ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 145 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2881 - 2900 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2881 | รายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมในการป้องกัน การให้ความช่วยเหลือและการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากอุทกภัย รวมทั้งแนวทางการดำเนินการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานภายหลังน้ำลด | คค | 25/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมในการป้องกัน การให้ความช่วยเหลือ และการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากอุทกภัย รวมทั้งแนวทางการดำเนินการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานภายหลังน้ำลด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แผนการแก้ไขปัญหาและบูรณะซ่อมแซมเส้นทางคมนาคม ๑.๑ ระยะเร่งด่วน ๑.๑.๑ กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทได้ตรวจสอบเส้นทางที่ประสบอุทกภัย ณ วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ มีทั้งสิ้น ๑,๓๙๖ เส้นทาง ซึ่งมีเส้นทางสายหลักและโครงข่ายที่จำเป็นต้องเร่งบูรณะ ซ่อมแซมให้แล้วเสร็จเป็นการเร่งด่วน จำนวนทั้งสิ้น ๑๘ เส้นทาง เพื่อการขนส่งสินค้าและการเดินทางของประชาชน โดยเส้นทางเหล่านี้อยู่ในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เช่น นครสวรรค์ พิจิตร สิงห์บุรี อ่างทอง ปทุมธานี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น โดยต้องใช้งบประมาณในส่วนของกรมทางหลวง จำนวน ๓๔๒.๙๕๗ ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท จำนวน ๗๓.๓ ล้านบาท ๑.๑.๒ การรถไฟแห่งประเทศไทยมีความจำเป็นต้องบูรณะเส้นทางสายหลักเป็นการเร่งด่วน รวมทั้งการปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณในพื้นที่ที่น้ำท่วมในจังหวัดปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ราชบุรี นครสวรรค์ พิจิตร อุทัยธานี แพร่ ปราจีนบุรี และกรุงเทพมหานคร โดยใช้งบประมาณ จำนวน ๑๒๒.๗๗๖ ล้านบาท ๑.๒ ระยะถัดไป ๑.๒.๑ ภายหลังน้ำลด กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และการรถไฟแห่งประเทศไทยจะสำรวจสภาพเส้นทางที่น้ำท่วมทั้งหมด เพื่อประมาณการค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟู และรายงานคณะรัฐมนตรีทราบเพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณในการแก้ไขปัญหาต่อไป ๑.๒.๒ การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานสำหรับนิคม จะเร่งบูรณะซ่อมแซมเส้นทางสายหลักที่เข้าสู่นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งบูรณะเส้นทางโครงข่ายที่จำเป็น ต่อจากนั้น (ภายใน ๑ ปี) จะเร่งจัดทำคันกั้นน้ำโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมให้มีความมั่นคงแข็งแรงตามมาตรฐานทางวิศวกรรม โดยนิคมอุตสาหกรรมจัดหาพื้นที่การก่อสร้าง และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ตามแบบรายละเอียดที่กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงจะเร่งรัดออกแบบให้ต่อไป ๒. แนวทางดำเนินงานของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (ด้านโครงสร้างพื้นฐาน) ได้มีการกำหนดแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (ด้านโครงสร้างพื้นฐาน) โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดำเนินงานในแต่ละด้าน ประกอบด้วย ด้านคมนาคมขนส่ง ด้านอาคาร และรบบสาธารณูปโภค ด้านศาสนสถานและโบราณสถาน ด้านสถานศึกษา และด้านระบบชลประทาน โดยให้คณะอนุกรรมการแต่ละด้านเร่งตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ โดยเริ่มจากจังหวัดที่ระดับน้ำเริ่มลดแล้ว และดำเนินการไปตามลำดับ และกระทรวงต้นสังกัดตรวจสอบแผนงานโครงการในขั้นต้น จัดลำดับความสำคัญและประมาณการค่าใช้จ่ายจัดส่งให้ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการฯ เพื่อประมวลเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาตามอำนาจหน้าที่ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. กระทรวงคมนาคมได้จัดทำโครงการ “ส่งผู้ประสบอุทกภัยกลับบ้าน” เพื่อให้ผู้ประสบอุทกภัยที่ประสงค์เดินทางกลับภูมิลำเนาเดินทางกลับโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยได้อนุมัติในหลักการให้ดำเนินโครงการดังกล่าวแล้ว ทั้งในเรื่องของแนวทางดำเนินงน และหลักการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมจะเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2882 | รายงานผลการประชุมสมัชชาองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 37 | กษ | 25/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมสมัชชาองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติหรือ เอฟ เอ โอ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) สมัยที่ ๓๗ ระหว่างวันที่ ๒๕ มิถุนายน - ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีผลการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. นาย Jose Graziano da Silva ผู้สมัครชาวบราซิล ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ เอฟ เอ โอ แทน Mr. Jacques Diouf ชาวเซเนกัล ซึ่งจะสิ้นสุดวาระในปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยจะเข้าดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ ๒. ประเทศไทยได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภามนตรี เอฟ เอ โอ ต่ออีกวาระหนึ่ง (๓ ปี) ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ ๓. ที่ประชุมฯ เห็นชอบแผนงานปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ ซึ่งจะเน้นในเรื่องความมั่นคงด้านอาหาร โภชนาการ และความปลอดภัยด้านอาหาร การปรับปรุงและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ และป่าไม้ การจัดการทรัพยากรพันธุกรรมทางพืช ประมง และปศุสัตว์อย่างยั่งยืน การรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติและความเสี่ยงทางการเกษตร รวมถึงเรื่องของโรคพืชและโรคสัตว์ต่าง ตลอดจนการป้องกันและรับมือผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อภาคการเกษตร ๔. ที่ประชุมฯ เห็นชอบอัตราการจ่ายเงินสมทบค่าบำรุงสมาชิกสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่องค์การสหประชาชาติกำหนด ทั้งนี้ อัตราการจ่ายเงินสมทบของประเทศไทย เพิ่มขึ้นอีก ๐.๐๒๓ คือ จากร้อยละ ๐.๑๘๗ เป็นร้อยละ ๐.๒๑๐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๓๐ ส่งผลให้ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ ประเทศไทยต้องจ่ายเงินสมทบค่าบำรุงสมาชิก จำนวน ๒.๑๓๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๖๖ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2883 | รายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ตามมาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวม 2 ฉบับ ของกระทรวงการคลัง | กค | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ตามมาตรา ๑๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรยังมิได้รับทราบและตกไปอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รายงานการรับและใช้จ่ายเงินของกองทุนเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๑ รายงานแสดงฐานะการเงิน กองทุนฯ มีสินทรัพย์รวมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๔๖๓,๒๗๕.๒๓ ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๑.๖๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๐๐๓ โดยเป็นสัดส่วนการลดลงของเงินฝากธนาคารพาณิชย์จากการชำระคืนต้นเงินกู้ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ จำนวน ๐.๘๐ ล้านบาท ลดลงคิดเป็นร้อยละ ๙๖.๗๔ และในส่วนของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น ได้แก่ เงินกองทุนเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ฯ ลดลง ๐.๘๐ ล้านบาท ลดลงคิดเป็นร้อยละ ๐.๐๐๐๒ ส่วนรายได้มีเพียงจากดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์เท่านั้น จำนวน ๑๘๙.๘๑ บาท ขณะที่สินทรัพย์สุทธิในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ มีจำนวน ๐.๐๓ ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๐.๐๓ ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๐.๘๐ ล้านบาท ลดลงคิดเป็นร้อยละ ๙๖.๔๑ สำหรับรายได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ กองทุนฯ มีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ จำนวน ๐.๘๐ ล้านบาท ขณะที่ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ มีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ จำนวน ๐.๐๒ ล้านบาท ๑.๒ รายงานแสดงผลการดำเนินงาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ กองทุนฯ มีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ จำนวน ๐.๘๐ ล้านบาท โดยมีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๐.๗๘ ล้านบาท คิดเป็นการลดลงร้อยละ ๔,๘๓๙.๗๕ สำหรับในส่วนของรายได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ มีจำนวน ๐.๐๐๐๒ ล้านบาท เป็นรายได้จากการดำเนินการ อย่างไรก็ดี รายได้จากการดำเนินการดังกล่าวลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งมีจำนวน ๐.๐๒ ล้านบาท โดยลดลงคิดเป็นร้อยละ ๙๘.๘๘ ขณะที่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ไม่มีค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน มีเพียงค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงาน ซึ่งมีจำนวน ๐.๘๐ ล้านบาท มาจากการชำระคืนต้นเงินกู้ของกองทุนฯ ๑.๓ รายงานรับ - จ่ายเงิน กองทุนฯ มีเงินคงเหลือ ณ วันต้นงวดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๐.๘๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๐.๐๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ ๒.๐๗ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ มีรายจ่ายอื่น จำนวน ๐.๘๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ทำให้เงินคงเหลือ ณ วันปลายงวดในปีงปบระมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ของกองทุนฯ คงเหลือ จำนวน ๐.๐๓ ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๔๑ ๒. รายงานการรับและใช้จ่ายเงินกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๒.๑ รายงานแสดงฐานะการเงิน กองทุนฯ มีสินทรัพย์รวม จำนวน ๙๔๐,๘๓๔.๖๑ บาท ประกอบด้วย เงินฝากธนาคารพาณิชย์ จำนวน ๙๔๐,๒๑๐.๑๙ บาท คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๙๓ ของสินทรัพย์รวม และรายได้ค้างรับ จำนวน ๖๒๔.๔๒ บาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๗ ของสินทรัพย์รวม ๒.๒ รายงานแสดงผลการดำเนินงาน กองทุนฯ มีรายได้จากการดำเนินงาน จำนวน ๑,๐๐๐,๗๐๖.๖๑ บาท มาจากรายได้จากเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และรายได้ดอกเบี้ย จำนวน ๗๐๖.๖๑ บาท ซึ่งกองทุนฯ มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จำนวน ๕๙,๘๗๒ บาท ทำให้กองทุนฯ มีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๙๔๐,๘๓๔.๖๑ บาท ๒.๓ รายงานรับ - จ่ายเงิน โดยรายรับของกองทุนฯ มาจาก ๒ แหล่ง คือ รายรับจากเงินงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และรายรับจากดอกเบี้ย จำนวน ๗๐๖.๖๑ บาท ส่วนรายจ่ายของกองทุนฯ มีเพียงรายจ่ายจากการดำเนินงาน จำนวน ๕๙,๘๗๒ บาท ทำให้กองทุนฯ มีเงินคงเหลือ ณ วันปลายงวด จำนวน ๙๔๐,๘๓๔.๖๑ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2884 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังนี้
๑. เพิ่มนิยาม “ข้าราชการ” ให้หมายความถึงข้าราชการรัฐสภาสามัญตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายรัฐสภา ๒. กำหนดให้ข้าราชการซึ่งจะเข้าร่วมโครงการให้เงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการต้องมีเวลาราชการเหลือไม่น้อยกว่าสองปีนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้ลาออกจากราชการ ๓. กำหนดให้ผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการและผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ห้ามบรรจุกลับเป็นข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างของส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือกำกับของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายรัฐสภาอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2885 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามแผนพัฒนาหอสมุดแห่งชาติให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย (ครั้งที่ 8 และครั้งที่ 9) | วธ | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามแผนพัฒนาหอสมุดแห่งชาติให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย (ครั้งที่ ๘ และครั้งที่ ๙) ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. การดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้แก่ การขนย้ายหนังสือและสิ่งของ การจัดทำแผนพัฒนางานสารสนเทศ สำนักหอสมุดแห่งชาติ เพื่อขอรับงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และการออกแบบรูปรายการในการปรับปรุงอาคารหอสมุดแห่งชาติหลังเดิม เพื่อขอรับงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. การดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ (ดำเนินการตามระเบียบพัสดุฯ) เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๑ ได้ดำเนินการประมูลการจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยบริษัท เอนแอลดิเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ให้ราคาต่ำสุด ซึ่งได้รับการอนุมัติจากกระทรวงวัฒธรรม เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๒ และได้ทำสัญญาจ้างเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๒ ในวงเงิน ๔๓๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยเป็นงบประมาณที่ใช้จ่ายเฉพาะภารกิจสร้างอาคาร ๓. การดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔ (ดำเนินการก่อสร้างอาคารหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี หลังใหม่) ผู้รับจ้างได้ปฏิบัติงานทั้งหมดแล้วเสร็จเรียบร้อยตามสัญญา (ความก้าวหน้าของงานตามแผนคิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ทำได้จริงร้อยละ ๑๐๐) ๔. โดยสรุปการดำเนินการตามแผนพัฒนาหอสมุดแห่งชาติให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย ได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี หลังใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังคงเหลือการพัฒนางานสารสนเทศเพื่อการจัดเก็บและให้บริการองค์ความรู้ของหอสมุดแห่งชาติและการปรับปรุงอาคารหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี หลังเดิม ซึ่งยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2886 | พระราชดำริในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ | รล | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอสรุปพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานสนองพระราชดำริ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๔ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานสนองพระราชดำริ ดังนี้
๑. เครื่องอุทกพลวัต ๑.๑ ให้ทดลองศึกษาเครื่องอุทกพลวัตในกรณีน้ำขึ้นและน้ำลง โดยให้ใช้เครื่องอุทกพลวัตที่สามารถหมุน ๒ ทิศทางได้ ๑.๒ หากเครื่องอุทกพลวัตทดลองประสพความสำเร็จแล้ว ให้นำไปติดตั้งตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งคลองและเขื่อน ๑.๓ เครื่องอุทกพลวัตหากมีการปรับปรุงแล้วได้องค์ความรู้ใหม่ให้ดำเนินการจดสิทธิบัตรเพิ่มเติม ๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาสนับสนุนงบประมาณการดำเนินการขยายผลเครื่องอุทกพลวัต ๒. การบริหารจัดการน้ำ ๒.๑ แม่น้ำยมมีปัญหามากที่สุด หากดำเนินการก่อสร้างเขื่อนแม่ยมเช่นเดิมก็จะประสบปัญหามากมาย แต่ถ้าก่อสร้างเขื่อนขนาดเล็กจะไม่ได้ประโยชน์ตามที่ต้องการ ดังนั้น ต้องดำเนินการให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่และส่งผลกระทบเสียหายน้อยที่สุด ถ้าไม่เสียหายเลยคงไม่ได้ ๒.๒ ขณะนี้มีพื้นที่เหลืออยู่ไม่กี่แห่งที่มีความเหมาะสมในการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ โดยให้สำรวจพื้นที่ในภาคกลางและภาคเหนือก่อน ๒.๓ จังหวัดพิษณุโลกมีเขื่อนแควน้อยซึ่งสามารถบรรเทาปัญหาอุทกภัยได้มาก สามารถกักเก็บน้ำในลุ่มน้ำแควน้อยอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนจำนวนมาก ๒.๔ ขณะนี้แม่น้ำเจ้าพระยามีปริมาณน้ำมาก ระดับน้ำยังคงที่ทั้งที่ก่อนหน้านี้ระดับน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำค่อนข้างมาก ๒.๕ พื้นที่ภาคใต้ให้พิจารณาจัดทำระบบป้องกันการเกิดดินถล่ม หากสามารถแก้ไขปัญหาดินถล่มได้จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2887 | การหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายกระทรวงเกี่ยวกับการช่วยเหลือ ดูแลฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย | นร | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามผลการหารือของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยสาระสำคัญของแนวทางการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ดังนี้ ๑.๑ แนวทางในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและขั้นตอนการฟื้นฟู ๔ ระยะ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ ระยะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ได้แก่ การป้องกันกระแสน้ำที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย การอพยพและให้ความช่วยเหลือประชาชน และการจัดหาปัจจัยการดำรงชีพ ๑.๑.๒ ระยะของการช่วยเหลือระหว่างที่ระดับน้ำในพื้นที่ยังท่วมสูง เป็นระยะที่ประชาชนที่ประสบปัญหาที่อยู่อาศัย ซึ่งพักพิงในศูนย์อพยพ มีความตึงเครียด เนื่องจากทรัพย์สินถูกทำลาย และมีความกังวลในด้านการประกอบอาชีพ ซึ่งในจุดนี้จะต้องมีการบูรณาการที่ศูนย์อพยพ ๑.๑.๓ ระยะการฟื้นฟูภายหลังน้ำลดแล้ว ได้แก่ การซ่อมแซมถนน เส้นทางคมนาคม โรงพยาบาล โรงเรียน สถานที่ราชการ โบราณสถาน และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ๑.๑.๔ ระยะการปรับโครงสร้างถาวร เป็นการปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานหลักของประเทศเพื่อสร้างเป็นระบบถาวร ทั้งในด้านระบบชลประทาน ระบบป้องกันอุทกภัยและภัยธรรมชาติ ระบบคมนาคม ระบบการวางระบบผังเมืองของประเทศ และระบบการฟื้นฟูระบบนิเวศน์ ๑.๒ การจัดทำระบบฐานข้อมูลการฟื้นฟู ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดระบบฐานข้อมูลรายบุคคล ตั้งแต่ฐานข้อมูลด้านอาชีพ ที่อยู่อาศัย รวมถึงข้อมูลทางกายภาพเพื่อประกอบในการวางแนวทางฟื้นฟูแบบถาวร โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักและประสานกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ๑.๓ รูปแบบของการบูรณาการกิจกรรมในศูนย์อพยพ ๔ - ๖ สัปดาห์ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ) เป็นเจ้าภาพในการให้หน่วยงานต่าง ๆ ให้การสนับสนุน ซึ่งศูนย์อพยพนี้จะต้องให้ความช่วยเหลือประชาชนในระยะ ๔ - ๖ สัปดาห์ โดยประสานกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เริ่มดำเนินการตั้งแต่การจัดทำฐานข้อมูลรายบุคคล การให้บริการด้านสาธารณสุข การจัดหาอาหาร การบริการขั้นพื้นฐาน การฟื้นฟูจิตใจ และการฝึกอาชีพเพื่อโอกาสของการจ้างงานในช่วงเวลาน้ำลดตามโครงการฟื้นฟูต่าง ๆ ๑.๔ การมอบหมายกิจกรรมด้านสังคมในการจัดทำแผนช่วยเหลือ ฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ ๑.๔.๑ ให้กระทรวงกลาโหม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียในพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนก่อน และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานกระทรวงมหาดไทยในการส่งเจ้าหน้าที่ไปแนะนำการผลิต EM และจัดชุดเครื่องมืออุปกรณ์ให้แต่ละชุมชน รวมทั้งสำรวจข้อมูลพื้นที่ที่เป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก แล้วส่งข้อมูลให้คณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (ด้านสังคม) เพื่อดำเนินการพิจารณาจัดหาที่ทำกินใหม่ที่เหมาะสมต่อไป ๑.๔.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุขเฝ้าระวังโรคระบาดต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยอาศัยเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการวางระบบการป้องกันและสนับสนุน และให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ) ดูแลเรื่องรูปแบบ (model) ของศูนย์อพยพถาวรว่าควรจะมีองค์ประกอบอะไรบ้างที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดเป็นชุมชน เช่น มีหัวหน้าศูนย์ฯ ครู แพทย์ พยาบาล มีการสอนหนังสือ ฝึกอาชีพ เป็นต้น ๑.๔.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในการฝึกอบรมอาชีพต่าง ๆ เช่น งานซ่อมบ้าน งานอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ในศูนย์อพยพ ทั้งนี้ ต้องสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชนแต่ละจังหวัด และประสานกับกระทรวงมหาดไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดทำฐานข้อมูลของผู้ตกงานที่เป็นลูกจ้างทั่วไป และลูกจ้างโรงงาน ๑.๔.๔ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์) เร่งรัดประเมินความเสียหายของโบราณสถานต่าง ๆ กรณีเป็นงานด้านโยธาให้เสนอคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือฯ (ด้านโครงสร้างพื้นฐาน) พิจารณา และให้กระทรวงวัฒนธรรมจัดทำแผนป้องกันโบราณสถานในระยะยาวด้วย รวมทั้งให้กระทรวงวัฒนธรรมประชาสัมพันธ์สร้างความมั่นใจในความสมบูรณ์ของโบราณสถานให้กับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ๑.๔.๕ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แจ้งว่า การเปิดเทอมเป็นไปตามกำหนดเดิมคือ วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้อำนวยการโรงเรียนที่จะพิจารณาได้ตามความจำเป็น กรณีที่โรงเรียนใดไม่สามารถเปิดเทอมในวันดังกล่าวได้ ให้แจ้ง สพฐ. ทราบก่อนถึงวันเปิดภาคเรียน ๑ สัปดาห์ ส่วนการสอบ GAT - PAT ให้เลื่อนเป็นวันที่ ๑๙ - ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ สำหรับโรงเรียนที่ยังไม่ทำการสอบภาคเรียนที่ ๑ ให้จัดให้มีการทบทวนบทเรียนให้กับเด็กนักเรียนก่อนทำการสอบต่อไป และให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายของโรงเรียน ครู และเด็กนักเรียนที่ประสบอุทกภัย ส่วนกรณีโรงเรียนที่ยังไม่สามารถจัดทำการสอนได้ให้จัดการสอนที่ศูนย์อพยพ และกรณีการช่วยเหลือด้านการเงินให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้ช่วยเหลือเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยโดยตรงเท่านั้น ๑.๕ แนวทางในการช่วยเหลือในระยะการรอการฟื้นฟูในด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ ประกอบด้วย ๑.๕.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดทำแผนการดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม โรงงานต่าง ๆ ผู้ประกอบการ SME ในช่วง ๒ เดือนก่อนน้ำลด ทั้งในส่วนที่เป็นผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนและที่ไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ทั้งที่อยู่ในและนอกนิคมอุตสาหกรรม มีประกันภัยและไม่มีประกันภัย เช่น การให้ความช่วยเหลือในด้านเครื่องมือ/เครื่องจักร และวัตถุดิบที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ทั้งนี้ ให้ประสานกับกระทรวงการต่างประเทศที่จะทำความช่วยเหลือในลักษณะรัฐต่อรัฐด้วย และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ สัปดาห์ ๑.๕.๒ ให้กระทรวงแรงงานจัดทำแผนการดำเนินการแก้ไขปัญหาและแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใช้แรงงานในช่วง ๒ เดือนก่อนน้ำลดให้ครอบคลุมถึงผู้ใช้แรงงานในแต่ละกลุ่ม ทั้งผู้ที่อยู่/ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม แรงงานที่ถูกเลิกจ้างถาวร (เช่น การฝึกอาชีพ) และแรงงานที่ว่างงานชั่วคราว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ สัปดาห์ ทั้งนี้ ให้ประสานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบข้อมูลของผู้ใช้แรงงานกับแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้แนวทางการให้ความช่วยเหลือมีความครบถ้วน ถูกต้อง และไม่เกิดความซ้ำซ้อน ๑.๕.๓ ให้กระทรวงคมนาคมจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาและบูรณะซ่อมแซมเส้นทางคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ให้กลับมาใช้งานได้ในช่วง ๒ เดือนก่อนน้ำลด ทั้งในส่วนที่เป็นเส้นทางสายหลักและเส้นทางโครงข่ายต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการขนส่งสินค้าและบริการ โดยประสานข้อมูลในการดำเนินการกับกระทรวงพาณิชย์ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ สัปดาห์ ๑.๕.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำแผนและแนวทางในการเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ประสบอุทกภัยอย่างเป็นระบบในช่วง ๒ เดือนก่อนน้ำลด โดยให้ครอบคลุมถึงประเด็นต่าง ๆ เช่น เส้นทางการระบายน้ำ ความต้องการเครื่องมือ/อุปกรณ์ในการสูบน้ำ และกรอบระยะเวลาการระบายน้ำ เป็นต้น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ สัปดาห์ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานประสานกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อจัดทำข้อมูลระดับน้ำสูงสุดของแต่ละพื้นที่เพื่อให้ประชาชน และผู้ประกอบการในแต่ละพื้นที่สามารถเข้าใจได้ง่าย และจัดทำพนังกั้นน้ำให้มีความสูงสอดคล้องกับระดับน้ำสูงสุดในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้ ให้เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวในเว็บไซต์ของทางราชการ เพื่อให้เป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไป ๑.๕.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำแผนและแนวทางในการกำกับดูแลการกระจายสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นสำหรับประชาชนให้เพียงพอและทั่วถึง รวมทั้งควบคุมดูแลให้ราคาสินค้ามีความเหมาะสมและเป็นไปตามกลไกตลาด ทั้งนี้ ให้ประสานกับกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับเส้นทางคมนาคมที่จำเป็น เพื่อให้การขนส่งสินค้าต่าง ๆ ไปยังปลายทางมีความสะดวกและรวดเร็ว ๑.๕.๖ มาตรการด้านการเงินและการคลัง รวมทั้งการตั้งเป้าหมายด้านเศรษฐกิจมหภาค ๑.๕.๖.๑ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยหารือกับสมาคมธนาคารไทยในการออกมาตรการทางด้านสังคมในการที่จะพักชำระหนี้และอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย (SME) รวมทั้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้ได้เท่าเทียมกับธนาคารภาครัฐ ๑.๕.๖.๒ ให้คณะกรรมการฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจจัดทำมาตรการในการฟื้นฟูกิจการต่าง ๆ รวมทั้งผ่อนปรนด้านภาษีในเรื่องเครื่องจักร วัตถุดิบ ทั้งนี้ ให้รวมถึงมาตรการที่จะสามารถใช้ความร่วมมือภาครัฐต่อรัฐกับทางกระทรวงการต่างประเทศด้วย เพื่อให้กา
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2888 | การปรับปรุงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในวงเงิน ๒,๓๘๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กำหนดไว้ ๒,๑๖๙,๙๖๗.๕ ล้านบาท จำนวน ๒๑๐,๐๓๒.๕ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๙.๗ ประกอบด้วยโครงสร้างรายจ่ายหลัก คือ รายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๘๕๕,๘๔๑ ล้านบาท รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๕๓,๙๑๘ ล้านบาท รายจ่ายลงทุน จำนวน ๔๒๓,๓๘๗ ล้านบาท และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๔๖,๘๕๔ ล้านบาท โดยมีนโยบายขาดดุลงบประมาณ จำนวน ๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งการปรับปรุงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น โดยมีการปรับลดงบประมาณของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ในวงเงิน ๔๘,๘๕๙.๘ ล้านบาท และปรับลดงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๒๑,๑๔๐.๒ ล้านบาท รวมเป็นการปรับลดทั้งสิ้น ๗๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ งบประมาณที่ปรับลดดังกล่าวได้นำไปจัดสรรเพิ่มเติมในยุทธศาสตร์การสร้างรากฐานการพัฒนาที่สมดุลสู่สังคม แผนงานเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณนำข้อเสนอตามข้อ ๑.๑ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และเอกสารประกอบงบประมาณ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันอังคารที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. ให้กระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเตรียมการดำเนินโครงการที่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้พร้อมเพื่อสามารถดำเนินการได้ทันที
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2889 | การทบทวนความจำเป็นต้องคงอยู่ของคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (ขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย) | ทส | 11/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ปรับรายชื่อกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ลำดับที่ ๒๔ ผู้อำนวยการสำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ และลำดับ ๒๕ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการลุ่มน้ำโขง (กรมทรัพยากรน้ำ) เนื่องจากสำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ และสำนักบริหารจัดการลุ่มน้ำโขง อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ซึ่งเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย อยู่แล้ว ๒. ขอแก้ไขชื่อตำแนห่งของกรรมการลำดับที่ ๑๕ จาก “อธิบดีกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี” เป็น “อธิบดีกรมเจ้าท่า”
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2890 | การจัดทำงบประมาณรายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 11/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๓๓๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นนโยบายขาดดุล จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท รายได้สุทธิ จำนวน ๑,๙๘๐,๐๐๐ ล้านบาท และรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น และให้สำนักงบประมาณจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และเอกสารประกอบงบประมาณ โดยให้ส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรงก่อนนำไปพิมพ์เป็นร่างพระราชบัญญํติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันอังคารที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่อยู่ในความรับผิดชอบในส่วนที่เป็นภารกิจพื้นฐาน ทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษางานเดิม เพิ่มเป้าหมาย และรายการผูกพันใหม่ และภารกิจยุทธศาสตร์ทั้งค่าใช้จ่ายที่เป็นนโยบายต่อเนื่องและรายการผูกพันใหม่ ในวงเงินงบประมาณร้อยละ ๑๐ เพื่อนำงบประมาณจำนวนดังกล่าวกำหนดเป็นรายการงบกลางสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการพื้นฟูและเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยอย่างบูรณาการ ๓. กำหนดแนวทางการปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ดังนี้ ๓.๑ ให้พิจารณาทบทวนปรับลดรายการที่มีลำดับความสำคัญต่ำ หรือไม่สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาล และไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน ๓.๒ ให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ในข้อ ๑.๖ “รายจ่ายลงทุนที่จะขออนุมัติผูกพันข้ามปีงบประมาณทุกรายการต้องได้รับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินในปีแรก เป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของวงเงินรายจ่ายส่วนที่เป็นเงินงบประมาณทั้งสิ้นของรายจ่ายลงทุนนั้น ๆ โดยไม่รวมวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด” โดยให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการผูกพันงบประมาณใหม่ในวงเงินไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑๕ ของวงเงินงบประมาณรวมแต่ละรายการ ๓.๓ ให้พิจารณาทบทวนการตั้งงบประมาณรายการผูกพันเดิมให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานจริงและแผนการใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงบประมาณกำหนด ๓.๔ วงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรเพื่อดำเนินการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาจากอุทกภัยที่เสนอไว้เดิมให้พิจารณาปรับลดได้ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ๓.๕ ไม่ควรปรับลดรายจ่ายประจำขั้นต่ำที่จำเป็นและรายจ่ายตามข้อผูกพันอื่น ยกเว้นเป็นการดำเนินการตามนัยข้อ ๓.๓ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณจัดทำหนังสือแจ้งเวียนส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ให้ดำเนินการตามข้อ ๒. และ ๓. และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบภายในวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. หากส่วนราชการดำเนินการล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนดให้สำนักงบประมาณพิจารณาปรับปรุงงบประมาณให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีข้างต้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2891 | โครงการเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ระยะที่ 3 | มท | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ระยะที่ ๓ (คชฟ. ๓) ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการต่อเนื่องจากโครงการเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า และโครงการเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ระยะที่ ๒ โดยติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพมาตรฐานสูงขึ้น ปรับปรุงเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าโดยมุ่งเน้นในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม พื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่เทศบาลนคร พื้นที่เมืองธุรกิจ พื้นที่สำคัญ และพื้นที่พิเศษ ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ วงเงินลงทุนรวม ๑๕,๑๕๕ ล้านบาท โดยใช้จากเงินกู้ในประเทศ วงเงิน ๑๑,๓๖๕ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. วงเงิน ๓,๗๙๐ ล้านบาท และให้ความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศ วงเงิน ๑๑,๓๖๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ กฟภ. รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด โดยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ไฟฟ้าให้เหมาะสมกับช่วงเวลา (Peak Hour และ Off Peak) การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่ได้รับการติดตั้งมิเตอร์ระบบอ่านหน่วยอัตโนมัติ (Automatic Meter Reading : AMR) ให้ใช้ข้อมูล Load Profile ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้าและลดต้นทุนค่าไฟฟ้าของตนเอง การปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ ให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน การกำหนดบทบาทของ กฟภ. ในการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนระหว่าง กฟภ. และบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA ENCOM) เพื่อประโยชน์ต่อการจัดทำแผนการลงทุนและแผนการบริหารจัดการ การให้รัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้าทั้ง ๓ แห่ง ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กฟภ. และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ประสานสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) เพื่อเร่งศึกษาและปรับปรุงข้อมูลค่าความเสียหายเนื่องจากไฟฟ้าดับ (Outage Cost) รวมทั้งการให้ กฟภ. บริหารความเสี่ยงด้านต้นทุนโครงการกรณีที่อาจมีปัจจัยทำให้ต้นทุนโครงการสูงขึ้นจากที่ประมาณการไว้ และความเห็นของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานที่เห็นควรให้ กฟภ. รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของโครงการตามแผนการลงทุน และนำเสนอผลการวิเคราะห์ผลกระทบในมิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการพลังาน อาทิ มาตรฐานคุณภาพบริการ อัตราค่าบริการในการประกอบกิจการพลังงาน และความเหมาะสมและประสิทธิภาพของการดำเนินงานตามแผน สำหรับกรณีแผนงานขยายระบบโครงข่ายพลังงาน ให้มีการศึกษา วิเคราะห์ และปรับปรุงความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าในระดับพื้นที่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนสามารถนำไปวิเคราะห์ในมิติของการกำกับดูแลกิจการพลังงาน ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2892 | (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) | นร | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ โดย (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ พันธกิจ วัตถุประสงค์ เป้าหมายและ และยุทธศาสตร์ ดังนี้ ๑.๑ วิสัยทัศน์ มุ่งพัฒนาสู่ “สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้วยความเสมอภาค เป็นธรรม และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง” ๑.๒ พันธกิจ ได้แก่ สร้างสังคมเป็นธรรมและเป็นสังคมที่มีคุณภาพ ทุกคนมีความมั่นคงในชีวิต ได้รับการคุ้มครองทางสังคมที่มีคุณภาพอย่างทั่งถึงและเท่าเทียม พัฒนาคุณภาพคนไทยให้มีคุณธรรม เรียนรู้ตลอดชีวิต มีทักษะและการดำรงชีวิตอย่างเหมาะสมในแต่ละช่วงวัย และพัฒนาฐานการผลิตและบริการให้เข้มแข็งและมีคุณภาพบนฐานความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และภูมิปัญญา ๑.๓ วัตถุประสงค์ เพื่อเสริมสร้างสังคมที่เป็นธรรมและเป็นสังคมสันติสุข พัฒนาคนไทยทุกกลุ่มวัยอย่างเป็นองค์กรรวมทั้งทางกาย ใจ สติปัญญา อารมณ์ คุณธรรม จริยธรรม พัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ คุณภาพ และยั่งยืน รวมทั้งบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เพียงพอต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ๑.๔ เป้าหมายหลัก ได้แก่ ความอยู่เย็นเป็นสุขและความสงบสุขของสังคมไทยเพิ่มขึ้น คนไทยมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง มีสุขภาวะดีขึ้น และสถาบันทางสังคมมีความเข้มแข็งมากขั้น รวมทั้งเศรษฐกิจเติบโตในอัตราที่เหมาะสมตามศักยภาพของประเทศ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การสร้างความเป็นธรรมในสังคม ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน ยุทธศาสตร์ความเข้มแข็งภาคเกษตร ความมั่นคงของอาหารและพลังงาน ยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่การเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์การสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และการบริหารจัดการแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ สู่การปฏิบัติ ๒. ให้ สศช. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศใน (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ ควรครอบคลุมประเด็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในระดับโลก (Global Economy) ที่ส่งผลกระทบมายังประเทศไทย การปรับตัวของประเทศไทยเข้าสู่เศรษฐกิจโลก การสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาค และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประเด็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจบนฐานความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และภูมิปัญญา (Creative Economy) และประเด็นการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic Economy) การปรับโครงสร้างการค้าและการลงทุนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เป็นฐานการผลิตภาคเกษตร และความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม ที่เห็นควรมียุทธศาสตร์วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม เป็นยุทธศาสตร์หลักปรากฏอยู่ใน (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ เพื่อให้เกิดการแปลงนโยบายชาติไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม การให้ความสำคัญกับการกำหนดแนวทางการสนับสนุนธุรกิจบริการสุขภาพที่เป็นประโยชน์ต่อระบบสุขภาพในภาพรวม โดยไม่ควรระบุโครงการก่อสร้างศูนย์ส่งเสริมธุรกิจบริการสุขภาพของประเทศไว้ใน (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ จนกว่าจะได้มีข้อมูลจากการศึกษาผลกระทบและกำหนดมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันผลกระทบของโครงการฯ ต่อระบบบริการสุขภาพและระบบกำลังคนด้านสุขภาพในภาพรวม การเชื่อมโยงระหว่างภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และวัฒนธรรมของชาติ เพื่อสร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้กับประเทศตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยพัฒนาส่งเสริม สนับสนุนอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่อง เชื่อมโยง เกี่ยวเนื่องกับภาคบริการและวัฒนธรรมของชาติ การพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวและยั่งยืน โดยพัฒนาส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ อุตสาหกรรมสังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อการพัฒนาที่สมดุลยั่งยืน รวมทั้งข้อเสนอแนะต่อภาพรวม วิสัยทัศน์ และทิศทางของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ ข้อเสนอแนะต่อยุทธศาสตร์การพัฒนา และข้อเสนอแนะในการบริหารจัดการแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ สู่การปฏิบัติ ของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจัดส่งความเห็นเพิ่มเติมให้ สศช. ภายในวันศุกร์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ เพื่อ สศช. เร่งดำเนินการปรับปรุง (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันจันทร์ที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ เพื่อดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2893 | การรายงานความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ | พม | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ ระหว่างวันที่ ๑๗ กันยายน - ๒๒ กันยายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดพิษณุโลก มีพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย จำนวน ๙ อำเภอ ๙๒ ตำบล ๘๔๒ หมู่บ้าน บ้านเรือนราษฎรได้รับผลกระทบ จำนวน ๔๐,๘๕๙ ครัวเรือน ๑๒๒,๕๗๗ ราย มีผู้เสียชีวิต ๗ ราย พื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ ๖๘๘,๘๓๗.๒๕ ไร่ สำหรับการให้ความช่วยเหลือ ได้ดำเนินการจัดหาที่พักพิงชั่วคราว จำนวน ๑๙๗ ครัวเรือน มอบถุงยังชีพ จำนวน ๑๒๓,๗๐๙ ราย และเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท จำนวน ๒,๐๑๖ ราย เป็นเงิน ๑๐,๐๘๐,๐๐๐ บาท อยู่ระหว่างการพิจารณาช่วยเหลือ ๗,๒๒๑ ราย จ่ายค่าชดเชยพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ๖๕,๓๓๐.๗๕ ไร่ เป็นเงิน ๑๑๙.๖๙ ล้านบาท รวมทั้งการจัดทำบางระกำโมเดล เพื่อป้องกันและแก้ไขอย่างเป็นระบบทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว โดยดำเนินการปรับปรุงระบบผันน้ำยม - น่าน (Water way) โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำ คลองผันน้ำสวรรคโลก - พิชัย พร้อมอาคาร งบประมาณ ๑๕๐ ล้านบาท ขุดลอกคลองระบายน้ำ DR 2.8 และ DR 15.8 พร้อมปรับปรุงอาคาร งบประมาณ ๓๐ ล้านบาท และปรับปรุงประตูระบายน้ำบางแก้ว งบประมาณ ๑๕๐ ล้านบาท ก่อสร้างแก้มลิง บึงตะเคร็ง งบประมาณ ๒๐๐ ล้านบาท และปรับปรุงแหล่งเก็บกักน้ำขนาดเล็ก ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัด ๒. จังหวัดเพชรบูรณ์ มีพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย จำนวน ๑๑ อำเภอ ๑๑๗ ตำบล ๑,๑๗๑ หมู่บ้าน บ้านเรือนราษฎรได้รับผลกระทบ จำนวน ๙๐,๖๖๔ ครัวเรือน ๑๙๒,๐๓๕ ราย มีผู้เสียชีวิต ๕ ราย บ้านเรือนเสียหายบางส่วน จำนวน ๒ หลัง พื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ ๗๘,๔๘๓ ไร่ สำหรับการให้ความช่วยเหลือ ทางจังหวัดร่วมกับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายการเมือง ได้จัดทีมสำรวจเยี่ยมครอบครัวผู้ประสบภัย ให้คำปรึกษาแนะนำและฟื้นฟูสภาพจิตใจ และการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยมอบถุงยังชีพ จำนวน ๒๕,๘๓๐ ราย และเงินสงเคราะห์ครอบครัว จำนวน ๕,๓๐๐ ราย ในพื้นที่ ๓๒ ตำบล นอกจากนี้ ได้เร่งรัดการก่อสร้างโครงการชลประทานอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง ๔ แห่ง คือ อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำก่อ ห้วยน้ำชุนใหญ่ ห้วยนา และคลองลำถง รวมทั้งขออนุมัติโครงการชลประทานอ่างเก็บน้ำแผนงานปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ จำนวน ๗ แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยเล็ง ห้วยท่าพล ห้วยน้ำชุนน้อย บ้านเสลี่ยงแห้ง ๓ ห้วยยาง บ้านนางั่ว ห้วยน้ำเฮี้ย และซับมะนาว รวมถึงจัดทำแผนการระบายน้ำและกำจัดสิ่งกีดขวางอย่างเป็นระบบ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2894 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและอนุมัติเพื่อทำสัญญาจ้างก่อสร้าง โครงการปรับปรุง อาคารผู้ป่วยในพิเศษ 14 ชั้น ต่อเนื่อง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย | สกช | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติวงเงินค่าก่อสร้าง งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ แผนงานพัฒนาด้านสาธารณสุข ผลผลิตการบริการรักษาพยาบาล ฟื้นฟูสภาพ สร้างเสริมสุขภาพ และป้องกันโรคให้ประชาชน รวมทั้งผู้ด้อยโอกาส งบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ค่าที่ดิน/สิ่งก่อสร้าง รายการค่าปรับปรุงอาคารผู้ป่วยในพิเศษ ๑๔ ชั้น ต่อเนื่อง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระยะเวลาดำเนินการ ๑๕ เดือน ตามผลการจัดจ้างโดยวิธีประกวดราคา ในวงเงิน ๒๘๓,๖๑๖,๖๕๔.๐๒ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ได้รับอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินได้ถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔ จากกรมบัญชีกลางแล้ว จำนวน ๒,๘๐๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒๙,๘๖๕,๕๐๐ บาท ที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณแล้ว ส่วนที่ขาดอีกจำนวน ๒๓,๓๓๔,๕๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อ ๆ ไป และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๒๗,๖๑๖,๖๕๔.๐๒ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สภากาชาดไทยได้รับการผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง)
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2895 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2554 และ 2/2554 | ทส | 20/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มติการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ๑.๑ เห็นชอบให้ปรับปรุงประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการในการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในส่วนของการเขียนประกาศฯ โดยหารือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติลงนามต่อไป ๑.๒ เห็นชอบหลักการในกรอบแผนการปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด โดยให้เพิ่มเติมรายละเอียดขอบเขตของแนวทางการสนับสนุนการจัดการสิ่งแวดล้อมในด้านต่าง ๆ ให้ชัดเจน ๑.๓ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชนต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๒ สายพิษณุโลก - อำเภอหล่มสัก ของกรมทางหลวง และเห็นชอบความเห็นที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในเรื่องการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการหรือกิจการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือที่เป็นโครงการของส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจร่วมกับเอกชน และโครงการเอกชนภายหลังที่ได้รับอนุมัติหรืออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ๑.๔ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชนต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการปรับปรุงท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ระนอง อำเภอเมือง จังหวัดระนอง ของกรมเจ้าท่า ๑.๕ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านพัฒนาแหล่งน้ำต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ ๑.๖ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านพัฒนาแหล่งน้ำต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการอ่างเก็บน้ำแม่สะป๊วด (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ) จังหวัดลำพูน ของกรมชลประทาน ๒. มติการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ๒.๑ เห็นชอบการกำหนดรายการของเสียที่ควรห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทย และให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดรายการของเสียหรือสิ่งใด ๆ ที่ควรห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร รวมทั้งให้กรมควบคุมมลพิษประสานกระทรวงอุตสาหกรรมในการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินงานและรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็นระยะ ๒.๒ เห็นชอบต่อกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินงานด้านการลด คัดแยก และนำขยะมูลฝอยกลับมาใช้ใหม่ (Reduce Reuse and Recycle : 3Rs) และให้กรมควบคุมมลพิษเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ และให้หน่วยงานต่าง ๆ ใช้กรอบยุทธศาสตร์ฯ เป็นแนวทางในการจัดทำแผนปฏิบัติการและดำเนินการตามกรอบยุทธศาตร์ต่อไป ๒.๓ เห็นชอบหลักเกณฑ์การจำแนกเขตทรัพยากรแร่เพื่อการบริหารจัดการด้านธรณีวิทยาและทรัพยากรธรณี และแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ และให้กรมทรัพยากรธรณีนำหลักเกณฑ์การจำแนกเขตทรัพยากรแร่เพื่อการบริหารจัดการด้านธรณีวิทยาและทรัพยากรธรณี และแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรแร่เสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒.๔ เห็นชอบให้ปรับปรุงประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติฯ เสนอประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติลงนามต่อไป ๒.๕ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมเอกชนต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ๒.๖ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชนต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการถนนสายหลักทางด้านใต้ (PH - RB -3A) ส่วนถนนยกระดับ (ระยะทางประมาณ ๖๐๐ เมตร) ตามโครงการพัฒนาเมืองหลัก รอบที่ ๒ ระยะแรก ของเทศบาลนครภูเก็ต ๒.๗ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านพัฒนาแหล่งน้ำต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการชลประทานพิษณุโลกฝั่งซ้าย ระยะที่ ๒ จังหวัดพิษณุโลก ของกรมชลประทาน ๒.๘ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านพัฒนาแหล่งน้ำต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำอ่างเก็บน้ำลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ของกรมชลประทาน โดยให้กรมชลประทานดำเนินการ ๒.๙ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมเอกชนต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติเชื่อมต่อในทะเลจากแหล่งปลาทองและบงกชใต้ไปยังท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เส้นที่ ๓ ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ๒.๑๐ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมเอกชนต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการโรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ ๒ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๒.๑๑ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงงานกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และเรื่อง กำหนดให้โรงงานกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่จะต้องควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียออกสู่บรรยากาศ และให้กรมควบคุมมลพิษจัดทำประกาศกระทรวงฯ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป ๒.๑๒ เห็นชอบความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม เกี่ยวกับข้อกำหนดการทดสอบรับรองการให้บริการ (In - service Conformity Check) และระบบวินิจฉัยอุปกรณ์ควบคุมปริมาณสารมลพิษ (On - board Diagnostic System) ตามมาตรฐานยูโร ๔ ๒.๑๓ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งไอน้ำมันเบนซินจากคลังน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้กรมควบคุมมลพิษนำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาลงนามต่อไป ๒.๑๔ เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง กำหนดมาตรฐานก๊าซคาร์บอนไดซัลไฟด์ในบรรยากาศโดยทั่วไป โดยกำหนดมาตรฐานก๊าซคาร์บอนไดซัลไฟด์ ค่าเฉลี่ยในเวลา ๒๔ ชั่วโมง จะต้องไม่เกิน ๑๘๐ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และให้กรมควบคุมมลพิษนำร่างประกาศคณะกรรมการฯ เสนอประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาลงนามต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2896 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการระดับสูงไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ 5 | กห | 13/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการระดับสูงไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๕ เพื่อใช้เป็นกรอบการประชุมและกรอบการเจรจาของคณะกรรมการระดับสูง ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๕ ในวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๔ ณ กรุงเทพฯ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ โดยร่างบันทึกการประชุมฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. การรายงานผลการดำเนินงานหลังจากการประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๔ ที่สำคัญ ได้แก่ ความคืบหน้าในการจัดทำระเบียบปฏิบัติประจำ (Standard Operating Procedure - SOP) การลาดตระเวนร่วมในช่องแคบมะละการะหว่างไทยกับอินโดนีเซีย การขยายความร่วมมือในการช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ (Humanitarian Assistance and Disaster Relief - HA/DR) และการรักษาสันติภาพและการแพทย์ระหว่างไทย - อินโดนีเซีย ๒. การรายงานผลการประชุม ครั้งที่ ๓ ของคณะอนุกรรมการร่วม ๓ คณะ ประกอบด้วย ๒.๑ รายงานผลการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมด้านการข่าว ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๓ ที่สำคัญ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการข่าวเกี่ยวกับ HA/DR และการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๒.๒ รายงานผลการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมด้านยุทธการ ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๓ ที่สำคัญ คือ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในร่างบันทึกความเข้าใจและระเบียบปฏิบัติประจำในการลาดตระเวนร่วมในช่องแคบมะละกา ความร่วมมือด้าน HA/DR และการรักษาสันติภาพ รวมทั้งการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ๒.๓ รายงานผลการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมด้านการฝึกและศึกษา ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๓ ที่สำคัญ คือ คงความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนการดูงานและเยี่ยมเยือนสถาบันทางทหารโดยอากาศยานทหารของทั้งสองประเทศ ซึ่งเริ่มดำเนินการเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ ต่อไป รวมทั้งจะกระชับความร่วมมือด้านการฝึกและศึกษาตามกรอบความร่วมมือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประเทศคู่เจรจา ๕ ด้าน ได้แก่ ความร่วมมือด้าน HA/DR การรักษาความมั่นคงทางทะเล การรักษาสันติภาพ การแพทย์ทหาร และการต่อต้านการก่อการร้าย ๓. การรายงานแผนการประชุมคณะกรรมการระดับสูงและคณะอนุกรรมการร่วมทั้ง ๓ คณะ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2897 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิและขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พร้อมทั้งเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาควบคุมงาน | กษ | 13/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ จากเดิม ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๕๓) เป็น ๗ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๕๔) เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันฯ รายการค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างโครงการระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ๑.๒ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างโครงการระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๕๓ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๕๔ พร้อมทั้งเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณจากวงเงินตามสัญญาเดิม ๑๘๑,๑๗๙,๑๑๙.๖๐ บาท เป็นวงเงิน ๒๑๓,๐๐๑,๘๑๙.๖๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2898 | การขออนุมัติคณะรัฐมนตรีในการใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการในสัญญา First Amendment to the Dispute Resolution Agreement ระหว่างบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กับกลุ่มสายการบิน Star Alliance | คค | 13/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการในสัญญา First Amendment to the Dispute Resolution Agreement กับกลุ่มสายการบิน Star Alliance เพื่อแก้ไขสัญญาฉบับเดิม คือ Dispute Resolution Agreement ที่ บกท. เคยลงนามไปแล้วอันเป็นสัญญาเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทอันเนื่องมาจากข้อพิพาทตามสัญญาที่เกี่ยวกับ Star Alliance โดยมีการปรับปรุงเพิ่มเติมรายละเอียดสัญญาเดิมบางประการ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับเรื่องการใช้วิธีการระงับข้อพิพาทโดยการอนุญาโตตุลาการไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อกำหนดแนวทาง/วิธีปฏิบัติของหน่วยงานฝ่ายไทยให้เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางการขอตั้งอนุญาโตตุลาการ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2899 | แนวทางปฏิบัติในการชี้แจงต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 16 มิถุนายน 2552) | นร | 25/08/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการชี้แจงต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี) ต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2900 | ขอความเห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553 (เรื่อง การปรับปรุงแนวทางการนำหนังสือตอบความเห็นของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี) ต่อไป | นร | 25/08/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การปรับปรุงแนวทางการนำหนังสือตอบความเห็นของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี) โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐส่งหนังสือเสนอความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอย่างช้าก่อนเวลาเริ่มการประชุมคณะรัฐมนตรี (ปกติกำหนดเวลา ๙.๐๐ น.) เพื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้จัดทำสำเนาแจกที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หากเลยกำหนดเวลาดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดทำสำเนาแจกที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เฉพาะกรณีที่รัฐมนตรีหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่มีข้อเสนอแนะหรือความเห็นได้นำเสนอข้อเสนอแนะหรือความเห็นนั้นในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
