ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 143 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2841 - 2860 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2841 | ความคืบหน้าการเตรียมการด้านการเงินเพื่อการลงทุนวางระบบบริหารจัการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ และเรื่อง ร่างพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. .... | กค | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างกฎหมาย รวม ๔ ฉบับ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎหมายปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ๑.๒ ร่างกฎหมายให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ ๑.๓ ร่างกฎหมายกองทุนประกันภัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยกองทุนประกันภัย ๑.๔ ร่างกฎหมายการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนำหลักการของร่างกฎหมายทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าว เสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศพิจารณา และกำหนดกรอบแผนงานและโครงการการลงทุน รวมทั้งกลไกในการบริหารจัดการกรอบเงินลงทุนดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใส แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้ส่งร่างกฎหมายทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาด้วย เนื่องจากร่างกฎหมายดังกล่าวมีความเชื่อมโยงและต้องดำเนินการให้สอดคล้องกัน จึงให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแนวทางในการกำหนดรูปแบบของร่างกฎหมายดังกล่าวให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2842 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อจัดหาอุปกรณ์พิเศษสำหรับติดตั้งประจำอาวุธปืนขนาด 5.56 มิลลิเมตร ยี่ห้อ Colt (M 4 A2) | ตช | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการของการจัดหาอุปกรณ์พิเศษสำหรับติดตั้งประจำอาวุธปืนขนาด ๕.๕๖ มิลลิเมตร ยี่ห้อ Colt (M 4 A2) จำนวน ๑,๕๐๐ ชุด ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๐๙,๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๘๙,๑๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอทำความตกลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณก่อนลงนามในสัญาต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) กรณีวงเงินปีแรกของรายการต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2843 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2552 และ 2553 | กค | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ผลการประเมินผลฯ คะแนนประเมินผลฯ ภาพรวมทุกหัวข้อของรัฐวิสาหกิจทุกแห่งในระบบประเมินผลฯ [ไม่รวมบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)] มีการปรับปรุงดีขึ้นในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๒ - พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยค่าเฉลี่ยของคะแนนประเมินผลฯ ภาพรวมในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ อยู่ที่ ๓.๕๙๑๗ คะแนน และ ๓.๗๑๐๑ คะแนน โดยรัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนประเมินผลฯ สูงสุด ๕ อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๘๖๒๙ และ ๔.๘๗๑๘ คะแนน ธนาคารออมสิน มีคะแนน ๔.๗๗๘๓ และ ๔.๘๑๐๑ คะแนน การไฟฟ้านครหลวง มีคะแนน ๔.๘๕๖๘ และ ๔.๗๖๕๕ คะแนน การประปานครหลวง มีคะแนน ๔.๗๐๗๕ และ ๔.๗๕๒๙ คะแนน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีคะแนน ๔.๗๑๔๒ และ ๔.๗๓๓๗ คะแนน ๑.๑.๒ ผลการประเมินผลฯ รายสาขา ในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ สาขาที่มีคะแนนประเมินผลฯ ในภาพรวมเฉลี่ยสูงสุด คือ สาขาพลังงาน มีคะแนนเฉลี่ย ๔.๗๗๙๒ และ ๔.๗๔๗๘ คะแนน โดยรัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนสูงสุด คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๘๖๒๙ และ ๔.๘๗๑๘ คะแนน ๑.๑.๓ ผลการประเมินผลฯ ด้านบริหารจัดการองค์กรของรัฐวิสาหกิจ ในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ รัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนประเมินผลด้านการบริหารจัดการองค์กร สูงสุด ๕ อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๖๒๑๕ และ ๔.๖๗๕๘ คะแนน การไฟฟ้านครหลวง มีคะแนน ๔.๕๙๑๐ และ ๔.๕๙๒๖ คะแนน การประปานครหลวง มีคะแนน ๔.๓๖๖๘ และ ๔.๔๙๘๓ คะแนน ธนาคารออมสิน มีคะแนน ๔.๓๖๖๗ และ ๔.๔๕๗๔ คะแนน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๓๑๕๕ และ ๔.๔๔๙๖ คะแนน ๑.๑.๔ ผลการดำเนินงานที่สำคัญที่เป็นตัวชี้วัดร่วม (Common KPIs) ของรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ มีดังนี้ ๑.๑.๔.๑ การเบิกจ่ายงบลงทุนเฉลี่ยของรัฐวิสาหกิจในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ โดยในปี ๒๕๕๒ สาขาที่มีอัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สาขาพลังงาน - ไฟฟ้า - น้ำมัน มีการเบิกจ่ายร้อยละ ๙๓ (วงเงินอนุมัติ ๔๘,๗๔๐ ล้านบาท) รัฐวิสาหกิจที่มีอัตราการเบิกจ่ายมากที่สุด คือ การประปาส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งมีการเบิกจ่ายร้อยละ ๑๐๐ ส่วนในปี ๒๕๕๓ สาขาที่มีอัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สาขาพลังงาน - ไฟฟ้า - น้ำมัน มีการเบิกจ่ายร้อยละ ๙๙ และรัฐวิสาหกิจที่สามารถเบิกจ่ายได้เต็มวงเงินอนุมัติ ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และการไฟฟ้านครหลวง ๑.๑.๔.๒ การบริหารจัดการเพื่อสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ของรัฐวิสาหกิจ ผลการประเมินความคืบหน้าฯ ณ สิ้นปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ได้คะแนนเฉลี่ยที่ ๔.๒๗๑๓ และ ๔.๓๘๖๘ คะแนน โดยมีปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญ คือ การให้การสนับสนุนของคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูง ๑.๑.๔.๓ การบริหารจัดการองค์กรของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งผลการดำเนินงานในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ โดยเฉลี่ยมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิม ๓.๒๗๕๐ เป็น ๓.๔๑๒๓ คะแนน โดยหัวข้อที่รัฐวิสาหกิจมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นสูงสุด คือ หัวข้อการบริหารจัดการสารสนเทศ และหัวข้อการบริหารความเสี่ยง เพิ่มขึ้น ๐.๒๗ และ ๐.๒๔ คะแนน ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตจากการประเมินผลฯ และข้อสังเกตของคณะกรรมการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจ ไปดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการนำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายโดยเฉพาะข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) มาปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมเพื่อให้ระบบการประเมินผลฯ มีประสิทธิภาพ สามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงานและการจัดการของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะช่วยลดภาระงบประมาณได้ในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการกำกับติดตามผลการดำเนินงานและการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจให้ได้ข้อมูลที่รวดเร็วเหมาะสม เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2844 | การขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเพื่อการเบิกจ่ายค่าครองชีพชั่วคราวของพนักงานมหาวิทยาลัยตามนโยบายรัฐบาล | ศธ | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้พนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างด้วยเงินงบประมาณแผ่นดินของสถาบันอุดมศึกษาซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปที่มีอัตราเงินเดือนหรืออัตราค่าจ้างไม่ถึงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้ว ต้องไม่เกินเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ให้สอดคล้องกับแนวทางการปรับปรุงค่าตอบแทนเพื่อช่วยเหลือการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔ [เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้สถาบันอุดมศึกษาดำเนินการภายในกรอบวงเงิน ๓๘๘,๑๖๐,๐๐๐ บาท โดยให้ตรวจสอบจำนวนพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างด้วยเงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งไม่เกินกว่ากรอบอัตรากำลังที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้ในรายละเอียดประกอบการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี และอยู่ในเกณฑ์ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวให้มีความชัดเจนถูกต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงก่อนขอทำความตกลงวงเงินงบประมาณที่จะต้องใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กับสำนักงบประมาณต่อไป ส่วนพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างเกินกว่ากรอบอัตรากำลังที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้สมควรให้สถาบันอุดมศึกษาใช้จ่ายจากเงินรายได้ของหน่วยงาน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2845 | รายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2012) และข้อเสนอแนวทางการปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ | นร | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2012) ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ ๑๗ จาก ๑๘๓ ประเทศ ๑.๒ เห็นชอบ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศเป็นผลสำเร็จและอันดับของประเทศไทยดีขึ้น ตามความเห็นของคณะกรรมการ ก.พ.ร. ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ดังนี้ ๑.๒.๑.๑ ด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน ให้กรมที่ดินและกรมสรรพากรเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักศึกษาความเหมาะสมในการปรับลดอัตราภาษีหรือค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนทรัพย์สินเพื่อกำหนดเป็นมาตรการถาวร หรือปรับแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และควรเชื่อมโยงฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากับกรมที่ดินให้สามารถตรวจสอบความเป็นนิติบุคคลของผู้ขอจดทะเบียนได้แบบ real time ๑.๒.๑.๒ ด้านการชำระภาษี ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมให้รัฐเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักศึกษารายละเอียดกระบวนการจัดเก็บภาษีของประเทศและปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีใหม่ให้เกิดการบูรณาการ และศึกษาแนวทางการมอบอำนาจให้หน่วยงานอื่นจัดเก็บภาษีแทนได้ เพื่อให้เกิดระบบการชำระภาษีเพียงจุดเดียว ๑.๒.๑.๓ ด้านการปิดกิจการ ให้กรมบังคับคดีและศาลยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบดำเนินการเร่งปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และกำหนดมาตรการเพื่อลดระยะเวลาในกระบวนการปิดกิจการ ๑.๒.๑.๔ ด้านการค้าระหว่างประเทศ ให้กรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนำเข้า - ส่งออกสินค้าเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักดำเนินการผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำระบบ National Single Window ไปใช้ในการนำเข้า - ส่งออกอย่างเป็นรูปธรรม และศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางในการลดค่าใช้จ่ายและลดจำนวนเอกสารในการนำเข้า - ส่งออกให้แก่ผู้ประกอบการ ๑.๒.๑.๕ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักดำเนินการพัฒนาระบบการให้บริการจัดตั้งธุรกิจให้เป็นการให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ๑.๒.๑.๖ ด้านการได้รับสินเชื่อ ให้กระทรวงการคลังและกรมบังคับคดีเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักดำเนินการเร่งรัดการประกาศใช้พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายล้มละลายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในสิทธิทางกฎหมายของเจ้าหน้าที่และลูกหนี้ในการขอสินเชื่อ กฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลเครดิตเพื่อขยายขอบเขตการจัดเก็บข้อมูลเครดิต เป็นต้น ๑.๒.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณการดำเนินงานหรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงบริการตามรายงานผลการวิจัยเรื่อง Doing Business แก่หน่วยงานที่รับผิดชอบ และสนับสนุนงบประมาณแก่สำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อดำเนินการศึกษาวิจัยแนวทางการดำเนินงานของประเทศที่ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับต้น ๆ (Benchmarking) เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของไทย (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการศึกษาวิจัย) ๑.๒.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาศึกษาและปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการปรับปรุงบริการของหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๔ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสนับสนุนและพัฒนาระบบการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แก่หน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๕ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่รับผิดชอบในการปรับปรุงบริการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๖ เดือน ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการติดตามและประเมินผลการปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศเป็นผลสำเร็จและอันดับของประเทศไทยดีขึ้น เพื่อให้ผลการดำเนินการเรื่องนี้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพด้วย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกี่ยวกับการกำหนดให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสนับสนุนและพัฒนาระบบการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แก่หน่วยงานต่าง ๆ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการพัฒนาระบบและดำเนินการระบบอย่างต่อเนื่องด้วย ไปประกอบการดำเนินการต่อไป ๓. ส่วนการมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาศึกษาและปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการดังกล่าวแล้ว นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดพิจารณาปรับปรุงกฎหมาย กฎ และระเบียบ เพื่อเป็นการลดขั้นตอนและลดการขออนุญาตที่ไม่จำเป็นเพื่อให้เหมาะสมกับภาคธุรกิจ เช่น การกำหนดระยะเวลา การดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้ในกฎหมาย การกำหนดให้มีการพิจารณาร่วมกันระหว่างพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แล้วเสร็จในคราวเดียวกัน โดยมีมาตรฐานการพิจารณาเป็นอย่างเดียวกัน และการลดการอนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2846 | ความคืบหน้าการเตรียมการด้านการเงินเพื่อการลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ | นร | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างกฎหมาย รวม ๔ ฉบับ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎหมายปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ๑.๒ ร่างกฎหมายให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ ๑.๓ ร่างกฎหมายกองทุนประกันภัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยกองทุนประกันภัย ๑.๔ ร่างกฎหมายการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนำหลักการของร่างกฎหมายทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าว เสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศพิจารณา และกำหนดกรอบแผนงานและโครงการการลงทุน รวมทั้งกลไกในการบริหารจัดการกรอบเงินลงทุนดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใส แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้ส่งร่างกฎหมายทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาด้วย เนื่องจากร่างกฎหมายดังกล่าวมีความเชื่อมโยงและต้องดำเนินการให้สอดคล้องกัน จึงให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแนวทางในการกำหนดรูปแบบของร่างกฎหมายดังกล่าวให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2847 | ร่างพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. .... | กค | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างกฎหมาย รวม ๔ ฉบับ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎหมายปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ๑.๒ ร่างกฎหมายให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ ๑.๓ ร่างกฎหมายกองทุนประกันภัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยกองทุนประกันภัย ๑.๔ ร่างกฎหมายการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนำหลักการของร่างกฎหมายทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าว เสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศพิจารณา และกำหนดกรอบแผนงานและโครงการการลงทุน รวมทั้งกลไกในการบริหารจัดการกรอบเงินลงทุนดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใส แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้ส่งร่างกฎหมายทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาด้วย เนื่องจากร่างกฎหมายดังกล่าวมีความเชื่อมโยงและต้องดำเนินการให้สอดคล้องกัน จึงให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแนวทางในการกำหนดรูปแบบของร่างกฎหมายดังกล่าวให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2848 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค) | กค | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้กรณีที่สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคขาดคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น เกี่ยวกับทุนที่ชำระแล้ว การให้บริการแก่รัฐวิสาหกิจในเครือ รายจ่าย จำนวนพนักงาน การจ่ายค่าตอบแทนให้แก่พนักงาน ฯลฯ ในรอบระยะเวลาบัญชีใด ให้สิทธิที่จะได้รับการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้สิ้นสุดลงนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรก ๒. กรณีที่สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคได้แจ้งเลิกการเป็นสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคภายในห้ารอบระยะเวลาบัญชีนับแต่วันที่มีการจดแจ้งการเป็นสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค ให้สิทธิที่จะได้รับการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้สิ้นสุดลงนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2849 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี | กต | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ รวม ๓ คณะ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. คณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วมระหว่างไทย - มาเลเซีย ขอแก้ไขชื่อตำแหน่งขององค์ประกอบคณะกรรมการ ลำดับที่ ๖ จาก อธิบดีกรมอุทกศาสตร์ หรือผู้แทน เป็น เจ้ากรมอุทกศาสตร์ หรือผู้แทน ๒. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ขอแก้ไขตัวสะกดขององค์ประกอบคณะกรรมการ ลำดับที่ ๑๘ จาก นายณัฎฐวุฒิ โพธิสาโร เป็น นายณัฏฐวุฒิ โพธิสาโร ๓. คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับภูมิภาคลาตินอเมริกา ขอความเห็นชอบรายละเอียดอำนาจหน้าที่และองค์ประกอบคณะกรรมาธิการฯ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้ว กระทรวงการต่างประเทศจะแจ้งให้สำนักงานผู้แทนการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยแต่งตั้งผู้แทน และจะตรวจสอบคุณสมบัติให้มีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2850 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2554 (ครั้งที่ 139) | พน | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๓๙) เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ๑.๑ เห็นชอบให้ยกเลิกแผนพัฒนาพลังงานทดแทน ๑๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๖๕) และแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๒ และวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๔ ตามลำดับ กับเห็นชอบนโยบายด้านพลังงานของประเทศไทย (Thailand Energy Policy) ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๗๓) และแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๒๕% ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) ๑.๒ เห็นชอบแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๒๕% ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) (Alternative Energy Development Plan : AEDP 2012 - 2021) ซึ่งมีการกำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศเป็นร้อยละ ๒๕ ๑.๓ เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๗๓) ที่กระทรวงพลังงานปรับปรุงตามนโยบายของรัฐบาล เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ ซึ่งมีเป้าหมายลดระดับการใช้พลังงานต่อผลผลิตลงร้อยละ ๒๕ ภายใน ๒๐ ปี ๑.๔ เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการค่าไฟฟ้าฟรี โดยปรับลดจำนวนหน่วยการใช้ไฟฟ้าของครัวเรือน จากไม่เกิน ๙๐ หน่วยต่อเดือน เป็นไม่เกิน ๕๐ หน่วยต่อเดือน และกระจายภาระค่าใช้จ่ายไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดกลาง กิจการขนาดใหญ่ กิจการเฉพาะอย่าง และองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร และให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานดำเนิการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยพิจารณาถึงวันเริ่มต้นการใช้มาตรการค่าไฟฟ้าฟรีที่ปรับปรุงใหม่ให้มีความเหมาะสม ๑.๕ เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกน้ำมันเบนซิน ๙๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป และให้กระทรวงพลังงานรับไปแก้ไขปัญหาการผลิตและการนำเข้าน้ำมันเบนซินพื้นฐาน (G-Base) และนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาต่อไป ๒. ที่ประชุมมีมติรับทราบแนวทางและหลักเกณฑ์ในการดำเนินโครงการแผนการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยหลังน้ำลด ภายในวงเงินรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ของกระทรวงพลังงาน และให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรระบุเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน โดยให้ความสำคัญกับมาตรการช่วยเหลือทางการเงินหรือเงินทุนหมุนเวียนที่สามารถเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประสบภัยในการฟื้นฟู ซ่อมแซมอุปกรณ์ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2851 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ครั้งที่ 3/2554 | นร | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการ กยน. และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการร่วมคณะกรรมการ กยน. เสนอ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน ๖ แผน และมอบหน่วยงานหลักในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ดังนี้ ๑.๑.๑ แผนการบริหารจัดการเขื่อนเก็บน้ำหลัก มอบกรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนการบริหารจัดการเขื่อนเก็บน้ำหลัก และแผนบริหารจัดการน้ำของประเทศประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และรายงานความคืบหน้าต่อที่ประชุมคณะกรรมการ กยน. ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ๑.๑.๒ แผนฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพสิ่งก่อสร้าง เห็นชอบหลักการและกรอบวงเงินแผนการดำเนินงาน จำนวน ๑๗,๑๒๖ ล้านบาท แยกเป็นงบประมาณดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๒,๖๑๐ ล้านบาท และปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๔,๕๑๖ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการเพื่อเสนอคณะกรรมการ กยน. และคณะรัฐมนตรีพิจารณา ๑.๑.๓ แผนการพัฒนาคลังข้อมูล ระบบพยากรณ์ และเตือนภัย มอบ ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นเจ้าภาพในการจัดทำแผนการพัฒนาคลังข้อมูลร่วมกับกรมแผนที่ทหาร องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น (JICA) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายรอยล จิตรดอน ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ และมอบกรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนการปรับปรุงระบบการพยากรณ์ ส่วนแผนการปรับปรุงระบบการเตือนภัย มอบ ดร. ปลอดประสพ สุรัสวดี หารือกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ) เพื่อออกแบบและจัดทำแผนดังกล่าว โดยให้รวมถึงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิดให้ครบทุกประตูระบายน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ในการติดตามและสั่งการระบบปิดเปิดประตูระบายน้ำจากส่วนกลางได้ ๑.๑.๔ แผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่ มอบกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการแผนการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงกลาโหม และจัดทำข้อเสนอของแผน โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรม และพื้นที่เมือง รวมถึงการปรับปรุงแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยอาจพิจารณาจัดจ้างที่ปรึกษาระดับมืออาชีพทำการศึกษารายละเอียดของข้อเสนอแผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่ได้ ๑.๑.๕ แผนงานการกำหนดพื้นที่รับน้ำนองและมาตรการเยียวยา มอบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยในการจัดทำแผนดังกล่าว ๑.๑.๖ แผนงานปรับปรุงองค์กรเพื่อบริหารจัดการน้ำ มอบสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นหน่วยงานหลักในการจัดประชุมหารือระหว่างคณะกรรมการ กยน. และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) เพื่อจัดทำข้อเสนอแผนงานการปรับปรุงองค์กรเพื่อบริหารจัดการน้ำ และให้มีคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อติดตามการดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงคมนาคม โดยมีสำนักงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ส.กยน.) ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ ๑.๒ เห็นชอบในหลักการของร่างยุทธศาสตร์การบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืน (กรณีลุ่มน้ำเจ้าพระยา) โดยมอบฝ่ายเลขานุการฯ ประสานกับประธานอนุกรรมการด้านการวางแผนและกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนดำเนินการบูรณาการและปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอของร่างยุทธศาสตร์การบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืน (กรณีลุ่มน้ำเจ้าพระยา) ให้สอดคล้องกับรูปแบบของร่างแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน และหารือผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศในการจัดทำรายละเอียดของแผนปฏิบัติการดังกล่าว เพื่อเสนอคณะกรรมการ กยน. พิจารณาอีกครั้งก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้รวม ๒ แผนงานที่ถือว่ามีความเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการไว้ในแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน คือ แผนฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศ และแผนสร้างความเข้าใจ การยอมรับและการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการอุทกภัยขนาดใหญ่ของทุกภาคส่วน ๒. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับแผนการดำเนินงานภายใต้แผนฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพสิ่งก่อสร้าง จำนวน ๑๗,๑๒๖ ล้านบาท ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบจัดทำรายละเอียดโครงการเสนอคณะกรรมการ กยน. และคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการ กยน. เร่งพิจารณาและจัดทำร่างยุทธศาสตร์การบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ให้ครบทั้ง ๒๕ ลุ่มน้ำ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศ นั้น ให้บูรณาการแนวทางการดำเนินงานเชื่อมโยงกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2852 | การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน | กค | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๑.๑ อนุมัติในหลักการให้โครงการที่ได้รับอนุมัติเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดสรรเงินของสำนักงบประมาณหรือได้รับการจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงนามในสัญญา รวมทั้งกรณีโครงการที่ไม่ต้องมีการลงนามในสัญญา (ใช้เงินอุดหนุน/งบประจำ) ที่หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานเจ้าของโครงการได้แจ้งยืนยันมาที่คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้สามารถดำเนินการลงนามในสัญญาและเบิกจ่ายเงินต่อไปได้จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ทั้งนี้ ให้เร่งรัดดำเนินการโครงการและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๑.๑.๒ อนุมัติการยกเลิกโครงการวิจัยสู่ภาคเอกชน ณ โครงการพัฒนาที่ดิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สระบุรี รายการจัดซื้อรายการครุภัณฑ์ จำนวน ๑๐ รายการ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๕,๐๑๙,๔๘๐ บาท และโครงการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพงานด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า รายการการจัดซื้อรายการปืนไรเฟิล ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วงเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท ๑.๑.๓ รับทราบสถานะการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ๑.๑.๔ รับทราบโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่ได้รับการจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณแล้วแต่ยังไม่ลงนามในสัญญา วงเงิน ๑๑๙.๕๓ ล้านบาท ซึ่งหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่ได้แจ้งผลการทบทวนความจำเป็นคุ้มค่าของการดำเนินโครงการมายังคณะกรรมการฯ ๑.๑.๕ รับทราบโครงการที่หน่วยงานจะขอยกเลิกโครงการเดิมและเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ วงเงิน ๑,๒๙๙.๕๘ ล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาการเรียนรู้แบบบูรณาการองค์ความรู้วิชาชีพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพิ่มเติม ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๕๑๒.๕๙ ล้านบาท และโครงการพัฒนาการเรียนรู้แบบบูรณาการองค์ความรู้ด้วยวิชาชีพด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของ สอศ. กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๗๘๗.๐๔ ล้านบาท ๑.๒ โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ๑.๒.๑ อนุมัติให้โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๕๙ โครงการ วงเงิน ๙,๒๓๕.๖๘ ล้านบาท สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ และเห็นชอบในหลักการให้โครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๑๔,๒๕๘.๖๔ ล้านบาท (รวมโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๕,๐๒๒.๙๖ ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ ด้วย) สามารถลงนามในสัญญาและการเบิกจ่ายเงินต่อไปได้จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ทั้งนี้ ไม่เกินเดือนกันยายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานเร่งจัดส่งข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรเงินของสำนักงบประมาณ ๑.๒.๒ รับทราบการแจ้งยืนยันความจำเป็นเหมาะสมและคุ้มค่าในการดำเนินโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๕ ล้านบาท ๑.๓ การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ๑.๓.๑ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายโครงการถนนไร้ฝุ่น ของกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม วงเงิน ๓,๙๔๗,๐๗๑ บาท โครงการฝายหัวงานและอาคารประกอบ โครงการฝายชั่วคราวกั้นแม่น้ำปิง (หัวงานที่ ๑) จังหวัดนครสวรรค์ ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑,๘๒๐,๕๒๖ บาท และโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยปอ ตำบลนาบอน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๙๙๕,๒๖๓.๔๘ บาท ๑.๓.๒ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๓.๓ รับทราบการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนป่าแดด ระยะที่ ๑ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วงเงิน ๒๐๐ ล้านบาท ของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ๑.๓.๔ รับทราบการขอรับการจัดสรรเงินเพิ่มเติมภายใต้วงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ โครงการปรับปรุงโรงเรียนให้เป็นมาตรฐาน รายการพัฒนาห้องสมุด (E - library) โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ของกรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย วงเงิน ๕,๗๒๔,๕๐๐ บาท ๑.๔ รับทราบความเห็นเบื้องต้นของกระทรวงการคลังในประเด็นการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ หลังวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ที่จะนำไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. สำหรับโครงการก่อสร้างศูนย์การประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ของกรมธนารักษ์ ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2853 | การกำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินสำหรับรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดำเนินการเองได้ ตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 | รง | 19/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบเกี่ยวกับกรณีอัตราเบี้ยเลี้ยงและค่าเช่าที่พักประเภทเหมาจ่าย โดยปรับปรุงจากเดิมอัตราไม่เกินวันละ ๑,๐๐๐ บาท เป็น ไม่เกินวันละ ๑,๕๐๐ บาท และกรณีค่าน้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลในการปฏิบัติงานนอกสถานที่ ที่กำหนดให้เบิกเงินชดเชยเป็นค่าพาหนะในลักษณะเหมาจ่ายให้แก่ผู้เดินทางไปราชการ ไม่เกินอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ เนื่องจากค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ไม่ถือเป็นสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยเป็นการเบิกจ่ายให้แก่ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจในกรณีได้รับมอบหมายให้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น ทั้งนี้ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. เห็นชอบการกำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินที่รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งอาจดำเนินการได้เองตามมาตรา ๑๓ (๒) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ เกี่ยวกับการปรับปรุงค่าห้องและค่าอาหารในกรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล สำหรับลูกจ้างเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น แต่ไม่เกินวันละ ๑,๒๐๐ บาท และสำหรับบุคคลในครอบครัวเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น แต่ไม่เกินวันละ ๘๐๐ บาท ทั้งนี้ สิทธิสำหรับบุคคลในครอบครัวจะต้องเป็นสิทธิที่มีอยู่เดิม และการกำหนดสภาพการจ้างดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงสถานะการเงิน ผลการดำเนินงานของกิจการ และการจัดหารายได้เพิ่มขึ้นให้ครอบคลุมรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วย หรือสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายให้ครอบคลุมรายจ่ายที่จะเกิดขึ้น และขอบเขตสภาพการจ้างดังกล่าวไม่ใช่สภาพบังคับที่รัฐวิสาหกิจต้องดำเนินการ และเมื่อรัฐวิสาหกิจใดดำเนินการปรับปรุงสภาพการจ้างแล้ว ให้รัฐวิสาหกิจแจ้งการปรับปรุงดังกล่าวให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ทราบ ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๔ ๓. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังไปดำเนินการเกี่ยวกับกรณีที่รัฐวิสาหกิจใดมีการพิจารณาปรับปรุงสภาพการจ้างให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งรายงานให้กระทรวงแรงงานทราบเพื่อรวบรวมเป็นฐานข้อมูลในการพิจารณาปรับปรุงสภาพการจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจในโอกาสต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2854 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับ ICE WaRM | ทส | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เครือรัฐออสเตรเลีย [International Centre of Excellence in Water Resources Management (ICE WaRM)] โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นการแสดงความสนใจและเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายที่จะดำเนินกิจกรรมความร่วมมือทางวิชาการในการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยการจัดการน้ำร่วมกันเพื่อประโยชน์แก่ภาคีคู่สัญญา โดยมีขอบเขตความร่วมมือ ได้แก่ กิจกรรมด้านการศึกษาและการฝึกอบรม การค้นคว้าวิจัย สิ่งพิมพ์ และการประชุมทางวิชาการ การควบคุมดูแลการศึกษา/ค้นคว้า และโครงการด้านอุตสาหกรรม การแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลเพื่อจุดประสงค์ด้านการศึกษาและการค้นคว้าวิจัย การแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการ รวมทั้งกิจกรรมอื่น ๆ ที่พิจารณาเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่โปรแกรมการศึกษา การฝึกอบรม และการค้นคว้าวิจัยของภาคีคู่สัญญา ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เป็นผู้ลงนามในบันทึกความใจฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ภายใต้ขอบเขตการร่วมมือตามร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีกิจกรรมเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาแนะนำโครงการศึกษาและวิจัยด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภาคอุตสาหกรรมรวมอยู่ด้วย จึงเห็นควรที่จะได้มีการความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมในการพิจารณาดำเนินโครงการที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมด้วย และในขั้นตอนการตกลงในรายละเอียดความร่วมมือ ควรกำหนดประเด็นความร่วมมือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ และพัฒนาบุคลากรในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนให้เป็นรูปธรรมในสถานการณ์อุทกภัยและภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเชื่อมโยงกับประเด็นการบริหารจัดการน้ำที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำกำหนด อาทิ การพัฒนาเทคโนโลยีการพยากรณ์น้ำ การกำหนดพื้นที่รับน้ำนองและการจัดการเขตอุตสาหกรรมให้เหมาะสม การจัดการน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน การจัดการความขัดแย้งที่ทุกฝ่ายยอมรับ การให้ความเป็นธรรมต่อผู้ได้รับผลกระทบ การปรับปรุงกฎหมายและกลไกการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพและไม่ส่งผลกระทบต่อนิเวศสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2855 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำแนกตามประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีจำนวน ๑๒๙,๕๒๖ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมา คือ ช่องทางเว็บไซต์ (http://WWW.1111.go.th) ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประชาชนร้องทุกข์ในประเภทเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๘๖,๕๖๒ เรื่อง โดยร้องทุกข์ในประเภทเรื่องหลักด้านสังคมและสวัสดิการสังคมมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการเมือง - การปกครอง และด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามลำดับ สำหรับประเภทเรื่องรองที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ สาธารณูปโภค รองลงมาคือ กล่าวโทษหรือร้องเรียนเจ้าหน้าที่ของรัฐ และสังคมเสื่อมโทรม ตามลำดับ ส่วนประเภทเรื่องย่อยที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ ขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ ขอให้แก้ไขปัญหาอุทกภัยแบบครบวงจร และการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหตุเดือนร้อนรำคาญจากเสียงดัง กลิ่นเหม็น และฝุ่นละอองจากบ้านเรือนและผู้ประกอบการ การแจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ ตามลำดับ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของหน่วยงาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๗,๑๐๘ เรื่อง โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ บ่อนการพนัน ยาเสพติด และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการและการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ) รองลงมาคือ กระทรวงสาธารณสุข (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ การอำนวยความสะดวกในการให้บริการและการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ และการขอความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในส่วนที่อยู่นอกเหนือสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล) และกระทรวงพาณิชย์ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้แก้ไขปัญหาสินค้าเพื่อการอุปโภค - บริโภคขาดแคลนและมีราคาสูง และขอให้ปรับเพิ่มราคารับซื้อข้าวเปลือกและพืชผลทางการเกษตร) ๑.๔ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รัฐวิสาหกิจที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้ปรับปรุงการให้บริการของพนักงานรถโดยสารเอกชนร่วมบริการ และขอให้เพิ่มจำนวนรถโดยสารประจำทาง) รองลงมาคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้ปรับปรุงซ่อมแซมระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าปรับของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (ประเด็นที่มีการเสนอเรื่องมาก ได้แก่ ชมเชยการให้บริการของเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน การปรับปรุงซ่อมแซมโทรศัพท์สาธารณะ และขยายเขตการให้บริการโทรศัพท์ รวมทั้งแก้ไขปัญหาสัญญาณโทรศัพท์ขัดข้อง) ๑.๕ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับ อปท. และจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๐,๔๘๑ เรื่อง โดย อปท. และจังหวัดที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญจากเสียง/กลิ่นเหม็น และฝุ่นละอองจากร้านรับซื้อของเก่า และบ้านเรือน การปรับปรุงซ่อมแซมถนน และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่สำนักงานเขต และเทศกิจ) รองลงมาคือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอความช่วยเหลือในการจัดหาเครื่องอุปโภค - บริโภค เรือ กระสอบทราย ฯลฯ โดยเร่งด่วน และให้เร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและซ่อมแซมที่อยู่อาศัยภายหลังน้ำลด) และจังหวัดสงขลา (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ การเร่งรัดให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยและวาตภัย และการปรับปรุงซ่อมแซมและขยายถนน) ๒. เห็นชอบให้กระทรวงและจังหวัดนำข้อมูลเรื่องราวร้องทุกข์จากฐานข้อมูลในระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ของแต่ละหน่วยงานเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการกำหนดนโยบาย แผนงาน โครงการของกระทรวงและจังหวัดตามลำดับความสำคัญ จำเป็น และเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2856 | การพิจารณามติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับบริหารราชการตามมาตรา 13 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 | นร | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ๒. ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เรื่อง การทบทวนแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการติดตามและการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องสำคัญ (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๐) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันในงานติดตามผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และให้ส่วนราชการถือปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการติดตามและการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องสำคัญ ตามความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๒.๑ ประเภทเรื่องที่หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีจะต้องรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบหรือพิจารณา ประกอบด้วย ๒.๑.๑ เรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรี หากคณะรัฐมนตรีกำหนดระยะเวลาไว้ ให้หน่วยงานของรัฐรายงานตามกำหนดนั้นอย่างเคร่งครัด ๒.๑.๑ เรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรี หากคณะรัฐมนตรีมิได้กำหนดระยะเวลาไว้ ให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีอย่างน้อยทุกสามเดือน ทั้งนี้ ตามระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ กรณีเป็นเรื่องสำคัญ เร่งด่วน และ/หรือที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน ให้หน่วยงานของรัฐสามารถรายงานได้ก่อนระยะเวลาที่กำหนด ๒.๒ ให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบรายงานผลการดำเนินการโดยใช้แบบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบหรือพิจารณา (แบบรายงาน ๐๑) และส่งแบบรายงานดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทาง e-mail : [email protected] ๒.๓ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประเมินผลการติดตามผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเป็นระยะ กรณีที่เห็นว่าควรมีการปรับปรุงประเภทเรื่อง แบบรายงาน และระยะเวลาการรายงานผลการดำเนินการให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามความเหมาะสม ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการประสานกับสำนักงาน ก.พ. เพื่อพิจารณาปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ เรื่อง เครื่องมือวัดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของส่วนราชการ ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2857 | ผลการประชุมรัฐมนตรีคมนาคม เอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ 2 | คค | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีคมนาคม เอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ ๒ ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๒๓ -๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ เมืองเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก) ทำหน้าที่หัวหน้าคณะเดินทางไปร่วมการประชุมในครั้งนี้ สำหรับสาระสำคัญของการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯได้มีการอภิปราย (Panel Session) แบ่งเป็น ๓ หัวข้อหลัก ได้แก่ ระบบการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ระบบการขนส่งที่มั่นคงและปลอดภัย และระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ โดยในแต่ละหัวข้อมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ ระบบการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้มีการนำเสนอนโยบายและมาตรการพัฒนาการขนส่งเพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน มีนโยบายส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชน เพื่อช่วยลดปริมาณยานพาหนะบนท้องถนน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสาธารณรัฐอินเดีย ใช้ระบบจราจรอัจฉริยะ (Intelligent Traffic System : ITS) เพื่อช่วยในการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรมได้นำเสนอเทคโนโลยีการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การเสนอผลิตภัณฑ์รถแท็กซี่ไฟฟ้า และรถเมล์ไฟฟ้า เพื่อลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีราคาต่ออายุการใช้งานที่คุ้มค่ากว่ายานพาหนะที่ใช้น้ำมันทั่วไป ๑.๒ ระบบการขนส่งที่มั่นคงและปลอดภัย ได้มีการนำเสนอนโยบายและมาตรการด้านความปลอดภัยในการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ เช่น สาธารณรัฐอินเดีย มี ๕ เสาหลักเพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน ได้แก่ การจัดการความปลอดภัยบนท้องถนน การสร้างถนนที่มีโครงสร้างตามหลักวิศวกรรมความปลอดภัย การรณรงค์ให้ประชาชนใช้ยานพาหนะที่มีความปลอดภัย การให้ความรู้ด้านความปลอดภัยบนท้องถนนแก่ประชาชน และการรับมือกับอุบัติเหตุอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรมได้นำเสนอแนวทางเพื่อช่วยเพิ่มความมั่นคงและปลอดภัยในการขนส่ง เช่น การทำวิจัยเพื่อสร้างระบบแจ้งเตือนเมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ๑.๓ ระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ได้มีการนำเสนอแนวทางส่งเสริมการขนส่งระหว่างเอเชีย - ยุโรป ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งครอบคลุมการขนส่งทางราง ทางถนน ทางเรือ และทางอากาศ เช่น สาธารณรัฐลิทัวเนียได้มีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง ทั้งทางถนน ท่าเรือปลอดน้ำแข็ง และรถไฟ เพื่อยกระดับให้ลิทัวเนียกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งระหว่างภูมิภาคยุโรปตะวันตก ยุโรปตะวันออก และทวีปเอเชีย ส่วนตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรมได้นำเสนอเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ที่ประชุมฯ ได้มีการรับรองแผนปฏิบัติการว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าและผู้โดยสารระหว่างภูมิภาคเอเชียและยุโรป และปฏิญญารัฐมนตรีคมนาคม เอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ ๒ ว่าด้วยการเชื่อมโยงเอเชีย - ยุโรป ที่มีประสิทธิภาพมั่นคง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือปฏิญญาเฉิงตู
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2858 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีแรก ปี 2554 | กค | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีแรก ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. การรวบรวมและพัฒนาข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ และข้อมูลประกอบด้านอื่น ๆ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจ ประกอบด้วย การรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ๗ ประเภท (ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม - รีสอร์ท นิคมอุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ และที่ดินเปล่า) โดยนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผล ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านอุปทาน ด้านอุปสงค์ ด้านราคา และด้านการเงิน ซึ่งสามารถเผยแพร่ข้อมูลได้ครอบคลุม ๖ ประเภท และมีการเผยแพร่ข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นไตรมาสที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งได้ประมวลผลข้อมูลบ้านมือสองและทำการปรับปรุงข้อมูลหมวด “อสังหาริมทรัพย์เพื่อประชาชน” และจัดทำพิกัดที่ตั้งทรัพย์มือสอง จำนวน ๔,๔๐๐ พิกัด บนเว็บไซต์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไป ๒. งานวิชาการ ประกอบด้วย การจัดทำวารสารศูนย์ข้อมูลฯ REIC Journal ประจำไตรมาสที่ ๑ และไตรมาสที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ พร้อมทั้งรายงานสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ และการนำเสนอบทวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์และบทความพิเศษที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จัดสัมมนาเผยแพร่ข้อมูลผลสำรวจโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย (REIC Housing Developers Sentiment Index : REIC - HDSI) และดัชนีค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน โดยเผยแพร่ผลการสำรวจในไตรมาสที่ ๑ และไตรมาสที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งจัดทำ REIC Research Report เพื่อเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน และเว็บไซต์ พร้อมทั้งจัดทำสรุปและวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์รายสัปดาห์เผยแพร่บนเว็บไซต์ ๓. การส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร ในครึ่งปีแรก ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้สถิติการใช้บริการเพิ่มขึ้นในทุกช่องทาง โดยเฉพาะในกลุ่มสื่อมวลชนสนใจเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ข่าวจากศูนย์ข้อมูลฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งศูนย์ข้อมูลฯ กำหนดให้มีการแถลงข่าวข้อมูลและดัชนีอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญเป็นประจำทุกไตรมาส
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2859 | ผลการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการฟื้นฟูประเทศจากวิกฤตอุทกภัย | นร | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานสรุปผลการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่น ของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) พร้อมคณะผู้แทนไทย ระหว่างวันที่ ๒๗ - ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าเยี่ยมคารวะและเข้าพบบุคคลสำคัญระดับสูงของรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อขอบคุณรัฐบาลและประชาชนญี่ปุ่นในการให้ความช่วยเหลือประเทศไทยอย่างทันท่วงทีตั้งแต่ช่วงต้นที่เกิดอุทกภัยและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจในมาตรการของไทยในการช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และร่วมประชุมกับสมาพันธ์องค์กรเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่น (Keidanren) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลจากการเข้าเยี่ยมคารวะและเข้าพบบุคคลสำคัญระดับสูงของญี่ปุ่น โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้ขอความร่วมมือรัฐบาลไทยในการพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบ เพื่อนำมาทดแทนส่วนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย การอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราและใบอนุญาตทำงานแก่ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ การจัดหาน้ำบริสุทธิ์ (purified water) และน้ำสะอาด (clean water) ที่เพียงพอสำหรับการทำความสะอาดเครื่องจักรและอุปกรณ์ในช่วงของการเข้าไปฟื้นฟูระบบการผลิต และการจัดหาระบบไฟฟ้าให้ทันเวลาในการเข้าไปฟื้นฟูระบบการผลิต พร้อมทั้งเสนอให้มีมาตรการป้องกันระยะสั้นในปีหน้าและดำเนินการลงทุนด้านระบบบริหารการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและอุตสาหกรรมที่อยู่พื้นที่เสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญต่อการเพิ่มบทบาทของญี่ปุ่นในการเข้ามาเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตในระดับอนุภูมิภาคตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก (East - West Economic Corridor : EWEC) และแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ - ใต้ (North - South Economic Carridor : NSEC) ๑.๒ ผลการประชุมร่วมกับสมาพันธ์องค์กรเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่น (Keidanren) โดยสมาพันธ์องค์กรเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่นได้เสนอขอให้รัฐบาลไทยพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบ ให้กับบริษัทที่ได้รับและไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ที่นำเข้ามาทดแทนส่วนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และการอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราและใบอนุญาตทำงานแก่ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศทั้งของบริษัทที่ได้รับและไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูระบบการผลิตในบริษัทที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ๑.๓ ผลการหารือกับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และภาคเอกชนของญี่ปุ่น ได้มีการชี้แจงสถานการณ์น้ำท่วมและความก้าวหน้าของการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลไทย ว่าขณะนี้การฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายมีความคืบหน้าเร็วกว่าที่กำหนดไว้ ส่วนหนึ่งจากการสนับสนุนทีมผู้เชี่ยวชาญและเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น พื้นที่ชุมชนหลายแห่งเริ่มกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ โดยรัฐบาลได้เข้าไปช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเยียวยาทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน และด้านคุณภาพชีวิต รวมทั้งชี้แจงให้ฝ่ายญี่ปุ่นทราบถึงกลไกการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติและการฟื้นฟูประเทศทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาระยะสั้น คือ การสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและนักลงทุนว่าก่อนฤดูฝนปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะมีการบริหารจัดการน้ำเพื่อมิให้เกิดวิกฤตอุทกภัย ในขณะที่เป้าหมายระยะยาว จะครอบคลุมเรื่องการลงทุนด้านบริหารจัดการน้ำในระยะยาวอย่างยั่งยืน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ การวางแผนการใช้ที่ดิน การพิจารณาพื้นที่เศรษฐกิจแห่งใหม่เพื่อรองรับอุตสาหกรรม การจัดหาแหล่งเงินเพื่อการพัฒนา การพัฒนาธุรกิจประกันภัย การปรับระบบการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ รวมทั้งการปรับปรุงและบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากร พิจารณาเร่งรัดการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบ เพื่อนำมาทดแทนส่วนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และอำนวยความสะดวกพิธีการศุลกากรที่ง่าย สะดวก และรวดเร็ว เพื่อให้โรงงานที่ได้รับผลกระทบสามารถติดตั้งเครื่องจักรได้เร็วที่สุด ๓. ให้กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาค จัดหาน้ำบริสุทธิ์และน้ำสะอาดที่เพียงพอสำหรับการทำความสะอาดเครื่องจักรและอุปกรณ์ในช่วงของการเข้าไปฟื้นฟูระบบการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ๔. ให้กระทวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จัดเตรียมระบบไฟฟ้าให้พร้อมจ่ายให้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่กลับเข้าสู่ระบบการผลิต ๕. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ สัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2860 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับ "การกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาล" | สสป | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับ “การกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาล” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๕ หน่วยงาน ตามที่สำนักงานคณะกรรมพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยในส่วนของสภาที่ปรึกษาฯ มีความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาล ประกอบด้วย
๑. นโยบายการเพิ่มผลิตภาพแรงงานในภาคอุตสาหกรรมรายกลุ่ม ๒. นโยบายแรงงานต่างด้าว ๓. นโยบายด้านพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๔. นโยบายด้านการส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ๕. นโยบายด้านขับเคลื่อนศักยภาพในการแข่งขันรายอุตสาหกรรม ๖. นโยบายด้านโลจิสติกส์แห่งชาติ ๗. นโยบายด้านการส่งเสริมความเข้มแข็งและขีดความสามารถ SMEs ไทยภายใต้บริบทการเปิด AEC ๘. นโยบายด้านการส่งเสริมการค้าชายแดนและการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคและประเทศที่สาม ๙. นโยบายด้านการพัฒนาภาคการเกษตร ๑๐. การทบทวนระยะเวลาการใช้นโยบายของรัฐบาลที่อาจมีผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ๑๑. นโยบายการจัดตั้งหน่วยงานในการป้องกันและเยียวยาภัยพิบัติจากธรรมชาติ ๑๒. นโยบายการรับมือเศรษฐกิจโลกถดถอย ๑๓. การทบทวนนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาทแบบขั้นบันไดในการปรับ ๑๔. นโยบายการกำหนดมาตรการรองรับสถานการณ์ด้านเงินเฟ้อ ๑๕. นโยบายการปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ๑๖. นโยบายด้านการกีฬาและนันทนาการ ๑๗. นโยบายการสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจภาคบริการและการท่องเที่ยว ๑๘. นโยบายด้านสังคม ๑๙. นโยบายด้านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
