ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 142 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2821 - 2840 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2821 | ผลการติดตามการดำเนินงานฟื้นฟู เยียวยา และแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของนายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ระหว่างวันที่ 13 - 17 กุมภาพันธ์ 2555 | นร | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการติดตามการดำเนินงานฟื้นฟู เยียวยา และแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานฟื้นฟู เยียวยา ได้แก่ เงินช่วยเหลือ ๕,๐๐๐ บาทต่อครัวเรือน จ่ายไปแล้ว ๑,๗๗๓,๐๒๓ ครัวเรือน จำนวนเงิน ๘,๘๖๕.๑๑๕ ล้านบาท เงินช่วยเหลือเกษตรกร จ่ายไปแล้ว ๕๐๔,๐๙๙ ราย จำนวนเงิน ๑๕,๐๐๓.๔๕๙ ล้านบาท และงบประมาณฟื้นฟูช่วยเหลือเยียวยาจังหวัด จังหวัดได้รับจากงบกลางแล้ว ๔๖,๑๙๒.๘๑ ล้านบาท ๑.๒ การดำเนินการป้องกันปัญหาอุทกภัยตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๑.๒.๑ พื้นที่ต้นน้ำ ๑๐ จังหวัด (จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย สุโขทัย อุตรดิตถ์ ตาก น่าน แพร่ ลำปาง ลำพูน และพะเยา) ได้ติดตามผลการดำเนินงานและให้ความสำคัญกับการดูดซับน้ำและลดการพังทลายของดิน โดยการปลูกหญ้าแฝกและสร้างฝายชะลอน้ำ ปรับเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำ (Rule Curves) โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ให้เกณฑ์ต่ำอยู่ในระดับร้อยละ ๔๕ ภายในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และจัดระบบการรายงานข้อมูล พยากรณ์ และการเตือนภัย เช่น กำหนดขั้นตอนเตือนภัย กำหนดมาตรการเตือนภัยในช่วงระบายน้ำ และกำหนดเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำและการเตือนภัย ได้แก่ ศูนย์ข้อมูลการจัดการน้ำแห่งชาติ และระบบศูนย์เตือนภัย ๑.๒.๒ พื้นที่กลางน้ำตอนบน ๖ จังหวัด (จังหวัดพิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี พิจิตร กำแพงเพชร และชัยนาท) ได้ให้ความสำคัญกับการหน่วงน้ำ เพื่อชะลอการไหลของน้ำ โดยการจัดหาพื้นที่แก้มลิง ทั้งที่เป็นบึงธรรมชาติและพื้นที่เกษตรกรรม การผันน้ำระหว่างลุ่มน้ำ โดยใช้ประโยชน์บึงธรรมชาติให้เต็มศักยภาพด้วยการเชื่อมบึงด้วยคลอง เชื่อมคลองสู่คลอง เชื่อมคลองสู่แม่น้ำและข้ามลุ่มน้ำ และการบริหารจัดการน้ำบริเวณเขื่อนเจ้าพระยา และประตูน้ำต่าง ๆ เช่น ซ่อมแซมประตูระบายน้ำบางโฉมศรี และประตูระบายน้ำพลเทพ เป็นต้น ๑.๒.๓ พื้นที่กลางน้ำตอนล่าง ๘ จังหวัด (จังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี และนครนายก) ได้ให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงโครงข่ายน้ำ การกำหนดพื้นที่รับน้ำ และการป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจ โดยการจัดทำแก้มลิง ทั้งที่เป็นแหล่งเก็บกักน้ำตามธรรมชาติและพื้นที่เกษตรกรรม การเตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุและการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ การป้องกันอุทกภัยรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม การปรับปรุงและบูรณะถนนเป็นคันกั้นน้ำไม่ให้เข้าท่วมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และนอกนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งการบูรณะโบราณสถานให้สู่สภาพเดิม ๑.๒.๔ พื้นที่ปลายน้ำ ๗ จังหวัด (จังหวัดนนทบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา นครปฐม ปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร) ได้ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุดด้วยระบบคูคลอง ระบบสูบน้ำ และลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการคันกั้นน้ำพระราชดำริ การปรับปรุงและติดตั้งเครื่องสูบน้ำบริเวณประตูระบายน้ำจุฬาลงกรณ์ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการเร่งระบายน้ำให้น้ำไหลลงทะเลได้เร็วที่สุดและป้องกันพื้นที่เฉพาะ โดยการเร่งระบายน้ำที่อยู่นอกพื้นที่ปิดล้อมทั้งตามแนวลำน้ำและการหลากน้ำให้จำกัดอยู่ในพื้นที่ที่มีผลกระทบน้อย รวมทั้งการปิดล้อมพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ สังคม และการบริหารประเทศ โดยใช้แนวคันกั้นน้ำเป็นชั้น ๆ และใช้ระบบคลองแนวขวางเพื่อระบายน้ำไปทางตะวันออกและตะวันตกของพื้นที่ปิดล้อม รวมทั้งซ่อมแซมปรับปรุงประตูระบายน้ำ ๑.๒.๕ สำหรับพื้นที่แก้มลิง เป้าหมาย ๒ ล้านไร่ เพื่อรองรับน้ำหลาก จากการลงพื้นที่สามารถจัดหาพื้นที่ได้ประมาณ ๑.๔ ล้านไร่ สำหรับพื้นที่แก้มลิงที่ต้องจัดหาเพิ่มอีก ๐.๖ ล้านไร่ มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาสำรวจเพิ่มเติมและตรวจสอบพื้นที่จริงตามที่จังหวัดเสนอ รวมทั้งพิจารณาหลักเกณฑ์ในการชดเชย ๒. รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่ได้ให้ความเห็นชอบโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน จำนวน ๑๑๙ โครงการ กรอบวงเงิน ๕,๐๘๕.๐๔๙๔ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้จังหวัดจัดทำรายละเอียดประกอบคำขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดส่งให้สำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ หากพ้นกำหนดระยะเวลาให้ถือว่าโครงการไม่มีความพร้อม และให้สำนักงบประมาณรายงานผลการจัดสรรงบประมาณต่อนายกรัฐมนตรี ภายในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2822 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 2/2555 | นร | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ จังหวัดอุดรธานี โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) รวม ๕ เรื่อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการเร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ กรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ - หนองคาย โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ขอนแก่น (บ้านไผ่) - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม และโครงการปรับปรุงขยายช่องทางการจราจรเพื่อการคมนาคมและการท่องเที่ยวเลียบแม่น้ำโขงเส้นทางหมายเลข ๒๑๑ และเส้นทางหมายเลข ๒๑๒ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของ กกร. ไปพิจารณา ดังนี้ ๑.๑.๑ ศึกษาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนพัฒนารถไฟทางคู่เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ ระเบียบและขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่กันไป ๑.๑.๒ ศึกษาความเหมาะสมของโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ศึกษาไว้ และเร่งเสนอโครงการฯ ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๓ ศึกษารายละเอียดถึงความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ขอนแก่น (บ้านไผ่) - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๑.๑.๔ ศึกษาความเหมาะสมปรับปรุงโครงข่ายทางถนนบริเวณชายแดนไทย เส้นทางหมายเลข ๒๑๑ และ ๒๑๒ เชื่อมโยงหนองคาย บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร เพื่อรองรับการลงทุนและเชื่อมโยงการท่องเที่ยวสู่ประชาคมอาเซียน ๑.๒ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนจังหวัดมุกดาหาร นครพนม และหนองคาย การส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industrial Estate) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และการขยายเวลาเปิดด่านสากลจังหวัดนครพนม (ชายแดนไทย - ลาว) ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง และเร่งรัดการพิจารณาร่างกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕) ๑.๒.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการศึกษาความเหมาะสมของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและขอนแก่น ๑.๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมของการขยายเวลาเปิดทำการของจุดผ่านแดนถาวรจังหวัดนครพนมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับโครงการจัดการน้ำ โขง - เลย - ชี - มูล โดยแรงโน้มถ่วงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมและความสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และให้ดำเนินการตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ ๑.๔ ข้อเสนอของ กกร. และ สทท. เกี่ยวกับการสนับสนุนโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึงที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย การพัฒนาระบบบริหารจัดการของพิพิธภัณฑ์สิรินธร อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้มีความคล่องตัว และการพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการในกลุ่มพื้นที่ให้สามารถแข่งขันได้เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๔.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) ศึกษาความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย ๑.๔.๒ เห็นชอบในหลักการที่จะให้มีการปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการเพื่อให้พิพิธภัณฑ์สิรินธรสามารถเป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และค้นคว้าทางวิชาการ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดกาฬสินธุ์ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณารูปแบบที่คล่องตัวในการบริหารที่เหมาะสม ๑.๔.๓ ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสถาบันการศึกษาในพื้นที่พิจารณาจัดให้มีหลักสูตรการเรียนการสอนและการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และพัฒนาทักษะด้านภาษาที่สอง เช่น ภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และภาษาท้องถิ่นที่ใช้ในประเทศสมาชิกอาเซียนให้กับผู้ประกอบการและบุคลากรที่อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว ๑.๕ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการเร่งรัดการจัดตั้งมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ และโครงการจัดตั้งศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ที่ประชุมมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... และนำเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป และให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาจัดเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะการโอนทรัพย์สินและการบริหารจัดการทั้งบุคลากร และการเงิน รวมทั้งการเตรียมการด้านวิชาการ ส่วนโครงการจัดตั้งศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนพัฒนารถไฟทางคู่เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ นั้น เห็นควรพิจารณาถึงความเหมาะสมคุ้มค่าในการลงทุนและการใช้ประโยชน์ โดยให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ - หนองคาย ที่กำลังจะเกิดขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2823 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑,๐๑๕ รายการ เป็นงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๒,๙๒๓.๕ ล้านบาท จากวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้นจำนวน ๙๑,๒๗๖.๔ ล้านบาท สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๑๐ รายการ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นเจ้าของเรื่องดำเนินการตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป็นกรณี ๆ ไปอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณได้ ๓. รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เสนอในครั้งนี้ หากเป็นรายการที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณสามารถพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นนั้น ๆ สามารถปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีก ๔. เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีผลใช้บังคับแล้ว จึงเห็นควรให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเฉพาะรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูและเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนฯ และมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2824 | ผลการประชุมการทบทวนนโยบายการค้าของไทย (Trade Policy Review) ภายใต้องค์การการค้าโลก | พณ | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมการทบทวนนโยบายการค้าของไทย (Trade Policy Review) ภายใต้องค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ครั้งที่ ๖ ระหว่างวันที่ ๒๘ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ สำนักงานองค์การการค้าโลก นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับประเด็นสำคัญที่สมาชิก WTO หยิบยกในระหว่างการประชุมฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การทบทวนนโยบายการค้าของไทยภายใต้ WTO ประเทศสมาชิก WTO หลายประเทศมีข้อกังวลต่อนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการค้าของไทยหลายประการ ได้แก่ ๑.๑.๑ ความล่าช้าในการปรับโครงสร้างในหลาย ๆ ด้าน รวมถึงด้านทรัพย์สินทางปัญญา การแปรรูปองค์กรของรัฐ (Privatization) การเปิดเสรีด้านการค้า บริการ และการลงทุน ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ และกระทบต่อปริมาณการลงทุนของต่างชาติ (Foreign Direct Investment : FDI) ๑.๑.๒ การปรับปรุงระบบโครงสร้างภาษีศุลกากร รวมถึงปัญหาการรับสินบนของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรและระบบการให้รางวัลนำจับกับเจ้าหน้าที่ศุลกากร ๑.๑.๓ ระบบโครงสร้างภาษีภายในประเทศของไทยที่มีความยุ่งยากซับซ้อน ๑.๑.๔ การจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรีซึ่งส่งผลให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อนในเรื่องกฎแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) ของแต่ละความตกลง โดยเรียกว่าผลกระทบผัดไทย (Pad Thai Effect) ๑.๑.๕ นโยบายด้านการลงทุนของไทยที่ต้องการคุ้มครองอุตสาหกรรมภายใน เช่น ข้อจำกัดในเรื่องการถือครองหุ้นของต่างชาติ และข้อจำกัดเรื่องกฎระเบียบในบางสาขาเฉพาะ รวมทั้งความยุ่งยากซับซ้อนในกระบวนการชำระภาษี และปัจจัยจากความไม่มั่นคงทางการเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วยเช่นกัน ๑.๑.๖ ข้อจำกัดภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวและข้อจำกัดในสัดส่วนการถือครองหุ้นที่ต่างชาติถูกจำกัดไม่ให้ถือครองเกินร้อยละ ๔๙ โดยเฉพาะในสาขาโทรคมนาคม ประกันภัย และโลจิสติกส์ รวมทั้งความสอดคล้องกับพันธกรณีของไทยภายใต้องค์การการค้าโลกในกรณีการให้สิทธิพิเศษของไทยต่อสหรัฐฯ ภายใต้สนธิสัญญาไมตรี ๑.๑.๗ การละเมิดสินค้าลิขสิทธิ์และการบังคับใช้กฎหมายและบทลงโทษอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๑.๘ ประเด็นอื่น ๆ เช่น การออกระเบียบกำหนดมาตรฐานสำหรับสินค้าชั้นกลาง การออกกฎระเบียบว่าด้วยการขึ้นทะเบียนยาขององค์การอาหารและยาด้วยการติดฉลากเตือนบนสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การให้สิทธิพิเศษกับองค์การเภสัชกรรมในการได้รับการพิจารณาจัดซื้อยาโดยโรงพยาบาลของรัฐก่อน การประกาศของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว และกรณีการให้ใบอนุญาตให้บริการ 3G ที่ล่าช้าเนื่องจากกระบวนการทางกฎหมาย เป็นต้น ๑.๒ สมาชิก WTO ได้ให้ความสนใจโดยมีคำถามกว่า ๔๐๐ คำถาม จากสมาชิกกว่า ๒๐ ประเทศ โดยประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้น เช่น ประเด็นเรื่องสนธิสัญญาไมตรีระหว่างไทย - สหรัฐฯ พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ความยุ่งยากซับซ้อนและไม่โปร่งใสของระบบโครงสร้างภาษีศุลกากรและภาษีภายในประเทศ ประเด็นทรัพย์สินทางปัญญา และข้อจำกัดในภาคการลงทุนและบริการ เป็นต้น ซึ่งเป็นคำถามที่เคยถูกยกขึ้นมาแล้วในการประชุมทบทวนนโยบายการค้าของไทย ครั้งที่ ๕ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยสมาชิกได้จับตาดูว่าไทยจะกำหนดนโยบายเรื่องดังกล่าวไปในทิศทางใด ซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศมีความเห็นว่า รัฐบาลควรถือโอกาสในการปฏิรูปโครงสร้าง และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องไปพร้อม ๆ กัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้สมาชิกโดยเฉพาะในด้านการลงทุน ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับข้อเสนอจากประเทศสมาชิก WTO ในเรื่องการปรับโครงสร้างภาคการเกษตร เพื่อเปิดตลาดยกเลิกการอุดหนุนส่งออก และลดการอุดหนุนภายในที่มีผลบิดเบือนทางการค้า ซึ่งสินค้าเกษตรเป็นสินค้าที่สมาชิก WTO ส่วนใหญ่มีมาตรการปกป้องไว้เช่นกัน ทั้งในด้านมาตรการภาษี มาตรการที่มิใช่ภาษี การอุดหนุนภายในที่มีผลบิดเบือนทางการค้า และการอุดหนุนการส่งออก ตลอดจนการใช้มาตรการทางการค้าต่าง ๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการชะงักงันของผลการเจรจา WTO รอบโดฮา ทั้งนี้ สินค้าเกษตรของไทยในปัจจุบัน ไม่มีการดำเนินการปกป้องเกินกว่าพันธกรณีและสิทธิของไทยภายใต้กรอบ WTO แต่อย่างใด ดังนั้น ในการปฏิรูปโครงสร้างและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในประเด็นนี้ ควรต้องคำนึงถึงความอ่อนไหวของสินค้าเกษตร และควรให้ความสำคัญกับการผลักดันผลสำเร็จของการเจรจาดังกล่าว เพื่อให้เกิดการแข่งขันทางการค้าที่เสรีและเป็นธรรมต่อประเทศสมาชิก ซึ่งมีระดับการพัฒนาที่แตกต่างกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2825 | สรุปผลการประชุมปรึกษาหารือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร | นร | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงการมอบหมายงานให้กระทรวงต่าง ๆ ร่วมดำเนินการขุดลอกคลอง โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับผิดชอบดำเนินการขุดลอกคลองในบริเวณเขตทวีวัฒนา จำนวน ๖ คลอง ได้แก่ คลองซอย คลองขุนศรีบุรีรักษ์ คลองควาย คลองโพธิ์ คลองบางคูเวียง และคลองบ้านไทร และให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการขุดลอกคลองบางบอน โดยให้กระทรวงแรงงานดำเนินการขุดลอกคลองบางน้ำจืด แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ให้เลขาธิการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นผู้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2826 | คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (ฝ่ายเศรษฐกิจ) | นร | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) (ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๗๑/๒๕๕๔ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๕ คณะ) โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานตามเดิม และปรับปรุงองค์ประกอบ จากเดิม “รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์) เป็นกรรมการ” เป็น “รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นกรรมการ” ส่วนองค์ประกอบอื่น และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ดังกล่าว ให้เป็นไปตามเดิม ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับไปดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้พิจารณาปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการคณะอื่นอีก ๔ คณะ ให้เป็นปัจจุบันด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2827 | ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน | สม | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามที่มีผู้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติว่า ก.พ. เลือกปฏิบัติในกรณีที่มีมติให้ปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งนายแพทย์ที่ปฏิบัติงานให้บริการสุขภาพในสถานบริการสุขภาพเป็นตำแหน่งนายแพทย์ระดับเชี่ยวชาญได้ทุกตำแหน่ง โดยไม่ต้องนำตำแหน่งว่างมายุบรวม แต่ไม่ครอบคลุมถึงตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สำนักงาน ก.พ. ควรมีการทบทวนปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดตำแหน่งในระดับที่สูงขึ้นของทุกสายงานให้เป็นไปตามแนวทางที่ก่อให้เกิดความเป็นธรรม โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของสาขาวิชาชีพต่าง ๆ เพื่อให้มีแนวทางในการปฏิบัติต่อบุคคลที่เท่าเทียมกันในเรื่องของความก้าวหน้าในการทำงานของบุคคล ๑.๒ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขควรมีการเสนอการขออัตราเพิ่มใหม่ไปยังสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดอัตราว่างในระยะยาว ที่ต้องบรรจุแพทย์ ทันตแพทย์ และพยาบาล ซึ่งเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลที่เป็นคู่สัญญาชดใช้ทุน เพื่อให้มีความชัดเจนและเป็นการรองรับในการบรรจุนักเรียนทุนของกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งเป็นการป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อสายงานอื่นที่ให้บริการสาธารณสุขที่ต้องใช้ตำแหน่งว่างที่มีเงินมายุบรวมจากการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งที่ ก.พ. กำหนด ๑.๓ สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาภาพรวมของประเทศในการบริหารงบประมาณด้านบุคลากรของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีความสำคัญในด้านการให้บริการด้านสุขภาพ การศึกษา และการสาธารณสุข เป็นต้น เพื่อให้มีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อบุคคลที่ก่อให้เกิดความเป็นธรรม เนื่องจากในวิชาชีพต่าง ๆ ก็มีความสำคัญในการพัฒนาประเทศ และประการสำคัญ สำนักงาน ก.พ. ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลการบริหารกำลังคนภาครัฐ และเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลข้าราชการพลเรือน เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาในภาพรวมของประเทศ และเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานในด้านความก้าวหน้าของแต่ละวิชาชีพ จึงควรมีการพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดตำแหน่งในระดับที่สูงขึ้น เพื่อมิให้เกิดการลักลั่นในกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบด้วย ดังนี้ ๒.๑ หนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๐๘/ว ๒๖ ลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๔ แจ้งมติ ก.พ. เห็นชอบให้ส่วนราชการสามารถกำหนดตำแหน่งภายในกรอบมูลค่ารวมของตำแหน่งตามโครงสร้างของส่วนราชการ ซึ่งมีผลให้ส่วนราชการสามารถปรับเพิ่มลดจำนวนและระดับตำแหน่งได้ภายในกรอบมูลค่ารวมของตำแหน่ง ซึ่งกำหนดจากผลรวมของค่าตอบแทนเฉลี่ยของตำแหน่งที่นำมาปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งในแต่ละครั้ง ในกรณีที่มีค่าตอบแทนเฉลี่ยของตำแหน่งที่เหลือจากการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งของส่วนราชการในกระทรวง อ.ก.พ. กระทรวงสามารถนำค่าตอบแทนเฉลี่ยที่เหลืออยู่ดังกล่าวไปใช้ในการกำหนดตำแหน่งของส่วนราชการในกระทรวงในครั้งต่อ ๆ ไปได้ อันเป็นแนวทางหนึ่งเพื่อผ่อนคลายให้กระทรวงสามารถบริหารทรัพยากรบุคคลของส่วนราชการต่าง ๆ ในสังกัดให้มีความยืดหยุ่น คล่องตัว และสามารถใช้ประโยชน์จากจำนวนและระดับตำแหน่งที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ๒.๒ สำนักงาน ก.พ. อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการกำหนดตำแหน่งในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากการกำหนดตำแหน่งภายในกรอบมูลค่ารวมของตำแหน่งดังกล่าวในข้อ ๒.๑ เพื่อให้การกำหนดตำแหน่งในทุกส่วนราชการมีความยืดหยุ่น คล่องตัวยิ่งขึ้น สำหรับการผ่อนคลายหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการกำหนดตำแหน่งเฉพาะกรณีนั้น หากส่วนราชการพิจารณาว่ามีเหตุผลความจำเป็น ก็สามารถเสนอคำขอให้ ก.พ. พิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และสำนักงาน ก.พ. รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในภาพรวมของประเทศ ทั้งนี้ หากเรื่องใดมีความจำเป็นเร่งด่วน ก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2828 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 8 | พณ | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Conference : MC) องค์การการค้าโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ ๘ ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม MC ครั้งที่ ๘ ประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ได้ให้ความเห็นชอบในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ๑.๑ เรื่องต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก ครั้งที่ ๗ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้ขยายเวลาการยกเว้นการเก็บอากรศุลกากรชั่วคราวออกไปอีก ๒ ปีสำหรับสินค้าที่ส่งผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Customs Duties Moratorium on Electronic Transmissions) และการขยายเวลาการยกเว้นการฟ้องกรณีพิพาทเกี่ยวกับความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า (TRIPs) ภายใต้กระบวนการระงับข้อพิพาทของ WTO หากไม่ได้ทำผิดพันธกรณีภายใต้ความตกลงดังกล่าว (TRIPS non - violation complaint) ถึงการประชุม MC 9 ซึ่งจะมีขึ้นประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๒ การพัฒนาระบบการดำเนินการภายใน WTO เช่น ระบบการทบทวนนโยบายการค้า การผลักดันการดำเนินงานตามแผนงานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ๑.๓ การให้ความยืดหยุ่นและความช่วยเหลือแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด เช่น การผ่อนปรนในกระบวนการเข้าเป็นสมาชิกของ WTO การขยายระยะเวลาที่จะไม่บังคับใช้ความตกลง TRIPS และการยกเว้นจากหลักการปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง (Most Favored Nation Treatment : MFN) ในกรณีที่ให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุดในด้านการค้าบริการ ๒. การประชุมกลุ่มย่อย (Working Session) ๓ กลุ่ม ได้แก่ ๒.๑ ความสำคัญของระบบการค้าพหุภาคีกับองค์การการค้าโลก (Importance of Multilateral Trading System and the WTO) รัฐมนตรีของประเทศสมาชิก WTO เน้นย้ำถึงความสำคัญของระบบการค้าพหุภาคีที่อิงกฎระเบียบ และเห็นชอบการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการค้าพหุภาคีดังกล่าว โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมทั้งบทบาทของ WTO ในประเด็นการสนับสนุนการต่อต้านการกีดกันทางการค้า (protectionism) และเห็นถึงความสำคัญของการปรับปรุงกลไกการทำงานตามวาระงานปกติของ WTO อาทิ การติดตามการปฏิบัติตามพันธกรณีของสมาชิก การปรับปรุงกลไกระงับข้อพิพาททางการค้าของ WTO (WTO dispute settlement mechanism : DSU) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเจรจาทบทวนความตกลงระงับข้อพิพาทให้สำเร็จ (DSU review) การปรับปรุงกระบวนการกำกับดูแลและรายงานผลของ WTO ให้มีความโปร่งใสมากขึ้น รวมทั้งเป็นเวทีเพื่อพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าที่เสนอโดยสมาชิก WTO ๒.๒ การค้าและการพัฒนา (Trade & Development) รัฐมนตรีของประเทศสมาชิก WTO เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของการค้าที่มีต่อการพัฒนาของประเทศกำลังพัฒนา และประเทศพัฒนาน้อยที่สุด โดยประเทศสมาชิกควรให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด เพื่อให้สามารถเข้ามามีบทบาทในเวทีการค้าโลกมากขึ้น โดยให้ความยืดหยุ่นและผ่อนปรนในเรื่องกระบวนการสมัครเข้าเป็นสมาชิก WTO (LDC Accession) การขยายระยะเวลาที่จะไม่บังคับใช้ความตกลง TRIPS การยกเว้นจากหลักการปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง (Most Favored Nation Treatment : MFN) ในกรณีที่ให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุดในด้านการค้าบริการ (LDC service waiver) และการให้ความช่วยเหลือที่เกี่ยวข้องกับการค้า (Aid for Trade) โดยย้ำถึงพันธกรณีในการสนับสนุนด้านการเงินที่สามารถคาดการณ์ได้และเป็นไปตามกำหนดเวลาเพื่อให้ฝ่ายเลขาธิการ WTO สามารถดำเนินการด้านการให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคและการเสริมสร้างขีดความสามารถตามที่สมาชิกร้องขอได้ ๒.๓ การเจรจาในรอบโดฮา (Doha Development Agenda) รัฐมนตรีของประเทศสมาชิก WTO ยอมรับว่า สมาชิกยังมีท่าทีที่แตกต่างกันในประเด็นการเจรจาในรอบโดฮา จึงทำให้ยากต่อการสรุปผลการเจรจาในรูปแบบเบ็ดเสร็จ (Single undertaking) ในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ตาม สมาชิกยังคงต้องใช้ความพยายามที่จะเจรจาหาข้อสรุปในประเด็นต่าง ๆ ในรอบโดฮา จึงจำเป็นต้องหาแนวทางการเจรจาในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อผลักดันการเจรจาต่อไป โดยสนับสนุนให้สมาชิกสามารถกำหนดให้บางประเด็นสามารถมีผลสรุปได้ก่อนประเด็นอื่น ๆ นอกจากนี้ รัฐมนตรีของสมาชิกหลายรายเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องรักษาหลักการของการเจรจาในกรอบพหุภาคี (Multilateralism) การมีส่วนร่วม (Inclusiveness) และ Single undertaking กล่าวคือ จะถือว่าการเจรจารอบโดฮาสำเร็จสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อสามารถตกลงกันได้ทุกเรื่อง และเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ร่วมกันในภาพรวม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2829 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อนำไปชำระคืนเงินต้นเงินกู้ที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ 2555 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อนำไปชำระคืนเงินต้นเงินกู้ที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๙,๕๑๘.๘๓๓ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม ขสมก. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ ขสมก. โดยปรับปรุงเส้นทางการเดินรถให้สอดคล้องกับระบบขนส่งมวลชนหลักและเส้นทางการเดินทางของรถไฟฟ้า เพื่อลดภาระการให้เงินอุดหนุนที่เป็นบริการสาธารณะของรัฐบาล และควรมีการกำหนดให้มีตัวชี้วัดของ ขสมก. ให้ชัดเจน เพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของ ขสมก. รวมทั้งเห็นควรมีแผนปรับโครงสร้างองค์กรและการบริหารเป็นระยะต่างๆ และเร่งรัดพิจารณาดำเนินการแก้ไขประเด็นปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ตลอดจนปรับปรุงการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและลดภาระหนี้สินที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องทุกปี นอกจากนี้ เห็นควรให้ ขสมก. นำเสนอแผนฟื้นฟูกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารกิจการ ขสมก. แล้ว ให้คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจพิจารณาตามขั้นตอน เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการแก้ไขปัญหา และฟื้นฟูกิจการต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2830 | การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ | นร | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในปีที่ ๑ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ซึ่งส่งผลให้ผู้มีคุณวุฒิตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไปได้รับเงินเดือนแรกบรรจุรวมกับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวจะมีรายได้ไม่น้อยกว่า ๑๕,๐๐๐ บาท และผู้มีคุณวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรี (ปวช. และ ปวส.) ได้รับการปรับรายได้เพิ่มขึ้นตามระดับคุณวุฒิการศึกษาเช่นเดียวกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งการชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุดังกล่าวด้วย ๒. อนุมัติในหลักการให้ใช้จ่ายงบประมาณเพื่อปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามข้อ ๑ วงเงินประมาณ ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ส่วนราชการใช้จากเงินเหลือจ่ายของแต่ละส่วนราชการดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายการปรับเพิ่มเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว พนักงานราชการ และทหารกองประจำการ จำนวน ๑๒,๘๐๐ ล้านบาท และงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ จำนวน ๙,๗๐๐ ล้านบาท ในลำดับต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล โดยคำนึงถึงสภาวะเศรษฐกิจและสถานะการเงินการคลังของประเทศ รวมทั้งผลกระทบต่อการจ้างงานของภาคเอกชนด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2831 | ปรับปรุงองค์ประกอบในคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ | นร | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอการปรับปรุงองค์ประกอบในคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ ดังนี้
๑. ยกเลิกองค์ประกอบใน “ลำดับที่ ๑.๒ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์) รองประธานกรรมการ และลำดับที่ ๑.๓ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์) เป็นรองประธานกรรมการ” และให้ใช้ความดังต่อไปนี้แทน “ลำดับที่ ๑.๒ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการคนที่ ๑ ลำดับที่ ๑.๓ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการคนที่ ๒” ๒. ยกเลิกองค์ประกอบในลำดับที่ ๑.๑๑ “ผู้ทรงคุณวุฒิที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง จำนวน ๓ คน เป็นกรรมการ” และให้ใช้ความดังต่อไปนี้แทน “ผู้ทรงคุณวุฒิที่ประธานกรรมการแต่งตั้ง จำนวน ๓ คน เป็นกรรมการ”
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2832 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ 6 เดือน ปี 2554 | กค | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
(สำนักงาน คปภ.) รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ ๖ เดือน (ครึ่งปีแรก) ปี ๒๕๕๔ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑. แนวโน้มของธุรกิจประกันภัย ครึ่งปีแรกของปี ๒๕๕๔ ธุรกิจประกันภัยไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๑๓.๔๕ โดยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมทั้งสิ้น ๒๒๓,๕๖๙ ล้านบาท เป็นการขยายตัวของธุรกิจประกันชีวิตร้อยละ ๑๒.๕๘ มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง ๑๕๔,๗๑๘ ล้านบาท และธุรกิจประกันวินาศภัยขยายตัวร้อยละ ๑๕.๔๔ มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง จำนวน ๖๘,๘๕๑ ล้านบาท ๒. การดำเนินการตามกรอบแผนพัฒนาประกันภัย ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗) เป็นกรอบแนวทางหลักในการกำหนดทิศทางการพัฒนาระบบประกันภัยภาพรวมผ่านมาตรการหลัก ๔ มาตรการ ได้แก่ ๒.๑ มาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นและเข้าถึงระบบประกันภัยโดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการประกับภัยสู่ประชาชนทุกระดับในทุกภูมิภาคของประเทศเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นและการเข้าถึงระบบประกันภัยของประชาชนทุกระดับ เช่น การส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร การปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One-stop Service) เป็นต้น ๒.๒ มาตรการเสริมสร้างเสถียรภาพของระบบประกันภัย เช่น มีการพัฒนาระบบการกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Capital:RBC) การเพิ่มประสิทธิภาพการให้ความเห็นชอบกรมธรรม์ประกันภัยและอัตราเบี้ยประกันภัย การปรับปรุงตารางมรณะ เป็นต้น ๒.๓ มาตรการพัฒนากฎหมายและระบบการคุ้มครองสิทธิประโยชน์แบบครบวงจร เช่น มีการดำเนินงานด้านคุ้มครองสิทธิประโยชน์ การกำหนดกรอบมาตรฐานการจ่ายค่าสินไหมทดแทน การจัดทำมาตรฐานระบบสินไหมทดแทนอัตโนมัติ (E-claim) เป็นต้น ๒.๔ มาตรการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย เช่น มีการพัฒนาระบบทรัพยากรบุคคล เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะ และเพิ่มศักยภาพการทำงานของพนักงานอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การบริหารงานเชิงกลยุทธ์ การพัฒนาการบริหารจัดการภายในองค์กร เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2833 | ร่างพระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนำร่างพระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยกรน้ำ (กยน.) พิจารณา เพื่อให้บทบัญญัติของร่างพระราชบัญญัติฯ ซึ่งได้กำหนดกลไกทางกฎหมายเพื่อรองรับการวางและจัดทำผังเมืองรวมให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการผังเมือง และการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการผังเมือง สอดคล้องกับการวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) พิจารณาความเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำกับผังเมืองทั้งระบบ รวมถึงการจัดระเบียบคู คลอง เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2834 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดำเนินการตามแผนการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ | ทส | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชดำเนินการตามแผนการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณภายใต้ผลผลิตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้รับการบริหารจัดการ งบดำเนินงาน จำนวน ๒,๘๐๓.๖๒๙๖ ล้านบาท ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นก่อน และหากไม่เพียงพอให้ขออนุมัติงบกลางตามขั้นตอนอีกครั้งต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแผนงานดังกล่าวในพื้นที่ที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านต้องใช้ช่องทางทางการทูตเพื่อดำเนินการร่วมกัน ความต่อเนื่องและมีการประเมินผลในการปฏิบัติตามแผนฯ การติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ประจำจุดสกัดทุกจุด การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลรับแจ้งเหตุและเบาะแสผู้ลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ การเพิ่มกิจกรรมการประเมินผลการดำเนินงานเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงการดำเนินงานให้ดีขึ้น การดำเนินการป้องกันการบุกรุกทำลายป่าในภาพรวม การกำหนดรายละเอียดการดำเนินงานและเกณฑ์ชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ การนำเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ประกอบการปฏิบัติงาน การจัดสรรงบประมาณปกติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ รวมทั้งการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นและผนึกประสานกำลังและทรัพยากรของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตำรวจ ทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมป่าไม้ซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้มีการใช้งบประมาณของรัฐและทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2835 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนบน (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา และน่าน) | นร | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่ ๗ จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา และน่าน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีไปดำเนินการ ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำและอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือตอบน ๑ (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน) และตอนบน ๒ (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) ตามที่รัฐมนตรีลงพื้นที่ได้ให้ความเห็นและมีข้อสั่งการเพิ่มเติม และให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) รับไปพิจารณาประกอบการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อให้เกิดการบูรณาการในการบริหารจัดการน้ำ ๑.๓ เห็นชอบโครงการวันเดย์ทัวร์ซึ่งต่อเนื่องกับโครงการปรับปรุงเส้นทางท่องเที่ยวอ่างเก็บน้ำแม่สัน - ทุ่งเกวียน โดยให้จังหวัดลำปางและศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยเสนอบรรจุโครงการดังกล่าวไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจังหวัด ๑.๔ เห็นชอบในหลักการโครงการยกระดับชุมชนวัวลายเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ๑.๕ เห็นชอบโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือและโครงการอุทยานเทคโนโลยีและความสร้างสรรค์ภาคเหนือ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่รับไปบูรณาการทั้งสองโครงการเข้าด้วยกัน และจัดทำแผนธุรกิจ (Business Plan) ให้ชัดเจน ๑.๖ เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาเพิ่มจุดรับจำนำข้าวที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเกษตรกรในพื้นที่อย่างทั่วถึง ๑.๗ เห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมรับไปจัดทำรายละเอียดโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๑ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๒๑ แนวใหม่ และโครงการก่อสร้างเส้นทางตัดใหม่ (Missing Link) และดำเนินการเพื่อขออนุมัติจัดทำโครงการต่อไป ๑.๘ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยรับไปพิจารณาเรื่องการจ่ายค่าชดเชยให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพลในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๙ ให้จังหวัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดของโครงการและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานต่อรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ซึ่งกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๑ และ ๒ ทุกระยะเวลา ๓ เดือน ๒. เห็นชอบให้แก้ไขหน่วยงานรับผิดชอบโครงการยกระดับชุมชนวัวลายเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ จากเดิม "สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่" เป็น “กระทรวงวัฒนธรรม” ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๓. ให้จังหวัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการที่เกี่ยวข้องรับไปเตรียมความพร้อมของโครงการ และดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2836 | ผลการประชุมคณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2554 | กต | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมอาเซียนทั้งสามเสา ได้แก่ การเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรม ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดำเนินการเพื่อจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ซึ่งได้มีการหารือเกี่ยวกับการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐในประเด็นต่าง ๆ ตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน และการหารือเรื่องแผนยุทธศาสตร์การเมืองและความมั่นคงอาเซียนของไทย ๑.๒ รับทราบการประเมินผลการดำเนินการตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๔ ซึ่งไทยมีผลการดำเนินงานร้อยละ ๗๒.๗๓ ในขณะที่อาเซียนมีผลการดำเนินงานในภาพรวมร้อยละ ๖๔.๑ โดยมาตรการส่วนใหญ่ที่ไทยมักประสบปัญหาในการปฏิบัติ ได้แก่ มาตรการเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกด้านการค้า การค้าข้ามแดน การรวมกลุ่มด้านศุลกากร และการปรับมาตรฐานให้สอดคล้องกัน (harmonization of standards) ซึ่งมักมีสาเหตุหลักมาจากการประสานงานระหว่างหน่วยงานในประเทศ และการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับพันธกรณีต่าง ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องขอความเห็นชอบรัฐสภา ๑.๓ รับทราบความคืบหน้าในการจัดทำแผนการศึกษาอาเซียน ๕ ปี การพัฒนาอัตลักษณ์อาเซียนรวมทั้งสร้างความเข้าใจผ่านวัฒนธรรม เพื่อสร้างอาเซียนที่เข้มแข็งและมีเอกภาพ การกำหนดท่าทีร่วมกันต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดตั้งคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิเด็ก และสิทธิสตรี การจัดตั้งองค์กรเฉพาะด้านการกีฬา และการประชุมรัฐมนตรีด้านสตรี โดยประเด็นที่ไทยผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การศึกษา การสร้างความตระหนักรู้ การดูแลคุ้มครองผู้ด้อยโอกาส การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ การจัดการภัยพิบัติ และการส่งเสริมอาเซียนที่ปลอดยาเสพติด ๑.๔ รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน และข้อเสนอของไทยเกี่ยวกับแนวคิดที่จะเชื่อมโยงกับประเทศนอกภูมิภาคอาเซียน (connectivity beyond ASEAN) และการสร้างความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงในกรอบอาเซียน + ๓ (ASEAN Plus Three Partnership on Connectivity) เพื่อให้เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในโอกาสครบรอบ ๑๕ ปี ความร่วมมืออาเซียน + ๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. ที่ประชุมเห็นชอบประเด็นหลักที่ไทยควรผลักดันสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๙ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ บาหลี ได้แก่ การบริหารจัดการภัยพิบัติ การส่งเสริมหลักธรรมาภิบาล การเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกัน และการศึกษาและการสร้างความเข้าใจระหว่างประชาชนในอาเซียน ๓. ที่ประชุมได้พิจารณาร่างแผนงานแห่งชาติสำหรับการก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานและติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงานไทยให้เป็นไปตามข้อผูกพันซึ่งไทยจะต้องปฏิบัติตามภายใต้แผนงานการจัดตั้งประชาคมอาเซียนทั้งสามเสา และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งร่างแผนงานดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม และจะนำร่างแผนงานเสนอคณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งต่อไป ๔. ที่ประชุมเห็นชอบข้อเสนอการจัดตั้งคณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์ภายใต้คณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติ เพื่อดำเนินแผนงานด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียนให้กับประชาชนอย่างครอบคลุมและทั่วถึง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2837 | แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 10 ปี 2551 - 2554 (ฉบับปรับปรุง) และแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 11 ปี 2555 - 2559 ของการไฟฟ้านครหลวง | มท | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๑๐ ปี ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ (ฉบับปรับปรุง) เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ จำนวน ๖๐๐ เมกะวัตต์ หรืออัตราเพิ่มเฉลี่ยร้อยละ ๑.๘๙ ต่อปี วงเงินลงทุนรวม ๒๖,๓๖๔.๙๒ ล้านบาท และแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๑๑ ปี ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ จำนวน ๑,๓๖๑ เมกะวัตต์ หรืออัตราเพิ่มเฉลี่ยร้อยละ ๓.๐๘ ต่อปี วงเงินลงทุนรวม ๕๕,๑๖๗.๓๗ ล้านบาท ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟน. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และประธานกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรให้ความสำคัญในการวางแผนทางการเงินและการบริหารการลงทุนอย่างรอบครอบและมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดแผนการบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน การทบทวนการกำหนดเป้าหมายด้านความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าในแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าฉบับที่ ๑๑ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ได้แก่ ครั้งที่กระแสไฟฟ้าขัดข้อง (ค่า SAIFI) และระยะเวลาที่กระแสไฟฟ้าขัดข้อง (ค่า SAIDI) ในลักษณะเชิงรุก การประเมินผลความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าแยกรายพื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ที่มีระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าด้วยสายใต้ดิน และพื้นที่ที่มีระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าด้วยสายอากาศ การส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสร้างความรู้และความเข้าใจแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับวิธีการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สามารถลดการใช้ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง การจัดทำแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ให้ตระหนักถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้าและลดภาระค่าใช้ไฟฟ้าที่เหมาะสม การศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์จากโครงการข่ายเคเบิลใยแก้ว (Fiber Optic) การปรับปรุงข้อมูลมูลค่าความเสียหายเนื่องจากไฟฟ้าดับ (Outage Cost) ให้มีความทันสมัยและครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อประโยชน์ในการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจในการลงทุนพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศในอนาคต การให้ความสำคัญในการกำกับดูแลมาตรฐานคุณภาพการให้บริการในแต่ละพื้นที่บริการ เช่น การจัดส่งใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้า การจ่ายกระแสไฟฟ้าคืนหลังจากเกิดเหตุขัดข้องหรือกรณีถูกงดจ่ายกระแสไฟฟ้า การแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับ และการแจ้งดับไฟฟ้าล่วงหน้าเพื่อปฏิบัติงาน เป็นต้น ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2838 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 2/2554 | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กยอ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำประเด็นความเห็นของ กยอ. เกี่ยวกับการกำหนดให้ชัดเจนว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคด้านการค้าการลงทุน ด้านการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ และมีพื้นที่รองรับการขยายตัวของการลงทุนภาคอุตสาหกรรม การปรับปรุงกฎระเบียบ กฎหมายต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจของภาคการผลิตและบริการ โดยพิจารณาครอบคลุมประเด็นกฎหมายที่กระทบต่อการบริหารจัดการน้ำในระยะยาว เพื่อให้กลไกรัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุนในลักษณะ Public 3 Private - Partnership โดยกำหนดขอบเขตภารกิจและรูปแบบที่จะให้เอกชนร่วมดำเนินการให้ชัดเจน รวมทั้งการกำหนดความจำเป็นที่จะต้องมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ความไม่เพียงพอทั้งในเรื่องปริมาณและมาตรฐานของโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ ความสำคัญของความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้น การพัฒนาความเป็นเมืองและการพัฒนาพื้นที่ และการบริหารจัดการน้ำ ไปปรับปรุงกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยให้พิจารณาความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) และทำการศึกษาเรื่องการจัดรูปแบบองค์กรและระบบการบริหารจัดการ และการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเสนอต่อ กยอ. พิจารณาต่อไป รวมทั้งศึกษาประเด็นที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ ของประเทศ โดยคำนึงถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำด้วย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากลั่นกรองโครงการลงทุนต่าง ๆ ๒. รับทราบความคืบหน้าและสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันภัย ตามข้อเสนอซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยนำเสนอผลการศึกษารูปแบบกองกลางประกันภัยน้ำท่วม ต่อ กยอ. และให้สมาคมธนาคารไทยร่วมดำเนินงานในการเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมแก่ผู้เอาประกันภัย โดย กยอ. จะช่วยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเผยแพร่ข่าวสารและมาตรการแก้ไขปัญหาอุทกภัยทั้งภาษาไทยและอังกฤษให้สาธารณชนและต่างประเทศได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้กระทรวงการคลังพิจารณาการผ่อนปรนสัดส่วนการถือครองหุ้นของต่างชาติ เพื่อเปิดโอกาสในการเพิ่มทุนให้แก่บริษัทประกันภัย โดยอาจกำหนดระยะเวลาของการผ่อนผันหรือเงื่อนไขที่ชัดเจน ๓. ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติและฟื้นฟูประเทศ ๒ ราย ได้แก่ บริษัท Mckinsey & Company และบริษัท Boston Consulting Group ซึ่งมีข้อเสนอแนวทางดำเนินการในช่วงระยะการฟื้นฟู และระยะการซ่อมสร้างของประเทศไทยจากวิกฤตน้ำท่วม ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และข้อเสนอแนวทางการดำเนินโครงการปฏิรูปประเทศไทย โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับความเห็นของ กยอ. เกี่ยวกับการรับข้อเสนอของบริษัทที่ปรึกษาหลายราย อาจทำให้ขั้นตอนการดำเนินงานมีความซ้ำซ้อนและต้องใช้ระยะเวลามากขึ้น จึงเห็นควรเลือกบริษัทที่ปรึกษาจำนวนน้อยราย ภายใต้เงื่อนไขบริษัทที่ปรึกษาจะดำเนินการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ไม่มีข้อผูกมัดเรื่องการสนับสนุนข้อมูลหรือการนำข้อมูลและผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์ และทำการศึกษาเฉพาะประเด็น/หัวข้อตามที่ กยอ. กำหนด นอกจากนี้ ควรให้บริษัทที่ปรึกษาทั้ง ๒ ราย รวมถึงรายอื่น ๆ ที่อาจมีการเสนอเพิ่มเติมในภายหลังจัดทำข้อเสนอประเด็นการศึกษาที่สำคัญเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ โดยสรุปประมาณ ๑ - ๒ หน้า และให้นำเสนอ กยอ. พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ไปประสานกับบริษัทที่ปรึกษาเพื่อจัดทำข้อเสนอประเด็นการศึกษาประเทศไทยในอนาคต ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ และสมมติฐานการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลกเสนอ กยอ. พิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบรายละเอียดหมวดการใช้จ่ายเพื่อการดำเนินงานของสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (สกยอ.) และรายละเอียดสำหรับวงเงินที่จะขออนุมัติเบื้องต้น ซึ่งเป็นไปตามมติ กยอ. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และให้ดำเนินการทำความตกลงในรายละเอียดของงบประมาณสำหรับ สกยอ. กับสำนักงบประมาณตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔] ต่อไป ๕. รับทราบรายงานสรุปผลการหารือระหว่างประธาน กยอ. และคณะ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายปรเมธี วิมลศิริ) กับบริษัทประกันภัยและบริษัทรับประกันภัยต่อที่ประเทศสหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ เพื่อชี้แจงถึงสาเหตุของการเกิดอุทกภัยรวมทั้งการแก้ไขปัญหา ซึ่งการเดินทางไปชี้แจงให้กับบริษัทประกันภัยและบริษัทรับประกันภัยต่อขนาดใหญ่ในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดการรับประกันภัยของโลกทั้งในเรื่องการป้องกันอุทกภัยในอนาคต รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๖. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยให้แก่นิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยทั้ง ๗ แห่ง ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี รวมทั้งโรงงานและนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรมที่อยู่นอกนิคมอุตสาหกรรมทั้ง ๗ แห่งด้วย แล้วรายงานผลพร้อมทั้งข้อเสนอแนะให้ กยอ. พิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2839 | ผลการประชุมสุดยอดผู้นำ 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 4 | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมสุดยอดผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ นครเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงได้ให้ความเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมระดับผู้นำ (Joint Summit Declaration) และกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS : Greater Mekong Subregion) ฉบับใหม่ ระยะ ๑๐ ปี ระหว่างปี ๒๕๕๕ - ๒๕๖๕ ซึ่งเป็นสาระหลักของแถลงการณ์ร่วมฯ โดยกรอบยุทธศาสตร์ฯ มุ่งเน้นการพัฒนาแบบบูรณาการซึ่งยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridors) และการพัฒนาทางด้านซอฟท์แวร์ ๑.๑.๒ ผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงร่วมเป็นสักขีพยานฉลองความสำเร็จในการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ระยะที่ ๑ และการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ในระยะต่อไปของความร่วมมือ ๓ ด้าน ได้แก่ แผนงานหลักด้านสิ่งแวดล้อม ระยะที่ ๒ ที่มุ่งเน้นการปรับปรุงศักยภาพในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศในประเทศ GMS แผนสนับสนุนความร่วมมือด้านเกษตร ระยะที่ ๒ ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการส่งเสริมความปลอดภัยของอาหาร และการพัฒนาระบบการค้าสินค้าเกษตรให้ทันสมัย และผลการทบทวนกลางรอบของยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวที่เน้นการพัฒนาเพื่อเป้าหมายการท่องเที่ยวจุดหมายปลายทางเดียว ๑.๑.๓ ผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงร่วมเป็นสักขีพยานการส่งมอบตำแหน่งประธานสภาธุรกิจ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Business Forum : GMS - BF) จากประเทศจีนเป็นพม่า และรับข้อเสนอของภาคเอกชนที่ขอให้ภาครัฐให้การสนับสนุนการจัดตั้งสมาคมขนส่งในอนุภูมิภาคเพื่อเป็นเวทีประสานการดำเนินงานของภาครัฐ - เอกชน เพื่อพัฒนาแผนงาน GMS โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดน การพัฒนาระบบการประกันสินเชื่อของอนุภูมิภาคเพื่อเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการปรับปรุงการลงทุนให้มีความสะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ มอบให้เจ้าหน้าที่อาวุโสพิจารณาแนวทางการร่วมมือกับภาคเอกชน ๑.๑.๔ ผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงได้ร่วมหารือแนวทางการสนับสนุนของแต่ละประเทศสมาชิกเพื่อผลักดันการดำเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงาน GMS ฉบับใหม่ ระยะ ๑๐ ปีข้างหน้า และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์หลัก ๑.๑.๕ นายกรัฐมนตรีมีข้อเสนอต่อที่ประชุมฯ ได้แก่ การยืนยันการสนับสนุนแผนงาน GMS อย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนด้านการเงินและด้านวิชาการแก่ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ การผลักดันให้สถาบันวิจัยต่าง ๆ เข้ามาร่วมทำงานเพื่อสนับสนุนแผนงาน GMS การสนับสนุนการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกที่ทวาย ข้อเสนอแนวทางการเปลี่ยนวิกฤตการณ์ภัยพิบัติที่หลายประเทศสมาชิกได้ประสบร่วมกัน การผลักดันให้ประเทศสมาชิกบรรจุเรื่องแนวระเบียงเศรษฐกิจและแผนการลงทุนไว้ในวาระแห่งชาติเพื่อขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของภาคีการพัฒนา การขอให้รัฐบาลประเทศสมาชิก และ ADB ให้การสนับสนุนการดำเนินงานของ GMS - BF อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขยายความร่วมมือกับภาคเอกชนขนาดใหญ่และบริษัทข้ามชาติควบคู่กับการสนับสนุนและผลักดันการพัฒนาศักยภาพให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และให้ความสนใจที่ประเทศไทยจะรับเป็นที่ตั้งศูนย์ประสานงานของอนุภูมิภาคเพื่อประสานการทำงานในเรื่องรถไฟและพลังงาน ๑.๑.๖ ที่ประชุมฯ เห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๕ ในปี ๒๕๕๗ ๑.๑.๗ ผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงได้ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามเอกสารสำคัญ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเร่งรัดในการจัดให้มีโครงข่ายทางด่วนสารสนเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ระยะที่ ๒ บันทึกความเข้าใจสำหรับการดำเนินงานร่วมกันเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีการเคลื่อนย้ายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และการจัดตั้งสมาคมผู้ขนส่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแผนการดำเนินงานระยะเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนแผนงาน GMS และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการโดยประสานสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกำกับและติดตามเพื่อให้การดำเนินการเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๕ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ของประเทศไทยเป็นไปด้วยความเรียบร้อยด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2840 | บันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ 18 | กห | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ ๑๘ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ โดยบันทึกการประชุมฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ความร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว (บันทึกฯ ข้อ ๗) ยึดถือบันทึกการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ผ่านมา ในเรื่องการจัดประชุมร่วมในระดับต่าง ๆ การดำรงความสัมพันธ์และความร่วมมือช่วยเหลือระหว่างกองทัพและตำรวจของทั้งสองฝ่าย การวางกำลังและการลาดตระเวนของกำลังติดอาวุธตามบริเวณชายแดนไทย - ลาว ไม่ให้ล่วงล้ำอธิปไตยซึ่งกันและกัน เพิ่มความร่วมมือในการจัดระเบียบชายแดนและแก้ไขปัญหาบุคคลสองสัญชาติ สนับสนุนการดำเนินการของกลไกความร่วมมืออื่น ๆ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนไทย - ลาว ตลอดจนยึดถือความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๒. ความร่วมมือในการรักษาเส้นเขตแดน ไทย - ลาว (บันทึกฯ ข้อ ๘) สนับสนุนการดำเนินการภายใต้กรอบการดำเนินการของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย - ลาว ๓. การตรวจพื้นที่ชายแดน ไทย - ลาว (บันทึกฯ ข้อ ๙) สนับสนุนการตรวจพื้นที่ร่วมกันอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง หากเกิดปัญหาและมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสนอ ทั้งสองฝ่ายต้องพร้อมกันไปตรวจสอบพื้นที่โดยทันที ๔. ความร่วมมือในการดูแลรักษาและป้องกันตลิ่งพัง และการแก้ไขปัญหาการดูดทรายในแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง (บันทึกฯ ข้อ ๑๐) สนับสนุนการดำเนินการภายใต้กรอบการดำเนินการของคณะกรรมการร่วม ไทย - ลาว เพื่อดูแลการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง ๕. ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (บันทึกฯ ข้อ ๑๑) สนับสนุนกลไกความร่วมมืออื่น ๆ ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รวมทั้งสนับสนุนให้เพิ่มการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน และให้แต่ละฝ่ายมีการลาดตระเวนตรวจพื้นที่ชายแดนของตน เพื่อร่วมสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว ๖. แผนงานประกอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงชายแดน ไทย - ลาว (บันทึกฯ ข้อ ๑๒) สนับสนุนให้จัดทำแผนงานประกอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงชายแดน ไทย - ลาว ให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๗. การติดต่อประสานงานและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร (บันทึกฯ ข้อ ๑๓) สนับสนุนให้มีการปรับปรุงและแลกเปลี่ยนบัญชีรายชื่อผู้ประสานงานพร้อมระบบการติดต่อสื่อสารที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งกันและกัน ๘. ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายสากลระหว่าง ไทย - ลาว (บันทึกฯ ข้อ ๑๔) สนับสนุนการดำเนินการภายใต้กรอบของอาเซียนด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด ๙. ความร่วมมือในการป้องกันการลักลอบค้าชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมาย (บันทึกฯ ข้อ ๑๕) สนับสนุนให้เพิ่มการประสานงานและความร่วมมือให้เป็นไปตามอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง ๑๐. ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (บันทึกฯ ข้อ ๑๖) ที่ผ่านมาฝ่ายไทยได้จัดส่งชาวม้งลาวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ณ บ้านห้วยน้ำขาว อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ และชาวม้งลาวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ณ อาคารควบคุมผู้หลบหนีเข้าเมืองด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย จำนวน ๗,๗๘๐ คน ให้แก่ฝ่ายลาวแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑๑. กำหนดเวลาและสถานที่ประชุมครั้งต่อไป (บันทึกฯ ข้อ ๑๘ วรรคหนึ่ง) ฝ่ายไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ ๑๙
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
