ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 140 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2781 - 2800 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2781 | การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ | นร | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งงบประมาณสำหรับดำเนินการตามมติคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางดำเนินการ ๑.๑.๑ ส่วนของข้าราชการพลเรือนสามัญ ๑.๑.๑.๑ กำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาลในอีก ๒ ปีถัดไป โดยให้อัตราเงินเดือนแรกบรรจุขั้นต่ำของวุฒิปริญญาตรีในปีที่ ๒ เท่ากับ ๑๕,๐๐๐ บาท ปีที่ ๑ เท่ากับ ๑๓,๐๐๐ บาท วุฒิ ปวส. ปีที่ ๒ เท่ากับ ๑๑,๕๐๐ บาท ปีที่ ๑ เท่ากับ ๑๐,๒๐๐ บาท (วุฒิ ปวส. คงความแตกต่างของเงินเดือนกับวุฒิปริญญาตรี) และวุฒิ ปวช. ปีที่ ๒ เท่ากับ ๙,๔๐๐ บาท และปีที่ ๑ เท่ากับ ๘,๓๐๐ บาท (วุฒิ ปวช. คงความแตกต่างของเงินเดือนกับวุฒิ ปวส.) และกำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุขั้นต่ำของคุณวุฒิอื่นให้สอดคล้องกับอัตราความแตกต่างระหว่างคุณวุฒิต่าง ๆ ที่กำหนดไว้เดิม ๑.๑.๑.๒ ปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รบผลกระทบ ๒ ครั้ง ให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุในปีที่ ๑ และปีที่ ๒ โดยปรับเงินเดือนชดเชยให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายผู้เข้ารับราชการในตำแหน่งระดับแรกบรรจุก่อนวันที่อัตราเงินเดือนแรกบรรจุที่ปรับใหม่มีผลใช้บังคับอย่างน้อย ๑๐ ปี (มีอายุราชการตั้งแต่ ๑ วัน ถึง ๑๐ ปี โดยประมาณ) ๑.๑.๒ ส่วนของข้าราชการประเภทอื่นและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภทบรรลุวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และหลักการ เดียวกัน โดยมีความเป็นธรรมไม่เหลื่อมล้ำกัน และให้มีผลใช้บังคับภายใน ๒ ปี ในทำนองเดียวกัน โดยให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารงานบุคคลของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท นำเสนอคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องให้ความเห็นชอบในรายละเอียดก่อน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ใช้งบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ ก่อนที่จะดำเนินการบังคับใช้ต่อไป ๑.๒ การมีผลใช้บังคับ ให้การปรับเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีผลใช้บังคับในปีที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ และปีที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ๑.๓ ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา คาดว่าจะใช้งบประมาณเพื่อปรับเงินเดือนแรกบรรจุและปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการทุกประเภทและเจ้าหน้าที่ของรัฐ สำหรับดำเนินการในปีที่ ๑ (ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖) เพิ่มขึ้นประมาณ ๕,๐๑๐ ล้านบาท และสำหรับดำเนินการในปีที่ ๒ (ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗) เพิ่มขึ้นประมาณ ๗,๑๓๕ ล้านบาท ๒. ให้ส่วนราชการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรมีแนวทางในการควบคุมงบประมาณรายจ่ายประจำไม่ให้สูงเกินกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ หรือให้ต่ำกว่า โดยอาจมีการควบคุมรายจ่ายประจำในหมวดอื่น ๆ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นให้ลดลงกว่าในปีงบประมาณที่ผ่าน ๆ มา อาทิ งบดำเนินงานหรืองบรายจ่ายอื่นโดยเฉพาะรายจ่ายในการเดินทางเพื่อสัมมนาและดูงานในต่างประเทศ เป็นต้น และเพื่อควบคุมรายจ่ายในส่วนของรายจ่ายประจำโดยเฉพาะในหมวดค่าใช้จ่ายบุคลากรไม่ให้สูงขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป อาจใช้มาตรการเกษียณอายุก่อนกำหนดควบคู่การจำกัดจำนวนข้าราชการใหม่ รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้สะท้อนถึงค่าตอบแทนที่ได้รับสูงขึ้นจากการปรับปรุงค่าตอบแทนในครั้งนี้ โดยอาจดำเนินการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการประเมินผลการปฏิบัติราชการให้เข้มข้นขึ้น และเพื่อความเป็นธรรม และลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้นจากการปรับฐานเงินเดือน ควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนเงื่อนไขการจ้างและสวัสดิการบางประการของข้าราชการที่เข้ารับการบรรจุใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ให้เหมาะสม ส่วนผลกระทบอื่น ๆ จากการปรับปรุงค่าตอบแทนดังกล่าว อาจส่งผลให้กำลังคนด้านทักษะวิชาชีพที่มีคุณวุฒิต่ำกว่าปริญญา สายช่างเทคนิค เช่น ปวช. ปวส. ขาดแคลนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากนักเรียนจะเลือกเรียนระดับปริญญาซึ่งมีรายได้สูงกว่ามาก ดังนั้น ในช่วงที่ผลตอบแทนในวิชาชีพอื่นยังไม่ปรับตัวขึ้นตามกลไกตลาด ควรมีมาตรการส่งเสริมหรือกระตุ้นให้นักเรียนเข้าเรียนในสาขาวิชาชีพดังกล่าวไปพร้อมกัน นอกจากนี้ ควรมีนโยบายหรือมาตรการให้แก่กลุ่มข้าราชการที่ไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากข้อเสนอดังกล่าว ซึ่งได้แก่ กลุ่มข้าราชการที่มีอายุราชการมากกว่า ๑๐ ปี ด้วย เช่น การจัดให้มีเงินรางวัลประจำปีตามผลงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2782 | การปรับค่าตอบแทนแรกบรรจุและการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการ | นร | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบงบประมาณในการดำเนินการปรับค่าตอบแทนแรกบรรจุ การชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการและเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๖,๖๓๔ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการเสนอ ๒. ให้ส่วนราชการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๓.๑ การปรับค่าตอบแทนแรกบรรจุและการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐประเภทอื่น จะส่งผลต่องบประมาณรายจ่ายประจำในส่วนของงบบุคลากรมีจำนวนที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้สัดส่วนของรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นติดต่อกันไปทุก ๆ ปีงบประมาณและจะมีผลกระทบต่อสัดส่วนของงบประมาณรายจ่ายลงทุนที่จะนำไปใช้ในการลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ ดังนั้นควรจะต้องมีแนวทางในการควบคุมสัดส่วนของจำนวนงบประมาณรายจ่ายประจำไม่ให้สูงเกินไป โดยอาจจะต้องมีการควบคุมรายจ่ายประจำในหมวดอื่น ๆ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นให้ลดลงกว่าในปีงบประมาณที่ผ่าน ๆ มา อาทิ งบดำเนินงานหรืองบรายจ่ายอื่นโดยเฉพาะรายจ่ายในการเดินทางเพื่อสัมมนาและดูงานในต่างประเทศ เป็นต้น ๓.๒ ผลกระทบอื่น ๆ จากการปรับปรุงค่าตอบแทนแรกบรรจุและการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการ รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทอื่น อาจส่งผลให้กำลังคนด้านวิชาชีพที่มีคุณวุฒิต่ำกว่าปริญญาสายช่างเทคนิค เช่น ปวช. ปวส. ขาดแคลนมากยิ่งขึ้น เพราะนักเรียนจะเลือกเรียนระดับปริญญาซึ่งมีรายได้สูงกว่ามาก ซึ่งอาจจะเกิดการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะด้านวิชาชีพในโครงสร้างระบบแรงงานของประเทศได้ในระยะยาว ๓.๓ ภาครัฐควรให้ความสำคัญในกระบวนการคัดเลือกบุคลากรเข้ามาปฏิบัติหน้าที่จะต้องมีศักยภาพและสมรรถนะที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน การฝึกอบรมและพัฒนาให้มีทักษะและความก้าวหน้าในการปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานราชการให้เพิ่มสูงขึ้นตามการปรับอัตราค่าตอบแทนที่ได้รับมากขึ้น รวมถึงเมื่อมีการพิจารณาต่ออายุสัญญาจ้างจะต้องมีการประเมินผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาอย่างเที่ยงตรง และต้องประเมินความต้องการใช้พนักงานราชการในแต่ละตำแหน่งให้คุ้มค่าอย่างแท้จริง |
||||||||||||||||||||||||
| 2783 | การขอความเห็นชอบในการยกเลิกข้อสงวนข้อ 16 เรื่องสิทธิทางครอบครัวและการสมรสของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ | พม | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการยกเลิกข้อสงวนข้อ ๑๖ เรื่อง สิทธิทางครอบครัวและการสมรสของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ โดยสาระสำคัญของข้อสงวนข้อ ๑๖ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิทางครอบครัวและการสมรส ซึ่งกำหนดให้ผู้หญิง ผู้ชายมีสิทธิเท่าเทียมกันในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับการสมรส การขาดจากการสมรส การมีบุตร ความรับผิดชอบต่อบุตร การเลือกใช้นามสกุล การประกอบอาชีพ การจัดการทรัพย์สิน ภายหลังจากประเทศไทยได้เสนอรายงานการอนุวัติตาม CEDAW ฉบับที่ ๔ - ๕ (ฉบับรวม) ต่อคณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีของสหประชาชาติเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ประเทศไทยได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหลายฉบับเพื่อส่งเสริมสิทธิทางครอบครัวและการสมรสของผู้หญิง ผู้ชายให้มีความเท่าเทียมกัน จึงขอยกเลิกข้อสงวนข้อ ๑๖ ของอนุสัญญาฯ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้สตรีได้รับการคุ้มครองสิทธิอย่างแท้จริง เช่น การบังคับค่าเลี้ยงดูจากฝ่ายชายในกรณีหย่าร้างซึ่งฝ่ายชายตกลงหรือศาลสั่งให้ส่งค่าเลี้ยงดูบุตร เป็นต้น โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2784 | โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาสุราษฎร์ธานี ปี 2554 | มท | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาสุราษฎร์ธานี วงเงินลงทุน ๙๒๖.๒๐๘ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) เพื่อลงทุนโครงการโดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับสาระสำคัญของโครงการ ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบผลิต ระบบส่งน้ำ และระบบจ่ายน้ำประปาในพื้นที่เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี เทศบาลตำบลวัดประดู่ เทศบาลเมืองท่าข้าม เทศบาลตำบลท่าทองใหม่ เทศบาลตำบลกาญจนดิษฐ์ เทศบาลตำบลพุมเรียง เทศบาลตำบลตลาดไชยา เทศบาลตำบลท่าฉาง และชุมชนรอบนอกให้สามารถบริการน้ำประปาแก่ประชาชนได้เพิ่มขึ้นในอีก ๑๐ ปีข้างหน้าอย่างพอเพียง ใช้เวลาดำเนินการก่อสร้างประมาณ ๓ ปี เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก ๙๖,๐๐๐ ลบ.ม./วัน สามารถให้บริการผู้ใช้น้ำเพิ่มขึ้นอีก ๔๖,๒๐๐ ราย โดยจะมีการก่อสร้างวางท่อส่งน้ำ ท่อจ่ายน้ำ และท่อบริการขนาดต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนทดแทนท่อเก่าและวางท่อใหม่ในเขตจ่ายน้ำต่าง ๆ และพื้นข้างเคียง รวมความยาวทั้งสิ้นประมาณ ๕๔.๑๕ กม. และก่อสร้างระบบผลิตน้ำประปาประกอบด้วยระบบสูบน้ำแรงต่ำ - แรงสูง โรงกรองน้ำ ระบบจ่ายสารเคมี ถังน้ำใส และหอถังสูง รวมทั้งก่อสร้างระบบชักน้ำดิบและขุดสระระบายตะกอนเพิ่มด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียรวมกับค่าน้ำประปา โดยเฉพาะในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนและใช้บริการน้ำประปาจาก กปภ. การศึกษาผลกระทบจากการดำเนินงานของประปาในภาวะเหตุฉุกเฉิน ภัยแล้ง และอุทกภัย โดยจัดทำแผนการรองรับในกรณีดังกล่าว การพิจารณาแนวทางการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) การตรวจสอบการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียในระบบให้เหลือในเกณฑ์ที่ยอมรับได้เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำดิบ การพิจารณาขยายเขตจ่ายน้ำไปยังชุมชนที่ขาดแคลนน้ำสะอาดในพื้นที่ใกล้เคียง การเร่งรัดจัดหาที่ดินให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินโครงการฯ เพื่อมิให้การดำเนินโครงการเกิดความล่าช้า และส่งผลกระทบต่อขอบเขตแผนงานโครงการ การควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการและค่าใช้จ่ายในการผลิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมควบคู่กับการเพิ่มรายได้จากการให้บริการให้เป็นไปตามเป้าหมาย การพิจารณาปรับโครงสร้างและอัตราค่าน้ำประปาที่สะท้อนต้นทุน เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาว การเร่งดำเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ ๒๕ การติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของผู้รับจ้างปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำเสียทั้งระบบ และพิจารณาจัดทำแผนป้องกันและลดผลกระทบต่อการให้บริการน้ำประปาในกรณีเกิดอุทกภัยหรือภัยแล้งในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2785 | ข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่ คปร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ดำเนินมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ออกจากราชการ ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕) ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของกรอบระยะเวลาที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ [เรื่อง ข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด)] ทั้งนี้ หากจะดำเนินตามมาตรการดังกล่าวในอนาคต จะต้องมีการทบทวน ผลการดำเนินการและกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ๑.๒ กำหนดประเด็นการบริหารทรัพยากรบุคคล เป็น ๔ กรณี คือ ๑.๒.๑ กรณีที่ ๑ คณะรัฐมตรีมีมติให้ส่วนราชการปรับเปลี่ยนสถานภาพโดยออกจากระบบราชการ ไม่กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ๑.๒.๒ กรณีที่ ๒ ส่วนราชการประสงค์จะยุบเลิกบางภารกิจ ไม่กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ๑.๒.๓ กรณีที่ ๓ ส่วนราชการที่อัตรากำลังเกิน กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของกลุ่มเป้าหมาย ๑.๒.๔ กรณีที่ ๔ ส่วนราชการที่มีจำนวนข้าราชการสูงอายุ (๕๐ ปีขึ้นไป) มากกว่าร้อยละที่กำหนด โดยส่วนราชการที่มีจำนวนข้าราชการสูงอายุ (๕๐ ปีขึ้นไป) ตั้งแต่ร้อยละ ๒๐ ขึ้นไป กำหนดกลุ่มเป้าหมายของผู้ร่วมมาตรการฯ ได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของกลุ่มเป้าหมาย และส่วนราชการมีจำนวนข้าราชการสูงอายุ (๕๐ ปีขี้นไป) ตั้งแต่ร้อยละ ๑๐ แต่ไม่ถึงร้อยละ ๒๐ กำหนดกลุ่มเป้าหมายของผู้ร่วมมาตรการฯ ได้ไม่เกินร้อยละ ๓ ของกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ กรณีที่ ๑ - ๓ ส่วนราชการต้องยุบเลิกตำแหน่ง ส่วนกรณีที่ ๔ ไม่ต้องยุบเลิกตำแหน่งของผู้ที่ออกจากราชการตามมาตรการฯ ส่วนราชการรายละเอียดการดำเนินมาตรการฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เป็นเช่นเดียวกับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการคัดกรองข้าราชการที่เข้าร่วมมาตรการฯ ตามความเหมาะสม เพื่อมิให้มีผลกระทบและเกิดความเสียหายแก่ราชการ ๑.๓ ให้ผู้มีเงินได้ที่ออกจากราชการตามมาตรการฯ และได้รับสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อน (เงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการฯ) ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำเงินก้อนดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่นเดียวกับผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ๑.๔ ให้กระทรวงศึกษาธิการกำหนดแนวทางหรือแผนการบริหารจัดการอัตรากำลัง เพื่อให้การลาออกตามมมาตรการฯ ของข้าราชการครูไม่กระทบต่อประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ของการศึกษาในภาพรวม รวมทั้งให้การเรียนการสอนมีความต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจอนุญาตการลาออกจากราชการตามมาตรการฯ ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประสิทธิภาพการเรียนการสอนประกอบในการพิจารณาอนุญาตให้ข้าราชการครูออกจากราชการตามมาตรการฯ ด้วย ๒. ให้ คปร. และส่วนราชการต่าง ๆ รับข้อเสนอเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีกรณีที่ส่วนราชการจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการการดำเนินมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ที่ดี คือ จะต้องมีกระบวนการคัดกรองผู้เข้าร่วมมาตรการดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้รักษาบุคลากรที่มีคุณภาพและมีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานมานานให้อยู่ในระบบราชการต่อไป เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติงานขององค์กรในระยะยาว ส่วนการคัดสรรบุคลากรเข้ามาทดแทนควรพิจารณาให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กรเพื่อให้องค์กรได้รับประโยชน์คุ้มค่า ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้ คปร. รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรเร่งนำผลการประเมินผลโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดมาพิจารณาร่วมกับบทบาทภารกิจของภาครัฐในภาพรวม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขยายการดำเนินโครงการในระยะต่อไป โดยให้ความสำคัญกับการพิจารณากลุ่มเป้าหมายและสัดส่วนผู้ที่สามารถเข้าร่วมโครงการอย่างเหมาะสมกบสถานการณ์ รวมทั้งการปรับปรุงและพัฒนาระบบราชการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การกำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ควรคำนึงถึงการทบทวนบทบาทภารกิจของส่วนราชการให้เชื่อมโยงกับการกำหนดประเด็นการบริหารทรัพยากรบุคคลในกรณีที่ ๒ (ส่วนราชการประสงค์จะยุบเลิกบางภารกิจ) และกรณีที่ ๓ (ส่วนราชการมีอัตรากำลังเกิน) เพื่อให้การกำหนดขนาดกำลังคนรองรับภารกิจในอนาคตได้อย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการ ๔. ให้ สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการศึกษาผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงการดำเนินงานให้เหมาะสม คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2786 | การดำเนินการตามพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555 | กค | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากในอัตราร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี ของยอดเงินรับฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดร่างมาตรา ๑๐ ที่กำหนดให้รายได้ของกองทุนไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และร่างมาตรา ๑๔ (๓) ที่กำหนดให้นำเงินกองทุนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นว่ากองทุนมีเงินเพียงพอต่อการดำเนินกิจการแล้ว ให้สอดคล้องกัน เพื่อให้การใช้บังคับกฎหมายเป็นไปแนวทางเดียวกันทั้งฉบับ รวมทั้งกำหนดสาระสำคัญเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเพิ่มทุนไว้ในบทเฉพาะกาลของร่างพระราชบัญญัติฯ กล่าวคือ เมื่อมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการเพิ่มทุนให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจในวันก่อนที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแล้ว ก็ให้โอนงบประมาณเพื่อการเพิ่มทุนที่มีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับไปเป็นของกองทุนด้วยเพื่อความเป็นเอกภาพในการเพิ่มทุนให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๓.๑ กำหนดให้จัดตั้งกองทุนเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการเพิ่มทุนชดเชยความเสียหายในโครงการที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ดำเนินการเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ตลอดจนการนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ๓.๒ กำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจนำส่งเงินเข้ากองทุนตามอัตราที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดแต่ต้องไม่เกินร้อยละ ๑ ต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ย ๓.๓ กำหนดให้เงินกองทุนจะนำออกมาใช้ได้ในการจัดสรรเงินให้แก่การเพิ่มทุนของสถาบันเฉพาะกิจ การจ่ายเงินชดเชยให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจเนื่องจากการดำเนินธุรกิจตามมติคณะรัฐมนตรี การนำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ฯลฯ ๓.๔ กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยมีอำนาจและหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของกองทุน ๔. ให้กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดกระบวนการปรับปรุงพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยในการขยายหน้าที่การช่วยเหลือทางการเงินแก่สถาบันการเงินของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในการกำกับดูแลสถาบันการเงิน และมีการหารืออย่างสม่ำเสมอถึงความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งของสถาบันประกันเงินฝาก และ ธปท. โดยคำนึงถึงปริมาณภาระหนี้ของกองทุน สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวม สถานะความมั่นคงของสถาบันการเงิน รวมทั้งความจำเป็นในการขยายภารกิจในการดูแลสถาบันการเงินของกองทุนฯ และเห็นควรกำหนดแนวทางการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่ชัดเจนและมุ่งเน้นการพัฒนาการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นสำคัญ ตลอดจนพิจารณาเพิ่มเติมวิธีการในการเรียกเก็บเงินจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม นอกจากนี้ ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจเร่งรัดการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐออกจากบัญชีการดำเนินการปกติของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อให้ทราบผลการดำเนินงานที่แท้จริง และในกรณีที่ต้องมีการชดเชยสามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง และโปร่งใส ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2787 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ 19 | กห | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ ๑๙ เมื่อวันที่ ๗ - ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ความร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ยึดถือบันทึกการประชุมฯ ครั้งที่ผ่านมา ในเรื่องการจัดประชุมร่วมในระดับต่าง ๆ การดำรงความสัมพันธ์และความร่วมมือช่วยเหลือระหว่างกองทัพและตำรวจของทั้งสองฝ่าย การวางกำลังและการลาดตระเวนของกำลังติดอาวุธตามบริเวณชายแดนไทย - ลาว ไม่ให้ล่วงล้ำอธิปไตยซึ่งกันและกัน เพิ่มความร่วมมือในการจัดระเบียบชายแดนและแก้ไขปัญหาบุคคลสองสัญชาติ สนับสนุนการดำเนินการของกลไกความร่วมมืออื่น ๆ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนไทย - ลาว ตลอดจนยึดถือความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๒. ความร่วมมือในการรักษาเส้นเขตแดน ไทย - ลาว ยึดถือบันทึกการประชุมฯ ครั้งที่ผ่านมา ในเรื่องการรักษาเส้นเขตแดน ไทย - ลาว และสนับสนุนให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - ลาว ดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกและทางน้ำร่วมระหว่างไทย - ลาว ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๓. การตรวจพื้นที่ชายแดน ไทย - ลาว สนับสนุนการตรวจพื้นที่ร่วมกันอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง หากเกิดปัญหาและมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสนอ ทั้งสองฝ่ายต้องพร้อมกันไปตรวจสอบพื้นที่โดยทันที ๔. ความร่วมมือในการดูแลรักษาและป้องกันตลิ่งพังและการแก้ไขปัญหาการดูดทรายแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง สนับสนุนให้จัดการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย - ลาว เพื่อดูแลดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามลำแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง ครั้งที่ ๔ โดยเร็ว ๕. ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สนับสนุนกลไกความร่วมมืออื่น ๆ ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รวมทั้งสนับสนุนให้เพิ่มการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน และให้แต่ละฝ่ายมีการลาดตระเวนตรวจพื้นที่ชายแดนของตน เพื่อร่วมสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดให้หมดสิ้นโดยเร็ว ๖. แผนงานประกอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงชายแดนไทย - ลาว สนับสนุนให้จัดทำแผนงานประกอบความตกลงฯ ให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๗. การติดต่อประสานงานและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร สนับสนุนให้มีการปรับปรุงและแลกเปลี่ยนบัญชีรายชื่อผู้ประสานงาน พร้อมระบบการติดต่อสื่อสารที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งกันและกัน ๘. ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายสากลไทย - ลาว สนับสนุนการดำเนินการภายใต้กรอบอาเซียนด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด ๙. ความร่วมมือในการป้องกันลักลอบค้าชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมาย สนับสนุนให้เพิ่มการประสานงานและความร่วมมือให้เป็นไปตามอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง ๑๐. ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ประสานและสนับสนุนให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายร่วมกันแก้ไขปัญหาผู้ลักลอบเข้าเมืองในภาพรวม รวมทั้งชาวม้งลาวลักลอบเข้าเมืองที่ยังคงเหลืออยู่ในไทยส่งกลับให้ลาวตามสถานการณ์ที่เหมาะสม หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายโดยเฉพาะชาวม้งลาวลักลอบเข้าเมืองให้แจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบเพื่อร่วมกันพิจารณาแก้ไขตามแนวทางที่เหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 2788 | ขอความเห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การซื้อทรัพย์สินของเกษตรกรคืนจากเจ้าหนี้หรือบุคคลภายนอกที่ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาด (NPA) | นร | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การซื้อทรัพย์สินของเกษตรกรคืนจากเจ้าหนี้หรือบุคคลภายนอกที่ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาด (Non Performing Asset : NPA) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) ประธานกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ใช้งบประมาณที่เหลือจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติจัดสรรให้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๒ ไปซื้อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non Performance Loan : NPL) ที่รวมอยู่ในหนี้ NPA ได้ด้วย ๑.๒ เห็นชอบรายชื่อเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรที่เป็นหนี้ NPA เพิ่มเติมจำนวน ๒,๘๙๔ ราย มูลหนี้จำนวน ๑,๕๕๒,๓๔๘,๕๖๒.๑๕ บาท โดยให้ใช้งบประมาณที่เหลือหรือได้รับจัดสรรประจำปีไปดำเนินการตามหลักเกณฑ์การซื้อทรัพย์สินของเกษตรกรคืนจากเจ้าหนี้หรือบุคคลภายนอกที่ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดที่ปรับปรุงใหม่ ๑.๓ เห็นชอบให้นำงบประมาณที่เหลือจากข้อ ๑.๑ และงบประมาณที่กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรได้รับจัดสรรประจำปีไปซื้อหนี้ NPA ที่ตรวจพบเพิ่มเติมในภายหลังที่ไม่ใช่เกษตรกรในข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ ภายใต้หลักเกณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ โดยให้เสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรก่อนจึงดำเนินการได้ ๑.๔ เมื่อกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ใช้งบประมาณที่ได้รับจัดสรรดังกล่าวและงบประมาณที่ได้รับจัดสรรประจำปีไปดำเนินการตามข้อ ๑.๑ ข้อ ๑.๒ และข้อ ๑.๓ แล้ว หากงบประมาณไม่เพียงพอ ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีมาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรที่ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรแล้ว ให้สอดคล้องเหมาะสมกับวิถีชีวิตของเกษตรกรและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นควบคู่ไปกับการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลการแก้ไขปัญหาหนี้สินและการรักษาที่ดินเพื่อการเกษตรให้สามารถเป็นฐานสำหรับการพัฒนาอาชีพเกษตรกรได้อย่างมั่นคงต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2789 | การปรับปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ในขั้นตอนลำดับที่ ๖ - ขั้นตอนลำดับที่ ๑๐ คือ การนำเสนอรายละเอียดงบประมาณ และการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณ เพื่อปรับระยะเวลาการปฏิบัติงานของผู้ที่เกี่ยวข้องให้มีการดำเนินงานที่เหมาะสมยิ่งขึ้น สำหรับขั้นตอนลำดับที่ ๑๑ - ขั้นตอนลำดับที่ ๑๗ คือ การพิจารณาให้ความเห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณ การนำเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และการพิจารณาอนุมัติงบประมาณของฝ่ายนิติบัญญัติ ยังคงเป็นไปตามกำหนดระยะเวลาเช่นเดียวกับปฏิทินงบประมาณเดิม ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2790 | การลงนามในร่างแผนปฏิบัติการตามกรอบความร่วมมือหุ้นส่วนระหว่างไทยกับสหประชาชาติ ปี ค.ศ. 2012 - 2016 | กต | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการตามกรอบความร่วมมือหุ้นส่วนระหว่างไทยกับสหประชาชาติ ปี ค.ศ. ๒๐๑๒ - ๒๐๑๖ โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างแผนปฏิบัติการฯ ที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ ทั้งนี้ ร่างแผนปฏิบัติการฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ ร่างแผนปฏิบัติการฯ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ โดยมีความร่วมมือหุ้นส่วนด้านต่าง ๆ (Joint Partnership) ใน ๖ สาขา ได้แก่ สาขาการคุ้มครองทางสังคม (Social Protection) โดยมีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เป็นประธานร่วม, สาขาสิทธิมนุษยชนและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม (Human Rights and Access to Justice) โดยมีกระทรวงยุติธรรมกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เป็นประธานร่วม, สาขาข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Information) โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกับกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) เป็นประธานร่วม, สาขาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) เป็นประธานร่วม, สาขาความร่วมมือระหว่างประเทศ (International Cooperation) โดยมีสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เป็นประธานร่วม และสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) โดยมีกระทรวงพาณิชย์กับองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เป็นประธานร่วม ๑.๑.๒ ร่างแผนปฏิบัติการฯ ยังมีร่างแผนปฏิบัติการย่อยที่เรียกว่า Country Programme Action Plans ขององค์การสหประชาชาติ ๓ องค์กร รวมอยู่ด้วย ได้แก่ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) กองทุนเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) และกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ๑.๑.๓ ร่างแผนปฏิบัติการฯ กำหนดให้มีคณะกรรมการสามฝ่าย (Tripartite Committee) เป็นกลไกตรวจสอบและปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ ทุกปี ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UN Resident Coordinator) ในฐานะประธานร่วม (co - chair) และผู้แทนอื่น ๆ จากองค์กรสหประชาชาติ และหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้อง โดยมีอำนาจตามที่ระบุใน Annex 9 ของร่างแผนปฏิบัติการฯ ได้แก่ อนุมัติรายงานความคืบหน้าในการดำเนินโครงการต่าง ๆ มอบแนวทางเพื่อปฏิบัติตามโครงการ และเห็นชอบการแก้ไขปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ ตามความจำเป็น ๑.๑.๔ การดำเนินการตามร่างแผนปฏิบัติการฯ จะมีการจัดทำแผนดำเนินงานประจำปี (Annual Work Plans) และเอกสารโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยกับองค์กรต่าง ๆ ขององค์การสหประชาชาติที่เป็นหุ้นส่วนเพื่อให้การดำเนินการสอดคล้องกับเป้าหมายของ UNPAF ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานไทยที่เป็นประธานร่วมของแต่ละความร่วมมือหุ้นส่วน ๖ สาขา เป็นผู้ลงนามในแผนปฏิบัติการฯ ร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ อนุมัติให้ผู้แทนส่วนราชการที่อยู่ในคณะกรรมการสามฝ่าย ได้แก่ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UN Resident Coordinator) ให้ความเห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขแผนปฏิบัติการฯ และสามารถพิจารณาดำเนินการได้เฉพาะในเนื้อหาสาระที่ไม่เกินอำนาจหน้าที่ กฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่มีอยู่ โดยรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง ๑.๔ ในกรณีที่มีการจัดทำแผนดำเนินงานประจำปี (Annual Work Plans) ระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องของไทยกับองค์กรของสหประชาชาติที่เป็นหุ้นส่วนสำหรับความร่วมมือหุ้นส่วนทั้ง ๖ สาขา อนุมัติให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องสามารถพิจารณาดำเนินการจัดทำและลงนาม รวมทั้งหากจำเป็นสามารถปรับปรุงแก้ไขแผนดำเนินงานประจำปีร่วมกับองค์กรของสหประชาชาติได้ โดยรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง เพื่อความคล่องตัวและรวดเร็วในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ๒. ให้เพิ่มเติมหน่วยงานที่ทำหน้าที่ประธานร่วมใน ๒ สาขา คือ สาขา ๕ ความร่วมมือระหว่างประเทศ (International Cooperation) ให้เพิ่มสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสาขา ๖ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ให้เพิ่มสำนักนายกรัฐมนตรี ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการปรับตัวเพื่อรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการป้องกันภัยพิบัติ เห็นควรเพิ่มการดำเนินงานในด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติจากน้ำท่วม น้ำแล้ง และโคลนถล่ม ที่อาจมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2791 | การเปลี่ยนชื่อส่วนราชการ กรมส่งเสริมการส่งออก เป็น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ | พณ | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงพาณิชย์รับร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... ไปดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน) ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปรับปรุงหน่วยงานใหม่ภายในกรมส่งเสริมการส่งออก ควรคำนึงถึงภารกิจความรับผิดชอบ ลักษณะของหน่วยงาน ความซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานอื่น และไม่ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุคลากร วัสดุ ครุภัณฑ์ อาคารและสถานที่ นอกจากนี้ เห็นควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการให้การดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างสอดคล้องเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด โดยเฉพาะการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยไปทำธุรกิจในต่างประเทศ การแยกภารกิจด้านการส่งเสริมการทำธุรกิจไปอยู่ภายใต้สำนักส่งเสริมการทำธุรกิจระหว่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจความรับผิดชอบของแต่ละสำนักอย่างชัดเจน รวมทั้งให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ) ซึ่งกำหนดแนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อ “กรมส่งเสริมการส่งออก” เป็น “กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ” พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๓.๑ ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๕๓ ๓.๒ ให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมีภารกิจเกี่ยวกับการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศทั้งด้านการส่งเสริมการส่งออกและนำเข้า ขยายตลาดสินค้า และธุรกิจบริการของไทย พัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าและธุรกิจบริการ ให้บริการข้อมูลการค้า และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยให้สามารถดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศได้ในตลาดโลก และส่งเสริมการนำเข้าปัจจัยการผลิตและสินค้าที่จำเป็นต่อการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าและปริมาณการส่งออกของประเทศไทยและเพื่อให้เกิดความสมดุลทางการค้าและสร้างเสถียรภาพทางการค้าระหว่างประเทศของไทย และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๓.๓ กำหนดให้แบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วย ๕ สำนัก ๑ สำนักงาน ๑ ศูนย์ ๑ สถาบัน และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๓.๔ กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายใน และกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร รับผิดชอบขึ้นตรงต่ออธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๓.๕ ให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ตามกฎกระทรวงนี้ จนกว่าจะมีประกาศตามกฎกระทรวงนี้ |
||||||||||||||||||||||||
| 2792 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ 9 | กค | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการปรับปรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ ๙ ในวงเงิน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๒. ให้ สพพ. กู้เงินจากธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารเฉพาะกิจเพื่อนำไปให้ สปป.ลาว กู้ต่อในวงเงินรวม ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๓. ให้ สพพ. ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว โดยมีเงื่อนไขทางการเงินและเงื่อนไขอื่น ๆ |
||||||||||||||||||||||||
| 2793 | ขออนุมัติกู้เงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินตามรายการที่บรรจุในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ครั้งที่ ๑ และสำหรับโครงการ/แผนงานต่อเนื่องในแผนการก่อหนี้ใหม่เพื่อการลงทุนและแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๗,๖๗๙.๗๗๐ ล้านบาท ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม พร้อมทั้งยกเว้นการคิดค่าค้ำประกันเงินกู้ให้แก่ รฟท. ทั้งส่วนที่ รฟท. รับภาระ และรัฐบาลรับภาระ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สำหรับโครงการ/แผนงานต่อเนื่องในแผนการก่อหนี้ใหม่เพื่อการลงทุนและแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ มีดังนี้ ๑.๑ แผนเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่ รฟท. รับภาระ จำนวน ๑๑ รายการ เป็นเงิน ๑๓,๒๐๖.๒๒๐ ล้านบาท ๑.๒ แผนเงินกู้เพื่อการลงทุน (หนี้ในประเทศ) จำนวน ๖ โครงการ เป็นเงิน ๒๖,๔๗๗.๕๕๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการปรับปรุงระยะทางที่ ๕ เป็นเงิน ๖,๔๐๘.๐๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางระยะที่ ๖ เป็นเงิน ๕,๐๗๙.๐๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทางเดินเชื่อมสถานีเพชรบุรี) เป็นเงิน ๘๗.๐๐๐ ล้านบาท โครงการจัดหารถจักรพร้อมอะไหล่ จำนวน ๕๐ คัน เป็นเงิน ๖,๕๖๒.๕๐๐ ล้านบาท โครงการซ่อมบูรณะรถจักรดีเซลไฟฟ้าอัลสตอม จำนวน ๕๖ คัน เป็นเงิน ๓,๓๖๐.๐๐๐ ล้านบาท และโครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่ สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ จำนวน ๑๑๕ คัน เป็นเงิน ๔,๙๘๑.๐๕๐ ล้านบาท ๑.๓ แผนเงินกู้เพื่อดำเนินกิจการทั่วไปและอื่น ๆ (หนี้ในประเทศ) จำนวน ๔ รายการ เป็นเงิน ๓,๙๒๖.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๔ แผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ จำนวน ๓ โครงการ เป็นเงิน ๔,๐๗๐.๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า ขนาดน้ำหนักกดเพลาสูงสุด ๒๐ ตัน/เพลา จำนวน ๗ คัน เป็นเงิน ๑,๑๕๕.๐๐๐ ล้านบาท โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า น้ำหนักกดเพลาสูงสุด ๒๐ ตัน/เพลา จำนวน ๑๓ คัน เป็นเงิน ๒,๑๔๕.๐๐๐ ล้านบาท และโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า น้ำหนักกดเพลาสูงสุด ๒๐ ตัน/เพลา จำนวน ๓๐๘ คัน เป็นเงิน ๗๗๐.๐๐๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและติดตามประเมินผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้มีประสิทธิภาพ และมิให้เกิดภาระงบประมาณที่รัฐบาลจะต้องรับภาระชำระหนี้เงินกู้ที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2794 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ และเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. .... | ศธ | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ และเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ และเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอมีสาระสำคัญเป็นเพียงการกำหนดสีประจำสาขาวิชาเพิ่มเติมเท่านั้น เห็นควรจัดทำเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับแก้ไขเพิ่มเติมแทนการปรับปรุงทั้งฉบับ ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 2795 | มาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุนไทย | กค | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยและได้รับเงินปันผลจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศอันเนื่องมาจากหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ๑.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เงินได้จากการขายหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศสมาชิกอาเซียน ที่มีการซื้อขายผ่านระบบที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดให้มีขึ้นเพื่อเชื่อมโยงการซื้อขายกับตลาดหลักทรัพย์ในประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรศึกษาผลกระทบต่อรายได้รัฐและผลประโยชน์โดยรวมของประเทศจากการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย เพื่อประเมินความคุ้มค่าจากการดำเนินมาตรการดังกล่าว โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินการตามแนวทางการปรับปรุงระบบภาษีของประเทศ และการบรรลุเป้าหมายงบประมาณสมดุลภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยนำผลการศึกษารายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 2796 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณ | มท | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินโครงการใหม่ ๔ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๕,๙๓๙,๒๐๐ บาท ส่วนงบประมาณในการดำเนินให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ประสานกับเทศบาลนครเชียงใหม่และสำนักงบประมาณ ประกอบด้วย ๑.๑ โครงการก่อสร้างปรับปรุงผิวจราจรถนนราชดำเนิน วงเงิน ๑๔,๒๓๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ โครงการปรับปรุงและซ่อมแซมก่อสร้างสนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่และลานกีฬาภายในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ วงเงิน ๘,๑๘๐,๐๐๐ บาท ๑.๓ โครงการติดตั้งตู้ควบคุมสัญญาณไฟจราจรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ATC และระบบบันทึกภาพภายในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ วงเงิน ๑๙,๒๘๙,๒๐๐ บาท ๑.๔ โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ไฟฟ้าแสงสว่างและพัฒนาภูมิทัศน์คูเมือง วงเงิน ๔,๒๓๐,๐๐๐ บาท ๒. โดยที่โครงการอุทยานการเรียนรู้แห่งใหม่ของเทศบาลนครเชียงใหม่มีความสำคัญในการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตของภูมิภาค และมีความจำเป็นต่อการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบกับโครงการดังกล่าวมีเป้าหมายในการดำเนินงานสอดคล้องกับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ : สบร. (Office of Knowledge Management and Development : OKMD) ซึ่งปัจจุบันได้มีการขยายพื้นที่ให้บริการความรู้สู่ภูมิภาค รวมถึงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ด้วยแล้ว จึงมอบให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ และกระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ดำเนินโครงการดังกล่าว โดยในเรื่องสถานที่ก่อสร้างให้ประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ส่วนเรื่องงบประมาณดำเนินการให้ประสานกับสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับปรุงโครงการอุทยานการเรียนรู้ใหม่ของเทศบาลนครเชียงใหม่ ทั้งการยกระดับเนื้อหาสาระโครงการและขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมระดับภูมิภาค รวมทั้งการจัดหาที่ตั้งโครงการที่เหมาะสม โดยประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา ภาคเอกชนและหน่วยราชการในพื้นที่ และผลักดันการดำเนินโครงการให้เกิดประสิทธิผลต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
| 2797 | กรอบการเจรจาการบินเพื่อจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ | คค | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาการบินเพื่อจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ กรอบการเจรจาการบินฯ ระบุว่า การเจรจาจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศควรสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย กฎหมาย ข้อบังคับภายในประเทศ รวมถึงข้อเสนอแนะ แนวทางขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง และยึดหลักการต่างตอบแทนระหว่างไทยและรัฐภาคี โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์โดยรวมสูงสุดแก่ประเทศไทย ซึ่งโดยทั่วไปการตกลงจะเป็นในรูปแบบการเจรจาการบินหรือการโต้ตอบทางหนังสือ โดยจัดทำเป็นเอกสาร ๓ ประเภทหลักในการตกลงและใช้ประกอบกัน ซึ่งครอบคลุมประเด็นหลัก ดังนี้
๑. ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ระบุหลักการกว้าง ๆ เป็นกรอบในการกำกับดูแล และเป็นกรอบในการพิจารณาอนุญาตสายการบินของรัฐภาคีในการทำการบินระหว่างกัน โดยระบุข้อบทต่าง ๆ เช่น การให้สิทธิ การกำหนดสายการบินและการอนุญาตดำเนินการ การเพิกถอน พักใช้ และจำกัดใบอนุญาตดำเนินการ การบังคับใช้กฎหมาย ใบพิกัดเส้นทางบิน เป็นต้น ซึ่งข้อบทในความตกลงฯ หลักนี้ โดยทั่วไปจะไม่ได้แก้ไขปรับปรุงบ่อยนัก ๒. บันทึกความเข้าใจ เป็นเอกสารระบุการตกลงเพิ่มเติมเรื่องสิทธิการบินต่าง ๆ ที่สายการบินของแต่ละฝ่ายจะได้รับ หรือการตกลงเสริมจากความตกลงฯ หลัก เช่น สิทธิความจุความถี่ สิทธิรับขนการจราจร เส้นทางบิน การแจ้งแต่งตั้งสายการบินที่กำหนด ความร่วมมือของสายการบิน ซึ่งสาระในบันทึกความเข้าใจนี้จะมีการปรับปรุงแก้ไขอยู่เป็นระยะ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ พัฒนาการของตลาด กฎหมาย หรือนโยบายของรัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง ๓. หนังสือโต้ตอบระหว่างเจ้าหน้าที่การเดินอากาศ หรือระหว่างรัฐบาลของภาคีที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขความตกลงฯ หลัก แก้ไขบันทึกความเข้าใจ โดยการโต้ตอบเป็นลายลักษณ์อักษร หรือเพื่อยืนยันการตกลงเรื่องต่าง ๆ ข้างต้น ภายหลังจากมีการเจรจาแล้ว เพื่อให้มีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการ |
||||||||||||||||||||||||
| 2798 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2553 - 2557 (เพิ่มเติม) ณ เดือนธันวาคม 2554 | คค | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ (เพิ่มเติม) ณ เดือนธันวาคม ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ (เพิ่มเติม) ประกอบด้วย ๑.๑ แผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๑ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๘๗,๕๒๙.๐๐ ล้านบาท (รัฐบาลรับภาระ ๘๔,๐๒๔.๐๐ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รับภาระ ๓,๕๐๕.๐๐ ล้านบาท) ได้แก่ โครงการปรัปปรุงทางรถไฟ ระยะที่ ๕ วงเงิน ๘,๕๐๘.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางรถไฟ ระยะที่ ๖ วงเงิน ๖,๗๗๙.๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย วงเงิน ๑๑,๓๔๘.๐๐ ล้านบาท โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า น้ำหนักกดเพลาสูงสุด ๒๐ ตัน/เพลา จำนวน ๑๓ คัน วงเงิน ๒,๑๔๕.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย วงเงิน ๒๓,๖๗๑.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงสะพาน จำนวน ๑,๔๓๔ แห่ง วงเงิน ๑๒,๑๖๗.๐๐ ล้านบาท โครงการอาณัติสัญญาณไฟสี จำนวน ๒๒๔ แห่ง วงเงิน ๑๑,๓๕๘.๐๐ ล้านบาท โครงการจัดหาและติดตั้งเครื่องกั้นถนนและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑,๒๘๔ แห่ง วงเงิน ๕,๔๕๖.๐๐ ล้านบาท งานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ ระยะทาง ๑,๖๔๙ กิโลเมตร วงเงิน ๔,๗๓๗.๐๐ ล้านบาท โครงการสร้างโรงรถจักรแก่งคอย วงเงิน ๑,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และโครงการสร้างโรงรถศรีราชาและหน่วย ๑๐ ลาดกระบัง วงเงิน ๓๖๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการที่จะต้องดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและจัดทำรายงานการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นรายโครงการ จำนวน ๑๐ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๘๙,๒๗๙.๐๐ ล้านบาท (รัฐบาลรับภาระ ๖๘,๓๑๐.๐๐ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทยรับภาระ ๒๐,๙๖๙.๐๐ ล้านบาท) ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางคู่สายลพบุรี - ปากน้ำโพ ระยะทาง ๑๑๘ กิโลเมตร โครงการก่อสร้างทางคู่สายมาบกะเบา - นครราชสีมา ระยะทาง ๑๓๒ กิโลเมตร โครงการก่อสร้างทางคู่สายนครราชสีมา - ขอนแก่น ระยะทาง ๑๘๕ กิโลเมตร โครงการก่อสร้างทางคู่สายนครปฐม - หนองปลาดุก - หัวหิน ระยะทาง ๑๖๕ กิโลเมตร โครงการก่อสร้างทางคู่สายประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร ระยะทาง ๑๖๗ กิโลเมตร โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าทดแทน GE จำนวน ๕๐ คัน โครงการ Refurbish รถจักร จำนวน ๕๖ คัน โครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่ สำหรับให้บริการเชิงพาณิชย์ จำนวน ๑๑๕ คัน โครงการก่อสร้างสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง ICD แห่งที่ ๒ และโครงการติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคม ๑.๓ การก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ จำนวน ๑๑๔ แห่ง วงเงิน ๑๙,๐๑๒.๕๐ ล้านบาท ได้แก่ การก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ ของกรมทางหลวง จำนวน ๘๒ แห่ง วงเงิน ๑๖,๕๕๐.๐๐ ล้านบาท กำหนดแผนการก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒๕ แห่ง ซึ่งได้ดำเนินการสำรวจและออกแบบแล้วเสร็จ โดยจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ ของกรมทางหลวงชนบท อยู่ระหว่างการพิจารณาทบทวนการเสนอขอปรับแผนการดำเนินงานและกรอบวงเงินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามจุดตัดทางรถไฟในส่วนของกรมทางหลวงชนบททั้งหมด เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ทั้งนี้ กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จ ๑๔ แห่ง และมีแผนงานที่จะดำเนินการก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑ แห่ง ซึ่งอยู่ระห่วางขั้นตอนการประกวดราคา ๒. การพิจารณาแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินโครงการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ รฟท. ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ (เพิ่มเติม) กระทรวงคมนาคมได้ขอรับการจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) โดยมีกรอบวงเงินกู้ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๗ วงเงินรวม ๑๔๐,๖๘๖.๔๓๓ ล้านบาท โดยเป็นวงเงินกู้ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๓๐,๒๖๐.๐๓๐ ล้านบาท (รฟท. จำนวน ๒๔,๗๐๕.๐๓๐ ล้านบาท กรมทางหลวง จำนวน ๕,๓๖๐.๐๐๐ ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท จำนวน ๑๙๕.๐๐๐ ล้านบาท) ซึ่งในเบื้องต้นได้รับการจัดสรรเงินกู้ดังกล่าว วงเงินรวม ๗,๖๒๗.๒๓๖๐ ล้านบาท ในส่วนของ รฟท. ได้แก่ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัยต่อการเดินรถ และโครงการติดตั้งเครื่องกั้นถนนเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมได้แจ้งให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรแหล่งเงินที่เหมาะสมสำหรับในส่วนที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรเงินกู้ให้กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และ รฟท.
|
||||||||||||||||||||||||
| 2799 | การจัดทำบันทึกความร่วมมือด้านทรัพย์สินอุตสาหกรรมระหว่างสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสำนักงานสิทธิบัตรญี่ปุ่น | พณ | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการลงนามบันทึกความร่วมมือด้านทรัพย์สินอุตสาหกรรมระหว่างสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสำนักงานสิทธิบัตรญี่ปุ่น (Memorandum of Cooperation on Industrial Property between the Intellectual Property Offices of the Member States of the Association of Southeast Asia Nations and the Japan Patent Office) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยบันทึกความร่วมมือฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันความร่วมมือระหว่างสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสำนักงานสิทธิบัตรญี่ปุ่นในด้านทรัพย์สินอุตสาหกรรม โดยมีกรอบความร่วมมือจะครอบคลุมกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่
๑. การปรับปรุงระบบคุ้มครองทรัพย์สินอุตสาหกรรมให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ด้านนโยบายทรัพย์สินอุตสาหกรรมและด้านการพัฒนากฎหมาย ระเบียบ แนวทางปฏิบัติ หรือคู่มือ ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ๒. การสร้างกระบวนการตรวจสอบที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพสูงสุดโดยครอบคลุมถึงการแบ่งเบาภาระงานในระดับระหว่างประเทศ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับด้านการควบคุม และการฝึกอบรมผู้ตรวจสอบ การแบ่งปันข้อมูลสถิติตามความเหมาะสม โดยเป็นไปในลักษณะที่สอดคล้องกับกฎหมายของแต่ละประเทศ ๓. การบริหารทรัพย์สินอุตสาหกรรมรวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการทั่วไป และโครงสร้างพื้นฐาน/ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ๔. การพัฒนาการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินอุตสาหกรรม โดยภาคเอกชนรวมถึงวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ๕. การแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือด้านการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับทรัพย์สินอุตสาหกรรม ๖. ความร่วมมือในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเพื่อยกระดับขีดความสามารถของสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาในอาเซียน ๗. ประเด็นอื่น ๆ ตามที่ผู้เข้าร่วมทั้งหมดเห็นพ้องต้องกัน ทั้งนี้ กิจกรรมความร่วมมือภายใต้บันทึกความร่วมมือฉบับนี้จะดำเนินการโดยอยู่ภายใต้กฎหมายและกฎระเบียบของสมาชิกอาเซียนและญี่ปุ่น |
||||||||||||||||||||||||
| 2800 | โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้มีการดำเนินโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต และให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนการเสนอโครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตลอดจนข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมธนารักษ์พิจารณาทบทวนผลการศึกษารายงานการวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ โดยกำหนดสมมติฐานที่ใช้ในการประมาณการที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะการปรับปรุงประมาณการวงเงินลงทุนโครงการ รายได้ และผลตอบแทนของโครงการ การพิจารณารูปแบบธุรกิจที่สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันและความต้องการของตลาด การบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการระหว่างภาครัฐและเอกชน ทางเลือกของรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน รวมทั้งการกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการใช้ประโยชน์พื้นที่ของโครงการที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งและจราจรที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ให้กระทรวงการคลังประสานกระทรวงคมนาคมในเรื่องการใช้พื้นที่โครงการสำหรับการพัฒนาสถานีขนส่งรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด เพื่อให้การศึกษาความเหมาะสมของโครงการมีความชัดเจน และสามารถกำหนดรูปแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่ได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
.....
