ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 150 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2981 - 3000 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2981 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ (การจัดการน้ำและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) | มท | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามพระราชดำริในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ (การจัดการน้ำและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงมหาดไทยได้ศึกษาค้นคว้า รวบรวมแนวคิด ทฤษฎี หลักการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริ และประชุมสัมมนาร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญจากส่วนราชการ/หน่วยงานในการบริหารจัดการน้ำ และนำมาเรียบเรียงจัดทำหนังสือการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นคู่มือให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศใช้ศึกษาและเป็นแนวทางปฏิบัติงาน รวมทั้งประกอบการจัดทำแผนงาน/โครงการการบริหารจัดการน้ำอย่างมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในพื้นที่ นอกจากนี้ ได้นำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำ เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง เช่น ระบบการเตือนภัยและติดตามสถานการณ์น้ำ โครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีเพื่อการจัดการน้ำ และการปรับปรุงจัดการน้ำในระดับเมือง และระดับชุมชน ๒. การดำเนินงานตามโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มขนาดเล็กอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้ศึกษา ค้นคว้า วิจัยและพัฒนา และตั้งโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มขนาดเล็กที่ใช้เงินลงทุนต่ำเพื่อสกัดน้ำมันปาล์มดิบจำหน่าย และนำผลพลอยได้ไปใช้ประโยชน์พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันของสมาชิกสหกรณ์นิคมอ่าวลึก จำกัด ได้รับประโยชน์จำนวน ๓,๙๘๐ ครัวเรือน ส่วนสหกรณ์นิคมอ่าวลึก จำกัด ได้จัดทำโครงการปรับปรุงโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทั้งนี้ โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มของสหกรณ์ใช้น้ำมันปาล์มดิบในการทอดผลปาล์มตามกระบวนการผลิตเฉลี่ย ๔๐๐ ลิตร/รอบการผลิต สหกรณ์จึงมีโครงการผลิตไบโอดีเซลเป็นพลังงานทดแทนโดยใช้น้ำมันปาล์มดิบที่ใช้แล้วมาเป็นวัตถุดิบ ๓. การดำเนินงานตามโครงการจัดพัฒนาที่ดินฯ ตามพระราชประสงค์หุบกะพง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ศูนย์สาธิตสหกรณ์โครงการหุบกะพงได้ดำเนินการการปฏิรูปที่ดินโดยการพัฒนาที่ดินว่างเปล่า จัดสรรให้เกษตรกรที่ไม่มีที่ดินในการเพาะปลูกเป็นของตนเองประกอบอาชีพตามวิธีการเกษตรแผนใหม่ แต่ไม่ให้กรรมสิทธิ์ในการถือครองที่ดิน และได้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับการจัดสรรที่ดินจัดตั้งเป็นสหกรณ์การเกษตรโดยใช้หลักและวิธีการสหกรณ์แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับสมาชิกตั้งแต่เริ่มการผลิตจนถึงการจำหน่ายออกสู่ตลาด ส่วนสหกรณ์การเกษตรหุบกะพง จำกัด ได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการเลี้ยงไก่ไข่ระบบปิด โครงการปลูกป่านศรนารายณ์ โครงการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง โครงการสวนทับทิมไทย-อิสราเอล เป็นต้น สำหรับปัญหาเรื่องน้ำ การประกอบอาชีพ สังคมและสิ่งแวดล้อม กรมชลประทานได้ดำเนินการขุดลอกเพื่อขยายความจุของอ่างเก็บน้ำ การขอรับการสนับสนุนการทำฝนหลวงในพื้นที่ รวมทั้งการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหา เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2982 | ปรับปรุงองค์ประกอบและการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับองค์การยูเนสโกและซีมีโอ (จำนวน 10 คณะ) | ศธ | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับองค์การยูเนสโกและซีมีโอ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับองค์การยูเนสโกและซีมีโอ จำนวน ๘ คณะ ได้แก่ ๑.๑ คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๑.๒ คณะกรรมการฝ่ายการศึกษาของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๑.๓ คณะกรรมการฝ่ายวิทยาศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๑.๔ คณะกรรมการฝ่ายวัฒนธรรมของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๑.๕ คณะกรรมการฝ่ายสื่อสารมวลชนของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๑.๖ คณะกรรมการฝ่ายสังคมศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๑.๗ คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งชาติของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๑.๘ คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีมีโอ) ๒. แต่งตั้งคณะกรรมการเพิ่ม ๒ คณะ ได้แก่ ๒.๑ คณะกรรมการโครงการมนุษย์และชีวมณฑลของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๒.๒ คณะกรรมการประสานงานโครงการศึกษาเพื่อความเข้าใจอันดีระหว่างชาติของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก)
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2983 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามแผนพัฒนาหอสมุดแห่งชาติให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย (ครั้งที่ 7) | วธ | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามแผนพัฒนาหอสมุดแห่งชาติให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย (ครั้งที่ ๗) ดังนี้
๑. ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐ ๑.๑. ดำเนินการขนย้ายหนังสือและสิ่งของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ๑.๒ จัดทำแผนพัฒนางานสารสนเทศ สำนักหอสรมุดแห่งชาติ และได้รับอนุมัติจากกรมศิลปากร เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๒ เพื่อของบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๓ ออกแบบรูปรายการในการปรับปรุงอาคารหอสมุดแห่งชาติหลังเดิมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อของบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ดำเนินการประมูลการจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยบริษัท เอนแอลดิเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ให้ราคาต่ำสุด และได้ทำสัญญาจ้างเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๒ ในวงเงิน ๔๓๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยเป็นงบประมาณที่ใช้จ่ายเฉพาะภารกิจสร้างอาคาร ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๑๑๒,๕๔๐,๐๐๐ บาท ๓. ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔ (ดำเนินการก่อสร้างอาคาร) โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ความก้าวหน้าของงานตามแผน ร้อยละ ๗.๙๙ ทำได้จริง ร้อยละ ๔.๕๐ งบประมาณที่ใช้จ่าย จำนวน ๕๖,๔๖๐,๐๐๐ บาท สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๓ - ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓) ความก้าวหน้าของงานตามแผน ร้อยละ ๖๐ ทำได้จริง ๔๓.๐๙ งบประมาณที่ใช้จ่าย จำนวน ๒๖๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2984 | รายงานประจำปี 2552 (คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการปฏิบัติงานการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประกอบด้วย ๑.๑ การกระจายอำนาจด้านภารกิจ อำนาจหน้าที่ ได้แก่ ๑.๑.๑ การบริหารแผนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. (ฉบับที่ ๒) ด้านการถ่ายโอนภารกิจ ๑.๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาของ อปท. ในระดับอาชีวศึกษา ๑.๑.๓ ผลการดำเนินงานของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาของ อปท. ให้แก่สถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ๑.๑.๔ การจัดการศึกษาเด็กที่มีลักษณะพิเศษในโรงงานสังกัด อปท. ๑.๒ การกระจายอำนาจด้านการเงิน การคลัง และงบประมาณ ได้แก่ ๑.๒.๑ การปรับปรุงรายได้ของ อปท. ๑.๒.๒ การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรรายได้ของ อปท. ๑.๒.๓ การจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่ อปท. ๑.๒.๔ เรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณ ๑.๓ การถ่ายโอนบุคลากรให้แก่ อปท. ๑.๔ การดำเนินการแก้ไขกฎหมาย ได้แก่ ๑.๔.๑ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ๑.๔.๒ การจัดทำหรือปรับปรุงกฎหมาย ๑.๕ การจัดตั้ง อปท. รูปแบบพิเศษ ๒. ผลการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประกอบด้วย ๒.๑ การติดตามประเมินผล ๒.๑.๑ การตรวจติดตามสถานศึกษาที่ถ่ายโอนให้แก่ อปท. ๒.๑.๒ การตรวจติดตามการถ่ายโอนสนามกีฬาให้แก่ อปท. ๒.๒ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ๒.๓ การดำเนินงานตามมติ กกถ. ได้แก่ ๒.๓.๑ การฝึกอบรมหลักสูตรการเตรียมความพร้อมในการรับโอนภารกิจของ อปท. สำหรับผู้บริหาร อปท. ๒.๓.๒ การให้ความรู้การกระจายอำนาจแก่เครือข่ายภาคประชาชนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๒.๓.๓ การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอนการเมืองการปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ๒.๓.๔ การเสริมสร้างความรู้การกระจายอำนาจแก่วิทยุชุมชน ๒.๓.๕ การเสริมสร้างความรู้ด้านกฎหมายท้องถิ่นและเทคนิคการจัดทำข้อบัญญัติท้องถิ่น ๒.๓.๖ การสัมมนาประเด็นการกระจายอำนาจ เรื่อง ทิศทางขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) กับการจัดบริการสาธารณะที่มีมาตรฐานสู่การสร้างนวัตกรรมการให้บริการ ๒.๓.๗ การประชุมชี้แจงแนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการศูนย์อบรมเด็กก่อนระดับประถมศึกษาในศาสนสถาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2985 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน ครั้งที่ 1/2554 | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (กพบ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๔ และเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ กพบ. รวม ๕ เรื่อง ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กพบ. เสนอ สำหรับมติคณะกรรมการ กพบ. รวม ๕ เรื่อง สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมในกรอบที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง รวม ๕ เรื่อง ได้แก่ ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๖ ผลการประชุมเวทีหารือเพื่อการพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๖ ผลการประชุมระดับผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๒ ผลการประชุมระดับผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิระวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง ครั้งที่ ๔ และข้อริเริ่มลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างกับสหรัฐฯ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของที่ประชุมไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงการต่างประเทศ รวบรวมข้อมูลด้านการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเปรียบเทียบระหว่างการลงทุนของไทยกับประเทศผู้ให้ที่สำคัญ รวมทั้งรวบรวมข้อมูลและความก้าวหน้าเกี่ยวกับการลงทุนในสาขาความร่วมมือต่าง ๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน และเสนอในการประชุมคณะกรรมการ กพบ. ครั้งต่อไป ๒. รับทราบผลการศึกษาการดำเนินงานของด่านศุลกากรชายแดนมาเลเซีย และเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานกำกับดูแลการพัฒนาด่านชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นประธาน และ สศช. เป็นคณะทำงานและเลขานุการ มีหน้าที่ศึกษาการพัฒนาด่านชายแดนของไทยอย่างเป็นระบบ มีความทันสมัย มีการให้บริการที่มีการปรับปรุงช่องทางผู้โดยสาร รถยนต์ รถโดยสาร และรถบรรทุกที่แยกออกจากกัน และมีแผนงานเตรียมการด้านการพัฒนาพื้นที่การให้บริการและวางแผนพื้นที่เศรษฐกิจต่อเนื่องเพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคตอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งวางแผนเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์อย่างเป็นโครงข่ายที่สมบูรณ์ ๓. เห็นชอบประเด็นความร่วมมือในรายละเอียดการพัฒนาเชื่อมโยงพื้นที่ภาคใต้ของไทยและพื้นที่ภาคเหนือ (NCER) และภาคตะวันออก (ECER) ของมาเลเซีย รวม ๕ ประเด็น ได้แก่ การเชื่อมโยงด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมโยงด้านการค้าและการลงทุน การเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อสร้างฐานรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และการพัฒนาด้านการเกษตร ประมง และอุสาหกรรมเกษตร รวมทั้งฮาลาล โดยให้ สศช. ปรับปรุงประเด็นด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาของฝ่ายไทยให้มีความชัดเจนโดยเฉพาะในเรื่องมาตรการสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ประเภทกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ส่งเสริม มาตรการจูงใจ กลไกการบริหารจัดการการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ และปรับยุทธศาสตร์เชิงรุกในส่วนที่เป็นการสร้างผลประโยชน์ของไทยเชื่อมโยงกับศักยภาพของมาเลเซียตามแผนพัฒนา NCER/ECER เช่น ผลิตภัณฑ์ฮาลาล โดยให้มีแผนพัฒนารายสาขาที่ชัดเจนของไทย และให้หน่วยงานหลักของแต่ละประเด็น/โครงการ หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดท่าทีในรายละเอียดของแต่ละเรื่องและเร่งบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของมาเลเซีย โดยให้ สศช. เป็นหน่วยงานกลางประสานงานกับ Economic Planning Unit ของมาเลเซียในภาพรวม และประสานกระทรวงการต่างประเทศในการหารือเชิงนโยบายการขับเคลื่อนร่วมในกรอบคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดนไทย - มาเลเซีย (Thailand - Malaysia Committee on Joint Development Strategy for border areas : JDS) ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสและระดับรัฐมนตรี ซึ่งมีกำหนดการประชุมประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เพื่อให้ได้ข้อสรุปของแนวทางการพัฒนาที่ไทยผลักดัน เช่น การพัฒนาด่านชายแดนไทย - มาเลเซีย ณ ด่านศุลกากรสะเดา - บูกิตกายูฮิตัม และสามารถเสนอต่อที่ประชุมประจำปี ครั้งที่ ๕ ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งมีกำหนดการประชุมประมาณกลางปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๔. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการของไทยในแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายใต้แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT - GT) ใน ๓ กลุ่มโครงการ โดยให้ สศช. ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยดำเนินการพัฒนาโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของมาเลเซียและอินโดนีเซียเพื่อให้มีการบูรณาการในการพัฒนา โดยให้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) สนับสนุนด้านวิชาการ และในกรณีที่เหมาะสมพัฒนาเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนอาจพิจารณารับการสนับสนุนทางการเงินจาก ADB และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการโครงการโดยประสานกับ สศช. ทางด้านยุทธศาสตร์ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างมีบูรณาการเพื่อให้มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคมและชุมชนในพื้นที่โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปพร้อมกัน นอกจากนี้ ให้คณะทำงานที่กำกับดูแลการพัฒนาด่านชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบประเทศ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นประธานคณะทำงาน และ สศช. เป็นฝ่ายเลขานุการ ซึ่งกำลังจะจัดตั้งขึ้นดำเนินการพิจารณาแนวทางการดำเนินการที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านด่านชายแดนเชื่อมโยงกับมาเลเซียและระบบโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์และการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมีบูรณาการ ๕. เห็นชอบข้อเสนอแนวทางการดำเนินงานศุลกากร ๒๔ ชั่วโมง ณ ด่านพรมแดนทางบก มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงาน ๒๔ ชั่วโมง ณ ด่านพรมแดนทางบกให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ตามที่ไทยได้สนับสนุนไว้ในกรอบ GMS และกรอบลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาในการขนส่ง และส่งเสริมกิจกรรมการผลิตระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ และเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานด้านเทคนิคเพื่อจัดทำข้อเสนอแนวทางการดำเนินงาน ๒๔ ชั่วโมง ณ ด่านพรมแดนทางบก โดยให้คณะทำงานดังกล่าวนำเสนอแนวทางการดำเนินงาน ๒๔ ชั่วโมง ณ ด่านพรมแดนทางบกต่อคณะทำงานกำกับดูแลการพัฒนาด่านชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นประธานคณะทำงาน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการ กพบ. พิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2986 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2554 | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอ โดยที่ประชุมคณะกรรมการ กพต. มีมติในเรื่องต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการจัดทำรายละเอียดสาระสำคัญของโครงการขยายผลโครงการแพะนมเพิ่มเติม รวมทั้งจัดทำรายละเอียดความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโรงงานผลิตนมยูเอชที (UHT) ในพื้นที่เพื่อนำเสนอคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน และคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมพิจารณา และพิจารณาแนวทางการพัฒนาด้านการจำหน่ายนมแพะโดยวิธีการอื่น นอกเหนือจากการทำเป็นนมโรงเรียน ๑.๒ ไม่เห็นชอบการขอใช้เงินเหลือจ่ายจากโครงการภายใต้แผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ปี ๒๕๕๓ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งปี ๒๕๕๕ เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการเลี้ยงปลาดุกในบ่อดินของจังหวัดยะลา ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุน้ำป่าไหลหลาก จำนวน ๑๗ คน วงเงิน ๑๑๙,๘๕๐ บาท โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนใช้จ่ายงบประมาณปกติปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อช่วยเหลือราษฎรดังกล่าวต่อไป ๑.๓ เห็นชอบให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานสนับสนุนเครื่องประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนนอกพื้นที่เป้าหมาย ๖๙๖ หมู่บ้านของจังหวัดสตูล เพิ่มเติมรวม ๑๖ ราย ที่ผ่านการประชาคม และฝึกอบรมด้านการพัฒนาอาชีพไว้แล้ว โดยใช้งบประมาณที่ได้รับจัดสรรในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๔ เห็นชอบการปรับแผนการดำเนินงานกิจกรรมภายใต้โครงการ “ทำดี มีอาชีพ” โดยนำเงินที่เหลือจำนวน ๒๑๒.๕๗ ล้านบาท การดำเนินกิจกรรม รวม ๓ กิจกรรม ประกอบด้วย การขยายผลสัมฤทธิ์โครงการทำดีมีอาชีพ การจัดการเรียนการสอนระบบทวิภาคีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ระบบสหกรณ์ชุมชน ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอ โดยให้ กอ.รมน. ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๕ เห็นชอบโครงการบริหารจัดการขับเคลื่อนแผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ วงเงิน ๙๑.๒๗ ล้านบาท โดยให้ ศอ.บต. จัดทำรายละเอียดโครงการเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณต่อไป ๑.๖ เห็นชอบโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนระดับหมู่บ้านจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในพื้นที่ ๑๒ อำเภอของจังหวัดสงขลา วงเงิน ๒๓๐ ล้านบาท โดยให้ ศอ.บต. จัดทำรายละเอียดโครงการเสนอสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณต่อไป ๑.๗ เห็นชอบในหลักการโครงการจัดตั้งสัตว์แพทย์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วงเงิน ๑,๘๔๙.๑๒๒ ล้านบาท และให้ ศอ.บต. บรรจุในแผนปฏิบัติการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ โดยให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ดำเนินการนำเสนอการจัดตั้งคณะสัตวแพทยศาสตร์ต่อสัตวแพทย์สภาเพื่อพิจารณาอนุมัติตามหลักเกณฑ์และระเบียบการเปิดหลักสูตร และจัดทำรายละเอียดภาระค่าใช้จ่ายงบประมาณผูกพันและการศึกษาความต้องการของผู้เรียนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อวิเคราะห์ความคุ้มค่าของโครงการเพื่อนำเสนอ กพต. พิจารณาต่อไป ๑.๘ เห็นชอบโครงการเลี้ยงแพะเนื้อเชิงพาณิชย์ในโครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง และโครงการฟาร์มตัวอย่างในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จำนวน ๑๐ แห่ง จังหวัดปัตตานี จำนวน ๗ แห่ง วงเงิน ๘.๕๐ ล้านบาท โดยให้ ศอ.บต. ประสานหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (นทพ.) เป็นหนวยดำเนินโครงการ และให้ นทพ. จัดทำรายละเอียดเสนอสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ตามที่ ศอ.บต. เสนอ โดยแผนปฏิบัติการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ฯ ยึดกรอบแผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ ๒๕๕๒ - ๒๕๕๕ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๒ โดยมีหลักเกณฑ์ในการจัดทำแผนงานโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ฯ คือ เป็นโครงการสำคัญที่มีวัตถุประสงค์ และเป้าหมายหลักในการแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งอย่างชัดเจนและมีความสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และเป็นโครงการที่มีความพร้อมในการดำเนินการ เช่น ความพร้อมด้านที่ดิน แบบแปลนการก่อสร้าง การบริหารจัดการมีรายงานการศึกษาผลกระทบสิงแวดล้อมตามที่กฎหมายกำหนด เป็นต้น ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นสมควรให้คณะกรรมการ กพต. มีอำนาจหน้าที่แทนคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (รชต.) โดยจำเป็นจะต้องแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ ในหมวดว่าด้วยการบริหารโครงการในพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้ โครงการใดที่อนุมัติการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามมติคณะกรรมการ กพต. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ ให้ดำเนินการได้เมื่อแก้ไขระเบียบดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2987 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 พ.ศ. .... | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม โดยได้มีการพิจารณาทบทวนรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อคัดเลือกโครงการหรือรายการที่เป็นงบลงทุนตามลำดับความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูความเสียหายและมีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ จำนวน ๙,๙๐๐ ล้านบาท รวมทั้งการกำหนดยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณและโครงสร้างแผนงานเพื่อรองรับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติของหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ และแผนงานฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยพิบัติ ทั้งนี้ รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วย งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๘๔,๑๔๒.๖ ล้านบาท งบประมาณรายจ่ายเป็นเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๕,๙๕๗.๔ ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยยังชีพผู้พิการหรือทุพพลภาพ และงบประมาณรายจ่ายสำหรับส่วนราชการในการฟื้นฟูความเสียหายและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ จำนวน ๙,๙๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ พ.ศ. .... พร้อมเอกสารงบประมาณ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินงานและระยะเวลาที่ได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับข้อพิจารณาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ แล้ว ๑.๔ คำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานนั้น ๆ ๒. ให้นำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว พร้อมเอกสารงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2988 | การแก้ไขสัญญาสัมปทานของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ตามแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 | ทก | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขสัญญาสัมปทานของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ตามแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สัญญาร่วมลงทุนจัดตั้งโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงตามเส้นทางรถไฟ ระหว่างบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท คอม - ลิงค์ จำกัด ได้แก่ การแก้ไขสัญญาเพิ่มเติม/การจัดทำข้อตกลงแนบท้ายสัญญา (จำนวน ๒ ครั้ง) ๑.๑.๑ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๑ เรื่อง เปลี่ยนแปลงที่อยู่ในการส่งหนังสือ หรือคำบอกกล่าว และการแก้ไขปรับปรุงจุดเชื่อมโยงระบบของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อลดความหนาแน่นของปริมาณ Traffic (เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖) ๑.๑.๒ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๒ เรื่อง การติดตั้งวงจรเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยงระบบเคเบิลใยแก้วนำแสงตามเส้นทางรถไฟภายในท้องถิ่น และการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณส่วนแบ่งรายได้เฉพาะส่วนท้องถิ่น (เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๔) ๑.๒ สัญญาร่วมลงทุนสร้างโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำระหว่างบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กับบริษัท จัสมิน ซับมารีน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ได้แก่ การแก้ไขสัญญาเพิ่มเติม/การจัดทำข้อตกลงแนบท้ายสัญญา (ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๔ และสัญญาร่วมดำเนินการฯ) ๑.๒.๑ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๑ เรื่อง ย้ายจุดเชื่อมโยง และจุดขึ้นฝั่ง สำหรับวงจรท้องถิ่น (เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๗) ๑.๒.๒ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๔ เรื่อง การปรับปรุงโครงข่าย จาก ๔ ระดับ เป็น ๒ ระดับ เพื่อให้มีวงจรใช้งานเพิ่มขึ้น (เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๕) ๑.๒.๓ การจัดทำสัญญาร่วมดำเนินการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงข่ายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำฝั่งทะเลด้านตะวันออก (เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๗) ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ที่เห็นควรให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เตรียมความพร้อมในการรับมอบทรัพย์สิน และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่กำหนดในสัญญา และเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและแผนการให้บริการในระยะต่อไป เพื่อให้การบริการโครงข่ายมีความต่อเนื่อง และให้รัฐวิสาหกิจที่ทำสัญญาร่วมลงทุนกับบริษัทเอกชนปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถติดตามกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามข้อกำหนดตามสัญญา โดยเฉพาะการตรวจสอบส่งมอบทรัพย์สินและการแบ่งผลประโยชน์ให้แก่ภาครัฐ เพื่อดำเนินงานเป็นไปตามสัญญา ทั้งนี้ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำเนินโครงการหรือแก้ไขเพิ่มเติมสัญญา หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องเสนอคณะกรรมการประสานงานตามมาตรา ๒๒ พิจารณา หากคณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยจะต้องรายงานต่อรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดตามมาตรา ๒๓ (๒) และหากการแก้ไขดังกล่าวมีผลเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการหรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ของรัฐ รัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดก็ชอบที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป และเมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว หน่วยงานเจ้าของโครงการจึงจะลงนามแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2989 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ออสเตรเลีย | คค | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลออสเตรเลีย เรื่อง รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ออสเตรเลีย ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้มีการเจรจาเกี่ยวกับการปรับปรุงสิทธิการบินในด้านความจุความถี่ สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓/๔ และ ๕ และสิทธิรับขนการจราจรพักค้างของตนเอง รวมทั้งเพิ่มเรื่องการเช่าอากาศยาน และการเปลี่ยนแบบอากาศยาน ซึ่งจะทำให้สายการบินของทั้งสองฝ่ายมีความยืดหยุ่นในการวางแผนการให้บริการ และเปิดโอกาสให้สามารถรับขนการจราจรพักค้างของตนเองระหว่างจุดต่าง ๆ ในอาณาเขตของคู่ภาคีได้มากขึ้น รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการเดินทางระหว่างทั้งสองประเทศและเครือข่ายการบินให้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น และให้เสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2990 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติต่ออากาศยานที่กระทำผิดกฎหมาย พ.ศ. .... | สว | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติต่ออากาศยานที่กระทำผิดกฎหมาย พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๑.๑ การแก้ไขและเพิ่มเติมบทบัญญัติต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้การใช้กฎหมายไม่สะดวก สมควรดำเนินการปรับปรุงพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗ โดยให้หน่วยที่รับผิดชอบปรับปรุงพระราชบัญญัติดังกล่าวเพื่อความสะดวกในการใช้กฎหมายต่อไป ๑.๑.๒ ควรมีแนวทางที่ชัดเจนในการวางกรอบการดำเนินการเพื่อจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการให้บริการที่เกี่ยวข้องสำหรับคนพิการของสนามบินให้ได้รับการบริการอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติต่ออากาศยานที่กระทำผิดกฎหมาย พ.ศ. .... ในส่วนของการควบคุมตัวผู้ต้องขังของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารก่อนที่พนักงานสอบสวนจะได้รับตัวผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารควรสืบสวนสอบสวนเบื้องต้นให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และส่งตัวผู้ต้องหาให้แก่พนักงานสอบสวนโดยไม่ชักช้า รวมทั้งในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารใช้อำนาจควบคุมตัวผู้ต้องหาควรให้สิทธิผู้ต้องหาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ๒. รับทราบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2991 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) ครั้งที่ 2/2553 | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติเสนอผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๓ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบแผนปฏิบัติการภายใต้แผนแม่บทอาหาร พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ ซึ่งประกอบด้วย ๖ ชุดโครงการ ได้แก่ ชุดโครงการเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมอาหารไทย ชุดโครงการพัฒนาช่องทางการตลาดและเสริมสร้างภาพลักษณ์สินค้าอาหารไทย ชุดโครงการพัฒนาคุณภาพและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยอาหารของไทย ชุดโครงการเสริมสร้างคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์อาหารไทย ชุดโครงการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างศักยภาพระบบการผลิตอาหารตลอดห่วงโช่อุปทาน (Supply Chain) และชุดโครงการพัฒนาองค์ความรู้ของอุตสาหกรรมอาหารเพื่อเชื่อมโยงกับศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร (Food Intelligence Center) รวมทั้งเห็นชอบองค์ประกอบคณะอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองแผนปฏิบัติการภายใต้แผนแม่บทอุตสาหกรรมอาหาร พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ และให้คณะอนุกรรมการฯ ไปพิจารณากรอบแผนปฏิบัติการฯ โดยอาจเพิ่มหรือปรับลดรายละเอียดของ ๖ ชุดโครงการและนำเสนอ กอช. และคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๒ เห็นชอบการจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางพาราในรูปแบบสถาบันเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ และเปลี่ยนชื่อเป็น “สถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา” โดยให้ได้รับงบสนับสนุนการจัดตั้งจากภาครัฐตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ ปีละ ๑๐ ล้านบาท และเห็นชอบยุทธศาสตร์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา ประกอบด้วย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การพัฒนาบุคลากร และการสร้างและพัฒนาฐานข้อมูล ในระยะ ๕ ปี โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการ แผนงาน/โครงการ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๐ ล้านบาท และในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ จำนวน ๓๙๕ ล้านบาท รวมทั้งให้มีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง เพื่อให้สามารถนำเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (CESS) มาใช้ในการสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันฯ โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานต่อไป ๑.๓ เห็นชอบแผนการดำเนินงานตามมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันภายใต้กฎระเบียบของสหภาพยุโรป ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๗) และกรอบงบประมาณ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป และเห็นชอบให้ดำเนินโครงการเร่งด่วนที่ครอบคลุมเรื่องคลังข้อมูล เพื่อให้มีฐานข้อมูลที่ถูกต้องทันสมัย การพัฒนาผู้ประกอบการ และห้องปฏิบัติการเข้าสู่มาตรฐานสากล และการพัฒนากฎระเบียบ/มาตรฐาน โดยประสานกับคณะกรรมการมาตรฐานแห่งชาติบูรณาการการดำเนินงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๑.๔ เห็นชอบในหลักการของแผนพัฒนาบุคลากรยานยนต์สู่ความยั่งยืน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓) โดยให้นำข้อสังเกตของที่ประชุม กอช. เกี่ยวกับการอนุญาตให้แรงงานฝีมือ (Skilled labor) ที่เป็นต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะสามารถพัฒนาแรงงานฝีมือไทยให้เพียงพอต่อความต้องการ ไปปรับปรุงรายละเอียดเพื่อให้ภาคเอกชนรวมทั้งกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงานเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการและพัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชนทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งเห็นชอบในหลักการของแผนการพัฒนาศูนย์ทดสอบยานยนต์ โดยให้ทบทวนปรับปรุงรายละเอียดแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการ โดยเฉพาะการให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมและพิจารณาทบทวนกรอบงบประมาณให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงาน นอกจากนี้ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาประเด็นวิธีการนำเสนอเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนสำหรบโครงการดังกล่าว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ๒. ทั้งนี้ หากดำเนินการตามมติของ กอช. ในเรื่องใดที่มีลักษณะเป็นแผนงาน/โครงการ และต้องใช้งบประมาณที่อยู่ในอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะอนุมัติหรือเห็นชอบ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2992 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ในส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง | กค | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง วาระแห่งชาติการส่งเสริมคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริตและต่อต้านการทุจริตของคนไทยและโครงการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ) ซึ่งกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ได้ประชุมร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๓ โดยมีประเด็นข้อหารือรวม ๔ ประเด็นคือ การกำหนดราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ การกำหนดราคามาตรฐานครุภัณฑ์และมาตรฐานสิ่งก่อสร้าง การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจัดหาพัสดุตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ และการจ้างที่ปรึกษา ๑.๒ อนุมัติให้มีการทบทวนราคากลางงานก่อสร้างให้เป็นปัจจุบันโดยกำหนดให้ในกรณีที่หัวหน้าหน่วยงานได้ให้ความเห็นชอบราคากลางงานก่อสร้างที่คณะกรรมการกำหนดราคากลางของหน่วยงานได้คำนวณไว้แล้วและยังไม่ประกาศสอบราคา ประกาศประกวดราคา หรือประกาศร่าง TOR ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่หัวหน้าหน่วยงานได้ให้ความเห็นชอบให้หัวหน้าหน่วยงานสั่งการให้คณะกรรมการกำหนดราคากลางที่คำนวณราคากลางงานก่อสร้างของหน่วยงานนั้นพิจารณาทบทวนราคากลางใหม่ให้มีความเป็นปัจจุบัน และนำเสนอหัวหน้าหน่วยงานพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศสอบราคา ประกาศประกวดราคา หรือประกาศร่าง TOR อีกครั้งหนึ่ง ๑.๓ อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง ทำหน้าที่ในระดับปฏิบัติแทนคณะอนุกรรมการกำกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง กับคณะอนุกรรมการกำกับนโยบายการตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้างต่อไป โดยคณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง ประกอบด้วยปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและเลขานุการ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมเป็นปัจจุบันและสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง รวมทั้งให้พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ้างที่ปรึกษาออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างให้เหมาะสม โดยอาจพิจารณากำหนดปริมาณและจำนวนงานที่บริษัทที่ปรึกษาจะรับผิดชอบดำเนินการในคราวเดียวกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลสูงสุด และการพิจารณากลไกที่จะไม่ให้บริษัทที่ปรึกษาเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัทที่ทำการก่อสร้างให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2993 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับโครงการจัดซื้อทดแทนรถผลิตรายการนอกสถานที่พร้อมอุปกรณ์พิเศษระบบ Digital Full High Definition | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กรมประชาสัมพันธ์เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๑๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อใช้สำหรับดำเนินโครงการจัดซื้อทดแทนรถผลิตรายการนอกสถานที่พร้อมอุปกรณ์พิเศษระบบ Digital Full High Definition จำนวน ๑ คัน โดยให้กรมประชาสัมพันธ์ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เพื่อเร่งรัดจัดทำแผนการปรับปรุงระบบแพร่ภาพออกอากาศไปเป็นระบบ Digital Full High Definition ตามความจำเป็นเหมาะสมในแต่ละปีให้สอดคล้องกับกำหนดเวลาตามเป้าหมายที่ให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2015 ตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ในภาพรวมของรถที่ผลิตรายการนอกสถานที่ของกรมประชาสัมพันธ์มีอายุใช้งานค่อนข้างมาก บางส่วนชำรุด ใช้งานไม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และระบบแพร่ภาพออกอากาศยังเป็นระบบ Analogue ซึ่งเป็นระบบค่อนข้างเก่าและล้าสมัย ประกอบกับประเทศเพื่อนบ้านของไทยในกลุ่ม ASEAN อยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านระบบแพร่ภาพออกอากาศเข้าสู่ระบบ Digital Full High Definition ซึ่งมีเป้าหมายให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี ค.ศ. ๒๐๑๕
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2994 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 14/2553 | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ และเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ รศก. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ รศก. เสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้
๑. รับทราบภาพรวมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคของประเทศ และให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามและกำกับดูแลการปรับราคาสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่มีแนวโน้มปรับราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ น้ำมันพืช ผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรซ์ และเครื่องแบบนักเรียน และเร่งพิจารณาราคาที่เหมาะสมต่อไป ๒. รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการจำหน่ายกิจการโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card : TPC) และเห็นชอบในหลักการการจำหน่ายกิจการโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยยกเลิกสิทธิการยกเว้นค่าธรรมเนียมต่าง ๆ สำหรับสมาชิกใหม่ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารอผลการพิจารณาข้อกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนดำเนินการต่อไป เพื่อให้การดำเนินการจำหน่ายกิจการโครงการบัตรสมาชิกพิเศษเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๓. รับทราบรายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2011) โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. ศึกษาวิจัยแนวทางการดำเนินงานของประเทศต้นแบบที่ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับต้น ๆ แล้วนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของไทย และจัดส่งข้อมูลดัชนีชี้วัดของการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลกให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นข้อมูลในการจัดทำแนวทางการปรับปรุงการดำเนินการ และจัดส่งให้สำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อรวบรวมและนำเสนอคณะกรรมการ รศก. เพื่อพิจารณาต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางการปรับปรุงอายุสัญญาการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2995 | โครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ระยะที่ 1: ส่วนสถานีไฟฟ้าแรงสูง | พน | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสถานีไฟฟ้าแรงสูง ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในวงเงินลงทุนรวม ๓,๘๑๕ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายเพื่อซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศ จำนวน ๑,๕๐๕.๐ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายเพื่อซื้ออุปกรณ์ในประเทศและการก่อสร้าง จำนวน ๒,๓๑๐.๐ ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาความสูญเสียที่เกิดจากไฟฟ้าดับเนื่องจากอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าภายในสถานีไฟฟ้าแรงสูงเกิดชำรุดหรือเสียหายจากสภาพอายุการใช้งานมานาน และช่วยเพิ่มความสามารถของสถานีไฟฟ้าแรงสูงที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานให้จ่ายไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ โดยการปรับปรุงและขยายสถานีไฟฟ้าแรงสูงที่จำเป็นต้องปรับปรุงเร่งด่วนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ จำนวน ๑๕ สถานีไฟฟ้าแรงสูง รวม ๑๕ โครงการย่อย ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว เนื่องจาก กฟผ. ยังจะต้องมีโครงการลงทุนด้านพลังงานไฟฟ้าอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมช่วงก่อสร้าง ในการขนส่งอุปกรณ์และวัสดุก่อสร้างเพื่อลดผลกระทบด้านฝุ่นละออง เสียง และอุบัติเหตุ ตลอดจนให้ความสำคัญในการกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบจากการชะล้างพังทลายของดินและการกีดขวางทางไหลของน้ำทั้งในระยะก่อสร้างและระยะดำเนินการ นอกจากนี้ ควรเร่งจัดทำโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานในระยะต่อไป เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาไฟฟ้าดับเนื่องจากยังมีสถานีไฟฟ้าของ กฟผ. อีกหลายแห่งที่มีอายุการใช้งานนานและอุปกรณ์เริ่มเสื่อมสภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2996 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2553 | กค | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ กนร. ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธาน กนร. เสนอ โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. รับทราบงบประมาณการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. พิจารณามูลค่าการลงทุนที่รัฐวิสาหกิจสามารถประหยัดงบประมาณลงทุนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และศึกษาผลประโยชน์ที่ประชาชนและภาคการผลิตจะได้รับการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เนื่องจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท และให้รัฐวิสาหกิจปรับลดงบประมาณลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงไป โดยคำนึงถึงโครงการลงทุนที่มีรายการ Import Content แฝงอยู่เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย และรายงาน กนร. พิจารณาในคราวประชุมครั้งต่อไป ๒. รับทราบการติดตามความคืบหน้าโครงการให้เอกชนเข้าร่วมงานในกิจการท่าเรือแหลมฉบัง โดยให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. พิจารณาความเหมาะสมของอัตรา Discount Rate ที่นำมาคำนวณมูลค่าปัจจุบัน (Present Value) และตรวจสอบความสอดคล้องของการขอขยายระยะเวลาก่อสร้างท่าเทียบเรือชุด D (ท่าเทียบเรือ D1 D2 และ D3) กับปริมาณ Excess Capacity ที่เหลืออยู่ รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) พิจารณาแนวทางกำหนดราคาค่าบริการที่มีความเป็นธรรมต่อการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการเอกชนในท่าเรือแหลมฉบัง และศึกษาการขยายท่าเรือแหลมฉบังให้สอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพเพื่อนำไปสู่การสร้างศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) ของท่าเรือกรุงเทพในอนาคต ตลอดจนนำเสนอผลการศึกษาความเหมาะสมและความคุ้มค่าในการลงทุนพัฒนาท่าเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ให้ กนร. พิจารณาต่อไป ๓. รับทราบการติดตามความคืบหน้าการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อพลิกพื้นฐานะทางการเงินของรัฐวิสาหกิจ โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้ ๓.๑ ให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. จัดประเภทของรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับวิธีการดำเนินธุรกิจและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนมีแนวทางกำกับดูแลที่เหมาะสม รวมทั้งติดตามและตรวจสอบประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่แตกต่างกันในแต่ละประเภทอย่างชัดเจน ๓.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการดำเนินธุรกิจของหน่วยงานทั้ง ๒ แห่ง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ แล้วนำเสนอ กนร. พิจารณาต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และการเคหะแห่งชาติพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาทางการเงิน แล้วนำเสนอ กนร. พิจารณา โดยกรณีโครงการบ้านเอื้ออาทรที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ให้ศึกษาเปรียบเทียบมูลค่าความเสียหายระหว่างดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จกับการยกเลิกสัญญาที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างทันที โดยคำนึงถึงทำเลที่ตั้งและความต้องการของตลาดประกอบการพิจารณา ส่วนโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ให้ศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบทางการเงินที่เกิดขึ้นระหว่างการจำหน่ายให้เอกชนทั้งโครงการภายใน ๑ ปี กับการดำเนินการโดยการเคหะแห่งชาติเอง สำหรับโครงการที่เป็นสินทรัพย์ระงับการพัฒนา ให้ศึกษาเปรียบเทียบผลประกอบการทางการเงินในการให้เอกชนเป็นผู้พัฒนาโครงการทั้งหมดกับการดำเนินการโดยการเคหะแห่งชาติเอง และให้พิจารณาแนวทางการจัดตั้งหน่วยธุรกิจเฉพาะเช่นเดียวกับกรณีบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company) เพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเอื้ออาทร ๔. เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๑,๒๕๑.๑๕๙ ล้านบาท และข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะที่ให้มีการปรับปรุงวงเงินอุดหนุนในขั้นตอนของการจัดทำบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับเงินอุดหนุนของภาครัฐในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน (โครงการรถเมล์ฟรี) ๕. เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน ๓๘๒.๕๓๑ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ๖. ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการกำกับให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เร่งดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการของ รฟท. และแผนการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานระบบราง รวมทั้งพิจารณาเพิ่มกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนเข้าร่วมในคณะกรรมการติดตามการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม และให้คณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานะทางการเงินของ รฟท. ดำเนินการกำกับดูแลการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการกิจการของ รฟท. ให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้ กนร. ทราบเป็นระยะ ๆ ๗. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาการปฏิรูป ขสมก. เพื่อทำหน้าที่พิจารณาปฏิรูป ขสมก. และความเชื่อมโยงกับระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพในภาพรวมในอนาคต ตลอดจนรูปแบบการดำเนินการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใหม่ใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) เป็นเชื้อเพลิง จำนวน ๔,๐๐๐ คัน ของ ขสมก. ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2997 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันตามมาตรา 23 วรรคสี่ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 (รายการเช่าอาคารสำนักงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานในประเทศ) | กก | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่และเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ รายการค่าเช่าอาคารสำนักงานของ ททท. สำนักงานนครพนม ต่อเนื่องจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ ในวงเงินรวม ๑๕๐,๐๐๐ บาท ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ วงเงิน ๖๔,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ ปีละ ๔๓,๐๐๐ บาท เนื่องจาก ททท. ยังไม่ได้เสนอขออนุมัติดำเนินการในลักษณะก่อหนี้ผูกพันงบประมาณข้ามปีต่อคณะรัฐมนตรี ๑.๒ เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ รายการค่าเช่าอาคารสำนักงาน ททท. สำนักงานในประเทศ ๕ แห่ง (สำนักงานอุดรธานี ภูเก็ต นครนายก ตาก และนครศรีธรรมราช) จากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เดิมเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ จำนวน ๑,๑๕๖,๐๐๐ บาท เป็นจำนวน ๑,๔๐๘,๐๐๐ บาท เนื่องจากสำนักงานธนารักษ์มีการปรับปรุงอัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียมจากอัตราเดิม ร้อยละ ๙ เป็นร้อยละ ๑๕ ของอัตราค่าเช่าเดิม ๒. สำหรับงบประมาณที่ต้องใช้เพิ่มเติมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๒๗,๐๐๐ บาท ให้ ททท. ปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มาดำเนินการ และในส่วนที่ต้องผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๕๖ เพิ่มเติมอีก จำนวน ๑๒๕,๐๐๐ บาท ให้ ททท. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดย ททท. รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และความเห็นที่สำนักงบประมาณกำหนด และติดตามประเมินผลการดำเนินงานของสำนักงาน ททท. ในประเทศ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2998 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7/2553 | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการก่อสร้างในเขตพื้นที่จังหวัดที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งออกตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ช่วงระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม ๒๕๕๓ ตามที่สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เสนอ และให้กรมบัญชีกลางพิจารณารายละเอียดข้อเสนอของสมาคมฯ ให้ชัดเจนอีกครั้ง โดยเฉพาะเงื่อนไขระยะเวลาสัญญาจ้างก่อสร้างที่จะมีผลบังคับใช้ พร้อมทั้งเร่งรัดการจัดประชุมคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สมาคมฯ เสนอ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ตามที่สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเสนอ โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อเสนอแนะดังกล่าวไปพิจารณาปรับปรุงใน (ร่าง) แผนการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และเห็นชอบให้ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเขาร่วมเป็นกรรมการโดยตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ภายใต้ (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาในขั้นของการตรวจ (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาฯ นอกจากนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหารือร่วมกับกระทรวงการคลังและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณาทบทวนความเหมาะสมและจำเป็นของมาตรการจูงใจด้านภาษีที่ใช้เพื่อการกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองว่า สมควรดำเนินการต่อไปหรือไม่ ๓. ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับองค์กรภาคเอกชน ๓ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย และสมาคมวิชาชีพ/กลุ่มอาชีพที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบคุณวุฒิวิชาชีพเชิงบูรณาการ เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มภาระและลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน และเป็นที่ยอมรับของแรงงานและผู้ประกอบการ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งพิจารณา (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับองค์กรภาคเอกชน ๓ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย สำรวจจำนวนคนพิการที่สามารถเข้าสู่ภาคแรงงานเพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการร่วมกัน รวมทั้งให้สำนักงาน ก.พ. เร่งประสานหน่วยงานภาครัฐในการรับคนพิการเข้าทำงานตามสัดส่วนที่กำหนดสำหรับหน่วยงานภาครัฐด้วย ๕. รับทราบข้อเสนอภาคเอกชนเกี่ยวกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด กรณีให้มีการนำมาตรการปรับลดตามหลักการ ๘๐ : ๒๐ มาใช้กับสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) การนำแนวคิด Emission Trading ระหว่างโครงหารหรือระหว่างบริษัทในพื้นที่มาบตาพุดมาใช้ และการกำหนดให้มีมาตรการจูงใจและลดขั้นตอนของระเบียบปฏิบัติสำหรับโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดมลพิษให้มีความรวดเร็วมากขึ้น โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการศึกษาเรื่องศักยภาพของพื้นที่มาบตาพุดในการรองรับอุตสาหกรรมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๖. รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้า วัตถุอันตราย ตามที่ประธานผู้แทนการค้าไทยรายงาน และให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณารายละเอียดของปัญหาเพื่อหาแนวทางแก้ไขให้ได้ข้อยุติต่อไป ๗. รับทราบรายงานผลการจัดอันดับ Doing Business 2011 ของธนาคารโลก ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ ๑๙ จาก ๑๘๓ ประเทศ ลดลงจากปีที่แล้วที่อยู่ในอันดับที่ ๑๖ (เดิมประกาศให้ไทยอยู่อันดับที่ ๑๒ เมื่อมีการปรับฐานการคำนวณใหม่โดยยกเลิกตัวชี้วัดด้านการจ้างงานออกไป ทำให้เทียบเท่ากับอันดับที่ ๑๖) จาก ๑๘๓ ประเทศ คิดเป็นการปรับลดอันดับลง ๓ อันดับ โดยสาขาที่มีอันดับปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ การขอใบอนุญาตก่อสร้าง และการปิดกิจการ และสาขาที่อันดับปรับลดลง ได้แก่ การเริ่มต้นธุรกิจ การจดทะเบียนทรัพย์สิน การได้รับสินเชื่อ และการชำระภาษี โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการจัดทำการวิเคราะห์ในระดับดัชนีของการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ของธนาคารโลก รวมทั้งความสามารถในการแข่งขันที่จัดทำโดย International Institute of Management Development (IMD) และ World Economic Forum (WEF) พร้อมทั้งเสนอแนวทางในการปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการให้การสนับสนุนข้อมูลด้านการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับองค์กรภาคเอกชน ๓ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ในการให้ความรู้ความเข้าใจกับภาคเอกชนเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญในการให้ข้อมูลแก่หน่วยงานจัดอันดับต่าง ๆ ที่ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2999 | การปฏิบัติการคุ้มครองประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ | รง | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานและระบบการให้บริการประชาชนของสำนักงานประกันสังคม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. อนุมัติให้ถอนร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ พ.ศ. .... (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๒) ออกจากชั้นการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้ใช้ร่างพระราชกฤษฎีกาตามข้อ ๑ แทน ๓. อนุมัติในหลักการการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน และอนุมัติในหลักการการจัดสรรกรอบอัตรากำลังเพิ่มเติมให้แก่สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน และให้สำนักงาน ก.พ.ร. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐพิจารณาโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน และกรอบอัตรากำลังเพิ่มเติมให้แก่หน่วยงานดังกล่าวให้สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลตามแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย ในการสร้างระบบความคุ้มครองและหลักประกันทางสังคมให้แก่แรงงานนอกระบบ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง นโยบายการพัฒนาระบบราชการ) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖)] และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 3000 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการควบคุมและรับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมง IUU | กษ | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการควบคุมและรับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมง IUU ครั้งที่ ๓ ในช่วงเดือนกรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๓ โดยข้อมูลผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. ออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ จำนวน ๓,๒๗๔ ฉบับ (ใบรับรองการจับสัตว์น้ำ จำนวน ๒,๔๗๕ ฉบับ และใบรับรองการจับสัตว์น้ำแบบง่าย ๗๙๙ ฉบับ) ออกเอกสารรับรองสินค้าประมงจับก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๓ จำนวน ๖,๕๑๕ ฉบับ และออกเอกสารรับรองการแปรรูปสัตว์น้ำ (สำหรับวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศ) จำนวน ๘๓๔ ฉบับ ๒. แจกจ่ายสมุดบันทึกการทำประมง (Logbook) ให้แก่เรือประมง จำนวน ๕,๖๒๓ ฉบับ ได้รับ Logbook กลับคืน จำนวน ๑๗,๖๕๓ ฉบับ และบันทึกข้อมูลลงระบบ จำนวน ๑๗,๔๘๑ ฉบับ ส่วนการออก Mobile Unit เพื่อเร่งรัดการจดทะเบียนเรือประมงและอาชญาบัตร ดำเนินการจดทะเบียนเรือได้ จำนวน ๖,๗๖๔ ลำ และบริการรับคำขอจดอาชญาบัตร จำนวน ๒,๒๔๔ ลำ ๓. ทำการตรวจสอบสุขอนามัยท่าเรือประมง จำนวน ๖๔ แห่ง ในจังหวัดชายทะเลครบตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมทั้งทำการคัดเลือกท่าเทียบเรือที่มีศักยภาพในการปรับปรุงปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒๐ ท่า รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบและประเมินสุขอนามัยเรือประมงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ จำนวน ๗๕๐ ลำ นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจประเมินสุขอนามัยเรือประมงในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ อบรมชาวประมง/เจ้าของเรือประมง และอบรมด้านสุขอนามัยให้แก่ผู้ประกอบการแพปลา องค์การสะพานปลา และท่าเทียบเรือ เจ้าหน้าที่สำนักงานประมงจังหวัด ๔. ดำเนินการประกวดราคาและจัดทำสัญญาเพื่อจ้างจัดทำระบบข้อมูลและการสร้างเครือข่ายข้อมูลการทำประมงของเรือประมงไทย ในวงเงินจัดจ้าง ๑๒,๗๙๐,๐๐๐ บาท โดยผู้รับจ้างดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ กำหนดแล้วเสร็จ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๕. จัดชุดเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องจากส่วนกลางเพื่อเดินสายชี้แจงแก่เจ้าหน้าที่สำนักงานประมงจังหวัดและสำนักงานประมงอำเภอ รวมทั้งดำเนินการจัดการประชาสัมพันธ์โดยส่วนกลางเป็นสารคดีทางโทรทัศน์ ๔ ตอน ทำสื่อสิ่งพิมพ์ในรูปของโปสเตอร์ต่าง ๆ แผ่นพับ Roll up เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและแนวทางปฏิบัติให้แก่ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ๖. จัดตั้งศูนย์ประสานงานการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ (ศปส.) หรือศูนย์ IUU ภายในบริเวณกรมประมง กรุงเทพฯ เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโครงการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
.....
