสินโดยเร็ว เพื่อให้สามารถพัฒนาบริการของด่านศุลกากรสะเดาต่อไป ๒.๓.๒ การขยายระยะเวลาการใช้มาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการการขยายระยะเวลาการใช้มาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๒.๓.๓ การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาศึกษารายละเอียดให้รอบครอบ โดยคำนึงถึงมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒.๓.๔ การจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้อย่างเต็มรูปแบบในระยะที่ ๒ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2803 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน รวม 5 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดภูเก็ต วันที่ 20 มีนาคม 2555 | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง และระนอง) รวม ๕ จังหวัด จำนวน ๑๑๗ โครงการ ประมาณการวงเงินรวม ๘๔,๐๖๔ ล้านบาท ได้แก่ ๑.๑.๑ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม/เกษตร วงเงิน ๗,๖๓๘ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) ทรัพยากรน้ำ วงเงิน ๔,๕๗๘ ล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำดิบ และโครงการป้องกันปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง และ (๒) สิ่งแวดล้อมและเกษตร วงเงิน ๓,๐๖๐ ล้านบาท เป็นโครงการเพิ่มศักยภาพชุมชนในการสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากผลิตภัณฑ์การเกษตรที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตในพื้นที่ การฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล การบำบัดน้ำเสีย และกำจัดกากตะกอนจุลินทรีย์ รวมถึงขยะมูลฝอยในชุมชนแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๑.๑.๒ ด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ วงเงิน ๕๙,๓๕๘ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) ระบบขนส่งทางบก วงเงิน ๓๑,๗๑๓ ล้านบาท เป็นโครงการด้านการพัฒนาโครงข่ายถนนเชื่อมระหว่างจังหวัด ปรับปรุงประสิทธิภาพทางหลวง ก่อสร้างสถานีขนส่งผู้โดยสาร (๒) ระบบขนส่งทางราง วงเงิน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าขนาดเบารอบเกาะภูเก็ตและเส้นทางสนามบิน (๓) ระบบขนส่งทางอากาศ วงเงิน ๕๙๕ ล้านบาท เป็นการปรับปรุงท่าอากาศยานในภูมิภาค จำนวน ๒ แห่ง ได้แก่ โครงการศึกษาการพัฒนาทางวิ่ง (Runway) ท่าอากาศยานภูเก็ต และโครงการงานขยายลานจอดเครื่องบินและก่อสร้างทางขับท่าอากาศยานตรัง (๔) ระบบขนส่งทางน้ำ วงเงิน ๓๕๗ ล้านบาท เป็นโครงการก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว ๒ แห่ง (จังหวัดพังงา และระนอง) และโครงการพัฒนาระบบควบคุมการจราจรทางน้ำจังหวัดภูเก็ต และ (๕) ระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ วงเงิน ๑,๖๙๓ ล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาระบบประปาหรือท่อส่งน้ำ และโครงการจัดตั้งศูนย์ราชการก่อสร้างศาลากลางจังหวัด ๑.๑.๓ ด้านเศรษฐกิจ วงเงิน ๑,๔๐๓ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) การค้าการลงทุน วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท ได้แก่ การก่อสร้างศูนย์ประสานงานและบริการด้านการต่างประเทศและเทคโนโลยีการสื่อสาร เพื่อรองรับการท่องเที่ยว และการจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ และ (๒) การท่องเที่ยว วงเงิน ๖๐๓ ล้านบาท เป็นการปรับปรุงภูมิทัศน์และสิ่งอำนวยความสะดวกแหล่งท่องเที่ยว การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และแหล่งเรียนรู้ทางระบบนิเวศ ๑.๑.๔ ด้านสังคม วงเงิน ๑๔,๓๐๒ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) ด้านสาธารณสุข วงเงิน ๔,๒๘๔ ล้านบาท เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ป่วย และการให้สวัสดิการแก่บุคลากรทางการแพทย์ (๒) ด้านการศึกษา วงเงิน ๘,๙๘๑ ล้านบาท เป็นการพัฒนาและยกระดับการศึกษาและการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และ (๓) ด้านสังคม ศาสนา และวัฒนธรรม วงเงิน ๑,๐๓๗ ล้านบาท เป็นการก่อสร้างสนามกีฬา/ลานกีฬา ก่อสร้างอนุสรณ์สถาน อนุรักษ์/พัฒนาโบราณสถาน ปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ก่อสร้างศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลาม และอาคารหอศิลปวัฒนธรรม ๑.๑.๕ ด้านความมั่นคง วงเงิน ๑,๓๖๓ ล้านบาท เป็นการจัดหาอุปกรณ์ระบบสื่อสาร และระบบความปลอดภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับประชาชน บุคคลสำคัญ และนักท่องเที่ยว รวมทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านข้อมูลข่าวสารและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ ๑.๒ เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๓ โครงการ วงเงินรวม ๖๒๘ ล้านบาท ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว (ท่ามาเนาะห์) ตำบลเกาะยาวน้อย อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (๒) โครงการพัฒนาเกาะสุกรเป็นแหล่งท่องเที่ยวฝั่งอันดามัน (๓) โครงการเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (๔) โครงการบริหารจัดการน้ำรองรับการท่องที่ยวฝั่งอันดามัน (๕) โครงการแก้มลิงเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำจังหวัดภูเก็ต (๖) โครงการระบบท่อส่งน้ำจากโรงกรองน้ำบ้านบางโจไปยังท่าอากาศยานภูเก็ต (๗) โครงการพัฒนาระบบควบคุมการจราจรทางน้ำจังหวัดภูเก็ต (๘) โครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานบ้านพระยาวิชิตสงคราม ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต (๙) โครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง ถนนเจ้าฟ้าตะวันออก (๑๐) โครงการพัฒนาระบบตรวจจับรถยนต์วิ่งด้วยความเร็วเกินอัตราที่กำหนดและระบบตรวจจับรถยนต์ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรในเขตจังหวัดภูเก็ต (๑๑) โครงการเตรียมพื้นที่ ปรับปรุงพื้นที่ ถมดินบริเวณโครงการจัดตั้งศูนย์ราชการระดับจังหวัด จังหวัดพังงา (๑๒) โครงการก่อสร้างและปรับปรุงภูมิทัศน์อนุสรณ์สถานเรือ ต. ๘๑๓ (๑๓) โครงการปรับปรุงเส้นทางสายเพชรเกษม ช่วงเขาหลัก - บางเนียง (๑๔) โครงการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุ - ฉุกเฉิน และอุบัติภัยทางธรรมชาติ เพื่อรองรับคุณภาพชีวิตที่ดีและการท่องเที่ยว (๑๕) โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์สถานที่ท่องเที่ยวเขาช้างหาย (๑๖) โครงการการพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว (๑๗) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำจังหวัดตรัง (๑๘) โครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างยั่งยืน (๑๙) โครงการก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวเกาะพยาม (๒๐) โครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรของสถาบันเกษตรกร (๒๑) โครงการบูรณะฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากอุทกภัย (๒๒) โครงการจัดระบบป้องกันและการสื่อสารเพื่อจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน ฝั่งทะเล และเกาะแก่งจังหวัดระนอง (ระนองโมเดล) และ (๒๓) โครงการส่งเสริมและเพิ่มพูนรายได้เศรษฐกิจชุมขนโดยการจัดสร้างลานปาล์มชุมชน โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป ยกเว้นโครงการเตรียมพื้นที่ ปรับปรุงพื้นที่ ถมดินบริเวณโครงการจัดตั้งศูนย์ราชการระดับจังหวัด จังหวัดพังงา ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ก่อนทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๓ สำหรับแผนงาน/โครงการที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันเสนอในส่วนที่เหลือ ให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดส่งรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี และนำเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป เช่น โครงการอุโมงค์ลอดเข้าหาดป่าตอง โครงการก่อสร้างทางลอดทางยกระดับในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าขนาดเบารอบเกาะภูเก็ตและเส้นทางสนามบิน ให้กระทรวงคมนาคมรับไปดำเนินการ และโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของฝั่งทะเลอันดามันในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ให้จังหวัดกระบี่หารือภาคเอกชนเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป เป็นต้น ๑.๔ กรณีโครงการของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เช่น โครงการเพื่อก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกอำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี โครงการพัฒนาระบบขนส่งเชื่อมระหว่างเส้นทาง ๒ ฝั่งทะเล โครงการพัฒนาและก่อสร้างสนามบินอำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี มอบให้กระทรวงคมนาคม และโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ มอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป เป็นต้น ๒. ในส่วนของจังหวัดตรัง เห็นชอบให้เพิ่มโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีอีก ๑ โครงการ คือ โครงการก่อสร้างสะพาน คสล. ปากคลองลำขัน หมู่ที่ ๕ บ้านท่าเขา ตำบลลิพัง อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง วงเงิน ๓.๒๕ ล้านบาท และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2804 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันรวม ๔ จังหวัด (จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง) โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีไปดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ จังหวัดภูเก็ต ๑.๑.๑ เห็นชอบโครงการแก้มลิงเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ จังหวัดภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๕ ล้านบาท เพื่อดำเนินการขุดลอกขุมน้ำเฉลิมพระเกียรติ และขุมน้ำราชภัฏพร้อมก่อสร้างอาคารบังคับน้ำ ๑.๑.๒ เห็นชอบหลักการโครงการก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียบริเวณพื้นที่สามกอง เทศบาลนครภูเก็ต วงเงิน ๖๐ ล้านบาท โดยให้เทศบาลนครภูเก็ตบรรจุโครงการไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป ๑.๑.๓ เห็นชอบโครงการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียระยะที่ ๔ วงเงิน ๙๕ ล้านบาท โดยให้กองทุนสิ่งแวดล้อมเร่งรัดพิจารณาการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดำเนินโครงการ และโครงการก่อสร้างอาคารกำจัดกากตะกอนจุลินทรีย์ วงเงิน ๖๕ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการต่อไป ๑.๑.๔ เห็นชอบโครงการระบบท่อส่งน้ำจากโรงกรองน้ำบ้านบางโจไปยังท่าอากาศยานภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒๕ ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณ ๔๙.๖๘ ล้านบาท งบประมาณที่เหลือ จำนวน ๒๔.๖๘ ล้านบาท ให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) สมทบงบประมาณดำเนินการ ๑.๑.๕ เห็นชอบโครงการพัฒนาระบบควบคุมการจราจรทางน้ำจังหวัดภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท และให้มีการประชาสัมพันธ์การให้บริการแบบ One Stop Service ๑.๑.๖ เห็นชอบโครงการพัฒนาระบบตรวจจับรถยนต์วิ่งด้วยความเร็วเกินอัตราที่กำหนดและระบบตรวจจับรถยนต์ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรในเขตจังหวัดภูเก็ต โดยจัดลำดับความสำคัญของจุดติดตั้งระบบตรวจจับความเร็วรถยนต์ในพื้นที่ถนนหลัก จากเดิม ๖ จุด ลดเหลือ ๓ จุดที่สำคัญ และปรับลดวงเงินเหลือ ๑๗ ล้านบาท ๑.๑.๗ เห็นชอบในหลักการโครงการอุโมงค์ลอดเข้าหาดป่าตอง เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการจราจร วงเงิน ๕,๕๕๖.๐๔ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมเพิ่มเติม และให้เทศบาลเมืองป่าตองหารือกับท้องถิ่นใกล้เคียงในการพิจารณากำหนดสัดส่วนเงินสมทบของท้องถิ่นในการลงทุนก่อสร้างอุโมงค์ รวมทั้งการกำหนดแนวทางการร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน และการกำหนดอัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เหมาะสม ๑.๑.๘ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างศาลากลางจังหวัดภูเก็ตหลังใหม่ โดยให้คณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) และคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนแม่บทตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ก่อนพิจารณาให้การสนับสนุนงบประมาณต่อไป ๑.๑.๙ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างถนนสี่ช่องจราจรถนนวิชิตสงคราม (ระยะที่ ๔) กม. ๑๑+๙๕๐ - กม. ๑๓+๓๐๐ และ กม. ๑๓+๗๔๕ - กม. ๑๔+๕๔๖ วงเงิน ๗๖ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาศึกษาความเหมาะสมในการแก้ปัญหาจราจรในเมืองภูเก็ต โดยบูรณาการแผนงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๑.๑๐ เห็นชอบโครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานบ้านพระยาวิชิตสงคราม โดยสนับสนุงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๙.๑๑ ล้านบาท ๑.๑.๑๑ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างอนุสรณ์สถานเมืองถลาง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท โดยให้จังหวัดภูเก็ตหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อบูรณาการการทำงานและจัดทำแผนแม่บท โดยมีรายละเอียดกิจกรรม งบประมาณและแผนบริหารจัดการโครงการที่ระบุหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินงานที่ชัดเจน ๑.๒ จังหวัดพังงา ๑.๒.๑ สนับสนุนงบประมาณโครงการเตรียมพื้นที่ ปรับปรุงพื้นที่ ถมดินบริเวณโครงการจัดตั้งศูนย์ราชการระดับจังหวัด จังหวัดพังงา วงเงิน ๓๕ ล้านบาท โดยให้เร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ และจัดทำข้อตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๒.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาเครือข่ายเชื่อมโยงอันดามัน (Hub & Double Main Corridors) รวม ๓๕ โครงการ วงเงิน ๑๗,๑๐๗.๘๒ ล้านบาท โดยให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม บรรจุโครงการไว้ในแผนแม่บทระยะ ๕ ปี และจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางเพื่อเสนอขอรับการจัสรรงบประมาณประจำปี ๑.๒.๓ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอันดามัน วงเงิน ๒๐ ล้านบาท โดยเร่งรัดให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ๑.๒.๔ เห็นชอบโครงการปรับปรุงเส้นทางสายเพชรเกษม ช่วงเขาหลัก - บางเนียง โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๐ ล้านบาท ๑.๒.๕ เห็นชอบโครงการก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว (ท่ามาเนาะห์) ตำบลเกาะยาวน้อย อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๐ ล้านบาท ๑.๓ จังหวัดกระบี่ ๑.๓.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการสำรวจและออกแบบเพื่อการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองกระบี่ วงเงิน ๖๐ ล้านบาท เพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนดำเนินการก่อสร้างต่อไป ๑.๓.๒ เห็นชอบการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการสัญจรไปยังเกาะลันตา ส่วนการแก้ปัญหาโดยการขุดลอกร่องน้ำบริเวณท่าเทียบแพขนานยนต์ข้ามฟากเกาะลันตา เห็นควรให้เปลี่ยนจากการขุดลอกร่องน้ำ เป็นการขยายการก่อสร้างสะพานเพื่อให้แพขนานยนต์สามารถเข้าเทียบท่าได้ตลอดเวลา ๑.๓.๓ เห็นชอบโครงการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุ - ฉุกเฉิน และอุบัติภัยธรรมชาติ เพื่อรองรับคุณภาพชีวิตที่ดีและการท่องเที่ยว โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๙๙.๓๔ ล้านบาท ๑.๓.๔ รับทราบข้อเสนอโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของฝั่งทะเลอันดามันในพื้นที่จังหวัดกระบี่ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับจังหวัดกระบี่ศึกษาโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔ จังหวัดตรัง ๑.๔.๑ เห็นชอบโครงการการพัฒนาแหล่งน้ำจังหวัดตรัง โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๖๔ ล้านบาท โดยทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ๑.๔.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการการพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โดยให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรังจัดทำแผนการบริหารท่าเรือและบำรุงรักษาในระยะยาว โดยใช้งบประมาณท้องถิ่น และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณพิจารณาแหล่งงบประมาณในการดำเนินโครงการต่อไป ๑.๔.๓ เห็นชอบในหลักการโครงการขยายลานจอดเครื่องบินและก่อสร้างทางขับท่าอากาศยานตรัง โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ และการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิมที่มีระบบอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นในการบริการผู้โดยสาร รวมทั้งพิจารณาอุดหนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สนับสนุนการดำเนินการต่อไป ๑.๔.๔ เห็นชอบโครงการพัฒนาเกาะสุกรเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดามัน โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๕.๙๔ ล้านบาท ๒. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วนซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากโครงการในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ดังนี้ ๓.๑ จังหวัดภูเก็ต ๓.๑.๑ ให้แขวงการทางภูเก็ต สำนักงานทางหลวงกระบี่ (สุราษฎร์ธานี) จัดทำโครงการปรับปรุงเรขาคณิตของทางหลวงหมายเลข ๔๐๒ (บริเวณโค้งคอเอน) เพิ่มเติม เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท ๓.๑.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลฉลอง จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกบำบัดรักษาโรงพยาบาลฉลอง วงเงิน ๑๐๒ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างอาคารบ้านพักแพทย์/พยาบาล เจ้าหน้าที่ ๒๐ ยูนิต ๖ ชั้น รพ.สต.ฉลอง วงเงิน ๘๔ ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาจัดสรรงบประมาณในการดำเนินการต่อไป ๓.๑.๓ เห็นชอบหลักการโครงการของโรงพยาบาลถลาง จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ วงเงิน ๑๐๖ ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และโครงการก่อสร้างแฟลตพยาบาล ๗ ชั้น ๘๐ ยูนิต วเงิน ๖๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2805 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน การประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 15 มกราคม 2555 | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่ ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน (เชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ลำปาง) ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. แผนงาน/โครงการในพื้นที่ ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบนฯ ที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๘ โครงการ วงเงินรวม ๗๙๔.๗๐๔ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ พร้อมแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดทราบ ดังนี้ ๑.๑ จังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางตัดใหม่ (Missing Link) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๗ - บรรจบทางหลวงหมายเลข ๑๐๐๑ วงเงิน ๑๐๐.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ จังหวัดลำพูน ได้แก่ โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำลี้ เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ๓ อำเภอ (อำเภอลี้ บ้านโฮ่ง และเวียงหนองล่อง) วงเงิน ๖๕.๐๐๐ ล้านบาท และกิจกรรมปรับปรุงสภาพและขุดลอกเปิดเส้นทางน้ำลำเหมืองร่องส้าว และลำเหมืองแม่ยาก ภายใต้โครงการป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ และสถานประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมในบริเวณใกล้เคียง วงเงิน ๓๕.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้แก่ โครงการปรับปรุงซ่อมแซมถนนเพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวตามยุทธศาสตร์จังหวัด วงเงิน ๓๓.๐๐๐ ล้านบาท และโครงการพัฒนาโครงข่ายสายทางคมนาคม เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและยกระดับคุณภาพชีวิต การเกษตร และการท่องเที่ยวของประชาชนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน วงเงิน ๖๗.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๔ จังหวัดเชียงราย ได้แก่ โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำพร้อมระบบกระจายน้ำสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริโครงการขยายผลโครงการหลวงแม่สลอง วงเงิน ๑๕.๐๐๐ ล้านบาท การบูรณะลาดยางพร้อมไฟฟ้าแสงสว่าง ถนนสายแยกทางหลวงหมายเลข ๑๒๐๗ - บ้านห้วยปลากั้ง ตำบลริมกก อำเภอเมือง วงเงิน ๒๐.๐๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงซ่อมแซมอ่างเก็บน้ำห้วยไม้ยาพร้อมระบบส่งน้ำ บ้านไม้ยา หมู่ที่ ๗ ตำบลไม้ยา อำเภอพญาเม็งราย วงเงิน ๔๓.๖๖๘ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงซ่อมแซมฝายน้ำล้นแม่ลาว บ้านหัวเวียง ตำบลเวียง อำเภอเวียงป่าเป้า วงเงิน ๒๒.๔๑๓ ล้านบาท ๑.๕ จังหวัดพะเยา ได้แก่ โครงการการแก้ไขและปรับปรุงทางเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจจังหวัดพะเยา วงเงิน ๑๐๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๖ จังหวัดแพร่ ได้แก่ โครงการชาวแพร่ร้อยใจปฏิบัติบูชาทุกภาคส่วนอาสาสร้างฝายถวายในหลวงแบบบูรณาการ วงเงิน ๘.๓๗๕ ล้านบาท โครงการบูรณาการในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันและบรรเทาการเกิดอุทกภัย ในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่สอง ๑ ใน ๑๖ สาขาแม่น้ำยม วงเงิน ๒๖.๐๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำบ้านร่องบอน ตำบลปากกาง อำเภอลอง วงเงิน ๑๖.๐๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำบ้านม่อน ตำบลเวียงต้า อำเภอลอง วงเงิน ๑๗.๒๒๖ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำบ้านร่องเสียว ตำบลน้ำชำ อำเภอสูงเม่น วงเงิน ๒๖.๖๘๙ ล้านบาท ๑.๗ จังหวัดน่าน ได้แก่ โครงการผันน้ำ น้ำมุ่น - ห้วยส้มป่อย ตำบลในเมือง อำเภอเมือง วงเงิน ๘๕.๓๓๓ ล้านบาท และโครงการป้องกันอุทกภัยและการกัดเซาะฝั่งแม่น้ำ วงเงิน ๑๔.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๘ จังหวัดลำปาง ได้แก่ โครงการพัฒนาศักยภาพศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือดโรงพยาบาลลำปางเฉลิมพระเกียรติฯ ๘๔ พรรษา ระยะที่ ๓ วงเงิน ๑๐๐.๐๐๐ ล้านบาท ๒. สำหรับงบประมาณดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นลำดับที่ ๑.๒ - ๑.๘ เป็นเงิน ๖๙๔.๗๐๔ ล้านบาท สำหรับโครงการลำดับที่ ๑.๑ เนื่องจากเป็นงานดำเนินการเอง และจะใช้จ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้เพียงบางส่วน จึงเห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๐.๐๐๐ ล้านบาท และใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกเป็นเงิน ๖๐.๐๐๐ ล้านบาท โดยให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป โดยสรุปเห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงินทั้งสิ้น ๗๓๔.๗๐๔ ล้านบาท และให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกเป็นเงิน ๖๐.๐๐๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2806 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอรับสัมปทาน หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นคำขอรับสัมปทานและการให้สัมปทานในการสร้างหรือบำรุงรักษาทาง พ.ศ. .... | คค | 13/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอรับสัมปทาน หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นคำขอรับสัมปทานและการให้สัมปทานในการสร้างหรือบำรุงรักษาทาง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้ยื่นคำขอรับสัมปทาน หลักฐานประกอบคำขอรับสัมปทาน ได้แก่ หลักฐานแสดงกรณีบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทยและไม่มีสัญชาติไทย หลักฐานแสดงกรณีนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย เป็นต้น และการจัดทำข้อเสนอของโครงการก่อสร้างหรือบำรุงรักษาทางของผู้ยื่นคำขอรับสัมปทาน ๑.๒ กำหนดให้กรณีสัมปทานเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายนั้น และกำหนดให้กรณีสัมปทานเป็นโครงการที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ให้กรมทางหลวงเป็นผู้พิจารณาคำขอรับสัมปทานแล้วคัดเลือกผู้ยื่นคำขอรับสัมปทาน พร้อมทั้งเสนอเหตุผลประกอบร่างสัญญาและเอกสารทั้งหมดต่อรัฐมนตรีภายใน ๑๘๐ วัน หากรัฐมนตรีเห็นควรให้สัมปทานแก่ผู้ยื่นคำขอรายใดให้เสนอรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๓ กำหนดให้หากคณะรัฐมนตรีไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของรัฐมนตรีให้ส่งเรื่องคืนคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐเพื่อพิจารณาทบทวนแล้วให้รัฐมนตรีนำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีชี้ขาด ๑.๔ กำหนดให้กรณีผู้ใดได้รับอนุมัติให้ได้รับสัมปทาน ไม่มีสภาพเป็นบริษัทตามกฎหมายไทย ให้ผู้นั้นดำเนินการจัดตั้งหรือร่วมกันจัดตั้งบริษัทตามกฎหมายไทย ๑.๕ กำหนดให้การลงนามในสัมปทาน ผู้รับสัมปทานต้องนำหลักประกันตามที่กรมทางหลวงกำหนดไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของวงเงินสัมปทาน เพื่อเป็นหลักประกันกับกรมทางหลวง ๑.๖ กำหนดให้รัฐอาจให้สัมปทานแก่บุคคลใดโดยไม่ต้องมีการออกประกาศเชิญชวนก็ได้ ได้แก่ การสร้างหรือบำรุงรักษาทางที่มีวงเงินลงทุนไม่เกินหนึ่งพันล้านบาท การสร้างหรือบำรุงรักษาทางที่เป็นการต่อเติมหรือต่อเนื่องกับโครงการเดิม อันไม่อาจแยกหรือไม่เหมาะสมที่จะแยกออกจากโครงการเดิม และมีวงเงินลงทุนไม่เกินหนึ่งในสามของโครงการเดิม แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินวงเงินที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ๑.๗ กำหนดให้การออกประกาศเชิญชวนเพื่อให้ยื่นคำขอรับสัมปทานในการสร้างหรือบำรุงรักษาทางที่ได้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ก่อนที่จะประกาศบังคับใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ ให้ถือว่าเป็นการออกประกาศเชิญชวนเพื่อให้ยื่นคำขอรับสัมปทานในการสร้างหรือบำรุงรักษาทางหลวงที่ได้ดำเนินการตามกฎกระทรวงฉบับนี้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรณีที่กระทรวงการคลังได้มีการปรับปรุงเนื้อหาของพระราชบัญญัติการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... ในส่วนของหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการร่วมลงทุนระหว่างหน่วยงานเจ้าของโครงการและเอกชนในกิจการของรัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อแนวทางและขั้นตอนในการขอรับสัมปทานตามร่างกฎกระทรวงฯ ที่เสนอในครั้งนี้ โดยเฉพาะกรณีโครงการมีมูลค่าต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท จึงเห็นควรให้กรมทางหลวงประสานกับกระทรวงการคลังในการพิจารณาปรับปรุงร่างกฎกระทรวงฯ ให้มีความสอดคล้องกันก่อนเสนอร่างกฎกระทรวงฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งเห็นควรให้มีการศึกษาวิเคราะห์และเปรียบเทียบความคุ้มค่าทางการเงิน (Value for money) ระหว่างการดำเนินการเองและการให้สัมปทาน และพิจารณากำหนดกลไกการกำกับดูแลและบริหารจัดการสัญญาสัมปทาน เพื่อให้การสัมปทานก่อสร้างทางหรือบำรุงรักษาทางหลวงสัมปทานอยู่บนมาตรฐานเดียวกัน และมีแนวทางในการบริหารจัดการรายได้และรายจ่ายที่ชัดเจน เพื่อลดภาระการลงทุนของภาครัฐ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2807 | ยุทธศาสตร์การเกษตรต่างประเทศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี พ.ศ. 2555 - 2559 | กษ | 13/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การเกษตรต่างประเทศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยยุทธศาสตร์การเกษตรต่างประเทศฯ มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผลิตผลเกษตรและอาหารของไทยโดยการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการเจรจา การนำเสนอ และการสนับสนุนข้อมูลด้านเทคนิค รวมทั้งเป็นการพัฒนาการตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช คุณภาพและมาตรฐาน และปัญหาด้านเทคนิค สำหรับสินค้าเกษตรและอาหารของไทยในตลาดต่างประเทศทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพกระบวนการเจรจา การนำเสนอ และแก้ปัญหาภาคเกษตรกับต่างประเทศ ประกอบด้วย การเตรียมความพร้อมสำหรับกระบวนการเจรจาเกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี การพัฒนากลไกตอบสนองเพื่อแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วกรณีที่ผลิตผลทางการเกษตรและอาหารไทยมีปัญหาด้านคุณภาพในตลาดปลายทาง และการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ ๑.๒ ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพด้านข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการเกษตรต่างประเทศ ประกอบด้วย การส่งเสริมการประสานงานเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารในตลาดต่างประเทศ และการลงทุนภาคเกษตรจากต่างประเทศ รวมทั้งประเด็นที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลด้านความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารในตลาดต่างประเทศทั้งแนวโน้มในปัจจุบันและอนาคต การจัดระบบฐานข้อมูลสำหรับสนับสนุนงานด้านการเกษตรต่างประเทศ รวมทั้งติดตามความเคลื่อนไหวผลักดันให้ไทยเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อแสดงจุดยืนและท่าทีของประเทศในเวทีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรในเวทีนานาชาติ ๑.๓ ยุทธศาสตร์พัฒนาความร่วมมือกับต่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ ประกอบด้วย การพัฒนาความร่วมมือในลักษณะความเป็นหุ้นส่วนกับประเทศผู้ให้ และองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อเป็นศูนย์กลางการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีด้านการเกษตรให้แก่ภูมิภาคต่าง ๆ รวมทั้งการส่งเสริมการศึกษา วิจัย พัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้ร่วมกับต่างประเทศ การส่งเสริมให้มีการจัดทำและดำเนินการตามแผนงาน/โครงการตามความตกลงกับต่างประเทศ ๑.๔ ยุทธศาสตร์พัฒนาการบริหารจัดการด้านการเกษตรต่างประเทศ ประกอบด้วย การสนับสนุนให้มีการปรับปรุงองค์กร และการบริหารหน่วยงานที่ปฏิบัติงานด้านการเกษตรต่างประเทศให้มีประสิทธิภาพสามารถรองรับการขยายตัวด้านการค้าสินค้าเกษตรและอาหารทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ การสร้างเสริมสมรรถนะที่สำคัญให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานด้านการเกษตรต่างประเทศอย่างเป็นระบบ สนับสนุนการสร้างกลไกภาครัฐในการขับเคลื่อนและติดตามงานด้านการเกษตรต่างประเทศอย่างเป็นระบบ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงาน บูรณาการการดำเนินงานร่วมกันเพื่อให้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งรัดการเจรจาเกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีและการแก้ปัญหาด้านเทคนิคของสินค้าเกษตรและอาหารในเวทีระหว่างประเทศ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การเกษตรต่างประเทศฯ เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการขยายตัวทางการค้าสินค้าเกษตรและอาหารของไทยในต่างประเทศทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ ควรให้ความสำคัญกับประเด็นความเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการสินค้าภายในประเทศ โดยมีระบบบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรในประเทศที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ปริมาณวัตถุดิบในภาคเกษตรมีความสมดุลกับความต้องการบริโภคของภาคประชาชน และภาคอุตสาหกรรมทั้งอุตสาหกรรมแปรรูปทางการเกษตร และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคสินค้าเกษตรและอาหารในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางและระดับสูง และศึกษานโยบาย มาตรการ และกฎระเบียบด้านการเกษตรในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการที่มิใช่ภาษีรูปแบบใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งควรมีกลยุทธ์รองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการผลิตภายในประเทศและส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือทางการค้ามากกว่าการแข่งขันตัดราคา ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2808 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกอย่างไม่เป็นทางการ | พณ | 13/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) อย่างไม่เป็นทางการ (Informal Ministerial Gathering) เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๕ ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมระดับรัฐมนตรี WTO อย่างไม่เป็นทางการ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้รัฐมนตรีการค้าประเทศสมาชิก WTO ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจรจาการค้ารอบโดฮา จำนวน ๒๗ ประเทศ ได้มีโอกาสหารือเกี่ยวกับสถานะของระบบการค้าพหุภาคีและแนวทางการดำเนินการขั้นต่อไปสำหรับ WTO ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Conference : MC) ของ WTO สมัยสามัญ ครั้งที่ ๘ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ นครเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยผู้อำนวยการใหญ่ WTO ได้ประเมินสถานการณ์การเจรจารอบโดฮาว่า สมาชิก WTO ยังคงไม่มี political energy ในการผลักดันให้การเจรจาดังกล่าวบรรลุผลสำเร็จ แต่สัมผัสได้ว่าสมาชิก WTO ยังคงมีความตั้งใจที่จะหารือเกี่ยวกับการใช้รูปแบบใหม่ (new approach) ในการเจรจารอบโดฮา โดยมีปัญหาสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันเป็นตัวกระตุ้น และได้เสนอให้สมาชิก WTO คำนึงถึงการมีนโยบายที่ชัดเจนที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง รวมทั้งให้พิจารณาและหารือประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจารอบโดฮา ๑.๒ ประเทศสมาชิก WTO ได้แสดงความเห็นต่อแนวทางการดำเนินการขั้นต่อไปของ WTO ดังนี้ ๑.๒.๑ ประเทศสมาชิก WTO ส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องกับผู้อำนวยการใหญ่ WTO เช่น ยอมรับฟังและเปิดกว้างสำหรับแนวทางการเจรจาใหม่ ๆ ยืนยันถึงความสำคัญของระบบการค้าพหุภาคีในการต่อต้านการกีดกันทางการค้า (protectionism) สนับสนุนให้สมาชิกหลีกเลี่ยงการสร้างเงื่อนไขทางการเจรจา (conditional linkages) รวมทั้งส่งเสริมการปรับปรุงกลไกการทำงานตามวาระงานปกติของ WTO อาทิ การติดตามการปฏิบัติตามพันธกรณีของสมาชิก เพื่อป้องกันการกีดกันทางการค้าซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกนี้ ๑.๒.๒ มาเลเซียได้เสนอแนวทางการเจรจา ๓ ขั้นตอน (3 - tiers approach) โดยขั้นที่ ๑ ให้หารือประเด็นเจรจาที่สมาชิกยอมรับได้และมีแนวโน้มว่าจะหาข้อสรุปได้ร้อยละ ๑๐๐ ขั้นที่ ๒ ให้หารือประเด็นเจรจาที่สมาชิกยอมรับได้ระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงร้อยละ ๑๐๐ และขั้นที่ ๓ ให้หารือประเด็นเจรจาที่สมาชิกมีท่าทีแตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งสมาชิก WTO ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับข้อเสนอของมาเลเซีย โดยประเด็นที่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิก WTO ให้ดำเนินการเจรจาในขั้นที่ ๑ อาทิ การอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation : TF) การเปิดตลาดสำหรับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด [เช่น การยกเลิกภาษีและโควตาสำหรับสินค้า (Duty - free Quota - free : DFQF) การอำนวยความสะดวกและเร่งรัดกระบวนการภาคยานุวัติของประเทศพัฒนาน้อยที่สุดในการเข้าเป็นสมาชิก WTO เป็นต้น] ความตกลงว่าด้วยสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ และอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) เป็นต้น โดยให้ประธานกลุ่มเจรจาต่าง ๆ เป็นผู้ดำเนินการหารือในลักษณะ bottom - up approach ๑.๒.๓ สหรัฐอเมริกาได้กล่าวสนับสนุนการเปิดรับแนวทางการเจรจาใหม่ ๆ ส่วนสหภาพยุโรปได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของแรงผลักดันทางการเมืองเพื่อบรรลุผลการเจรจารอบโดฮา ซึ่งจะรักษาไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของระบบการค้าพหุภาคีในการป้องกันการกีดกันทางการค้า โดยทั้งสองประเทศต่างให้การสนับสนุนการหารือประเด็นเกี่ยวกับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ๑.๒.๔ อินเดียมีความเห็นว่าควรส่งสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับการเจรจาประเด็นที่สมาชิกยอมรับได้และมีแนวโน้มว่าจะหาข้อสรุปได้ร้อยละ ๑๐๐ (ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น early harvest) และการเน้นย้ำถึงความสำคัญของประเด็นด้านการพัฒนาซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของการเจรจารอบโดฮา โดยสมาชิก WTO ส่วนใหญ่จะนำความน่าเชื่อถือของระบบการค้าพหุภาคีกลับมา ๑.๒.๕ ออสเตรเลีย บราซิล และฮ่องกง เห็นว่าประเด็นการเจรจาที่น่าจะผลักดันให้มีการเจรจาเพื่อบรรลุผลสำเร็จได้คือ การค้าสินค้าเกษตร ในขณะที่ญี่ปุ่นแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนในการนำประเด็นการค้าสินค้าเกษตรและการอุดหนุนประมงมาเจรจาต่อ โดยญี่ปุ่นสนับสนุนการหารือประเด็นใหม่ด้านความมั่นคงด้านอาหารและกฎระเบียบด้านการนำเข้า/ส่งออกอาหาร ในการนี้ ออสเตรเลียเป็นประเทศเดียวที่สนับสนุนการหารือเรื่องการเปิดตลาดการค้าบริการ อย่างไรก็ดี สมาชิก WTO ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าการดำเนินการเจรจาขั้นที่ ๑ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบการค้าพหุภาคีและ WTO ๑.๒.๖ ไทยได้กล่าวสนับสนุนแนวทางการเจรจา ๓ ขั้นตอน (3 - tiers approach) ตามข้อเสนอของมาเลเซีย รวมทั้งเปิดกว้างต่อการเลือกประเด็นเจรจา อย่างไรก็ดี ไทยเห็นว่าการหารือเกี่ยวกับแนวทางการเจรจาใหม่ ๆ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะเป็นการสร้างความทุ่มเท/การผลักดันทางการเมืองเพื่อให้การเจรจารอบโดฮาบรรลุผลสำเร็จ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมการเจรจารอบโดฮา โดยสร้างความเข้าใจร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกัน และร่วมกันกำหนดประเด็นที่ต้องการผลักดัน ตามแนวทางการเจรจา ๓ ขั้นตอน (3 - tiers approach) โดยให้ความสำคัญกับประเด็นที่สมาชิก WTO ส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนในขั้นที่ ๑ เช่น การอำนวยความสะดวกทางการค้า อุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี เป็นต้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ นอกจากนี้ ไทยอาจใช้ประโยชน์จากการรวมกลุ่มของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในการกำหนดท่าทีร่วมกัน โดยเฉพาะประเด็นที่เป็นประโยชน์ทางการค้ากับอาเซียน เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองของประเทศในภูมิภาคอาเซียนและเป็นแรงผลักดันให้การเจรจาเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2809 | การจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ | กษ | 13/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นกรรมการ ร่วมด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้รับมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อผลักดันและขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศ ดำเนินการบูรณาการแนวทาง มาตรการ แผนงานและงบประมาณกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งจัดระบบการประสานงานและการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ เพื่อกำกับดูแล และเร่งรัดการดำเนินงานของส่วนราชการและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมทั้งกำหนดงานของส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์ให้มีความเหมาะสม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2810 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2555 ครั้งที่ 2 | กค | 13/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๔๔๗,๐๖๑.๐๑ ล้านบาท จากเดิม ๑,๖๕๐,๙๖๕.๔๐ ล้านบาท เป็น ๒,๐๙๘,๐๒๖.๔๒ ล้านบาท โดยประเด็นสำคัญที่มีการปรับปรุงในครั้งนี้ ได้แก่ การที่กระทรวงการคลังขอปรับเพิ่มวงเงินการก่อหนี้ใหม่ในประเทศอีก ๔๕๐,๐๐๐ ล้านบาท จากวงเงินเดิม ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมเป็น ๘๐๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับวงเงินก่อหนี้ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาจากการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ การกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำ เพื่อรองรับการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และการกู้เงินเพื่อนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อรองรับการกู้เงินภายใต้พระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. รับทราบแผนการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องในรูป Credit line ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด วงเงิน ๓๐ ล้านบาท ๓. อนุมัติการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ ๔. อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2811 | ขอความเห็นชอบอัตราเบี้ยกรรมการบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด | คค | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบอัตราเบี้ยกรรมการบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นควรกำหนดอัตราเบี้ยกรรมการบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ในอัตราไม่เกินคนละ ๘,๐๐๐ บาทต่อเดือน โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง การปรับปรุงอัตราเบี้ยกรรมการรัฐวิสาหกิจ) ดังนี้ ๑.๑ ให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจมีอำนาจในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงาน เพื่อทำหน้าที่บางประการตามที่ได้รับมอบหมาย โดยกรรมการรัฐวิสาหกิจที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานให้ได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเหมาจ่ายเป็นรายเดือนเท่ากับเบี้ยกรรมการรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ หากกรรมการรัฐวิสาหกิจท่านใดได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะกรรมการอื่นมากกว่า ๑ คณะ ก็ให้ได้รับเบี้ยประชุมเพียงคณะใดคณะหนึ่งเท่านั้น สำหรับกรรมการอื่นที่มิใช่กรรมการรัฐวิสาหกิจให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งสูงสุดไม่เกินครั้งละ ๑,๐๐๐ บาท ๑.๒ อนุมัติเป็นหลักการในการจ่ายเบี้ยประชุมประธานและรองประธานในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการบริหาร หรือคณะกรรมการอื่น ๆ คณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงานอื่นที่คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจแต่งตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่เฉพาะเรื่อง ให้ประธานกรรมการได้รับสูงกว่ากรรมการร้อยละ ๒๕ และรองประธานกรรมการได้สูงกว่ากรรมการร้อยละ ๑๒.๕ และให้กรรมการเสียภาษีเงินได้เอง ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด พิจารณาอัตราเบี้ยกรรมการที่จ่ายจริงในแต่ละครั้งให้เหมาะสมและสอดคล้องกับฐานะการเงินของกิจการ ณ ขณะนั้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2812 | กรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | กค | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เรื่อง กรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยมีสาระสำคัญของมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท จัดสรรเป็น ๓ ส่วน คือ การลงทุนตามแผนปฏิบัติการบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืน (กรณีลุ่มน้ำเจ้าพระยา) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ ๘ ลุ่มน้ำ วงเงิน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท การลงทุนตามแผนปฏิบัติการในพื้นที่ลุ่มน้ำอีก ๑๗ ลุ่มน้ำ ในวงเงิน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท และการลงทุนตามยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีรายละเอียดของกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ฯ ดังนี้ ๑.๑ แผนงานฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศ กรอบวงเงินจำนวน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการฟื้นฟู และอนุรักษ์ดินต้นน้ำ โดยการปลูกป่า สร้างฝายแม้ว และอนุรักษ์ดินต้นน้ำ ของแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน สะแกกรัง ท่าจีน และป่าสัก จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และสร้างอ่างเก็บน้ำในลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำสะแกกรัง ลุ่มน้ำน่าน และลุ่มน้ำป่าสัก จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ แผนงานฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพสิ่งก่อสร้างเดิมหรือตามแผนที่วางไว้ จำนวน ๑๗๗,๐๐๐ ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการจัดทำทางน้ำหลาก (floodway) และหรือทางผันน้ำ (flood diversion channel) รวมทั้งถนนและอาคารองค์ประกอบเพื่อรับน้ำหลากจากแม่น้ำป่าสักและแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางตะวันออกหรือทั้งสองฝั่ง จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท การจัดทำผังการใช้ที่ดินและหรือการใช้ประโยชน์ที่ดินในผัง รวมทั้งจัดทำพื้นที่ปิดล้อม จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และการปรับปรุงสภาพลำน้ำสายหลักและคันริมแม่น้ำส่วนที่เหลือ จำนวน ๗,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ แผนงานพัฒนาคลังข้อมูล ระบบพยากรณ์ และเตือนภัย โดยการจัดทำระบบฐานข้อมูล ระบบพยากรณ์ ระบบเตือนภัย แผนเผชิญเหตุ รวมทั้งจัดตั้งองค์กร กฎระเบียบที่จำเป็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๔ แผนงานการกำหนดพื้นที่รับน้ำนอง และมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้พื้นที่เพื่อการรับน้ำ โดยการปรับปรุงพื้นที่เกษตรชลประทานให้เป็นแก้มลิง แม่น้ำประมาณ ๒ ล้านไร่ ประกอบด้วยพื้นที่ชลประทานของโครงการพิษณุโลกและของโครงการเจ้าพระยาใหญ่และพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ จำนวน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๕ แผนการดำเนินการบริหารจัดการน้ำของ ๑๗ ลุ่มน้ำที่เหลือ จำนวน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๖ แผนการดำเนินการตามยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันพิจารณาปรับปรุงข้อความในเอกสารกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ฯ ในภาพรวมให้เหมาะสมและให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2813 | ขอความเห็นชอบโครงการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย (Industrial Energy Efficiency : IEE) | อก | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ดำเนินโครงการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย (Industrial Energy Efficiency : IEE) ร่วมกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) โดยโครงการ IEE มีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับมาตรฐานระบบการจัดการพลังงาน (Energy Management Standard System) ในโรงงานอุตสาหกรรมของประเทศให้มีความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของมาตรฐานระบบการจัดการพลังงาน (Standard of Energy Management System) สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของโรงงานอุตสาหกรรม และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต รวมทั้งช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากข้อกีดกันที่ไม่ใช่ภาษีในการค้า (Non - Tariff Barrier) ที่ภาคอุตสาหกรรมจะต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้ ๑.๒ ให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมลงนามหนังสือตอบรับการเข้าร่วมดำเนินโครงการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมของประเทศ (Industrial Energy Efficiency : IEE) ร่วมกับ UNIDO ๒. ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของตัวแทนจากโรงงานอุตสาหกรรมในกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งมีศักยภาพในการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการผลิตและการประหยัดพลังงานเพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยกระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาให้การสนับสนุนเงินทุนแก่ SMEs ในการมีมาตรฐานระบบการจัดการพลังงานในโรงงานด้วย และเห็นควรกำหนดตัวชี้วัดผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบของโครงการ IEE ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการดำเนินโครงการ และให้มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและปรับปรุงประสิทธิภาพโครงการอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาของโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2814 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ยศดาบตำรวจที่มีอายุ 53 ปีขึ้นไป เพื่อเลื่อนตำแหน่งและเลื่อนยศแบบเลื่อนไหลเป็นชั้นสัญญาบัตรถึงยศร้อยตำรวจเอก | นร | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจชั้นประทวนยศดาบตำรวจที่มีอายุ ๕๓ ปีขึ้นไป เพื่อเลื่อนตำแหน่งและเลื่อนยศแบบเลื่อนไหลเป็นชั้นสัญญาบัตรถึงยศร้อยตำรวจเอก ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ สำหรับงบประมาณให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๗๖,๒๖๗,๗๖๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายการฝึกอบรมฯ ส่วนเงินปรับพอกสำหรับตำแหน่งผู้ปฏิบัติงานในสายงานต่าง ๆ ที่มีเงินเพิ่มพิเศษ จำนวน ๗๓,๔๗๓,๖๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ งบบุคลากร รายการเงินเดือนในส่วนของอัตราว่างที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ประมาณ ๖๖๓ ล้านบาท ซึ่งหากไม่เพียงพอ ก็ให้ขอรับการจัดสรรจากงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการเพิ่มเติมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกรรมการและเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับการใช้เงินปรับพอกสำหรับตำแหน่งผู้ปฏิบัติงานในสายงานต่าง ๆ ที่มีเงินเพิ่มพิเศษ ซึ่งมีผลให้ค่าใช้จ่ายด้านบุคคลเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีผลให้โครงสร้างอัตรากำลังของข้าราชการตำรวจเปลี่ยนแปลงไป เห็นควรดำเนินการบริหารจัดการภายในกรอบงบประมาณที่มีอยู่ เช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือนสามัญ หากส่วนราชการมีการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งให้เป็นตำแหน่งระดับสูงขึ้น ก็ต้องยุบเลิกตำแหน่งเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านบุคคลที่เพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งนั้น รวมทั้งเพิจารณาจัดลำดับความสำคัญ การประเมินความคุ้มค่าของการฝึกอบรมโครงการพัฒนาบุคลากรต่าง ๆ เพื่อใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเพิ่มเติมว่า การเลื่อนตำแหน่งและเลื่อนยศแบบเลื่อนไหลเป็นชั้นสัญญาบัตร จะทำให้เกิดผลกระทบต่ออัตรากำลังในชั้นประทวน ดังนั้น ในกรณีที่จะมีการเสนอขออัตรากำลังข้าราชการตำรวจชั้นประทวนเพิ่มใหม่ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณากำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวนให้มีประสิทธิภาพด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2815 | การเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต | นร | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการในการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ๕ จังหวัด (จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง และระนอง) ในวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๕ และข้อเสนอการประชุมร่วมกับภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) เพื่อการเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. โครงการในการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ๕ จังหวัด ๑.๑ จังหวัดภูเก็ต ได้แก่ ๑.๑.๑ โครงการแก้มลิงขุมน้ำสวนเฉลิมพระเกียรติ ๑.๑.๒ การปรับปรุงภูมิทัศน์ทางเดินศึกษาทางธรรมชาติตามรอยเบื้องพระยุคลบาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ๑.๑.๓ การก่อสร้างอนุสรณ์สถาน อำเภอเมืองถลาง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ๑.๒ จังหวัดพังงา ได้แก่ ๑.๒.๑ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวบ้านทับละมุ จังหวัดพังงา ๑.๒.๒ โครงการก่อสร้างและปรับปรุงภูมิทัศน์อนุสรณ์สถานสึนามิ เรือ ต.๘๑๓ ๑.๒.๓ โครงการก่อสร้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอันดามัน ๑.๒.๔ โครงการจัดตั้งศูนย์ราชการจังหวัดพังงา ๑.๓ จังหวัดกระบี่ ได้แก่ ๑.๓.๑ การขุดลอกร่องน้ำบริเวณท่าเทียบแพขนานยนต์ข้ามฟากเกาะลันตาเชื่อมโยงการท่องเที่ยวทะเลอันดามัน ๑.๓.๒ การก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุ - ฉุกเฉิน และอุบัติภัยทางธรรมชาติ เพื่อรองรับคุณภาพชีวิตที่ดี และการท่องเที่ยว ๑.๓.๓ การสำรวจออกแบบการก่อสร้างถนนเลี่ยงเมืองกระบี่ ๑.๓.๔ การจัดตั้งมหาวิทยาลัยของฝั่งทะเลอันดามันในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ๑.๔ จังหวัดตรัง ได้แก่ ๑.๔.๑ โครงการการพัฒนาท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยว ๑.๔.๒ โครงการการพัฒนาแหล่งน้ำของจังหวัดตรัง ๑.๔.๓ โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ถ้ำเขาช้างหาย ๑.๕ จังหวัดระนอง ได้แก่ ๑.๕.๑ โครงการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมการกัดเซาะชายฝั่งของน้ำทะเลบ้านอ่าวเคย ๑.๕.๒ โครงการฟื้นฟู คู คลองเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน ๑.๕.๓ โครงการพัฒนาศักยภาพการรวบรวมและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรของสถาบันเกษตรกร ๑.๕.๔ โครงการพัฒนาส่งเสริมศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเกาะพยาม ๒. ข้อเสนอการประชุมร่วมกับ กรอ.ภูมิภาค เกี่ยวกับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในการประกอบธุรกิจของภาคเอกชนในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ๕ จังหวัด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2816 | การจัดงานแสดงสินค้า OTOP และผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพ | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดจะจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดภูเก็ต วันที่ ๑๙ - ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ นั้น เห็นควรที่จะให้มีการจัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพและสินค้าฮาลาล ตลอดจนสินค้าของเครือข่ายวัฒนธรรมในพื้นที่ในช่วงการจัดการประชุมดังกล่าว รวมทั้งจัดให้มีคลินิกช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อให้คำปรึกษาแนะนำข้อมูลและองค์ความรู้ต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงคุณภาพสินค้า การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การหาช่องทางการตลาด การหาแหล่งสนับสนุนทางการเงิน และการให้คำปรึกษาทางกฎหมาย เป็นต้น ให้แก่ผู้ประกอบการในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ที่เกี่ยวข้องด้วย โดยมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรับเรื่องนี้ไปประสานและดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2817 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ.ศ. .... | ศธ | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ง
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มหาวิทยาลัยสวนดุสิตเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ มีฐานะเป็นนิติบุคคล อยู่ในกำกับของรัฐและไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ กฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น ๑.๒ กำหนดให้มหาวิทยาลัยเป็นสถาบันทางวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง ๑.๓ กำหนดให้มหาวิทยาลัยแบ่งส่วนงานออกเป็น สำนักงานสภามหาวิทยาลัย ส่วนงานวิชาการ ส่วนงานอื่น ๆ และให้การจัดตั้ง การรวม การยุบเลิกส่วนงานจัดทำเป็นประกาศของมหาวิทยาลัยและประกาศในราชกิจจานุเบกษา เว้นแต่การแบ่งส่วนงานเป็นหน่วยงานภายในให้ทำเป็นข้อบังคับของมหาวิทยาลัย ๑.๔ กำหนดให้มหาวิทยาลัยมีรายได้ส่วนหนึ่งจากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี เงินกองทุนที่รัฐบาลหรือมหาวิทยาลัยจัดตั้งขึ้น และรายได้หรือผลประโยชน์จากกองทุนดังกล่าว รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ๑.๕ กำหนดให้บรรดาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการให้หรือซื้อด้วยเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยหรือแลกเปลี่ยนกับทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัย ให้ทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยที่ใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการศึกษา วิจัยไม่อยู่ในข่ายแห่งการบังคับคดี ๑.๖ กำหนดให้มีสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วยนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการอื่น และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และให้สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๗ กำหนดให้มีสภาวิชาการ สภาคณาจารย์และพนักงาน และคณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัย โดยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด และให้องค์ประกอบ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มาหรือการแต่งตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง ตลอดจนการประชุม เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย ๑.๘ กำหนดให้มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด และรับผิดชอบการบริหารงานของมหาวิทยาลัย กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม โดยให้อธิการบดีมีอำนาจและหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๙ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษาและการวิจัย ตลอดจนการประเมินการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย ๑.๑๐ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการการบัญชี และการตรวจสอบทางบัญชีและการเงินของมหาวิทยาลัย ๑.๑๑ กำหนดให้ตำแหน่งทางวิชาการ คณาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์พิเศษ รองศาสตราจารย์พิเศษ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ อาจารย์พิเศษ ๑.๑๒ กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการให้ปริญญาและเครื่องหมายวิทยฐานะ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรตัดข้อความในมาตรา ๔ ตอนท้ายที่กำหนดว่า “...ยังคงได้รับจัดสรรงบประมาณตามกฎหมายว่าด้วยวิธีงบประมาณ” ออก เนื่องจากมาตรา ๑๓ วรรคสอง ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าให้รัฐบาลจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปให้แก่มหาวิทยาลัยโดยตรง และในการยกร่างพระราชบัญญัติฯ ควรยึดถือมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๖ เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่จะออกนอกระบบที่กำหนดหลักการกลางที่จะบัญญัติไว้ในร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐทุกฉบับเป็นแนวทางในการยกร่าง เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้มหาวิทยาลัยที่เป็นส่วนราชการของรัฐเปลี่ยนสภาพเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่เป็นส่วนราชการและอยู่ในกำกับของรัฐ จะทำให้มหาวิทยาลัยสามารถบริหารงานทางด้านการเงินและการบริหารจัดการทั่วไปได้อย่างคล่องตัวขึ้น แต่ไม่ควรเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาให้แก่ผู้ปกครองและนักศึกษาเกินสมควร และเห็นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบงบประมาณที่เอื้อต่อการวางแผนและการประเมินผลระบบต้นทุนการจัดการศึกษาของสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาเพื่อนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการจัดการศึกษาเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและประหยัดอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2818 | การลงนามกรอบความร่วมมือระหว่างไทยกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ระหว่างปี 2555 - 2559 | กษ | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบความร่วมมือ Country Programming Framework (CPF) 2012 - 2016 และกิจกรรมหรือโครงการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าว โดยประเด็นสำคัญ (Priority Areas) ในกรอบความร่วมมือฯ มี ๖ ประเด็น ได้แก่ (๑) การบรรเทาความยากจนและลดความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน (๒) การปรับตัวและการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ และการส่งเสริมการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน (๓) การสนับสนุนการรวมตัวของอาเซียน ความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา และความร่วมมือด้านการเกษตรระดับภูมิภาคอื่น ๆ (๔) การสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและคุณภาพอาหาร ส่งเสริมการค้า และการมีอาหารบริโภคอย่างเพียงพอ (๕) การสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรเกษตรกร และการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและเยาวชนในชนบท และ (๖) การปรับนโยบายด้านความมั่นคงทางอาหารและด้านพลังงานชีวภาพให้มีความสอดคล้องกัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงกรอบความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ลงนามกรอบความร่วมมือฯ ร่วมกับผู้แทนองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้ความสำคัญในกิจกรรมที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาและ/หรือเพิ่มขีดความสามารถของเกษตรกรรายย่อยและภาคเกษตรของไทย และการมีหน่วยงานเฉพาะทางภายใต้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้มีส่วนร่วมสนับสนุนในโครงการที่มีความต้องการความเชี่ยวชาญเพิ่มเติมตามความเหมาะสม การให้ความสำคัญกับการปรับตัวและการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ การเพิ่มเรื่องการป้องกัน การปรับตัวและการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ และการส่งเสริมการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เข้าไว้ในรอบความร่วมมือฯ การจัดเรียงลำดับความสำคัญของกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้กรอบความร่วมมือฯ และการดำเนินกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ในลักษณะของการบูรณาการร่วมกันเพื่อให้การเสนอขอตั้งงบประมาณมีความชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อนและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการต่อยอดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ภายใต้กรอบความร่วมมือฯ จากแผนงานปกติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้มีการดำเนินงานอยู่แล้ว โดยใช้องค์ความรู้และความชำนาญทางวิชาการ โดยเฉพาะด้านนโยบายการพัฒนาทางการเกษตรของ FAO เพื่อส่งเสริมให้กิจกรรมมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อจะได้มีการปรับปรุงและแก้ไขให้การทำงานเกิดการบูรณาการโดยเฉพาะโครงการในระดับพื้นที่ที่ได้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอยู่แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2819 | ระบบการติดตามความก้าวหน้าในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | อื่นๆ | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนการบริหารการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำระบบการติดตามความก้าวหน้าของการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย โดยพัฒนาและจัดทำเว็บไซต์ www.pmocflood.com ซึ่งสามารถเรียกดูได้ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑.๑ ให้กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้พัฒนาและจัดทำระบบสารสนเทศการติดตามและรายงานผลความก้าวหน้าตามมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยรายกลุ่มเป้าหมาย ตามเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือฯ ของทุกมาตรการที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดทำแผ่นพับประชาสัมพันธ์การช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔) ๑.๑.๒ ให้ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลัง ดำเนินการจัดทำและวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศระบบติดตามและรายงานผลความก้าวหน้าโครงการฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย โดยนำข้อมูลในส่วนวัตถุประสงค์ของโครงการ กรอบวงเงินอนุมัติ วงเงินจัดสรร จำนวนโครงการและรหัสงบประมาณจากระบบ E - Budgeting ของสำนักงบประมาณ และผลการเบิกจ่ายของส่วนราชการจากระบบ GFMIS ของกรมบัญชีกลางมาเชื่อมโยง ๑.๒ ให้ส่วนราชการและจังหวัดดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ รายงานความก้าวหน้าจำแนกกลุ่มเป้าหมายตามเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยของทุกมาตรการที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยให้รายงานความก้าวหน้าตามแบบฟอร์มติดตามความก้าวหน้าการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ภายในวันที่ ๓๐ - ๓๑ ของทุกเดือน ทาง Web link ผ่านทางหน้าจอของ www.pmocflood.com ๑.๒.๒ รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ผ่านทาง Web Form และ E-Form ในระบบ GFMIS Web Online ของกรมบัญชีกลาง ๑.๓ ให้ศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนการบริหารการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศบภ.) เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการและให้ข้อมูลความก้าวหน้าของการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้ส่วนราชการ จังหวัด และผู้ที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ การติดตามและรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ผ่านเว็บไซต์ www.pmocflood.com ควรต้องมีภาพถ่ายแสดงสถานะความก้าวหน้าของงานในพื้นที่ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงปัจจุบันประกอบด้วย ๒.๒ ให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการปรับปรุงข้อมูลความก้าวหน้าของโครงการให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ รวมทั้งให้ระบุพิกัดตำแหน่งบนพื้นโลก (Global Positioning System : GPS) ที่แน่นอนของโครงการต่าง ๆ ที่รับผิดชอบ เพื่อให้สามารถตรวจสอบและติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้องชัดเจน ๒.๓ ให้ศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนการบริหารการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยประสานงานและบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่ส่วนราชการต่าง ๆ ได้จัดทำไว้แล้วด้วย เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2820 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2554 | ทส | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานมติการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ จำนวน ๘ เรื่อง ดังนี้
๑. การปรับแก้ไขขอบเขตพื้นที่ที่ให้ใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการปรับแก้ไขมาตรการข้อ ๓ (๒) ของประกาศกระทรวงฯ เป็น “๓ (๒) พื้นที่ภายในแนวเขตควบคุมอาคารที่อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๓ ตามขอบเขตพื้นที่ที่เคยใช้กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๔๖” ๑.๒ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) นำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๒. การปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ที่ประชุมมีมติ ๒.๑ เห็นชอบการยกเลิกข้อ ๑.๒ ของประกาศกระทรวงฯ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และดำเนินการออกประกาศกระทรวงฯ ต่อไป ๒.๒ เห็นชอบการยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยข้อร้องเรียนสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ๒.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สผ. พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติมภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทำหน้าที่ให้ความเห็นทางวิชาการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ และเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามในประกาศกระทรวงฯ ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๓. ร่างแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนฯ โดยให้กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจัดส่งข้อคิดเห็นเพิ่มเติมให้ สผ. เพื่อนำไปพิจารณาปรับปรุง (ร่าง) แผนฯ ให้เกิดความสมบูรณ์ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ๔. ร่างแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติให้กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจัดส่งข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ให้ สผ. ภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อประสานให้กรมควบคุมมลพิษปรับแก้ไขร่างแผนฯ ให้เกิดความสมบูรณ์ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ๕. กรอบการเจรจาของประเทศไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการสารปรอท ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาฯ โดยให้กรมควบคุมมลพิษปรับแก้ไขประเด็นหลักภายใต้กรอบการเจรจาฯ ข้อ ๓ เป็น “การคำนึงถึงหลักการความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างโดยคำนึงถึงศักยภาพของแต่ละประเทศ (Common but Differentiated Responsibilities and Respective Capabilities)” และตัดคำว่า “หลักการอื่นที่สอดคล้องกับพันธกรณีตามอนุสัญญา สนธิสัญญา หรือข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี” และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ นำกรอบการเจรจาฯ ที่ปรับแก้ไขแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๖. การกำหนดอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เทศบาลเมืองบ้านพรุ จังหวัดสงขลา เทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี เทศบาลตำบลบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เทศบาลเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร เทศบาลเมืองเบตง จังหวัดยะลา เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่ประชุมมีมติ ๖.๑ เห็นชอบอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองบ้านพรุ เทศบาลเมืองแสนสุข เทศบาลตำบลบางคล้า เทศบาลเมืองยโสธร เทศบาลเมืองเบตง เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา เป็นอัตราค่าบริการแบบขั้นต่ำ - ขั้นสูง รวมทั้งอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองนครพนม เป็นอัตราค่าบริการแบบอัตราเดียว ๖.๒ ให้เทศบาลเมืองบ้านพรุ เทศบาลเมืองแสนสุข เทศบาลตำบลบางคล้า เทศบาลเมืองยโสธร เทศบาลเมืองเบตง เทศบาลเมืองนครพนม เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา ดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการจัดเก็บอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอย ๗. โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ ของสำนักงาน นโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวเส้นทางรถไฟทางเลือกที่ ๑/๓ ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑)ฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน และให้รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมมการผู้ชำนาญการฯ ในประเด็นการออกแบบทางหนีภัยภายในอุโมงค์และการกู้ภัยในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน การออกแบบปล่องระบายอากาศให้สอดคล้องกับสภาพสิ่งแวดล้อมด้านบนของอุโมงค์ และการออกแบบสะพานรถไฟให้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม รวมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในประเด็นการบริหารจัดการชุมชนที่อาศัยอยู่ตามแนวเส้นทางโครงการฯ เพื่อป้องกันปัญหาการบุกรุกพื้นที่ การจัดให้มีทางข้ามทางรถไฟบริเวณที่มีชุมชนอยู่หนาแน่น และการกำหนดความกว้างของขนาดรางรถไฟให้เกิดความชัดเจนโดยคำนึงถึงโครงข่ายทางรถไฟในภูมิภาคต่อไปด้วย ๘. โครงการระบบรถไฟฟ้ารางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางนครปฐม - ชุมทางหนองปลาดุก - หัวหิน ของ สนข. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับแนวเส้นทางรถไฟในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑)ฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ และรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ในประเด็นการออกแบบสถานีหัวหินที่เป็นสถานีใหม่ให้มีสถาปัตยกรรมที่แสดงเอกลักษณ์ของท้องถิ่น และไม่บดบังหรือลดความสวยงามและความสง่างามของสถานีรถไฟหัวหินเดิม และให้ความสำคัญกับการออกแบบแนวเส้นทางรถไฟเพื่อลดผลกระทบต่อการระบายน้ำ
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
