ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 134 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2661 - 2680 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2661 | ข้อเสนอ แนวทาง มาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในรูปแบบแรงงานประมง | พม | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยคณะกรรมการฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบข้อเสนอ แนวทาง มาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมง และแนวทางการจัดตั้งศูนย์ประสานแรงงานประมง เพื่อสกัดกั้นและขจัดขบวนการการค้ามนุษย์ ในรูปแบบแรงงานประมง ประกอบด้วยประเด็นสำคัญ ๓ เรื่อง ดังนี้ ๑.๑.๑ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ และข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับตัวเรือ บุคคลบนเรือ ให้สอดคล้องกับวิธีการทำประมงของไทย ได้แก่ การปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ข้อ ๒ และข้อ ๔ การปรับปรุงพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ มาตรา ๒๘๕-๒๙๐ ว่าด้วยการจ้างและเลิกจ้างคนทำงานบนเรือ การปรับปรุงตำแหน่งหน้าที่และเอกสารรับรองคุณสมบัติคนบนเรือให้สอดคล้องกับศักยภาพขั้นต่ำและประสบการณ์ของแรงงานไทย และการปรับปรุงวิธีการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว ตามเงื่อนไขของบันทึกความเข้าใจทวิภาคีกับประเทศเพื่อนบ้าน ๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์) และคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าว ๑.๑.๒ การบังคับใช้กฎระเบียบและการตรวจสอบ ได้แก่ การดำเนินคดีกับสาย/นายหน้าที่หลอกลวงคนหางาน ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ การควบคุมเรือเข้า-ออกท่า การจัดระเบียบเรือประมงเข้าระบบอย่างถูกต้อง ทั้งตัวเรือ และตัวบุคคลบนเรือ การตรวจสอบเรือประมง คนทำงานบนเรือ และอุปกรณ์การทำงาน ให้เป็นไปตามกฎหมาย และกฎระเบียบต่าง ๆ การติดตั้งหรือพัฒนาระบบเพื่อใช้ในการบอกตำแหน่งเรือ/ติดตามเรือประมง การสร้างความเข้าใจในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้กับผู้เกี่ยวข้องในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รูปแบบแรงงานประมง และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อต้านและเฝ้าระวังการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการผลักดันแรงงานอพยพไปทำงานในประเทศปลายทาง ๑.๑.๓ การแก้ไขการขาดแคลนแรงงานและการบังคับใช้แรงงานที่นำไปสู่การค้ามนุษย์ ได้แก่ การทบทวนและปรับปรุงบันทึกความเข้าใจทวิภาคีกับประเทศเพื่อนบ้าน ๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์) เกี่ยวกับขั้นตอน ค่าธรรมเนียม และการเตรียมความพร้อมในการทำงานตามลักษณะ/สภาพงาน เพื่อให้สามารถรองรับแรงงานย้ายถิ่น การสร้างมาตรฐานลักษณะการปฏิบัติงานและการดำรงชีวิตบนเรือ/ในโรงงานอุตสาหกรรม การส่งเสริมให้มีการใช้จรรยาบรรณของผู้ประกอบการภาคประมง การส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างเทคโนโลยีลดจำนวนการใช้แรงงานบนเรือ และการจัดตั้งศูนย์ประสานแรงงานประมง เป็นโครงการนำร่อง ๗ ศูนย์ (ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ระยอง ตราด ชุมพร สงขลา ระนอง และสตูล) ที่จะนำแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย และได้รับอนุญาตให้ทำงานเฉพาะกิจการบนเรือประมงเท่านั้น โดยมีระบบการควบคุม ตรวจสอบ คุ้มครองแรงงาน ให้ความรู้เรื่องสิทธิที่พึงจะได้รับแก่นายจ้างและลูกจ้าง จัดทำข้อตกลงการจ้างที่ชัดเจน ฯลฯ ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมเจ้าท่า กรมการจัดหางาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตำรวจน้ำ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์) สำนักงานอัยการสูงสุด กองทัพเรือ กรมประมง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เร่งดำเนินการตามข้อเสนอ แนวทาง มาตรการดังกล่าว และดำเนินการจัดตั้งศูนย์ประสานแรงงานประมง เพื่อสกัดกั้นและขจัดขบวนการการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกต/ข้อเสนอแนะของที่ประชุมคณะกรรมการฯ ไปประกอบการดำเนินงานด้วย ๑.๓ รายงานผลการดำเนินงานและความคืบหน้าให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทราบภายใน ๖ เดือน เพื่อรวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินงานของกรมเจ้าท่า โดยการจัดหลักสูตรสำหรับผู้ควบคุมเรือกลประมงโดยเฉพาะให้สามารถสอบประเมินความรู้เพื่อรับประกาศนียบัตรตามข้อบังคับกรมเจ้าท่าว่าด้วยการสอบความรู้ผู้ทำการในเรือ พ.ศ. ๒๕๓๒ รวมทั้งการออกมาตรการเพื่อให้เรือประมงทะเล โดยเฉพาะเรือประมงทะเลลึกที่มีเขตการเดินเรือไปต่างประเทศมาทำสัญญาคนประจำเรือกับกรมเจ้าท่า เพื่อช่วยในการตรวจสอบติดตามข้อมูลของคนประจำเรือ ซึ่งมาตรการดังกล่าวควรมีการหารือร่วมกันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อกำหนดแนวทางที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ดำเนินการได้จริง และเกิดผลในทางปฏิบัติ สำหรับการติดตั้งหรือพัฒนาระบบเพื่อใช้ในการบอกตำแหน่งเรือ/ติดตามเรือประมง โดยการใช้เทคโนโลยี Global Positioning System (GPS) ร่วมกับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากในบางพื้นที่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่อาจไม่ครอบคลุม ควรมีการสนับสนุนให้เกิดการขยายบริการของเครือข่ายดังกล่าวให้ครอบคลุมในอนาคต เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากการติดตั้งหรือพัฒนาระบบเพื่อใช้การบอกตำแหน่งเรือ/ติดตามเรือประมงได้อย่างเต็มที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2662 | การฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี 2555 | นร08 | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ (Crisis Management Exercise 2012 : C-MEX 12) ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการเพื่อพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมของประเทศต่อไป ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. วัตถุประสงค์ของการฝึกการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ เพื่อทดสอบนโยบาย แผน แนวทาง มาตรการการบริหารจัดการสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่งในกรอบแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แผนปฏิบัติการการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการระดับกระทรวง และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด รวมทั้งเพื่อทดสอบระบบบัญชาการเหตุการณ์ของหน่วยงานรัฐ และเพื่อพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติในกรอบนโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ ๒. การฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ บรรลุผลตามเป้าหมาย สามารถประมวลผลการฝึกซ้อมในภาพรวมจากการมอบนโยบายของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) การเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิในการบรรยายและจากการปฏิบัติในการฝึกของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๒.๑ ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดภัย และความสามารถในการจัดการเมื่อเกิดภัย ในกรอบนโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ และนโยบายความมั่นคงแห่งชาติด้วยการจัดการเตรียมความพร้อมที่เกี่ยวข้องทั้งบุคลากร เครื่องมือ เครื่องใช้ในการกู้ภัย การปรับปรุงกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ระบบงบประมาณ ให้เอื้อต่อการป้องกันและระงับภัย ๒.๒ ให้ทุกหน่วยงานได้ตระหนักว่า การเตรียมพร้อมในเชิงป้องกันหรือเชิงรุกตั้งแต่ในภาวะปกติ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่หน่วยงานของรัฐควรจะได้มีการจัดทำแผนรองรับที่มุ่งเน้นภารกิจงานในเชิงป้องกันเหตุ ๒.๓ ให้ทุกหน่วยงานได้ให้ความสำคัญต่อการมีระบบบัญชาการที่เป็นหนึ่งเดียว (Single Command) และการมีระบบฐานข้อมูลกลางที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อประกอบการบัญชาการเหตุการณ์ในแต่ละระดับความรุนแรงของภัยที่เกิดขึ้น ๒.๔. ให้ทุกหน่วยงานได้ให้การสนับสนุนกระทรวงมหาดไทยในการจัดตั้งศูนย์อำนวยการร่วมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ๒.๕ ให้หน่วยงานของรัฐโดยเฉพาะหน่วยงานระดับจังหวัดได้กำหนดแผนงาน/โครงการ ในการเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมและองค์ความรู้เพื่อพัฒนาระบบป้องกันตนเองและการจัดการภัยในเบื้องต้นอย่างถูกวิธี ๒.๖ ให้ทุกหน่วยงานได้จัดการฝึกซ้อมในพื้นที่ทั้งทางบกและทางทะเล ตั้งแต่ระดับตำบล อำเภอ จังหวัด จนถึงการฝึกซ้อมที่เชื่อมประสานกับการปฏิบัติการของระดับกระทรวงและระดับชาติ เพื่อทดสอบแผนและระบบให้พร้อมนำมาใช้งานได้เมื่อเกิดสถานการณ์จริง ๒.๗ ให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบได้จัดเตรียมความพร้อมในเรื่องเกี่ยวกับระบบแจ้งเตือนภัย การให้ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้อง การประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสารในยามวิกฤติ การจัดเตรียมชุดเผชิญสถานการณ์ฉุกเฉินด้านการกู้ชีพ กู้ภัย การเก็บกู้วัตถุอันตราย การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม แผนที่อพยพ เส้นทางคมนาคมขนส่งลำเลียงสิ่งของและผู้คนที่อพยพ การดูแลศูนย์อพยพและระบบการกระจายสิ่งของที่ได้รับบริจาค การรักษาความปลอดภัย การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล การมีระบบสื่อสารให้ใช้การได้ทุกเวลา รวมถึงจัดให้มีระบบเลขหมายฉุกเฉินหมายเลขเดียวทั่วประเทศ และการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่าและทันกับเหตุการณ์ เพื่อผนึกกำลังทุกภาคส่วนในการเตรียมความพร้อมของชาติ ๓. การประเมินผลการฝึกเบื้องต้น (Hot Wash) ผู้รับการฝึกและนักวิชาการได้แสดงความคิดเห็นเพื่อจัดทำเป็นบทเรียนและนำไปพัฒนาระบบการฝึกซ้อมของหน่วยงานต่าง ๆ ในระยะต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2663 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือระบบราง ซึ่งรวมถึงระบบรถไฟความเร็วสูงและระบบรางในเขตเมือง ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น | คค | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือระบบราง ซึ่งรวมถึงระบบรถไฟความเร็วสูงและระบบรางในเขตเมือง ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม และเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงคมนาคมสามารถดำเนินการได้ โดยประสานกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง สำหรับสาระสำคัญของร่างบันทึกแสดงเจตจำนงฯ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ หลักการโดยทั่วไป เป็นการยืนยันความตั้งใจและเจตนารมณ์ที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการส่งเสริมในประเด็นที่มีความสนใจร่วมกัน โดยการแลกเปลี่ยนนโยบายและประสบการณ์ในสาขาการขนส่งทั้งรถไฟความเร็วสูงและระบบรางในเขตเมือง และขยายความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางรางของทั้งสองฝ่าย ๑.๑.๒ สาขาความร่วมมือ ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมกิจกรรมความร่วมมือในสาขา ดังต่อไปนี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลในสาขาการขนส่งทางรางระหว่างสองฝ่าย รวมทั้งความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้ในเรื่องดังกล่าว การแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาและการฝึกอบรมให้แก่ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และเจ้าหน้าที่เทคนิคในสาขาการขนส่งทางราง รวมทั้งการร่วมกันจัดการสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ และการประชุมอื่น ๆ ซึ่งเป็นที่สนใจร่วมกันในสาขาการขนส่งทางราง ๑.๑.๓ การจัดตั้งคณะทำงาน ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะทำงานด้านรถไฟขึ้นเพื่อชี้แนะ ดำเนินงาน ทบทวน และประสานความร่วมมือในสาขาที่กำหนดในบันทึกฯ โดยคณะทำงานประกอบด้วยผู้มีอำนาจหน้าที่ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งแต่งตั้งโดยแต่ละฝ่าย ๑.๑.๔ ระยะเวลาและการปรับปรุงแก้ไข บันทึกแสดงเจตจำนงฯ จะมีระยะเวลา ๓ ปีนับจากวันที่ลงนาม และจะมีผลโดยอัตโนมัติอีก ๓ ปี หากไม่มีการแจ้งขอยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน ๖ เดือน โดยทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และจะสามารถได้รับการปรับปรุงแก้ไขโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายเป็นลายลักษณ์อักษร ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับถ้อยคำของร่างบันทึกแสดงเจตจำนงฯ ควรใช้ถ้อยคำที่รัดกุม ไม่ควรมีข้อความใดที่ผูกมัดไทยในเชิงนโยบาย ส่วนจัดตั้งคณะทำงานด้านระบบราง (Railway Working Group) ควรมีการประสานข้อมูลและรายงานการดำเนินการต่อคณะทำงานร่วมไทย-ญี่ปุ่นด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จัดตั้งขึ้นตามผลการเยือนญี่ปุ่นของนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ด้วย เพื่อบูรณาการการทำงานของฝ่ายไทยให้เป็นเอกภาพ สำหรับการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านพัฒนาระบบราง ควรกำหนดประเด็นที่ต้องการให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทยในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2664 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ในท้องที่เขตห้วยขวาง เขตวัฒนา และเขตสาทร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | คค | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ในท้องที่เขตห้วยขวาง เขตวัฒนา และเขตสาทร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมตามข้อสังเกตดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนของข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีดังนี้
๑. ที่ดินจำนวน ๑๗ แปลงที่ต้องตกอยู่ภายใต้ภาระในอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่เจ้าของหรือผู้ครอบครองจะเป็นนิติบุคคลรูปแบบของบริษัท ซึ่งอาจมีความจำเป็นต้องขยาย หรือปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมตามการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต เหตุที่ทำความตกลงกันไม่ได้อาจเกิดจากการกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นธรรม และการกำหนดเงินค่าทดแทนควรมีการกำหนดจำนวนในลักษณะที่เป็นค่าเสียหายในอนาคตไว้ด้วย ๒. หลักเกณฑ์การกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนควรกำหนดให้มีความเหมาะสมตามสภาวะทางเศรษฐกิจ ทำเลที่ตั้งของที่ดิน ราคาซื้อขายในท้องตลาด ดังนั้น ควรมีการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนให้มีความเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเหมาะสม รวมทั้งเป็นแนวทางการดำเนินงานที่ไม่ก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประชาชนกับภาครัฐในอนาคตและทำให้โครงการก่อสร้างเพื่อระบบขนส่งมวลชนไม่เกิดความล่าช้า อีกทั้งที่ทำให้จำนวนเรื่องการอุทธรณ์คำสั่ง จำนวนเงินค่าทดแทน หรือข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับภาครัฐลดลง ก่อให้เกิดทัศนคติที่ดีของประชาชนต่อการใช้อำนาจปกครองของภาครัฐ ซึ่งเป็นไปตามหลักของการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ทั้งจะเกิดความร่วมมือของประชาชนกับภาครัฐ ในโครงการอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ๓. การตราพระราชบัญญัติเพื่อกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์ของเอกชนมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ในการขนส่งมวลชนสาธารณะ โดยกระบวนการก่อนมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติ รัฐบาลผู้ใช้อำนาจฝ่ายบริหารควรมีการกลั่นกรองการปฏิบัติของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติที่จะได้รับ ว่ามีความคุ้มค่ากับการที่ประชาชนส่วนหนึ่งที่ถูกระทบสิทธิในทรัพย์สินของตนหรือไม่
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2665 | รายงานผลการดำเนินการ กรณีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามมาตรา 61 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามมาตรา 61 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550) | สสป | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตีรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานศาลยุติธรรม เรื่อง "องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามมาตรา ๖๑ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐" โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การเร่งรัดการตราพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค โดยนำร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. .... ที่ได้ผ่านวุฒิสภา และได้ส่งให้สภาผู้แทนราษฎรแล้ว เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาในรัฐสภา และมีกฎหมายออกบังคับใช้โดยเร็ว เพื่อให้เป็นไปตามบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตา ๖๑ ที่กำหนดให้มีการดำเนินการ ภายหลังรัฐบาลประกาศนโยบายไม่เกิน ๑ ปี ๒. การเป็นผู้นำระดับอาเซียนในการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเร่งรัดและสนับสนุนให้มีการพิจารณา เพื่อผ่านร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค อันเป็นหลักประกันแก่ผู้บริโภคไทย และเป็นแบบอย่างเชิงสัญลักษณ์ของความเป็นผู้นำในประเทศต่าง ๆ ในประชาคมอาเซียน และในระดับนานาชาติต่อไป ๓. การแสดงเจตจำนงในการสนับสนุนบทบาทของภาคประชาชนในการเสนอร่างกฎหมายสู่รัฐสภาอย่างจริงจัง การผ่านพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค จะทำให้เจตจำนงดังกล่าวได้รับการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายฉบับแรกที่มีการเสนอรายชื่อ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ราย โดยภาคประชาชน และรัฐบาลได้ให้การรับรองเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ๔. การเร่งสร้างความเข้าในเรื่ององค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคให้ประชาชน และผู้บริโภคทราบ โดยให้มีการดำเนินการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนากลไกรับฟังความคิดเห็นในการกำหนดนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค สนับสนุนให้เกิดการปฏิบัติการจำลองขององค์กรผู้บริโภค นำร่องการบริหารจัดการเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคในรูปแบบองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค และสนับสนุนให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสนับสนุนงบประมาณและดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภค ร่วมกับองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ ในฐานะเครือข่ายทำงานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในทุกระดับ ๕. การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาในปัจจุบันในประเด็นการขยายสิทธิผู้บริโภคในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้สอดคล้องกับแนวทางการคุ้มครองผู้บริโภคของสหประชาชาติ และสภาพปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภคในปัจจุบัน การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และคณะกรรมการเฉพาะเรื่องให้มีตัวแทนผู้บริโภคในสัดส่วนที่เหมาะสม ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นหน่วยงานกลางที่ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จในการจัดการ และประสานงาน ชี้แจงผลการดำเนินการให้ผู้บริโภครับทราบผล เพื่อลดภาระต้นทุนในการร้องเรียนของผู้บริโภค จากการที่ต้องเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เมื่อเรื่องที่ร้องเรียนไม่ตรงกับความรับผิดชอบของหน่วยงาน การกำหนดให้สมาคมและมูลนิธิได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม ในการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิผู้บริโภค การกำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่ไม่เป็นนิติบุคคลให้มีบทบาทในการคุ้มครองผู้บริโภค การปรับปรุงมาตรการจัดการสินค้าที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค การเพิ่มการคุ้มครองผู้บริโภคด้านบริการที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค การยกระดับการคุ้มคอรงผู้บริโภคด้านโฆษณา ให้มีกระบวนการระงับข้อพิพาท เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการชดเชยที่รวดเร็วและเป็นธรรม และการปรับปรุงบทกำหนดโทษ โดยเพิ่มเพดานโทษสูงสุดให้เหมาะสมกับระดับความเสียหายและสภาวการณ์ในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีผู้ประกอบธุรกิจที่ก่อปัญหาซ้ำซาก
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2666 | ผลการสำรวจครัวเรือนที่ประสบภัยในพื้นที่น้ำท่วมช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม พ.ศ. 2554 | ทก | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจครัวเรือนที่ประสบภัยในพื้นที่น้ำท่วม ช่วงเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเทศไทยมีพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมใน ๖๑ จังหวัด โดยมีครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวรวม ๕.๓ ล้านครัวเรือน หรือ ๑๗.๖ ล้านคน ในจำนวนนี้มีครัวเรือนถูกน้ำท่วม ร้อยละ ๗๓.๗ โดยเป็นน้ำท่วมตัวบ้าน ร้อยละ ๔๕.๖ และท่วมบริเวณรอบ ๆ ตัวบ้านอย่างเดียว ร้อยละ ๒๘.๑ ๒. ความรุนแรงของน้ำท่วม พิจารณาจากระยะเวลาและความสูงของน้ำท่วม พบว่า น้ำท่วมขังในและรอบ ๆ บริเวณบ้านเฉลี่ย ๒๕-๒๗ วัน และน้ำท่วมสูงเฉลี่ย ๘๗-๘๘ เซนติเมตร โดยครัวเรือนที่ถูกน้ำท่วมขังนานกว่า ๓๐ วัน และสูงกว่า ๑๒๐ เซนติเมตร พบในกรุงเทพมหานครและภาคกลางมากกว่าภาคอื่น ๓. ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ร้อยละ ๕๗.๑ มีการเตรียมตัวรับมือกับน้ำท่วม เช่น การยกของขึ้นที่สูง ร้อยละ ๔๘.๘ การกั้นถุงทราย การสำรองของกินของใช้ และการป้องกันพาหนะเสียหายมีประมาณร้อยละ ๑๗-๓๐ และมีการเตรียมการด้านการเจ็บป่วยประมาณร้อยละ ๑๖ เช่น การเตรียมยาสามัญ อุปกรณ์การปฐมพยาบาล และยารักษาโรคประจำตัว และจากการสำรวจ พบว่า รายได้เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการเตรียมตัว โดยครัวเรือนที่มีรายได้สูงจะมีการเตรียมตัวมากกว่า โดยครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัวเฉลี่ยในช่วงก่อนน้ำท่วม ๕,๙๐๔ บาท และช่วงน้ำท่วม ๘,๔๑๙ บาท ๔. ในช่วงน้ำท่วม เมื่อพิจารณาถึงความพร้อมในการเอาชีวิตรอด พบว่า ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ร้อยละ ๕๑.๑ ว่ายน้ำไม่เป็น มีเพียงร้อยละ ๑๘.๖ ที่ว่ายน้ำได้ตามมาตรฐานสากล (ว่ายน้ำขึ้นตลิ่งฝั่งตรงข้ามที่มีระยะทาง ๒๕ เมตรได้ในขณะสวมใส่เสื้อผ้าตามปกติ) ส่วนผู้ที่ว่ายน้ำได้น้อยกว่า ๒๕ เมตร มีร้อยละ ๒๖.๔ (ระยะทางเฉลี่ย ๘.๔๙ เมตร) และมีเพียงร้อยละ ๓.๗ ที่ช่วยเหลือตัวเองได้แค่เพียงลอยคอ/พยุงตัวในน้ำได้ ๕. ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ร้อยละ ๗๒.๗ ได้รับการแจ้งข้อมูลข่าวสารเฝ้าระวังก่อนที่น้ำจะท่วม และในช่วงน้ำท่วมมีผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมอพยพออกไปอยู่ที่อื่น ร้อยละ ๑๘.๐ ส่วนใหญ่เป็นการอพยพทั้งครัวเรือน ร้อยละ ๑๕.๒ โดยอพยพออกไปเฉลี่ยนานกว่า ๑ เดือน (๓๙ วัน) สำหรับผู้ที่ไม่อพยพให้เหตุผลว่ายังอาศัยอยู่ได้ เป็นห่วงบ้าน/ทรัพย์สิน คิดว่าท่วมไม่นาน/ไม่ท่วม ไม่มีที่ไป/ไม่มีเงิน และมีคนชรา/เด็ก/คนป่วย/คนพิการ เป็นต้น ๖. ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ และสังคม อาทิ การทำงานแบบเต็มเวลาของสมาชิกในครัวเรือนหลังน้ำท่วม ลดลงจากก่อนน้ำท่วม ร้อยละ ๕.๘ ขณะที่การทำงานแบบไม่เต็มเวลา และการตกงานเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๔.๑ และ ๑.๗ ตามลำดับ ทำให้รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในทุกภาคลดลงจากช่วงก่อนน้ำท่วมประมาณร้อยละ ๑๐ การสูญเสียรายได้จากการประกอบอาชีพหรือกิจการขาดทุนที่เกิดจากน้ำท่วมเฉลี่ย ๑๒,๒๓๐ บาท และ ๙,๘๗๑ บาท ตามลำดับ สาเหตุจากการหยุดขาย/หยุดประกอบการ ร้อยละ ๖๕-๗๖ สินค้าเสียหาย ร้อยละ ๑๕-๒๒ ตามลำดับ ทรัพย์สินในครัวเรือนที่ถูกน้ำท่วม เช่น ที่อยู่อาศัย รถยนต์/รถจักรยานยนต์ เครื่องใช้/สิ่งอำนวยความสะดวก และอุปกรณ์การประกอบอาชีพได้รับความเสียหาย รวมทั้งปัญหาการไปใช้บริการทางการแพทย์ และปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยและการกำจัดสิ่งปฏิกูล เป็นต้น ๗. การติดต่อขอความช่วยเหลือบริการทางการแพทย์ ช่องทางที่ครัวเรือนทราบมากที่สุด คือ รถฉุกเฉิน เช่น รถ อบต./โรงพยาบาล/มูลนิธิ ร้อยละ ๕๕.๐ รองลงมา ได้แก่ สายด่วน ๑๖๖๙ ร้อยละ ๔๗.๓ ๘. ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมมากกว่าร้อยละ ๘๐ มีความพึงพอใจต่อการดำเนินงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในทุกเรื่อง ได้แก่ การป้องกันและกู้เส้นทางสายหลักเพื่อใช้ในการคมนาคม ร้อยละ ๘๗.๐ การให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วม ร้อยละ ๘๖.๕ การใช้แรงดันเรือ/เครื่องในการดันน้ำ ร้อยละ ๘๕.๘ การปรับปรุงสาธารณูปโภค ร้อยละ ๘๕.๖ การระบายน้ำออกจากพื้นที่และการใช้ถุงทราย/คันกั้นน้ำชะลอการไหลของน้ำเข้าท่วมพื้นที่ ร้อยละ ๘๔.๙ และการควบคุมการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ ร้อยละ ๘๔.๑ ๙. ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมเห็นว่าสิ่งของที่ควรบรรจุอยู่ในถุงยังชีพมากที่สุด คือ อาหารกระป๋อง ร้อยละ ๙๖.๑ น้ำดื่ม ร้อยละ ๙๔.๖ ข้าวสาร ร้อยละ ๙๔.๕ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ร้อยละ ๘๖.๙ ยาสามัญประจำบ้าน ร้อยละ ๘๒.๐ ไฟฉาย ร้อยละ ๗๐.๓ และนมกล่อง ร้อยละ ๕๑.๐ ส่วนอื่น ๆ เช่น นมผง ผ้าอนามัย ฯลฯ มีไม่เกินร้อยละ ๔๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2667 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในพื้นที่น้ำจืด) | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการ ๑.๑ กรมประมงได้จัดทำแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทย ระยะเวลา ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๙) อยู่ระหว่างการปรับปรุงเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ แผนแม่บทดังกล่าว ภายใต้กลยุทธ์วิจัยและพัฒนาศักยภาพของพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ประกอบด้วย โครงการวิจัยศักยภาพของพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ โครงการวิจัยและพัฒนาพื้นที่ดินเค็มเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และโครงการศึกษาวิจัยผลกระทบจากการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด ๑.๒ กรมประมงและกรมพัฒนาที่ดินได้ร่วมกันร่างหลักเกณฑ์ในการกำหนดเขตพื้นที่ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดใหม่ โดยกำหนดค่าความเค็มของดิน น้ำ และลักษณะทางกายภาพของพื้นที่น้ำจืด รวมทั้งให้มีคณะทำงานวิชาการระดับจังหวัดกำหนดพื้นที่ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ สำหรับพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยใช้ความเค็มที่มีอยู่ในปัจจุบัน กำหนดให้มีมาตรการในการควบคุม โดยการขึ้นทะเบียนขออนุญาตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ห้ามมิให้มีการขยายพื้นที่เลี้ยงจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งร่างหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ กรมประมงได้จัดทำร่างโครงการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด โดยมีแนวทางให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบกรณีต้องการปรับเปลี่ยนไปเลี้ยงสัตว์น้ำชนิดอื่นในพื้นที่เดิม และกรณีต้องการเลิกอาชีพการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมเพื่อไปประกอบอาชีพอื่น นอกจากนี้ ได้เตรียมการจัดทำโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด รวมทั้งเตรียมการจัดประชุมสัมมนาผู้เชี่ยวชาญในทุกภาคส่วนในโซ่อุปทานการผลิตกุ้งขาวแวนนาไม (Expert Approach) เพื่อให้ได้ข้อมูลรายละเอียดการศึกษาผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจน ภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ๒. อุปสรรคในการดำเนินการมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด เช่น การออกคำสั่งระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด ไม่มีข้อมูลทางวิชาการด้านผลกระทบของการใช้ความเค็มต่อสิ่งแวดล้อมมาสนับสนุนอย่างชัดเจน รวมทั้งความไม่ชัดเจนในเรื่องข้อมูลวิชาการเกี่ยวกับผลกระทบของความเค็มจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไม เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2668 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 เพิ่มเติม จากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | ศป | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานศาลปกครองเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔๘,๗๐๙,๕๗๕ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรของข้าราชการฝ่ายปกครอง ลูกจ้างประจำ พนักงานราชการศาลปกครอง และลูกจ้างชั่วคราว ในส่วนที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) ที่เห็นชอบให้ปรับเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่ ก.พ. รับรอง เพื่อการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือน ที่สำนักงาน ก.พ. กำหนด สำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายน ๒๕๕๕ จำนวน ๕๖,๒๙๐,๔๒๕ บาท ให้สำนักงานศาลปกครองปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานศาลปกครองรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า ตามที่สำนักงานศาลปกครองได้ออกระเบียบเกี่ยวกับการจ่ายเงินเพิ่มที่นอกเหนือจากเงินเดือนให้แก่บุคลากรของสำนักงานศาลปกครองก่อนที่จะมีการปรับเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาดังกล่าว เมื่อมีการปรับเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาซึ่งทำให้บุคลากรมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้ว ก็ควรจะมีการพิจารณาทบทวนการกำหนดอัตราเงินเพิ่มอื่นที่นอกเหนือจากเงินเดือนให้แก่บุคลากรของสำนักงานศาลปกครองที่มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ อีกครั้ง เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและมิให้เกิดผลกระทบต่อการบริหารจัดการงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่ได้รับจัดสรรในแต่ละปี |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2669 | การปรับปรุงองค์ประกอบของกรรมการ (คณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบและคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ) | นร | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการปรับปรุงองค์ประกอบของกรรมการ ในคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. แต่งตั้งรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ แทนรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ๒. แต่งตั้งรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ แทนรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ๓. แต่งตั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นรองประธานกรรมการ ในคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2670 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 10/2555 | วท | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า การพิจารณาความเหมาะสมและจำเป็นเร่งด่วนของโครงการต่าง ๆ เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยนั้น ควรยึดหลักการในการพิจารณาด้วยว่า
๑. เป็นโครงการต่อเนื่องหรือเชื่อมโยงกับโครงการ/งานเดิมที่ได้รับอนุมัติ และเริ่มดำเนินการไปแล้ว และจำเป็นที่จะต้องได้รับอนุมัติโครงการเพิ่มเติมเพื่อให้การป้องกันหรือแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ของโครงการแล้วเสร็จ ครบถ้วน เป็นระบบ โดยหากไม่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการดังกล่าวเพิ่มเติมจะมีผลทำให้โครงการที่ได้ดำเนินการไปก่อนแล้ว ไม่เกิดประโยชน์หรือไม่สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร หรือ ๒. เป็นโครงการใหม่ที่จำเป็นเร่งด่วนจะต้องดำเนินการเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย และมิได้เป็นโครงการซึ่งอยู่ในกรอบแนวคิด (Conceptual Plan) เพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย โดยหากเป็นโครงการที่อยู่ในกรอบแนวคิดฯ อยู่แล้ว ก็สมควรรอไว้ดำเนินการตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยต่อไป โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรับไปพิจารณาทบทวนในคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย โดยยึดตามหลักการข้างต้นให้ครอบคลุมถึงโครงการติดตั้งสถานีสูบน้ำคลองพระพิมล ๒ โครงการปรับปรุงคันคลองชัยนาท-ป่าสักฝั่งซ้าย กม. ๙๑+๑๐๐ ถึง กม. ๑๒๑+๓๘๓ โครงการอาคารประกอบประตูระบายน้ำคลองบางกรวย อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี และโครงการปรับปรุงคันคลองเชียงรากน้อยด้านทิศใต้ ช่วงหนึ่งและช่วงสอง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2671 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 7/2555 | นร11 | 25/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กยอ. เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อรองรับการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงของประเทศ ได้แก่ การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจใหม่เพื่อบริหารกิจการรถไฟความเร็วสูง [รวมโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ARL)] ภายใต้กระทรวงคมนาคม โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นหลัก และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมลงทุนในกิจการ โดยบริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่กำกับดูแลสัญญาสัมปทาน และการโอนกรรมสิทธิ์การใช้พื้นที่เขตทางสำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงให้แก่รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นใหม่ โดยมีการชำระค่าใช้ประโยชน์พื้นที่ให้แก่ รฟท. บนหลักการเดียวกับการขอใช้พื้นที่ในเขตทางของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ เพื่อนำรายได้ไปแก้ไขปัญหาหนี้ของ รฟท. ต่อไป ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ โดยให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังรับข้อเสนอแนวทางดังกล่าวไปประกอบการพิจารณารายละเอียดก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติยื่นหนังสือต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอขยายระยะเวลาการจัดทำคำชี้แจงการดำเนินงานของ กยอ. ต่อศาลปกครองกลาง กรณีสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนกับพวก รวม ๓๙ คน ฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้ดำเนินคดีกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) และ กยอ. ในการสนับสนุนและอนุญาตให้ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอุตสาหกรรมหรือสวนอุตสาหกรรม ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำถาวรเพื่อล้อมรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอุตสาหกรรมหรือสวนอุตสาหกรรม ออกไปอย่างน้อย ๓๐ วัน นับจากวันที่ครบกำหนด พร้อมทั้งยื่นหนังสือขอความอนุเคราะห์สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อทำคำให้การแก้ต่างทางคดีดังกล่าวแทน กยอ. และให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายปรเมธี วิมลศิริ) เป็นผู้แทน กยอ. ในการนำส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการนำพยานบุคคลที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริง และให้ถ้อยคำต่าง ๆ ต่อพนักงานอัยการ และประสานงานกับสำนักงานอัยการสูงสุดจนกว่าการดำเนินการทางคดีจะแล้วเสร็จ ๓. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) โดยกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กับหน่วยงานไปดำเนินการ รวมเป็นเงิน ๔๗,๙๖๓ ล้านบาท และอนุมัติการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น ๒๘,๙๑๘ ล้านบาท ซึ่งแผนงานที่ได้รับอนุมัติไปแล้ว ได้แก่ แผนการดำเนินการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ แผนการป้องกันปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วนในพื้นที่ตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา แผนการฟื้นฟู การอนุรักษ์ป่าและดิน การทำฝาย แผนการพัฒนาประสิทธิภาพการเก็บและการระบายน้ำในพื้นที่รับน้ำนอง และแผนการก่อสร้างระบบป้องกันอุทกภัยสำหรับนิคม/สวน/เขตอุตสาหกรรม สำหรับวงเงินที่เหลือ จำนวน ๓๐๒,๐๓๖ ล้านบาท ได้ประกาศเชิญชวนผู้สนใจร่วมเสนอกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนและระบบการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยในอนาคต ๔. รับทราบความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ณ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ มีผู้ประกอบการในนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการเต็มกำลังการผลิต จำนวน ๔๐๒ ราย เปิดดำเนินการบางส่วน จำนวน ๒๗๙ ราย และยังไม่ได้เปิดดำเนินการ จำนวน ๑๕๘ ราย ส่วนการดำเนินการก่อสร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำคาดว่าจะสามารถสร้างเสร็จได้ทันภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ยกเว้นนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครที่คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๕. รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ โดยผลการรับประกันภัยตั้งแต่ ๒๘ มีนาคม - ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ กลุ่มผู้เอาประกันภัย ได้แก่ บ้านอยู่อาศัย SME และอุตสาหกรรม ได้ออกกรมธรรม์ไปแล้วรวม ๔๗,๐๑๕ ฉบับ ทุนประกันภัยพิบัติรวม ๖,๓๔๑.๙๑ ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรวม ๔๕.๑๙ ล้านบาท ส่วนประมาณการประกันภัยทรัพย์สิน (กันยายน - ธันวาคม ๒๕๕๕) กลุ่มผู้เอาประกันภัย ได้แก่ บ้านอยู่อาศัย SME และอุตสาหกรรม จะมีการออกกรมธรรม์ ๓๖๔,๓๗๒ ฉบับ ทุนประกันภัย ๓,๖๕๕,๖๐๗ ล้านบาท และประมาณการทุนประกันภัย ๔๗๕,๕๕๐ ล้านบาท สำหรับการดำเนินการต่อไป อาทิ การสรรหาที่ปรึกษาด้านการประกันภัยต่อเพื่อทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่กองทุนฯ ในการจัดแผนการประกันภัยต่อที่เหมาะสม การเดินทางไปเจรจากับบริษัทประกันภัยต่อในต่างประเทศเพื่อให้สามารถเจรจาต่อรองเงื่อนไขความคุ้มครองรวมทั้งเบี้ยประกันภัยได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด การดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ และการคัดเลือกบริษัทที่จะได้จ้างดำเนินการวางแผนการประชาสัมพันธ์และการใช้สื่อในรูปแบบต่าง ๆ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2672 | แนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานครในช่วงฝนตกชุก | นร | 25/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) รายงานว่า กระทรวงคมนาคมได้ร่วมหารือกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางและบูรณาการการแก้ไขปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีฝนตกชุกและเกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ให้เป็นรูปธรรม ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย โดยได้มีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรฯ แล้วจะนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไปภายใน ๗ วัน อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น ขอความร่วมมือส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐพิจารณาดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานที่มีที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และมีพื้นที่ที่สามารถรองรับน้ำ หรือช่วยพร่องน้ำได้ เช่น บึง บ่อ คู เป็นต้น ขอให้กักเก็บน้ำไว้ในพื้นที่ที่สามารถรองรับน้ำดังกล่าวไว้ให้เต็มศักยภาพก่อน และหลีกเลี่ยงการสูบหรือระบายน้ำออกมาสู่ลำรางสาธารณะที่อยู่ใกล้กับถนนหรือผิวการจราจรใกล้เคียงในช่วงที่เกิดฝนตก เนื่องจากจะทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมผิวการจราจรมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแนวถนนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำท่วมจากฝนตกชุกอยู่แล้ว เช่น ถนนวิภาวดีรังสิต เป็นต้น ทั้งนี้ ขอให้ชะลอเวลาการสูบหรือระบายน้ำออกจากพื้นที่ของหน่วยงานไปเป็นช่วงภายหลังจากที่ฝนหยุดตกแล้วประมาณ ๑-๒ ชั่วโมง ๑.๒ ให้ทุกหน่วยงานพิจารณาทบทวนมาตรการสลับเวลาทำงานของหน่วยงานของรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๐ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่อง มาตรการสลับเวลาทำงานของหน่วยงานของรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร) เพื่อนำมาใช้ในช่วงวันที่มีฝนตกชุกและอาจเกิดปัญหาน้ำท่วมผิวการจราจรและการจราจรติดขัดตามความจำเป็นเหมาะสมกับสถานการณ์ ที่ตั้งของหน่วยงาน ตลอดจนภารกิจและการปฏิบัติงานของหน่วยงาน ทั้งนี้ โดยต้องไม่เกิดความเสียหายต่องานราชการโดยรวมและการให้บริการประชาชน ๑.๓ ให้ทุกหน่วยงาน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ติดตามข้อมูลและการพยากรณ์สภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางแผนและบริหารจัดการการเดินทางไป-กลับ ให้เหมาะสมและหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงเวลาที่คาดว่าจะเกิดภาวะฝนตก อันจะช่วยให้เกิดความคล่องตัวและบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดได้ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2673 | สถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง | อก | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง กรณีเกิดเหตุก๊าซคลอรีนรั่วไหลจากหน่วยผลิตกรดเกลือ บริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการตรวจสอบใบอนุญาตประกอบกิจการพบว่า บริษัท อดิตยา เบอร์ล่าฯ ได้รับการพิจารณาต่อใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (กนอ. ๐๓/๖ ฉบับต่ออายุครั้งที่ ๓) เลขที่ ๐๕๖/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยได้มีการยื่นรายงานการวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อกรมโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ ซึ่งจากผลการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ความเสี่ยงของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ระบุจุดวิกฤตที่บริษัท อดิตยา เบอร์ล่าฯ จะต้องควบคุม คือ การรั่วไหลของคลอรีนจากถังเก็บ ระบบและอุปกรณ์ ๒. การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้มีข้อสั่งการให้บริษัท อดิตยา เบอร์ล่าฯ ดำเนินการปรับปรุงระบบการควบคุมการ Start up และ Shutdown ในหน่วยผลิตกรดเกลือทั้ง Unit A และ Unit B โดยให้มีระบบควบคุมอัตโนมัติ ซึ่งมีคุณสมบัติสำคัญในการตรวจสอบยืนยันความคืบหน้าของการ Start up และ Shutdown ในแต่ละขั้นตอนก่อนที่จะยินยอมให้ดำเนินการในขั้นต่อไป และให้ปรับปรุงขีดความสามารถของ HCL vent gas scrubber ทั้ง HCL Unit A และ Unit B ให้สามารถรองรับสถานการณ์ที่ไม่ปรกติ ที่มีการ Purge Cl2 ออกจากระบบสูงสุดทาง vent gas scrubber ๓. กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดให้ทุกนิคมอุตสาหกรรมดำเนินการทบทวนมาตรฐานความปลอดภัยของโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม โดยให้มีการทบทวนแผนฉุกเฉินให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ รวมทั้งหลักฐานด้านความปลอดภัย และจัดฝึกซ้อมแผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉินอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง และกำหนดให้ทุกนิคมอุตสาหกรรมต้องมีแผนการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรมและความปลอดภัยและประเมินผลการดำเนินงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2674 | รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีราษฎรและผู้ประกอบกิจการที่พักแก่นักท่องเที่ยวในพื้นที่ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ร้องเรียนกรณีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา | นร01 | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีราษฎรและผู้ประกอบกิจการที่พักแก่นักท่องเที่ยวในพื้นที่ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ร้องเรียนกรณีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งมีความเห็นและข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน ทั้งในพื้นที่อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา และในพื้นที่อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี (กรณีห้างหุ้นส่วนจำกัดบ้านทะเลหมอกรีสอร์ท) ของพนักงานเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว ๒. ในโอกาสต่อไป กรณีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชได้ฟ้องผู้ที่รุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติเป็นคดี และศาลได้มีคำพิพากษาให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของผู้กระทำความผิดที่รุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติแล้ว เห็นควรดำเนินการบังคับคดีดังกล่าวตามวิธีการและขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเคร่งครัด ส่วนกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ผู้กระทำความผิดออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชจะใช้อำนาจเข้าทำลายหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งอื่นใดที่รุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติดังกล่าวตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติฯ เห็นควรให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติฯ โดยเคร่งครัดด้วย ๓. สำหรับการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา และอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงานหลักในการนำข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา และจังหวัดนครราชสีมาที่เสนอให้มีการปรับปรุงแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน ป่าสงวนแห่งชาติ ตลอดจนแนวเขตปฏิรูปที่ดิน มาพิจารณาเพื่อให้เกิดความชัดเจน และมิให้เกิดการทับซ้อนระหว่างที่ดินของเอกชนและที่ดินของรัฐทั้งหลาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2675 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - สเปน | คค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรสเปน และหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรสเปน รวม ๒ ฉบับ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๑.๑ การปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ทั้งสองฝ่ายได้จัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทยและสเปน เป็นเอกสารแนบ ๒ ของบันทึกความเข้าใจ และตกลงที่จะทำเป็นอักษรเข้มใส่วงเล็บในข้อบทที่มีความเห็นต่างกันเพื่อที่จะได้หารือกันต่อไป ทั้งนี้ จนกว่าร่างความตกลงฉบับใหม่นี้จะบรรลุถึงข้อสรุป เจ้าหน้าที่การเดินอากาศของทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะปรับใช้ข้อบทต่าง ๆ ในร่างความตกลงนี้ เท่าที่สามารถกระทำได้ภายใต้ขอบเขตของอำนาจของตนเป็นการชั่วคราว ๑.๑.๒ การกำหนดสายการบิน ทั้งสองฝ่ายตกลงให้กำหนดสายการบินที่กำหนดได้หลายสายการบินแทนการกำหนดสายการบินที่กำหนดได้สายการบินเดียว ๑.๑.๓ ใบพิกัดเส้นทางบิน ทั้งสองฝ่ายตกลงกันดังต่อไปนี้ เส้นทางบินที่จะดำเนินบริการเดินอากาศโดยสายการบินที่กำหนดของราชอาณาจักรสเปน ดังนี้ จุดต่าง ๆ ในสเปน-จุดระหว่างทางต่าง ๆ-จุดต่าง ๆ ในไทย-สามจุดพ้น และกลับ และเส้นทางบินที่จะดำเนินบริการเดินอากาศโดยสายการบินที่กำหนดของราชอาณาจักรไทย ดังนี้ จุดต่าง ๆ ในไทย-จุดระหว่างทางต่าง ๆ-จุดต่าง ๆ ในสเปน-สามจุดพ้น และกลับ ๑.๑.๔ ความจุความถี่ และสิทธิรับขนการจราจร ทั้งสองฝ่ายตกลงกำหนดกรอบการดำเนินการบริการที่ตกลงตามเส้นทางบินที่ระบุว่า จะขออนุญาตให้สายการบินที่กำหนดของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายดำเนินบริการรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ ได้ไม่จำกัดจำนวนความถี่ และแบบของอากาศยานที่ใช้ และมีสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ได้สัปดาห์ละ ๓ เที่ยว นอกจากนั้น ให้สายการบินที่กำหนดของแต่ละฝ่ายสามารถทำการบินเชื่อมจุดสองจุดในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งได้ด้วย ๑.๑.๕ การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะใช้ข้อบทใหม่เกี่ยวกับการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ซึ่งจะเป็นการไม่จำกัดจำนวนบริการสำหรับสายการบินที่มิได้ทำการบินเอง (marketing carrier) แทนข้อบทเดิมที่ใช้หลักการนับหักสิทธิความจุความถี่จากสายการบินที่มิได้ทำการบินเองด้วย ๑.๒ สาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ได้แก่ การกำหนดสายการบิน ใบพิกัดเส้นทางบิน ความจุความถี่ และสิทธิรับขนการจราจร รวมทั้งการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ โดยในหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งระบุถึงการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรสเปน โดยได้มีการจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศระหว่างราชอาณาจักรสเปนและราชอาณาจักรไทย (Draft of Air Transport Agreement between the Kingdom of Spain and the Kingdom of Thailand) และอยู่ระหว่างการเจรจาโดยยังไม่ได้ข้อยุติ จึงเข้าลักษณะเป็นการดำเนินการเกี่ยวกับหนังสือสัญญาตามมาตรา ๓๐๕ (๕) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ที่ต้องนำบทบัญญัติมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญฯ มาใช้บังคับกับการดำเนินการที่ยังคงค้างอยู่และต้องดำเนินการต่อไป จึงควรที่จะได้มีการเสนอกรอบการเจรจาในเรื่องนี้ต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ สำหรับการกำหนดให้เจ้าหน้าที่การเดินอากาศทั้งสองฝ่ายนำหลักการในร่างความตกลงฯ ไปปรับใช้เป็นการชั่วคราวจนกว่าร่างความตกลงฯ จะได้ข้อยุติ โดยให้เป็นไปภายในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตน นั้น ควรพิจารณาด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง เพราะอาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกระทรวงคมนาคมควรถือปฏิบัติและดำเนินการให้สอดคล้องกับรูปแบบที่กำหนดในความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฯ ในโอกาสต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2676 | ผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกของไทย ครั้งที่ 1/2555 | พณ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกของไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้สรุปสถานการณ์ส่งออกของไทยในระยะ ๖ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (มกราคม - มิถุนายน) มีมูลค่า ๑๑๒,๒๖๔.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๑.๙๗ โดยได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปและสภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ๒. ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับปัญหา กลยุทธ์ และข้อเสนอแนวทางการดำเนินงานเพื่อผลักดันการส่งออก ๒.๑ การผลักดันการส่งออกไปยังตลาดภูมิภาคยุโรปและตลาดศักยภาพอื่น ๆ ๒.๑.๑ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการส่งออก ได้แก่ ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในตลาดหลัก กฎระเบียบทางการค้า มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) การเจรจาเขตการค้าเสรีต่าง ๆ คุณภาพสินค้าและบริการของไทย และการประสานงานระหว่างองค์กรภายในประเทศ เป็นต้น ๒.๑.๒ กลยุทธ์ในการผลักดันการส่งออก ได้แก่ การแสวงหาโอกาสในตลาดเดิมหรือตลาดที่มีปัญหา และแสวงหาโอกาสในตลาดใหม่และตลาดที่มีศักยภาพอื่น ๆ ๒.๑.๓ แนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศและแก้ปัญหาการถูกโจมตีในประเด็นการใช้แรงงานและการทำลายสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการผลิตสินค้า Organic & Sustainable Farming ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม การปรับปรุงกระบวนการผลิต และการเร่งรัดการเจรจาการค้าเสรีกรอบ FTA ไทย - สหภาพยุโรป เป็นต้น ๒.๒ การส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน ๒.๒.๑ ปัญหาอุปสรรคทางการค้าและการลงทุน ได้แก่ ด่านชายแดนมีจำนวนจำกัด ความตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าข้ามแดน/ผ่านแดนในกรอบ GMS และ ASEAN ยังไม่มีผลบังคับใช้ กฎระเบียบทางการค้าของประเทศเพื่อนบ้าน การลักลอบนำเข้าส่งออก อาชญากรรม และความรุนแรง และขาดการศึกษาวิจัยตลาดประเทศเพื่อนบ้านเชิงลึก ๒.๒.๒ แนวทางการส่งเสริมการค้าชายแดน ได้แก่ การปรับปรุงกฎระเบียบและลดขั้นตอน การขอหนังสือรับรองการนำเข้าส่งออก พัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้ทันสมัยและเพียงพอ ยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการของไทยสู่ระดับมาตรฐานระดับอาเซียน และสร้างสิ่งจูงใจเพื่อส่งเสริมการไปลงทุนในต่างประเทศ ๒.๓ ปัญหาในการผลักดันการส่งออกรายสินค้า ๒.๓.๑ อาหาร ได้แก่ ไก่สดแช่เย็นและแช่แข็งและแปรรูป เช่น ปริมาณอาหารสัตว์ที่ผลิตได้ในประเทศมีไม่เพียงพอ คุณภาพต่ำ และยังต้องพึ่งพิงการนำเข้าจากต่างประเทศสูง ปัญหาด้านสุขอนามัยและปัญหาเทคนิคกับกลุ่มตลาดหลัก การเตรียมการเพื่อรองรับการเปิดตลาด AEC เป็นต้น กุ้งสดแช่เย็นและแช่แข็งและแปรรูป เช่น ขาดแคลนพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กุ้ง ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ราคาไม่มีเสถียรภาพและปริมาณผลผลิตไม่สม่ำเสมอ สินค้ามีแนวโน้มถูกตัดสิทธิ GSP ของสหภาพยุโรปในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ การถูกกล่าวหาจากประเทศคู่ค้าว่าทำลายสภาพแวดล้อมและกดขี่แรงงาน รวมทั้ง Lab ของเอกชนคิดค่าใช้จ่ายสูง เป็นต้น ผักและผลไม้ เช่น ปัญหาด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร การขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงานทำให้พื้นที่เพาะปลูกพืชอาหารลดลง ๒.๓.๒ อัญมณีและเครื่องประดับ เช่น ขาดแคลนวัตถุดิบ ต้นทุนการผลิตสูง งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในประเทศไทยดึงดูดผู้ซื้อต่างประเทศได้น้อยลง แบรนด์สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาดโลก ขาดข้อมูลเชิงลึกในตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญ และปัญหาโลจิสติกส์ในการจัดส่งวัตถุดิบจากประเทศที่เป็น Free Port ๒.๓.๓ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เช่น มาตรการ Anti-Dumping และ Safeguard ของประเทศคู่ค้า (สินค้าผ้าผืนและเส้นด้าย) ขาดการพัฒนาผลิตภัณฑ์แฟชั่นในเชิงลึกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ต้องการข้อมูลเชิงลึกของประเทศเพื่อนบ้าน การสนับสนุนในการไปลงทุนตาม JETRO Model ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การขาดแคลนแรงงาน ขาดแคลนเงินทุนเพื่อนำมาขยายการผลิต เปลี่ยนเครื่องจักร และเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ๓. ที่ประชุมได้กำหนดให้คณะทำงานติดตามสถานการณ์และขับเคลื่อนการส่งออกไปตลาดภูมิภาคยุโรปและตลาดศักยภาพอื่น ๆ คณะทำงานส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน และคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกรายสินค้า จัดประชุมเพื่อติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน พร้อมทั้งให้จัดการประชุมคณะทำงานกลุ่มย่อยภาครัฐและเอกชนเพื่อศึกษาวิเคราะห์ สรุปประเด็นปัญหา และแนวทางการแก้ไขให้มีความชัดเจนทั้งในส่วนของรายตลาดและรายสินค้าต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2677 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2555 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2555 | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ มีหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวน ๔,๔๗๓,๒๐๖.๘๘ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๔๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน ๓,๒๖๘,๓๙๙.๘๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๓๖,๐๘๒.๒๗ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน ๑๖๒,๕๔๔.๘๐ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๖,๑๘๐.๐๐ ล้านบาท ส่วนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไม่มีหนี้คงค้าง ๒. คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และปรับปรุงแผนฯ ในระหว่างปี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินกู้และบริหารหนี้ โดยหลังการปรับปรุงแผนในครั้งที่ ๒ ทำให้วงเงินรวมในแผนฯ ที่จะบริหารจัดการมีจำนวนทั้งสิ้น ๒,๒๔๒,๐๓๙.๔๘ ล้านบาท และในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้แล้ว เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๔๘๐,๗๓๔.๓๕ ล้านบาท ๓. การดำเนินงานในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (ตุลาคม ๒๕๕๔ - มีนาคม ๒๕๕๕) ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม ๑๗๑,๐๖๖.๒๒ ล้านบาท การก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจ วงเงินรวม ๖๓,๑๕๓.๑๖ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงินรวม ๒๘๗,๐๙๖.๓๘ ล้านบาท แผนการบริหารความเสี่ยง วงเงินรวม ๒,๔๕๒.๐๐ ล้านบาท แผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ วงเงินรวม ๑๐,๑๑๙.๗๕ ล้านบาท และแผนการก่อหนี้ใหม่ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ : สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) กู้เงินจำนวน ๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ๔. สรุปผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนฯ เป็นจำนวน ๔๖๐,๖๑๔.๖๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๑.๙๕ ของแผนฯ โดยผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ รวมทั้งสิ้น ๑๐,๑๑๙.๗๕ ล้านบาท และผลการกู้เงินของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การกู้เงินและการบริหารหนี้ตามแผนฯ แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาล จำนวน ๓๓๙,๙๔๑.๕๔ ล้านบาท หนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน จำนวน ๑๐๓,๐๔๐.๐๐ ล้านบาท หนี้ที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน จำนวน ๒๓,๔๔๙.๗๕ ล้านบาท และการกู้ต่อจากกระทรวงการคลัง จำนวน ๑๔,๓๐๓.๐๖ ล้านบาท ผลของการบริหารหนี้ที่ได้ดำเนินการทั้งในส่วนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙๑,๗๑๘.๓๘ ล้านบาท สามารถลดยอดหนี้ได้ทั้งสิ้น ๓๑,๙๒๒.๘๕ ล้านบาท ประหยัดดอกเบี้ยได้ จำนวน ๙๕๓.๑๖ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2678 | แผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | พม | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ที่มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และเพื่อให้ประชากรเป้าหมายเข้าถึงหลักประกันด้านการป้องกันและการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ประกอบด้วยมาตรการในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านการป้องกัน ด้านการดำเนินคดี ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ ด้านการพัฒนากลไกเชิงนโยบาย และด้านการพัฒนาและบริหารข้อมูล โดยการดำเนินโครงการ ๗ โครงการ วงเงินทั้งสิ้น ๑๕๒,๙๖๑,๗๗๒ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจและคุ้มครองแรงงาน งบประมาณดำเนินการ ๑๗,๓๓๒,๘๕๐ บาท ๑.๒ โครงการเสริมสร้างศักยภาพการบังคับใช้กฎหมาย มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างทัศนคติและความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดี และเพื่อพัฒนาศักยภาพพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ งบประมาณดำเนินการ ๑๑,๓๑๖,๔๐๐ บาท ๑.๓ โครงการพัฒนาประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวน ขยายผล ปราบปรามและจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานสืบสวนและปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๓๕,๙๓๒,๙๒๒ บาท ๑.๔ โครงการพัฒนาการคุ้มครองและส่งกลับ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดบริการทางสังคมให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือผู้เสียหายในการดำเนินคดี รวมทั้งเพื่อพัฒนากระบวนการส่งกลับ งบประมาณดำเนินการ ๑๘,๔๘๑,๗๐๐ บาท ๑.๕ โครงการเสริมสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังการค้าทุกรูปแบบ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และเพื่อสร้างหลักประกันการเข้าถึงความปลอดภัยจากการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๕๗,๐๖๙,๙๐๐ บาท ๑.๖ โครงการพัฒนานโยบายการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมกระบวนการพัฒนานโยบายเชิงรุก สนับสนุนการศึกษาและวิจัยต่อต้านการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๕,๗๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๗ โครงการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการปราบปรามการดำเนินคดีการค้ามนุษย์ และการคุ้มครองผู้เสียหาย รวมทั้งเพื่อติดตามสถานการณ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๗,๑๒๘,๐๐๐ บาท ๒. ส่วนงบประมาณสำหรับดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับแผนดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์รับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) เกี่ยวกับการดำเนินการแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เห็นควรบูรณาการการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความเป็นเอกภาพ รวมทั้งควรจัดให้มีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับแผนปฏิบัติการฯ ให้ประชาชนรับทราบด้วย และควรให้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว ในส่วนของโครงการเสริมสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบด้วย รวมทั้งความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกิจกรรมตรวจสอบสภาพการจ้างและการทำงาน โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวในเรือประมง ที่ควรดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาแรงงานภาคประมงทะเล การพิสูจน์สถานภาพของแรงงานต่างด้าว การพัฒนาระบบฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าว การกำหนดมาตรฐานสภาพการจ้าง/การทำงานในเรือประมงให้มีความชัดเจน รวมทั้งการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ทหารเรือในฐานะพนักงานตรวจแรงงาน การบริหารจัดการเพื่อการนำไปสู่การบรูณาการร่วมกัน โดยเฉพาะในกิจกรรมที่มีหน่วยงานรับผิดชอบหลายหน่วยงาน การระบุเกี่ยวกับเหยื่อการค้ามนุษย์ในคนต่างชาติที่ถูกหลอกมาเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์กับกรณีคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเพื่อมาทำงานในประเทศไทยต้องมีหลักเกณฑ์การแยกให้ชัดเจน การจัดทำฐานข้อมูลผู้ที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นเจ้าภาพหลักในการกำหนดรายละเอียดของข้อมูลว่าต้องการข้อมูลประเภทใด จากหน่วยงานใด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและครอบคลุมทุกมิติ การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจ รักษาพยาบาล ผู้ที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในกรณีที่เป็นคนต่างชาติ สำหรับโรงพยาบาลนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ควรมีแนวทางในการสนับสนุนงบประมาณที่ชัดเจน รวมทั้งการเร่งดำเนินการติดตามและประเมินผลแผนปฏิบัติการฯ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงวิธีการบริหารการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จากทุกภาคส่วน และการเชื่อมโยงงบประมาณของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2679 | การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 20 | นร04 | 11/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๐ เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๕ ณ นครวลาดิวอสต็อก สหพันธรัฐรัสเซีย โดยมีผู้นำจากเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ของโลก จำนวน ๒๑ เขตเศรษฐกิจเข้าร่วมการประชุม มีประเด็นสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การเปิดเขตการค้าเสรี ประเทศต่าง ๆ มีความเห็นสอดคล้องกันว่า ความผันผวนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจเอเปค เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทุกประเทศควรร่วมมือกันในการเปิดเสรีทางการค้า โดยประเทศไทยเสนอให้มีการเจรจาเพื่อเปิดเสรีการค้าในสินค้าหลายชนิด ๒. ความมั่นคงทางอาหาร ภัยพิบัติต่าง ๆ รวมถึงอุทกภัยได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตอาหารเป็นอย่างมาก ในขณะที่ประชากรของโลกเพิ่มขึ้นและมีความต้องการอาหารมากขึ้น แต่ผลผลิตอาหารของแต่ละภูมิภาคมีปริมาณแตกต่างกัน และในบางพื้นที่มีไม่เพียงพอ ทำให้เกิดความไม่สมดุล ประเทศไทยจึงได้เสนอตัวเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารของโลก ซึ่งได้รับความสนใจและตอบรับจากผู้นำเขตเศรษฐกิจต่างๆที่เข้าร่วมประชุมเป็นอย่างดี พร้อมนี้ประเทศไทยได้เสนอจะนำผลงานทางด้านการวิจัยและพัฒนา (R & D) ตลอดจนเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเพิ่มผลผลิต ถนอมอาหาร แปรรูปและเก็บรักษา รวมถึงกระบวนการโลจิสติกส์ (logistics) ในการขนส่งและกระจายสินค้าที่เป็นผลผลิตอาหารไปยังแหล่งขาดแคลนอย่างทั่วถึงให้มากยิ่งขึ้น จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและสอดคล้องกับทิศทางความต้องการของโลกต่อไป ๓. การสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อถือได้ กระบวนการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ ในระดับนานาชาติ แต่ละประเทศล้วนเป็นห่วงโซ่อุปทานซึ่งกันและกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับสินค้าและบริการของประเทศใดจะมีคุณภาพและได้รับความเชื่อถือ ทั้งนี้ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ต่าง ๆ ถือเป็นห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญทั้งในระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ หากมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยในการปรับปรุงพัฒนา SMEs ต่าง ๆ ของไทยให้มากยิ่งขึ้น และมีการเชื่อมโยงถึงการส่งเสริมและพัฒนาบทบาทสตรี ก็จะช่วยให้ SMEs เหล่านี้มีศักยภาพ และสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น จึงให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการจัดทำ Part Value Chain เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการประกอบการของ SMEs ของไทยให้แข็งแกร่งเป็นที่น่าเชื่อถือและแข่งขันกับต่างประเทศได้ โดยพิจารณาดำเนินการให้ครอบคลุมถึงการดูแลสิทธิประโยชน์ด้านการค้าให้แก่ SMEs ด้วย ๔. ประเทศไทยเสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในอีก ๑๐ ปี ข้างหน้า คือ ปี ค.ศ. ๒๐๒๒ ต่อจากประเทศมาเลเซีย ๕. การหารือทวิภาคีกับ ๔ ผู้นำเขตเศรษฐกิจ ได้แก่ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีปาปัวนิวกินี ประธานาธิบดีชิลี และประธานาธิบดีรัสเซีย มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๕.๑ ประเทศรัสเซีย ถือเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางพลังงาน ขณะที่ประเทศไทยมีความมั่นคงทางอาหาร จึงตกลงที่จะร่วมมือกันตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาการขยายความร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ ระหว่างทั้งสองประเทศในรายละเอียดต่อไป ๕.๒ ประเทศมาเลเซีย ได้มีการเจรจาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาราคายางพารา โดยในเบื้องต้นได้ตกลงกันที่จะให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องของ ๓ ประเทศ คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย มาร่วมประชุมในรายละเอียดเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางพาราที่กรุงเทพฯ จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมการเพื่อการประชุมดังกล่าว โดยให้กระทรวงการต่างประเทศประสานการดำเนินการที่เกี่ยวข้องโดยด่วน ๕.๓ ประเทศปาปัวนิวกินี เป็นประเทศที่มีแหล่งพลังงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้แสดงความพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับประเทศไทยในด้านการพลังงานเป็นอย่างดี ๕.๔ ประเทศชิลี การเจรจามีความคืบหน้าเกี่ยวกับการเปิดเขตเสรีทางการค้า ซึ่งในส่วนที่ได้ทำความตกลงร่วมกันไปแล้ว อยู่ในขั้นตอนที่จะต้องนำเสนอต่อรัฐสภาตามกระบวนการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2680 | ข้อเสนอแนะแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับการซื้อขายประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู | ปช | 11/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับการซื้อขายประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ทั้งนี้ เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนโครงการของส่วนราชการ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามนัยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๑๙ (๑๑) โดยข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกอบด้วย ข้อเสนอแนะต่อคุรุสภา ข้อเสนอแนะต่อสภามหาวิทยาลัย ข้อเสนอแนะต่อสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา รวมทั้งข้อเสนอแนะต่อผู้กำหนดนโยบาย (รัฐบาล และกระทรวงศึกษาธิการ) ๒. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอว่า วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพควบคุมต้องได้รับอนุญาตประกอบวิชาชีพครูจากคุรุสภาจึงจะมีสิทธิประกอบวิชาชีพครูได้ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์หรือมีการทุจริตเกี่ยวกับการซื้อขายประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู กระทรวงศึกษาธิการจึงขอรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในเรื่องนี้ไปหารือร่วมกับสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา สภามหาวิทยาลัย สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา คณะกรรมการ ป.ป.ช. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในเรื่องดังกล่าวต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้มีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางที่ต้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวให้เป็นไปตามแนวทางเดียวกันเพื่อให้มีผลปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม การนำกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดกรอบการบริหารและการจัดการศึกษาในภาคเอกชน เช่น พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีการกำกับ ติดตาม การประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของเอกชนให้เป็นไปเช่นเดียวกับสถานศึกษาของรัฐ มาเป็นแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับการซื้อขายประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู การให้ความสำคัญในการควบคุมและตรวจสอบมาตรฐานการจัดหลักสูตรอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งการให้บุคลากร/เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงบทบาทของตนในการปฏิบัติหน้าที่อย่างโปร่งใส โดยสุจริต และไม่แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
.....
