ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 149 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2961 - 2980 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2961 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นนโยบายงบประมาณขาดดุลจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท รายได้สุทธิจำนวน ๑,๙๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๑.๒ แนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๒.๑ ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ภายในกรอบวงเงินของแต่ละกระทรวงหรือวงเงินของหน่วยงานที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๑.๒.๒ งบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้สำหรับรายจ่ายผูกพันตามสัญญา ตามมติคณะรัฐมนตรี ตามกฎหมาย รายจ่ายชำระหนี้ เงินอุดหนุนที่จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนรายจ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายบุคลากรและค่าสาธารณูปโภค ไม่ควรเปลี่ยนแปลงรายการไปจัดสรรให้รายการอื่น ๆ ๑.๒.๓ เพื่อรักษาสัดส่วนรายจ่ายลงทุนของแต่ละกระทรวงให้อยู่ในระดับที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้ในภาพรวม จึงไม่ควรเปลี่ยนแปลงรายจ่ายลงทุนไปเพิ่มในรายจ่ายประจำ ๑.๒.๔ การปรับปรุงงบประมาณไม่ควรเพิ่มรายการใหม่ที่มีภาระผูกพันงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ๑.๓ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น นำเสนอการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามแนวทางข้อ ๑.๒ เสนอนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อให้ความเห็นชอบและส่งผลการพิจารณาข้อเสนอการปรับปรุงให้สำนักงบประมาณภายในวันอังคารที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๔ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันอังคารที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ ๒. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอขอแก้ไขข้อความในหนังสือสำนักงบประมาณ ลับ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๖/๑๑๐๗๖ ลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔ ดังนี้ ๒.๑ หน้า ๑ จากเดิม “ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ ...” เป็น “ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ...” ๒.๒ หน้า ๑๐ จากเดิม “(๑) ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ...” เป็น “(๑) ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ...”
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2962 | รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย | พณ | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย ดังนี้
๑. โครงการสร้างเว็บไซต์ “ผู้ผลิตผู้บริโภคตื่นตัว (Produce & Consumer Alert) ได้รวบรวมข้อมูลด้านราคา ด้านปริมาณการผลิต ด้านปริมาณพ่อพันธุ์/แม่พันธุ์ และด้านการเคลื่อนย้ายของสินค้าหมู ไก่ ไข่ และกำหนดรูปแบบเว็บไซต์ซึ่งอยู่ระหว่างการร่างขอบเขตงาน (TOR) ๒. โครงการจัดจำหน่ายไข่ไก่เป็นกิโลกรัม เริ่มดำเนินการวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ในกรุงเทพมหานคร จุดจำหน่ายตลาดสด ๕ แห่ง ห้าง Modern Trade ๒ แห่ง ในภูมิภาค ๔ แห่ง ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี อ่างทอง เชียงใหม่ โดยสหกรณ์ไก่ไข่ขายตรงผู้บริโภค ๓. การทบทวนเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาดภายใต้พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า ได้ออกประกาศแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องการกำหนดเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาด เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เพื่อทำหน้าที่ทบทวนเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาดต่อไป ๔. การปรับปรุงกฎหมายการแข่งขันทางการค้า ได้มีการนำเสนอเรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายการแข่งขันทางการค้า อยู่ระหว่างรอเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๕. ศึกษารูปแบบองค์กรการกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าเป็นองค์กรอิสระ ได้จัดทำ TOR เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างรอการจัดสรรงบประมาณ ๖. จัดตั้งคณะทำงานติดตามข้อมูล - พฤติกรรม โดยออกคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงและพฤติกรรมทางการค้าของผู้ประกอบการสินค้าไข่ไก่ ไก่เนื้อ และสุกร เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๔ ๗. มาตรการแจ้งปริมาณ/สถานที่เก็บข้าวโพด คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ให้ออกประกาศกำหนดให้แจ้งปริมาณสถานที่เก็บและจัดทำบัญชีคุมสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๔ ประกาศเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ -๕๕๔ ๘. ประกาศไข่ไก่เป็นสินค้าควบคุม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ที่เห็นชอบให้ออกประกาศกำหนดไข่ไก่เป็นสินค้าควบคุม มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2963 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฯ ดังนี้ “ในกรณีการปรับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูง เงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษานั้น เหตุผลของการปรับซึ่งนอกจากจะให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจและดัชนีค่าครองชีพที่สูงขึ้นแล้ว ควรคำนึงถึงการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีรายได้ที่เพียงพอ เหมาะสมกับฐานะทางสังคมและศักดิ์ศรีของการเป็นวิชาชีพชั้นสูงด้วย อันจะส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาของชาติ” ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ๒. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการเต็มสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฯ ในส่วนของการเขียน “เหตุผล” ประกอบการเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ การปรับเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการเลื่อนวิทยฐานะของครู เป็นต้นตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และคณะกรรมาธิการเต็มสภาฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.๒ ให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการเต็มสภาฯ แก้ไข เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2964 | รายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปีที่สอง (วันที่ 30 ธันวาคม 2552 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2553) | นร | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ทุกกระทรวงรับไปพิจารณาข้อมูลเนื้อหาในรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปีที่สอง (วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๒ ถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๓) อีกครั้งหนึ่ง หากมีความประสงค์จะแก้ไขเพิ่มเติมประการใด ให้ส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เพื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการปรับปรุงแก้ไขต่อไป ทั้งนี้ ให้แจ้งข้อมูลที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบคู่ขนานกันไปด้วย ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบการจัดพิมพ์รายงานฉบับเสนอต่อรัฐสภาทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และจัดส่งรายงานให้แก่รัฐสภา โดยให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้รับผิดชอบการแปลเป็นภาษาอังกฤษ ๓. อนุมัติในหลักการงบประมาณค่าใช้จ่ายในการจัดพิมพ์รายงานและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประสานงานและขอตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2965 | การปฏิบัติการคุ้มครองประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ | รง | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพงานที่เพิ่มขึ้นและรองรับการดำเนินงานขยายความคุ้มครองประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการ ปฏิรูปประเทศไทย ตลอดจนสามารถปฏิบัติงานตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศและการให้บริการแก่นายจ้าง ผู้ประกันตน ลูกจ้าง และประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีที่เห็นชอบในหลักการให้มีสำนักงานประกันสังคมสาขาตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ในราชการบริหารส่วนภูมิภาค โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ดำเนินการเรื่องการอนุมัติจัดสรรอัตรากำลัง จำนวน ๒๐๐ อัตรา เพื่อปฏิบัติงานใน สปส. สาขา กระทรวงแรงงาน แต่เรื่องนี้ต้องผ่านการพิจารณาของสำนักงาน ก.พ.ร. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ก่อน จึงควรเร่งรัดการดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าว ไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. อนุมัติหลักการกรอบอัตรากำลังที่ขอรับจัดสรรเพื่อรองรับการดำเนินงานให้บริการผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ ของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ตามที่ คปร. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงแรงงานรับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. และความเห็นของ คปร. เกี่ยวกับการจัดเตรียมแผนการดำเนินงานเพื่อปรับเปลี่ยนสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ไปเป็นองค์กรอิสระในอนาคต การปรับปรุงระบบการบริหารงานของกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนใหม่ให้เหมาะสม รวมทั้งการจัดสรรกรอบอัตราเพิ่มเติมเพื่อให้บริการแก่ประชาชนแรงงานนอกระบบ และการเพิ่มอัตรากำลังตั้งใหม่เพื่อรองรับการปฏิบัติการคุ้มครองประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. และ คปร. พิจารณาโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน และกรอบอัตรากำลังเพิ่มเติมให้แก่หน่วยงานดังกล่าว เพื่อให้เป็นไปตามมติที่ประชุมเรื่อง การดำเนินงานขยายความคุ้มครองประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๔ โดยด่วน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2966 | สรุปผลการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกอย่างไม่เป็นทางการ (วันที่ 29 มกราคม 2554) | พณ | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปผลการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก (WTO) อย่างไม่เป็นทางการ ที่จัดขึ้นโดยรัฐบาลสวิส เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๔ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสรุปผลการเจรจารอบโดฮาให้ได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพราะประเทศสมาชิก WTO อาจพลาดโอกาสที่จะได้รับผลประโยชน์จากรอบโดฮา โดยรัฐมนตรีที่เข้าร่วมประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าควรจะต้องเร่งหาข้อยุติเกี่ยวกับรูปแบบการเปิดตลาด และการปรับปรุงกฎเกณฑ์ทางการค้าต่าง ๆ ที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ให้เสร็จภายในเดือนเมษายนเป็นอย่างช้า เพื่อให้สมาชิกได้เริ่มจัดทำร่างตารางข้อผูกพันในเรื่องต่าง ๆ ได้ภายในสิ้นกรกฎาคมและเริ่มเจรจาปรับปรุงระดับการเปิดตลาดและตรวจสอบร่างตารางข้อผูกพันให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และเห็นว่าการเพิ่มระดับการเปิดตลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการผลักดันให้การเจรจาสามารถสรุปผลได้ โดยพยายามทำความเข้าใจในประเด็นที่แต่ละประเทศมีความอ่อนไหว และพร้อมที่จะเข้าร่วมการเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันอย่างเป็นรูปธรรม ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยได้กล่าวถ้อยแถลงโดยสรุปคือ ไทยพร้อมให้ความยืดหยุ่นในการเจรจารอบโดฮา เพื่อให้การเจรจาสามารถสรุปผลได้ โดยได้สั่งการให้ผู้เจรจาเพิ่มความพยายามในการเจรจาและเข้าไปมีส่วนร่วมในการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ พร้อมทั้งได้เสนอให้สมาชิกเร่งรัดให้การเจรจาดำเนินไปโดยเร็ว โดยสมาคมควรจะต้องยุติการกล่าวถ้อยแถลงที่ยังคงยึดติดกับท่าทีเดิม และหันมาเจรจาอย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งได้เรียกร้องให้สมาชิกเร่งยื่นข้อเสนอในการเปิดตลาดของตนโดยเร็ว เพื่อให้แต่ละประเทศสามารถประเมินผลได้เสียของการเจรจา และเปิดโอกาสให้มีการเจรจาแลกเปลี่ยนการเปิดตลาดระหว่างกัน หรือที่เรียกว่า Request - Offer ได้โดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2967 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2554 | นร | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบตามมติคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ และส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารา ที่เห็นว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นในการแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ แต่เห็นควรให้มีแนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา เพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารา และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) ดำเนินการตามแนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา ตามมติคณะทำงานร่วมฯ และแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการต่ออายุใบอนุญาตอุตสาหกรรมไม้ทุกประเภท (รวมถึงไม้ยางพารา) ที่ได้ปรับปรุงแล้วเสร็จ ไปปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันทั่วประเทศ และให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม้รับทราบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการต่ออายุใบอนุญาตดังกล่าว และนำไปปฏิบัติต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) เร่งรัดการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการจัดทำบัญชีไม้ การกำหนดค่ามาตรฐานในการแปลงค่าน้ำหนักเป็นปริมาตรเพื่อประกอบการจัดทำบัญชีไม้ และปรับปรุงการออกและต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานแปรรูปไม้ยางพารา ๑.๒ รับทราบผลการศึกษาการยกเลิกอัตราการนำเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยให้คงอัตราการนำเงินเข้ากองทุนฯ ๕ บาท ต่อกิโลกรัมจนกว่ากองทุนฯ จะชำระหนี้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย) แล้วเสร็จ รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรมศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ เห็นชอบตามข้อเสนอบทบาทการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย และให้ สศช. ประสานกับภาคเอกชนเพื่อพิจารณาในรายละเอียดการดำเนินงานต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อรับความเห็นของคณะกรรมการ กรอ. ไปพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เต็มตามศักยภาพ รวมทั้งการพัฒนาระบบข้อมูลการตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้าให้เป็นมาตรฐานสากล และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการใช้ประโยชน์และข้อเสนอด้านงบประมาณในการจัดพิมพ์บัตร ตม.๖ ให้เพียงพอ รวมทั้งการปรับปรุงกฎกระทรวงเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบหนังสือเดินทางล่วงหน้าด้วย ๑.๕ รับทราบรายงานผลการศึกษาเบื้องต้นศักยภาพในการรองรับอุตสาหกรรมของพื้นที่มาบตาพุด และให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยทำหนังสือพร้อมหลักฐานการส่งข้อมูลแผนแม่บทการใช้ประโยชน์ที่ดินและการพัฒนาบนพื้นที่ถมทะเลให้กับคณะกรรมการ ๔ ฝ่าย (ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และนักวิชาการ) ด้วย ๑.๖ รับทราบผลการดำเนินการของกรมศุลกากร ตามมติคณะกรรมการ กรอ. ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ แนวทางแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้าวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้ ในเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้าวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ประชุมได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นประธานการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหานำเข้าสินค้าวัตถุอันตรายตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการกำหนดหน่วยงานที่เป็น Contact Point ให้ชัดเจน โดยให้ สศช. ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ แล้วนำเสนอคณะกรรมการ กรอ. พิจารณาต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ กรณีการขอผ่อนปรนกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว หากผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นว่ามีประเด็นใดที่ต้องมีการทบทวนหรือปรับปรุงแก้ไข ก็ควรระบุให้ชัดเจน เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปปฏิบัติให้ถูกต้องตรงกันต่อไป ๒.๒ การใช้ประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Economic Partnership Agreement : EPA) เนื่องจากปัจจุบันยังมีการใช้ประโยชน์จากความตกลงดังกล่าวค่อนข้างน้อย เช่น ความตกลงการค้าไทย - นิวซีแลนด์ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - อินเดีย เป็นต้น ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหาแนวทางเพื่อกระตุ้นให้นักลงทุนใช้ประโยชน์ของความตกลงการค้าและลงทุนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งควรขยายกรอบของความตกลงการค้าเพื่อให้สามารถขยายขอบเขตการลงทุน ฐานการผลิตในประเทศ และการส่งออก ให้มากยิ่งขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2968 | การปรับปรุงซ่อมแซมระบบบำบัดน้ำเสียและระบบกำจัดขยะมูลฝอยที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย | ทส | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติยให้กระทรวงมหาดไทยรับเรื่อง การปรับปรุงซ่อมแซมระบบบำบัดน้ำเสียและระบบกำจัดขยะมูลฝอยที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ไปประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบข้อมูลและเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมระบบบำบัดน้ำเสียและระบบกำจัดขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ยังไม่ได้ดำเนินการหรืออยู่ระหว่างดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเองเป็นลำดับแรก และหากมีความจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม ก็ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณตามโครงการช่วยเหลือฟื้นฟูความเสียหายจากภัยพิบัติด้านอุทกภัยของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยให้เสนอขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2969 | เสนอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการติดตั้งและใช้โทรศัพท์ประจำบ้านพักของข้าราชการ | ทก | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การติดตั้งและใช้โทรศัพท์ของทางราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการติดตั้งและใช้โทรศัพท์ของทางราชการ และกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่) เฉพาะในส่วนของข้อ ๒.๓ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโทรศัพท์พื้นฐานประจำบ้านพักของทางราชการและบ้านพักส่วนตัว โดยยกเลิก (๑) และแก้ไข (๒) จาก เดิม (๒) ค่าใช้บริการให้เบิกจ่ายได้เฉพาะค่าใช้โทรศัพท์ภายในท้องถิ่น (ไม่รวมโทรศัพท์ทางไกล) เท่าที่จ่ายจริงไม่เกินเดือนละ ๑๐๐ ครั้ง รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระพร้อมกัน ส่วนที่เกิน ๑๐๐ ครั้ง หรือค่าใช้บริการเสริมพิเศษอื่น ๆ ที่ผู้ให้บริการเรียกเก็บ เช่น ค่าบริการสายเรียกซ้อน ค่าบริการอินเทอร์เน็ต ค่าบริการโทรทางไกล เป็นต้น ผู้ใช้บริการต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เป็น (๒) ให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์ประจำบ้านพักสามารถใช้อินเทอร์เน็ตและบริการอื่นที่จะมีในอนาคตได้ โดยกำหนดวงเงินการใช้โทรศัพท์แบบเหมา คือ ค่าเช่าเลขหมายและค่าใช้บริการใด ๆ ไม่เกินคนละ ๔๐๐ บาทต่อเดือน โดยไม่จำเป็นต้องจำกัดชนิดของการใช้บริการ และให้ผู้ใช้บริการรับผิดชอบค่าบริการส่วนที่เกิน ๔๐๐ บาทเอง ๒. ให้หัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ กำกับ ดูแล การอนุมัติติดตั้งโทรศัพท์ประจำบ้านพักของข้าราชการ เฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการใช้งานเท่านั้น เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณกรณีดังกล่าวเป็นไปโดยเหมาะสม และหากมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นให้ใช้จ่ายภายในวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรของแต่ละส่วนราชการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2970 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและอนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๑.๑ รับทราบประเด็นข้อชี้แจงของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการใช้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) วงเงิน ๑,๓๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ๑.๒ อนุมัติแนวทางการขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาและการเบิกจ่ายเงินของโครงการที่ได้รับการอนุมัติจัดสรรเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๓ รับทราบการปรับปรุงแผนการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิต การตลาด และการแปรรูปในสหกรณ์โคนม จำนวน ๓ แห่ง วงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเป็นการปรับแผนการใช้จ่ายเงินในแต่ละเดือนภายใต้แผนการใช้จ่ายเงินเดิม ๑.๔ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ วงเงิน ๕๓,๘๙๔,๒๖๑ บาท ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนสู่มาตรฐาน วงเงิน ๑,๘๔๕,๗๐๘ บาท โครงการเพิ่มประสิทธิภาพของส่วนราชการ วงเงิน ๓๐,๖๐๕,๔๕๔ บาท และโครงการปัจจัยสนับสนุนด้านการศึกษา วงเงิน ๒๑,๔๔๓,๐๙๙ บาท ๑.๕ อนุมัติการก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับการจัดสรรเงินสำหรับโครงการพัฒนาศักยภาพสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวปัตตานี ๑.๖ อนุมัติการขอยกเลิกโครงการส่งเสริมการปลูกยางพาราพันธุ์ดีในพื้นที่ว่างเปล่า จำนวน ๕,๐๐๐ ไร่ วงเงิน ๙,๔๗๓,๓๐๐ บาท ของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน โดยจังหวัดนราธิวาส เนื่องจากสภาวะราคาพันธุ์ยางพาราในท้องถิ่นได้ขยับตัวสูงขึ้นมากทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ ประกอบกับรัฐบาลได้มีการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายให้กับโครงการส่งเสริมการปลูกยางพารา ของสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง วงเงิน ๑๐๗.๓๒ ล้านบาท ซึ่งอยู่ภายใต้แผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้ผ่านการทำประชาคมเรียบร้อยแล้ว ๑.๗ อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้หน่วนยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน ๑๕ วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๘ อนุมัติการขอปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ หลังจากปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๔๑๖๙ ตอนทางรอบเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ของกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม วงเงิน ๔๕๐ ล้าบบาท จากเดิมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยจัดสรรวงเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ สำหรับการลงทุนในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๕ ส่วนวงเงินส่วนที่เหลือให้กรมทางหลวงขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการดังกล่าวตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามทางเลือกที่ ๑ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดขอบเขตระยะเวลาการลงนามสัญญาและการเบิกจ่ายเงินให้ชัดเจน เพื่อให้การดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ บรรลุวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ควรพิจารณาความจำเป็นในการดำเนินโครงการฯ โดยอาจใช้แหล่งเงินลงทุนอื่นในการดำเนินโครงการ รวมทั้งเร่งพิจารณาจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ให้แก่โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่มีศักยภาพและเป็นการวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไป ไปพิจารณาต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2971 | การรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติหลักการแผนพัฒนาเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้เต็มศักยภาพ 60 ล้านไร่ | กษ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติหลักการแผนพัฒนาเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้เต็มศักยภาพ ๖๐ ล้านไร่ สรุปได้ ดังนี้
๑. กรมชลประทานได้เสนอผลการดำเนินงานในการปรับปรุงแผนพัฒนาการเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้เต็มศักยภาพ ๖๐ ล้านไร่ ต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อทราบแล้ว เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยแผนการพัฒนาการชลประทานอย่างเต็มศักยภาพฯ ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาและบริหารจัดการน้ำ แยกเป็นมาตรการด้านการใช้สิ่งก่อสร้าง ที่เน้นการพัฒนาโครงการและการใช้น้ำในลุ่มน้ำเป็นสำคัญ ก่อนที่จะพิจารณาแนวทางการผันน้ำระหว่างลุ่มน้ำในอันดับถัดไป โดยจะเน้นเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบภาวะขาดแคลนน้ำและอุทกภัยก่อน และด้านการบริหารจัดการ เป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี การประสานงานกับภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการแหล่งกักเก็บน้ำ และโครงการชลประทานภายในลุ่มน้ำและระหว่างลุ่มน้ำ รวมทั้งการกำหนดแผนการดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำ ออกเป็น ๓ ระยะ คือ แผนระยะสั้น (ก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๕) แผนระยะกลาง (ก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐) และแผนระยะยาว (ก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป) ๒. จากแผนการพัฒนาการชลประทานอย่างเต็มศักยภาพฯ คาดว่าจะสามารถเก็บกักน้ำได้เพิ่มเติมอีกประมาณ ๒๖,๖๐๓ ล้านลูกบาศก์เมตร และมีพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้นอีกประมาณ ๓๔.๐๔ ล้านไร่ เมื่อรวมกับปริมาณน้ำเก็บกักและพื้นที่ชลประทานที่มีอยู่ในปัจจุบันจะทำให้มีแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ ๑๐๒,๙๗๓ ล้านลูกบาศก์เมตร หรือประมาณร้อยละ ๕๒ ของปริมาณน้ำท่าในประเทศ และถ้าสามารถดำเนินการได้ตามแผนจะทำให้มีพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้น ๖๒.๔ ล้านไร่ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2972 | โครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง จังหวัดระยอง เพิ่มเติม | นร | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรี ดังนี้
๑. อนุมัติมีมติในหลักการโครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง จังหวัดระยอง เพิ่มเติม และขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติม จำนวน ๙ โครงการ ประกอบด้วย โครงการเร่งด่วนภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๖ จำนวน ๗ โครงการ วงเงิน ๒๐๘.๕๐ ล้านบาท โครงการเร่งด่วนเพื่อลดและขจัดมลพิษ จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๑ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างสถานีขนถ่ายและระบบขนส่งขยะมูลฝอยเทศบาลเมืองมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๖๐ ล้านบาท ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๒๖๙,๕๐๐,๐๐๐ บาท และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการฯ ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการฯ รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า บางโครงการอาจจะต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการต่อเนื่องเกินปีงบประมาณปัจจุบัน เช่น โครงการปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียรวมเทศบาลนครระยอง วงเงิน ๑๕๐.๔๓ ล้านบาท ฉะนั้น การขอจัดสรรเงินงบประมาณรายการดังกล่าวควรพิจารณาตามศักยภาพ ความพร้อมของหน่วยปฏิบัติ และหากไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณก็สมควรที่จะดำเนินการตามระเบียบวิธีการและขั้นตอนของการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2973 | การขอเปลี่ยนแปลงการย้ายสถานที่ตั้งหรือการขอนำกำลังการผลิตไปตั้งที่ใหม่และขยายกำลังการผลิต | อก | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้บริษัท น้ำตาลราชบุรี จำกัด เปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้งโรงงาน โดยตั้งอยู่ที่เดิมที่ตำบลเบิกไพร อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี และมีกำลังการผลิต ๑๐,๕๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ตามที่ได้รับอนุญาตแล้ว และนำกำลังการผลิต ๙,๕๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ไปตั้งใหม่ที่อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และขยายกำลังการผลิตเป็น ๒๘,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ๑.๒. ให้บริษัท อุตสาหกรรมน้ำตาลชลบุรี จำกัด เปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้งโรงงาน โดยไปตั้งที่ตำบลหนองกลับ อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ และมีกำลังการผลิต ๓๖,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ตามที่ได้รับอนุญาตแล้ว ๑.๓. ให้บริษัท รวมเกษตรกรอุตสาหกรรม จำกัด นำกำลังการผลิต ๘,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ไปตั้งใหม่ที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย และขยายกำลังการผลิตเป็น ๒๕,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ๑.๔. ให้บริษัท อุตสาหกรรมโคราช จำกัด นำกำลังการผลิต ๔,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ไปตั้งใหม่ที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และขยายกำลังการผลิตเป็น ๑๒,๕๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ๑.๕. ให้บริษัท น้ำตาลระยอง จำกัด นำกำลังการผลิต ๒,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ไปตั้งใหม่ที่อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ และขยายกำลังการผลิตเป็น ๑๕,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ๑.๖. ให้บริษัท น้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด นำกำลังการผลิต ๒,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ไปตั้งใหม่ที่อำเภอวังสมบูรณ์ จังหวัดสระแก้ว และขยายกำลังการผลิตเป็น ๑๒,๕๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ๑.๗. ให้บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด นำเครื่องจักรที่มีกำลังการผลิต ๒,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ไปตั้งใหม่ที่อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร และขยายกำลังการผลิตเป็น ๑๒,๕๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และความเห็นของคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมในการขยายกำลังการผลิตและย้ายสถานที่ตั้งโรงงานน้ำตาล ที่เห็นควรจัดทำข้อมูลกำลังการผลิตในภาพรวมทั้งหมดที่ได้รับอนุญาตแล้ว กำลังการผลิตที่ใช้จริง และข้อมูลปริมาณผลผลิตอ้อยในปัจจุบันเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และควรกำหนดหลักเกณฑ์ในการอนุมัติย้ายโรงงานให้ชัดเจนเพื่อมิให้เกิดการขอย้ายหรือขยายกำลังการผลิตบ่อยครั้ง ยกเว้นจะมีเหตุผลสมควรที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ นอกจากนี้ ในการอนุญาตให้มีการขยายกำลังการผลิต กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจะต้องมีเงินทุนเพื่อใช้ในการรักษาเสถียรภาพที่จะเกิดขึ้นจากภาวะราคาอ้อยตกต่ำในอนาคตโดยการขึ้นราคาน้ำตาลทรายในประเทศเพื่อเป็นรายได้ของกองทุนฯ โดยให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) วิเคราะห์ความเสี่ยงและประเมินความสามารถของกองทุนฯ จากภาวการณ์ปรับเปลี่ยนของราคาน้ำตาลในตลาดโลกเพื่อเตรียมความพร้อมไว้รองรับภาระของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และในการลดความเสี่ยงจากภาวะราคาน้ำตาลตกต่ำในอนาคต การคำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตน้ำตาลของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล ควรครอบคลุมเอทานอลและผลผลิตอื่น ๆ ที่ได้จากอ้อยด้วย โดยเฉพาะนโยบายส่งเสริมการใช้น้ำมัน E20 และ E85 ให้ชัดเจน จึงต้องมีการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งควรมีการดำเนินการลดต้นทุนการผลิตอ้อยอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อรองรับกับราคาอ้อยที่อาจลดลงอันเนื่องมาจากการลดลงของราคาน้ำตาลในตลาดโลกในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2974 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) | กษ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งมีผลความคืบหน้าการดำเนินการฯ ของกรมชลประทาน สรุปได้ ดังนี้
๑. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้ดำเนินโครงการวิจัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกต่อฝนสูงสุดที่อาจเป็นไปได้ของพื้นที่ภาคเหนือของประเทศ และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จะดำเนินโครงการวิจัยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศต่อปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และโครงการวิจัยการวิเคราะห์ความถี่การเกิดภัยแล้งโดยใช้ดัชนีวัดความแห้งแล้ง ๒. ดำเนินการเฝ้าติดตามสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งวางแผนบริหารจัดจราจรน้ำในลุ่มน้ำต่าง ๆ เพื่อให้พื้นที่ที่รับผลกระทบได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุด โดยกำหนดเกณฑ์การเก็บกักน้ำในอ่าง (Rule Curve) ในแต่ละช่วงเวลาไม่ให้เกิดภาวะน้ำล้นอ่างเก็บน้ำ และมีการประเมินสภาพน้ำในอ่างโดยใช้โปรแกรม Reservoit Operation Simulation เป็นการจำลองการคาดการณ์ปริมาณน้ำในอ่างล่วงหน้าเพื่อใช้กำหนดแผนการระบายน้ำ ซึ่งจะทำให้ช่วยชะลอและลดความเร็วน้ำหลากไม่ให้หลากลงมาอย่างรวดเร็วเป็นการลดปริมาณน้ำท่วมในพื้นที่ต่าง ๆ ๓. ดำเนินการติดตามประเมินผลโครงการปรับปรุงปากแม่น้ำโกลก ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลมาเลเซียในการปรับปรุงปากแม่น้ำโกลกเพื่อรักษาแนวเขตแดนของไทยและมาเลเซียให้มีเสถียรภาพ และมีแผนการศึกษาร่วมแบบจำลองชลศาสตร์ด้านการประเมินผลโครงการปรับปรุงปากแม่น้ำโกลกต่อพื้นที่บริเวณชายฝั่ง โดยมุ่งเน้นศึกษาทั้งด้านการกัดเซาะชายฝั่งและผลกระทบของการสร้างโครงการปรับปรุงปากแม่น้ำโกลกต่อพื้นที่โดยรอบในปี พ.ศ. ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2975 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน (ช่วงระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2554 - 30 เมษายน 2554) | กค | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ สรุปได้ว่า การดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนเป็นมาตรการระยะสั้นเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนผู้มีรายได้น้อยในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการพิจารณาขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการดังกล่าวเป็นคราว ๆ ไป รวมทั้งได้มีการปรับปรุงและยกเลิกมาตรการให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ หากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยฟื้นตัวและประชาชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็น่าจะสามารถยุติการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพได้ ดังนั้น การพิจารณาให้มาตรการใดเป็นการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในระยะยาวหรือเป็นมาตรการถาวร จึงไม่เป็นไปตามหลักการและเหตุผลของการดำเนินมาตรการการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน สำหรับการพิจารณาว่ามาตรการในเรื่องใดที่เป็นบริการเชิงสังคมควรปรับเข้าสู่ระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (Public Service Obligation : PSO) นั้น เนื่องจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนเป็นมาตรการระยะสั้น จึงไม่สามารถเข้าสู่ระบบ PSO ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้ ๒. อนุมัติในหลักการ ดังนี้ ๒.๑ การขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพต่อไปจนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ รวมถึงวงเงินและแหล่งเงินในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพ ๒.๒ กรณีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่าวงเงินที่ได้รับอนุมัติ เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อรัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และไม่ให้เป็นภาระของคณะรัฐมนตรี ให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มวงเงินค่าใช้จ่ายการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนในช่วงระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ - ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และแจ้งให้รัฐวิสาหกิจที่ดำเนินมาตรการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน จากที่เสนอไว้ว่า ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ เป็นตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2976 | ปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2554 ครั้งที่ 1 | กค | 15/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับลดลง ๔,๙๒๓.๖๓ ล้านบาท จากวงเงินเดิม ๑,๒๙๖,๔๒๗.๙๐ ล้านบาท เหลือ ๑,๒๙๑,๕๐๔.๒๗ ล้านบาท ๒. รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบวงเงินแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) ที่ขอปรับเพิ่มวงเงินกู้เพื่อดำเนินโครงการสร่างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ ๓ วงเงิน ๑๕,๘๕๐.๐๐๐ ล้านบาท เนื่องจากมีความต้องการใช้เงินเพื่อเร่งดำเนินโครงการฯ ให้เสร็จในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ อนุมัติให้ บมจ. ทีโอที เปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินงานจากการประกวดราคาสากลเป็นการประกวดราคาทั่วไป ทำให้เงินกู้เพื่อดำเนินโครงการฯ จะเป็นเงินกู้จากในประเทศหรือต่างประเทศนั้นขึ้นอยู่กับผู้ที่ประมูลโครงการได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีความเห็นว่าควรเป็นการกู้เงินในรูปเงินกู้ระยะยาวเพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ และกระทรวงการคลังจะไม่ค้ำประกันเพราะเป็นโครงการที่มุ่งหวังผลตอบแทนเชิงพาณิชย์ ๓. อนุมัติการกู้เงิน การค้ำประกัน และการให้กู้ต่อของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจตามรายการที่ได้บรรจุไว้ในแผนการบริหารความเสี่ยง (แผนงานย่อยที่ ๓) โดยในการกู้เงินเพื่อ Refinance ให้กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจสามารถปรับเปลี่ยนแหล่งเงินกู้จากเงินกู้สกุลเงินต่างประเทศเป็นเงินกู้สกุลเงินบาท (Baht Refinance) ได้ ๔. อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการค้ำประกัน การกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ โดยหากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2977 | รายงานผลการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล เรื่อง การสร้างหลักประกันด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ (การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ) | นร | 15/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) รายงานผลการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล เรื่อง การสร้างหลักประกันด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ (การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ) สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณตามโครงการสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุ งวดที่ ๑ เป็นเงิน ๑๕,๕๓๔,๑๕๖,๐๐๐ บาท ซึ่งกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้มีหนังสือถึงจังหวัดเพื่อจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โครงการสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุ เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในงวดที่ ๑ จำนวน ๖ เดือน (ตุลาคม ๒๕๕๓ - มีนาคม ๒๕๕๔) จำนวน ๕,๑๗๘,๐๕๒ คน เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๕,๕๓๔,๑๕๖,๐๐๐ บาท พร้อมแนวทางปฏิบัติ ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุไปแล้ว ๔ เดือน (ตุลาคม ๒๕๕๓ - มกราคม ๒๕๕๔) ๒. กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ในการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ วงเงิน ๖,๗๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดให้ผู้สูงอายุทั้ง ๗๕ จังหวัดแสดงความประสงค์เพื่อขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจนถึงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ๓. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ว่าจ้างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังดำเนินโครงการศึกษาการปรับปรุงรูปแบบการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุโดยประยุกต์ใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและพัฒนาระบบต้นแบบ และได้นำเสนอผลการศึกษาต่อที่ประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๔ ซึ่งที่ประชุมมีมติให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบภารกิจเรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเป็นส่วนราชการเจ้าของงบประมาณจัดทำงบประมาณในรูปแบบเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อใช้จ่ายในโครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นการเฉพาะ รวมทั้งพัฒนารูปแบบการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในรูปแบบการจ่ายเบี้ยยังชีพผ่านระบบธนาคารไปยังผู้สูงอายุโดยตรง โดยให้ดำเนินการลักษณะเป็นโครงการนำร่องในเทศบาลหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ที่มีสถาบันทางการเงินให้บริการในพื้นที่ ตลอดจนพัฒนากระบวนการการลงทะเบียนและการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุโดยการเชื่อมโยงข้อมูลเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก โดยใช้ระบบ Off Line ข้อมูลจากบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์จากระบบทะเบียนราษฎร์ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2978 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการใช้ทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน | กค | 15/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการใช้ทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน โดยปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้ระบบการจัดเก็บภาษีมีความเป็นกลางไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรงหรือลงทุนผ่านตัวกลาง เช่น กองทุนรวมหรือทรัสต์ หรือให้ภาระภาษีมีความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ลงทุนไทยหรือผู้ลงทุนต่างชาติ โดยกำหนดให้แก้ไขปรับปรุงกฎหมายในส่วนของการใช้ทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน โดยให้บุคคลธรรมดาที่ลงทุนผ่านทรัสต์เพื่อลงทุนในหุ้นได้รับการยกเว้นภาษีได้สำหรับส่วนแบ่งกำไรที่จ่ายจากเงินปันผลและกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น และให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนผ่านทรัสต์ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้เฉพาะส่วนแบ่งกำไรที่จ่ายจากเงินปันผล สำหรับส่วนแบ่งกำไรที่จ่ายจากผลประโยชน์อื่น ๆ ให้เสียภาษีตามปกติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ผู้ก่อตั้งทรัสต์ ทรัสตีและผู้รับประโยชน์ ตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน สำหรับเงินได้ รายรับ และการกระทำตราสาร อันเนื่องมาจากการทำสัญญาก่อตั้งทรัสต์ แต่ไม่รวมถึงดอกผลของเงินได้ รายรับ อันเนื่องมาจากการทำสัญญาก่อตั้งทรัสต์ตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพิจารณากำหนดภาระภาษีสำหรับการลงทุนในตลาดทุนทั้งโดยตรงและผ่านตัวกลางอื่นให้เกิดความเท่าเทียมและเป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งศึกษาผลกระทบต่อรายได้รัฐ จำนวนผู้ได้รับประโยชน์ และผลประโยชน์โดยรวมของประเทศ จากการยกเว้นภาษีตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย เพื่อประเมินความคุ้มค่าจากการดำเนินมาตรการดังกล่าว โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินการตามแนวทางการปรับปรุงระบบภาษีของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2979 | การป้องกันการทุจริตกรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ทำสัญญา หรือบริหารสัญญาเสียเปรียบเอกชนหรือตีความสัญญาเอื้อประโยชน์ แก่เอกชนทำให้ทางราชการได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวนสูงมาก | นร | 08/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเรื่อง การป้องกัน การทุจริต กรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐทำสัญญาหรือบริหารสัญญาเสียเปรียบเอกชนหรือตีความสัญญาเอื้อประโยชน์แก่เอกชน ทำให้ทางราชการได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวนสูงมากมีสาระสำคัญในการปรับปรุงกระบวนการในการทำสัญญา แก้ไขสัญญา และบริหารสัญญาของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่จะทำกับเอกชนที่มีวงเงินตั้งแต่ ๕๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รวมทั้งให้มีการดำเนินการหาผู้รับผิดทุกเรื่องทุกรายเพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามมาตรา ๑๙ (๘) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และป้องกันความเสียหายที่จะเกิดแก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับเรื่องนี้ไปหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงกระบวนการจัดทำสัญญา แก้ไขสัญญา หรือบริหารสัญญาของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่จะทำกับเอกชน ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน โดยให้นำข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นต้น มาประกอบการพิจารณาด้วย และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2980 | รายงานผลการลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือทางการเงินโครงการพัฒนา ถนนหมายเลข 11 (บ้านตาดทอง - บ้านน้ำสัง และเมืองสังข์ทอง) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กค | 08/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือทางการเงินระหว่างสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงถนนหมายเลข ๑๑ (บ้านตาดทอง - บ้านน้ำสัง และเมืองสังข์ทอง) โดย สพพ. ได้ลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว วงเงิน ๑,๓๙๒ ล้านบาท เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๓ ณ กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
