ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 131 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2601 - 2620 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2601 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่เพื่อสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรม" | สสป | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่เพื่อสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรม" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษา เพื่อสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ ได้แก่ รัฐบาลควรจัดให้มีการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ โดยปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ รวมทั้งควรจัดทำแผนแม่บทการปฏิรูปการศึกษาของชาติ โดยกำหนดระยะเวลาไว้ ๕ ปี หรือ ๑๐ ปี และควรออกเป็นพระราชบัญญัติเพื่อให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ควรนำพุทธปรัชญาการศึกษา และน้อมนำพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า "พระผู้ทรงเป็นครูของแผ่นดิน" มาประกอบการพิจารณาในการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ ทั้งนี้ การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่จะต้องนำไปสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรม รวมทั้งสอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมและของโลก ๒. การศึกษากับการพัฒนาคนที่พึงประสงค์ ได้แก่ รัฐบาลควรน้อมนำคุณธรรม ๔ ประการ ที่พระราชทานในวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕ และวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ รวมทั้งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมากำหนดเป็นคุณธรรมประจำชาติ และคุณลักษณะของไทยที่พึงประสงค์ และการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่จะต้องปลูกฝังคนไทยให้มีคุณธรรมประจำชาติ หรือคุณลักษณะของไทยที่พึงประสงค์ตามที่กำหนด ๓. การศึกษากับการพัฒนาสังคมที่เข้มแข็ง ได้แก่ สถาบันการศึกษาจะต้องดำเนินการอบรมนักเรียน นักศึกษาให้เป็นผู้ที่พร้อมด้วยความเก่งและความดี ถือเป็นหน้าที่ในการช่วยพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง จัดทำโครงการและกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสังคมและการพัฒนาสังคม และส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน โดยมีพระราชบัญญัติเกี่ยวกับวิทยาลัยชุมชนโดยเฉพาะ ๔. การศึกษากับการพัฒนาประเทศให้มั่นคง ได้แก่ การศึกษาจะต้องช่วยให้สถาบันหลักแห่งความมั่นคงของชาติ คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข ให้มีความมั่นคง การศึกษาจะต้องสร้าง "พลเมืองดี" ให้เป็นกำลังที่สำคัญชาติบ้านเมือง ๕. ศาสนากับการศึกษา ได้แก่ รัฐบาลจะต้องถือเป็นนโยบายที่จะให้คนไทยมีทั้งศาสนาและการศึกษาตามพระบรมราโขวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ควรนำวิชาศีลธรรมและวิชาหน้าที่พลเมืองกลับคืนมา ให้ความสำคัญกับการสอนวิชาศีลธรรม และวิชาหน้าที่พลเมือง ควรให้การส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของโรงเรียนวิถีพุทธอย่างจริงจัง ทั้งในด้านงบประมาณ บุคลากร ขวัญและกำลังใจ รวมทั้งควรจัดสรรงบประมาณให้สถานศึกษาต่าง ๆ โดยเฉพาะโรงเรียนวิถีพุทธพระไตรปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญของพระพุทธศาสนาไว้ประจำโรงเรียน ๖. การพัฒนาครูเพื่อให้ได้ครูที่พึงประสงค์ ได้แก่ ครูที่พึงประสงค์ คือ ครูที่ทำหน้าที่ของครูอย่างสมบูรณ์ ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรของศิษย์ รัฐบาลควรจัดให้มีการฝึกอบรมครูให้เป็นครูที่พึงประสงค์ มีจิตใจของการเป็นครู และควรจัดให้สถาบันผลิตครูใน ๕ ภูมิภาค และกรุงเทพมหานคร รวมเป็น ๖ สถาบัน แต่ละสถาบันสามารถรองรับนักศึกษาสถาบันละ ๒๐๐ คน ๗. การอาชีวศึกษากับค่านิยมของสังคม ได้แก่ เปลี่ยนค่านิยมของสังคมให้เข้าใจว่าการประกอบอาชีพสุจริตถือว่าเป็นพลเมืองที่มีเกียรติ มิใช่ผู้ได้รับปริญญาเท่านั้นจึงมีเกียรติหรือได้รับความสำเร็จและความสุขในชีวิต ควรจัดให้ผู้เรียนในสถานศึกษาด้านอาชีวศึกษาได้มีโอกาสฝึกงานในสถานประกอบการเพื่อเพิ่มทักษะและประสบการณ์ในการทำงาน นอกเหนือจากความรู้ทางทฤษฎีที่ได้จากสถานศึกษา และควรให้ความสนใจเป็นพิเศษในการสั่งสอนอบรมนักเรียนอาชีวศึกษาให้เป็นผู้มีความประพฤติดี มีพฤติกรรมที่สร้างสรรค์ เป็นผู้มีระเบียบวินัย มีจิตอาสาหรือจิตสาธารณะ พร้อมที่จะทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น สังคม และประเทศชาติ ๘. สถาบันการศึกษาเอกชน ได้แก่ รัฐบาลควรให้การส่งเสริมสนับสนุนสถาบันการศึกษาเอกชน ทั้งในด้านงบประมาณ และเงินอุดหนุน เพื่อให้ครูในสถาบันการศึกษาเอกชนมีเงินเดือนและสวัสดิการเท่าเทียมกับครูในสถาบันการศึกษาของรัฐ ๙. การบริหารจัดการการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ รัฐบาลควรระวังไม่ให้การเมืองเข้ามาทำลายประสิทธิภาพการบริหารจัดการการศึกษา ไม่ให้การศึกษาตกเป็นเครื่องมือของการเมือง ควรพิจารณาการปรับปรุงโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการให้เหมาะสม รวมทั้งการฟื้นฟูกรมวิชาการให้กลับคืนมา ควรให้มีการกระจายอำนาจบริหารการศึกษาไปสู่ท้องถิ่น ควรส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน เนื่องจากการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ควรพิจารณาว่าจะรวมงานทั้ง ๓ ด้าน ให้อยู่ในกระทรวงเดียวกันหรือไม่ โดยใช้ชื่อกระทรวงศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และควรส่งเสริมและสนับสนุนศูนย์การศึกษาพิเศษเพื่อรองรับและส่งเสริมกลุ่มผู้ด้อยโอกาสหรือกลุ่มผู้พิการ ให้สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและมีทรัพยากรรองรับตามความต้องการของผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2602 | การเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ | นร11 | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ (จังหวัดพิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์) และแนวทางการตรวจราชการของคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการพัฒนาของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ (จังหวัดพิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์) ควรมีแนวทางการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับการสร้างรายได้ให้กับจังหวัด/กลุ่มจังหวัด โดยพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้า (ข้าว พืชผัก ไม้ผล) พัฒนาท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เป็นมรดกโลก และพัฒนาเส้นทางคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์เพื่อสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวของการค้าการลงทุนในกลุ่มอาเซียน ทั้งนี้ โดยใช้ความได้เปรียบจากทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของกลุ่มในการเชื่อมแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ และระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ๑.๒ แนวทางการลงพื้นที่ตรวจราชการของคณะรัฐมนตรี กำหนดแนวทางการตรวจราชการเพื่อประกอบการพิจารณาคัดเลือกโครงการเพื่อจัดสรรงบประมาณภายในกรอบงบประมาณ ๑๐๐ ล้านบาท โดย ๑.๒.๑ เป็นโครงการที่เน้นการสร้างรายได้จากสินค้าภาคเกษตร ซึ่งเป็นฐานรายได้ของกลุ่มจังหวัด อาทิ การแปรรูปสินค้าเกษตร การปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานสินค้าโอทอป เป็นต้น ๑.๒.๒ เป็นโครงการที่สนับสนุนการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวที่เป็นจุดเด่นของกลุ่มจังหวัด โดยเฉพาะโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ หรือการต่อยอดรายได้ท่องเที่ยวจากความโดดเด่นของแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เป็นมรดกโลก ๑.๒.๓ เป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในส่วนที่ขาดหายไป (Missing Link) หรือชำรุดทรุดโทรม หรือที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ไม่มีงบประมาณรองรับมาก่อน ซึ่งทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยงเส้นทางการคมนาคมขนส่งภายใต้แผนการเชื่อมโยง (Connectivity) ของระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตก ได้อย่างสมบูรณ์ รวมทั้งนำไปสู่การสร้างรายได้ของจังหวัด ๑.๒.๔ กรณีโครงการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันน้ำท่วมและการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการชลประทาน ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาความเหมาะสม และพิจารณาจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในการแก้ไขปัญหาในภาพรวมและในระดับโครงการ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วยว่า การพิจารณาคัดเลือกโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเพื่อจัดสรรงบประมาณ ให้ยึดหลักการในการให้ความสำคัญกับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่สามารถใช้งบประมาณปกติและเป็นโครงการที่ประชาชนในจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดได้รับประโยชน์ร่วมกัน หรือเป็นโครงการต่อยอดจากยุทธศาสตร์ของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด รวมทั้งให้เร่งรัดและปรับกำหนดเวลาการพิจารณาคัดเลือกโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อที่คณะรัฐมนตรีจะมีเวลาพิจารณาโครงการดังกล่าวได้อย่างละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2603 | การปรับปรุงโครงสร้างและการกำกับดูแลส่วนงานในการบริหารจัดการน้ำ [ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการ เกี่ยวกับการพัสดุในการดำเนินโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | นร | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้แก้ไขถ้อยคำในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ จาก “จัดหาเงินกู้” เป็น “จัดสรรเงินกู้” ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๒. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕] ที่เห็นชอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นส่วนราชการเจ้าของโครงการ ตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เสนอ ๓. เห็นชอบให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นส่วนราชการเจ้าของโครงการ ตามที่ กบอ. เสนอ ๔. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพัสดุในการดำเนินโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ตามที่ กบอ. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับส่วนราชการที่จะดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ควรมอบหมายให้ส่วนราชการระดับกรมที่มีภารกิจหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวข้องโดยตรงกับเนื้องานเป็นผู้ดำเนินการตั้งแต่ต้นจนสิ้นสุดโครงการ และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของ กบอ. ให้ชัดเจนเพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน รวมทั้งแก้ไขความในร่างระเบียบฯ จาก “...ให้มีสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “สบอช.” เป็นส่วนราชการภายในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี...” เป็น “...ให้มีสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “สบอช.” เป็นหน่วยงานภายในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี...” และแก้ไขความข้อ ๑๒ (๓) จากเดิม “(๓) ทำหน้าที่เป็นส่วนราชการเจ้าของโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำ...” เป็น “(๓) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำ...” รวมทั้งแก้ไขถ้อยคำทุกแห่งของร่างประกาศฯ จากคำว่า “ส่วนราชการเจ้าของโครงการ” เป็น “หน่วยงานเจ้าของโครงการ” และคำว่า “หัวหน้าส่วนราชการเจ้าของโครงการ” เป็น “หัวหน้าหน่วยงานเจ้าของโครงการ” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๕. สำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนของการดำเนินงานของ สบอช. ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณผ่านสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ที่จัดสรรงบประมาณให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อมีการโอนการดำเนินการไปเป็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2604 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้าระหว่างไทยและเมียนมาร์ ครั้งที่ 6 | พณ | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission-JTC) ระหว่างไทยและเมียนมาร์ ครั้งที่ ๖ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพฯ เพื่อให้มีการทำงานอย่างบูรณาการและเกิดผลเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงพาณิชย์ติดตามการขยายตัวการค้าไทย-เมียนมาร์ให้เพิ่มขึ้นเป็น ๓ เท่าภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จากมูลค่าการค้าปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๒ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงอุตสาหกรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน ติดตามประเด็นการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านกฎระเบียบการค้าและการลงทุน การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนอย่างสม่ำเสมอของผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การจัดงานแสดงสินค้า นิทรรศการ และการจับคู่/สร้างเครือข่ายธุรกิจให้บ่อยครั้งขึ้นในสถานที่ที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงในจังหวัดชายแดน การส่งเสริมการจัดกิจกรรมการส่งเสริมการค้าและการลงทุนเป็นครั้งคราว การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการออกไปลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการส่งเสริมให้ภาคเอกชนใช้ประโยชน์จากสภาธุรกิจไทย-เมียนมาร์ ๑.๓ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ติดตามประเด็นการผลักดันความร่วมมือด้านตลาดข้าวอาเซียน (ASEAN5-E) ของ ๕ ประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าว (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ ไทย และเวียดนาม) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และการจัดกิจกรรมร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนในสาขาต่างๆ ๑.๔ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ ติดตามประเด็นการผลักดันและติดตามการจัดทำแผนงานการปรับปรุงและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จุดผ่านแดนที่มีอยู่ การผลักดันการยกระดับและการเปิดจุดผ่านแดนที่ถูกปิดไปขึ้นใหม่ รวมถึงการเปิดจุดผ่านแดนแห่งใหม่ในพื้นที่ที่เหมาะสมและจำเป็น การสนับสนุนการนำอุปกรณ์และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาใช้ในจุดผ่านแดนต่างๆ ๑.๕ ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ติดตามประเด็นการผลักดันให้มีการหารืออย่างสม่ำเสมอระหว่างธนาคารกลางของทั้งสองประเทศ การผลักดันการพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำเงินบาทมาใช้ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการของเมียนมาร์ และการสนับสนุนความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างธนาคารกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่าย ๑.๖ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ สมาคมวิชาชีพสาธารณสุข สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ติดตามประเด็นการผลักดันความร่วมมือด้านบริการสุขภาพเพื่อขยายโอกาสการทำธุรกิจบริการสุขภาพของไทยในเมียนมาร์ และหาแนวทางการจัดทำความร่วมมือด้านการบริหารจัดการ ประชุม และสัมมนา (Meetings, Incentives, Conferencing and Exhibitions : MICE) ๑.๗ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ติดตามประเด็นการจัดทำความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเดียว (Single tourist destination) การสนับสนุนการใช้วีซ่าเดียว (Single visa) ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงการขนส่งทางอากาศ และการสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการที่มีกลไกคณะกรรมการกำกับดูแล อาทิ โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งมีคณะกรรมการร่วมระดับสูงและคณะกรรมการประสานงานระหว่างไทย-เมียนมาร์เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกลไกหลัก และการเปิดจุดผ่านแดน ซึ่งมีคณะอนุกรรมการพิจารณาการเปิดจุดผ่านแดนภายใต้การดูแลของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นกลไกหลักและเกี่ยวข้องกับกระทรวงการต่างประเทศ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ในการยกระดับจุดผ่านแดนที่มีอยู่และการเปิดจุดผ่านแดนใหม่ ต้องพิจารณาในภาพรวมอย่างสมดุลทั้งมิติด้านเศรษฐกิจและมิติด้านความมั่นคง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2605 | การปรับปรุงและแต่งตั้งกรรมการในองค์ประกอบคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบพฤติกรรมไทย (คพท.) (จำนวน 7 ตำแหน่ง) | วช | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงและแต่งตั้งกรรมการในองค์ประกอบคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบพฤติกรรมไทย (คพท.) จำนวน ๗ ตำแหน่ง ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยเปลี่ยนแปลงกรรมการลำดับที่ ๑๒-๑๔ และ ๑๙-๒๒ ปรับเปลี่ยนชื่อตำแหน่งลำดับที่ ๒๓-๒๔ และคงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ตามเดิม ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) เสนอ สำหรับองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ชุดใหม่ มีดังนี้
๑. ประธานกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ กรรมการที่ปรึกษา สาขาปรัชญา ๒. ประธานกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ กรรมการที่ปรึกษา สาขาสังคมวิทยา ๓. ประธานกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ กรรมการที่ปรึกษา สาขาการศึกษา ๔. เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กรรมการที่ปรึกษา ๕. ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการ กรรมการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๖. ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กรรมการ ๗. ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน กรรมการ ๘. รองเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กรรมการ ๙. ที่ปรึกษาด้านการวิจัยทางสังคมศาสตร์ กรรมการ ๑๐. ผู้แทนสภาองค์การพัฒนาเด็กและเยาวชน กรรมการ ๑๑. ผู้แทนกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กรรมการ ๑๒. ผู้แทนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการ กรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ๑๓. ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรรมการ ๑๔. ผู้แทนสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กรรมการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๑๕. นางจรรจา สุวรรณทัต กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๖. นางดวงเดือน พันธุมนาวิน กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๗. นางเย็นใจ เลาหวณิช กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๘. นางสาวนงลักษณ์ วิรัชชัย กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๙. นางพรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๒๐. นางโสภา (ชูพิกุลชัย) ชปีลมันน์ กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๒๑. นายธีระพร อุวรรณโณ กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๒๒. เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เลขานุการ ๒๓. เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ผู้ช่วยเลขานุการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2606 | โครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ 2 | พน | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๒ ในวงเงินลงทุน จำนวน ๒๑,๙๐๐ ล้านบาท โดยปรับปรุงในส่วนของสถานีไฟฟ้าแรงสูง (สฟ.) และระบบส่งไฟฟ้าร่วมกัน รวมทั้งสิ้น ๓๑ โครงการย่อย ประกอบด้วย งานปรับปรุงและขยาย สฟ. จำนวน ๑๙ สฟ. รวม ๑๙ โครงการย่อย งานปรับปรุงและขยายสายส่ง ๑๑ แนวสาย รวม ๑๑ โครงการย่อย และงานปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าเบ็ดเตล็ด จำนวน ๑ โครงการ ระยะเวลาดำเนินการประมาณ ๖ ปี ๔ เดือน นับตั้งแต่เริ่มศึกษาเตรียมงานจนก่อสร้างแล้วเสร็จ (มิถุนายน ๒๕๕๔-กันยายน ๒๕๖๐) ๑.๒ เห็นชอบให้อนุมัติการเบิกจ่ายเงินงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการฯ จำนวน ๑๑.๒ ล้านบาท ๒. ให้ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบริหารจัดการการจัดซื้อที่ดินให้รอบคอบเพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนและผลกระทบที่อาจมีต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยรวม การบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสม รอบคอบและมีประสิทธิภาพ การให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว เพื่อตอบสนองการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การกำหนดเป้าหมายของดัชนีชี้วัดที่สะท้อนถึงความเชื่อถือได้และความมั่นคงของระบบไฟฟ้าเพื่อใช้เป็น Benchmark เปรียบเทียบโครงการในแต่ละระยะ การประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแผนการดับไฟฟ้า (Planned Outage) ในพื้นที่เพื่อซ่อมบำรุงและกำหนดมาตรการรองรับกรณีฉุกเฉิน การพิจารณาศึกษาข้อดีและข้อจำกัดของรูปแบบเทคโนโลยีด้านสถานีไฟฟ้าแรงสูง รวมถึงสถานีไฟฟ้าแบบใช้ฉนวนอากาศและแบบใช้ฉนวนก๊าซเพื่อใช้เป็นแนวทางของโครงการในระยะต่อไป และเตรียมการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) สำหรับแนวสายส่งในระยะต่อไปที่ต้องผ่านพื้นที่ลุ่มน้ำ 1A และ 1B รวมทั้งศึกษาทางเลือกแนวสายส่งอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่ลุ่มน้ำดังกล่าว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้านครหลวง รับไปหารือร่วมกับกระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับและการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าในระบบสายส่ง เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมทั้งการให้บริการไฟฟ้าแก่ประชาชนมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2607 | แนวทางการเตรียมการเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... | นร04 | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสนอเกี่ยวกับแนวทางการเตรียมการเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ซึ่งตามร่างพระราชบัญญัติฯ กำหนดให้กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีสามารถกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศเพื่อนำมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและการเชื่อมโยงด้านศุลกากร วงเงินไม่เกิน ๒ ล้านล้านบาท โดยกำหนดขั้นตอนการดำเนินการไว้ ดังนี้ ๑.๑ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่จังหวัดอุตรดิตถ์ วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ จะเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๒ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ จะเสนอร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... พร้อมทั้งบัญชีรายชื่อโครงการที่อยู่ในกรอบหลักการของร่างกฎหมายดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๓ ในระหว่างวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๖-๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมจะร่วมกันจัดการประชุมชี้แจงและสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกรอบหลักเกณฑ์การดำเนินงาน และผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัติ โดยจัดการประชุมเพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๖ โดยเชิญรัฐมนตรีทุกท่าน ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ และผู้ว่าราชการจังหวัดเข้าร่วมการประชุม รวมทั้งจัดนิทรรศการและการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการภาคเอกชน ประชาชน สื่อมวลชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) จะเป็นผู้ชี้แจงภาพรวมของเศรษฐกิจและทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๔ วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ จะเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ ที่ได้มีการปรับปรุงแก้ไขตามผลการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติหลักการ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒. รับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอเพิ่มเติมว่า การดำเนินการในเรื่องนี้ควรมีการจัดทำเอกสารข้อมูลสรุปย่อกรอบหลักการของร่างพระราชบัญญัติฯ เช่น เหตุผลและความจำเป็น วัตถุประสงค์ ที่มาของแหล่งเงินทุน การจัดหาเงินกู้และการชำระหนี้ ความคุ้มค่าของการลงทุน ผลประโยชน์ที่จะได้รับ เป็นต้น เพื่อให้รัฐมนตรีทุกท่านสามารถชี้แจงต่อประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2608 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว | ทก | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติสึนามิ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงบประมาณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมสรรพากร กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น ส่งเสริมสนับสนุนงานศึกษาวิจัยแบบจำลองสามมิติ เพื่อการเตือนภัยสึนามิ ให้ความสำคัญกับระบบการสื่อสารและเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศ และจัดให้มีระบบสัญญาณเตือนภัยระดับชุมชมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยงภัย เป็นต้น ๑.๒ มาตรการด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น จัดให้มีหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับภัยพิบัติ ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงาน ปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และจัดตั้งคณะกรรมการสหวิทยาการภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่วางแผนการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติของประเทศ เป็นต้น ๑.๓ มาตรการด้านการศึกษาและสนับสนุน เช่น ส่งเสริมสนับสนุนองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน ตัวแทนภาคประชาชนในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการวางแผน การเตือนภัยการป้องกันภัย การบรรเทาสาธารณภัย การจัดการแผนการอพยพในชุมชนยามเกิดภัยพิบัติ บรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ การปฏิบัติตนหรือการอพยพเคลื่อนย้ายขณะเกิดภัย การช่วยเหลือตนเองเบื้องต้น ตลอดจนองค์ความรู้อื่น ๆ ไว้ในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับในทุกโรงเรียน ทุกชั้นเรียน และลงทุนสร้างระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิชั้นสูง เช่นเดียวกับประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เช่น ในประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาที่มีการใช้เครื่องมือที่เป็นระบบการแจ้งเตือนภัยป้องกันแผ่นดินไหวและสึนามิ ที่สามารถแจ้งเตือนเหตุล่วงหน้าได้ถึง ๒-๓ สัปดาห์ นำมาปรับใช้กับประเทศไทย เป็นต้น ๒. ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. กรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์และกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว เช่น ประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว จัดทำคู่มือประชาชนเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติระหว่างเกิดและหลังเกิดแผ่นดินไหวแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เร่งรัดจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยให้ครบถ้วนทุกพื้นที่และมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัย พร้อมทั้งแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง จัดทำป้ายแจ้งให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางเข้าเขตจังหวัดหรือบริเวณที่ใกล้รอยเลื่อน ได้รับทราบว่ากำลังอยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยง และบรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติแผ่นดินไหว ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือในทุกชั้นเรียน เป็นต้น ๒.๒ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยและอุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น จัดหาและพัฒนาเครื่องมือ อุปกรณ์ตรวจวัดแผ่นดินไหวและระบบสัญญาณเตือนภัยที่ใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีความทันสมัย ปรับปรุงและพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวให้มีความถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว และครอบคลุมทั่วถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดหาเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ทันสมัย ความเร็วสูงและมีความแม่นยำให้กับกรมอุตุนิยมวิทยา เป็นต้น ๒.๓ มาตรการด้านการบริหารจัดการ เช่น ปรับปรุงโครงสร้างขององค์กร หน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วางแผนการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวแห่งชาติเป็นการเฉพาะ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว รวมถึงแผนย่อยระดับจังหวัดและท้องถิ่น มอบหมายหน่วยงานหลักเพียงหน่วยงานเดียวในการประชาสัมพันธ์หรือให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในขณะเกิดเหตุภัยพิบัติ และจัดตั้งวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นการเฉพาะ เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ให้เสมือนวิทยาลัยการอาชีพต่าง ๆ เป็นต้น ๒.๔ มาตรการด้านกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ โดยมีมาตรการบังคับให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว ที่ปลูกสร้างก่อนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีผลบังคับใช้ควรปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างให้สามารถรองรับต่อการเกิดแผ่นดินไหวได้ ตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติฯ และมีมาตรการเพิ่มโทษเกี่ยวกับผู้ที่ให้ข่าวลือ การพูดในลักษณะที่ทำนายหรือคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติแผ่นดินไหว โดยไม่มีหลักฐานทางวิชาการมาประกอบหรือสนับสนุนในเรื่องนั้น ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2609 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2555 | นร11 | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธาน กบส. เสนอ ดังนี้
๑. (ร่าง) กรอบทิศทางและยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) กรอบทิศทางและยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ฯ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์หลัก ๖ ด้าน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ ด้านการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการค้าและโลจิสติกส์เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าและบริการภายในประเทศและเชื่อมไปสู่ตลาดคู่ค้าสำคัญ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกทางการค้าและโลจิสติกส์เพื่อกระตุ้นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเพิ่มศักยภาพผู้ให้บริการโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสาขาการผลิตเป้าหมายของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การพัฒนากำลังคนและระบบข้อมูลด้านโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การสร้างความร่วมมือของโซ่อุปทานระหว่างภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ภาคการผลิตของประเทศ และยุทธศาสตร์ที่ ๖ การพัฒนาเส้นทางการค้าและช่องทางการกระจายสินค้าและบริการหลักของประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดคู่ค้าหลัก ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของ กบส. เกี่ยวกับการกำหนดตัวชี้วัด (KPI) และระยะเวลาการติดตามประเมินผลที่ชัดเจน การกำหนดให้มีหน่วยงานหลักรับผิดชอบการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และบูรณาการแผนงานโครงการเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการจัดสรรงบประมาณและสามารถแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติได้จริง การกำหนดแนวทางการส่งเสริมการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งเพื่อประหยัดพลังงาน การพัฒนาระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารในกระบวนการโลจิสติกส์ให้เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Logistics) เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานของผู้ประกอบการ การพัฒนาระบบสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า (Soft Infrastructure) ณ บริเวณด่านการค้าชายแดน การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและโลจิสติกส์ การพัฒนาบุคลากรในระดับปฏิบัติการที่ขาดแคลน การพัฒนาในลักษณะกลุ่มคลัสเตอร์ (Cluster) ควบคู่กับการพัฒนาเชื่อมโยงในโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของภาคการผลิต การถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญทั้งจากในและนอกประเทศ การพัฒนาระบบข้อมูลและเทคโนโลยีการสื่อสาร เป็นต้น ไปประกอบการปรับปรุงยุทธศาสตร์ดังกล่าว ให้มีความสมบูรณ์และนำเสนอคณะกรรมการ กบส. เพื่อพิจารณาต่อไป ๒. แนวทางการปรับปรุงกระบวนการให้บริการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ National Single Window (NSW) ที่ประชุมมีมติ ๒.๑ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานเกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงกระบวนการให้บริการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ NSW ของคณะอนุกรรมการการเชื่อมโยงข้อมูลแบบบูรณาการสำหรับการนำเข้าการส่งออกโลจิสติกส์ โดย ๒.๑.๑ การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานออกใบอนุญาต/ใบรับรองนำเข้า-ส่งออกกับระบบ NSW (G2G) ปัจจุบันมีการส่งผ่านข้อมูลเฉลี่ยเดือนละ ๖ ล้านเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ มีหน่วยงานที่เชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นทางการกับระบบ NSW จำนวน ๑๑ หน่วยงาน มีหน่วยงานที่อยู่ระหว่างทดสอบระบบเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบ NSW จำนวน ๙ หน่วยงาน และอยู่ระหว่างดำเนินโครงการนำร่อง ASEAN Single Window เชื่อมโยงข้อมูลใบขนสินค้าของอาเซียนและใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าของอาเซียน ๒.๑.๒ การปรับปรุงกฎระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลแบบบูรณาการสำหรับการนำเข้า การส่งออก การนำผ่าน และโลจิสติกส์ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำกับให้ส่วนราชการดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสารระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้ ๒.๑.๓ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนงบประมาณและบุคลากร ICT กรมศุลกากรได้รวบรวมปริมาณความต้องการบุคลากรด้านคอมพิวเตอร์และระบบงานเพิ่มเติม พร้อมประสานให้อนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) ของทุกส่วนราชการเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) พิจารณาจัดสรรกำลังคน ซึ่ง คปร. ได้พิจารณาจัดสรรอัตรากำลังคนสำหรับการพัฒนาระบบ NSW บางส่วน และแจ้งผลการพิจารณาให้ส่วนราชการได้รับทราบแล้ว ๒.๒ ให้กระทรวงการคลังประสานกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือในรายละเอียดของร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ดังกล่าว เพื่อให้การเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสารระหว่างหน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งมีความชัดเจนในทางปฏิบัติและให้นำเสนอคณะกรรมการ กบส. เพื่อพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2610 | การขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจ และข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น ตามนโยบายการบูรณาการระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล | อื่นๆ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจ และข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น ตามนโยบายการบูรณาการระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ประธาน สปสช.) เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธาน สปสช. มีดังนี้ ๑.๑ กรณีขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๑ เห็นชอบให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติม ประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อปรับมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างสำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจให้รองรับการขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจให้สามารถรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่ใดก็ได้ รวมทั้งสถานพยาบาลเอกชนนอกระบบของตน โดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่ายล่วงหน้าตามนโยบายรัฐบาล เช่นเดียวกับผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกันสังคม และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ๑.๑.๒ เห็นชอบให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เพิ่มสิทธิการรักษาพยาบาลให้กับพนักงานตามนโยบายรัฐบาล ใช้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นหน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายค่ารักษาเจ็บป่วยฉุกเฉินและระบบข้อมูลต่าง ๆ (Clearing House) ตามนโยบายรัฐบาล โดย สปสช. สำรองจ่ายเงินค่าบริการให้สถานพยาบาลไปก่อน และให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเร่งแก้ไขหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้รองรับการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินคืนให้ สปสช. ได้ตามอัตราที่ตกลงกันภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง รวมทั้งจัดส่งฐานข้อมูลของบุคคลในสังกัดที่ได้สิทธิรักษาพยาบาลจากรัฐวิสาหกิจให้แก่ สปสช. เพื่อจัดทำฐานข้อมูลผู้มีสิทธิและให้มีการปรับปรุงต่อเนื่อง ๑.๒ กรณีขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น ๑.๒.๑ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๖๙ และมาตรา ๗๗ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. ๒๔๙๕ มาตรา ๖ และมาตรา ๙๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. ๒๕๒๑ และมาตรา ๕ และมาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้ออกระเบียบไว้ และแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มสิทธิให้ข้าราชการและพนักงานส่วนท้องถิ่นได้สิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินจากสถานพยาบาลรัฐและเอกชนนอกระบบของตนโดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่ายล่วงหน้าตามนโยบายรัฐบาล เช่นเดียวกับผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกันสังคม และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ๑.๒.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศไว้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อ ๕ แห่งระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ ให้รองรับการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินตามนโยบายรัฐบาล และแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใช้หน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายค่ารักษาและระบบข้อมูลต่าง ๆ (Clearing House) โดยให้ สปสช. สำรองจ่ายเงินค่าบริการให้สถานพยาบาลไปก่อน และให้ อปท. จ่ายเงินคืนให้แก่ สปสช. ตามอัตราที่ตกลงกันภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง รวมทั้งจัดส่งฐานข้อมูลของบุคคลในสังกัดที่ได้สิทธิรักษาพยาบาลให้แก่ สปสช. เพื่อจัดทำฐานข้อมูลผู้มีสิทธิและให้มีการปรับปรุงต่อเนื่อง ๒. ให้ สปสช. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้ อปท. จ่ายเงินคืนให้แก่ สปสช. ตามอัตราที่ตกลงกันภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และการจัดส่งฐานข้อมูลของบุคคลในสังกัดที่ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลเพื่อจัดทำฐานข้อมูลผู้มีสิทธิและให้มีการปรับปรุงต่อเนื่อง ควรมีการหารือร่วมกันระหว่าง สปสช. กระทรวงมหาดไทย และ อปท. ก่อนที่จะได้มีการดำเนินการ เนื่องจากอาจมีผลกระทบทั้งด้านงบประมาณและขั้นตอนการปฏิบัติได้ นอกจากนี้ ควรเร่งพัฒนากลไกสร้างแรงจูงใจในการเข้าร่วมโครงการของโรงพยาบาลเอกชน อาทิ มาตรการสร้างความเชื่อมั่นว่าสถานประกอบการภาคเอกชนจะได้รับเงินชดเชยในอัตราที่เหมาะสมกับโครงสร้างต้นทุนของการประกอบการ และการให้สิทธิในการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่สถานประกอบการที่เข้าร่วมในโครงการซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในรูปแบบหนึ่ง เป็นต้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้โรงพยาบาลเอกชนให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่ายล่วงหน้าอย่างแท้จริง และไม่เป็นภาระแก่โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการเข้ารับบริการกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2611 | ขอความเห็นชอบในการลงนามร่าง Memorandum of Association เพื่อจัดตั้งสำนักเลขาธิการถาวร BIMSTEC | กต | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่าง Memorandum of Association เพื่อจัดตั้งสำนักเลขาธิการถาวร BIMSTEC (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งสำนักเลขาธิการ BIMSTEC ขึ้นที่กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ โดย ๑.๑.๑ สำนักเลขาธิการมีบทบาทในการประสานงานและอำนวยความสะดวกในการดำเนินกิจกรรมและโครงการต่างๆ และอำนวยการการประชุมต่างๆ ของ BIMSTEC ทั้งนี้ โดยใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน และติดต่อประสานงาน ๑.๑.๒ สำนักเลขาธิการ ประกอบด้วย เลขาธิการ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าของสำนักเลขาธิการ ผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป ประเทศสมาชิกจะเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการและผู้อำนวยการ โดยยึดหลักการหมุนเวียนตามลำดับตัวอักษร และมีวาระการดำรงตำแหน่งสามปี ๑.๑.๓ เลขาธิการมีบทบาทและอำนาจหน้าที่ในการติดต่อประสานงานโดยตรงกับประเทศสมาชิก จัดการประชุม BIMSTEC จัดทำงบประมาณประจำปี อำนวยความสะดวก และติดตามความคืบหน้าการดำเนินกิจกรรมและโครงการของ BIMSTEC ๑.๑.๔ สำนักเลขาธิการ เลขาธิการ ผู้อำนวยการ ได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันในบังกลาเทศ ตามที่คณะทูตและผู้แทนทางการทูตได้รับ และตามที่ระบุในความตกลงของประเทศเจ้าภาพที่บังกลาเทศและสำนักเลขาธิการได้ข้อสรุปร่วมกัน ๑.๑.๕ งบประมาณประจำปีของสำนักเลขาธิการ ประเทศเจ้าภาพ (บังกลาเทศ) จะจัดหาที่ดิน รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างที่เหมาะสมสำหรับใช้เป็นสำนักงาน รับผิดชอบการบำรุงรักษา การปรับปรุงที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การตกแต่ง ติดตั้ง และจัดหาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในช่วงห้าปีแรก สำหรับประเทศสมาชิกจะสนับสนุนงบประมาณของสำนักเลขาธิการตามสัดส่วนการให้เงินสมทบที่ตกลงกันเป็นครั้งคราวของภาคี โดยเลขาธิการจะเสนองบประมาณประจำปีให้ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส และที่ประชุมรัฐมนตรี BIMSTEC พิจารณา ๑.๑.๖ สำนักเลขาธิการจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่นับตั้งแต่วันที่ที่ประชุมรัฐมนตรี BIMSTEC กำหนด ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนร่วมลงนามในร่างเอกสารฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการเงินอุดหนุนองค์การระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2612 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติสินามิ | สสป | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติสึนามิ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงบประมาณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมสรรพากร กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น ส่งเสริมสนับสนุนงานศึกษาวิจัยแบบจำลองสามมิติ เพื่อการเตือนภัยสึนามิ ให้ความสำคัญกับระบบการสื่อสารและเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศ และจัดให้มีระบบสัญญาณเตือนภัยระดับชุมชมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยงภัย เป็นต้น ๑.๒ มาตรการด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น จัดให้มีหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับภัยพิบัติ ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงาน ปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และจัดตั้งคณะกรรมการสหวิทยาการภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่วางแผนการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติของประเทศ เป็นต้น ๑.๓ มาตรการด้านการศึกษาและสนับสนุน เช่น ส่งเสริมสนับสนุนองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน ตัวแทนภาคประชาชนในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการวางแผน การเตือนภัยการป้องกันภัย การบรรเทาสาธารณภัย การจัดการแผนการอพยพในชุมชนยามเกิดภัยพิบัติ บรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ การปฏิบัติตนหรือการอพยพเคลื่อนย้ายขณะเกิดภัย การช่วยเหลือตนเองเบื้องต้น ตลอดจนองค์ความรู้อื่น ๆ ไว้ในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับในทุกโรงเรียน ทุกชั้นเรียน และลงทุนสร้างระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิชั้นสูง เช่นเดียวกับประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เช่น ในประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาที่มีการใช้เครื่องมือที่เป็นระบบการแจ้งเตือนภัยป้องกันแผ่นดินไหวและสึนามิ ที่สามารถแจ้งเตือนเหตุล่วงหน้าได้ถึง ๒-๓ สัปดาห์ นำมาปรับใช้กับประเทศไทย เป็นต้น ๒. ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. กรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์และกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว เช่น ประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว จัดทำคู่มือประชาชนเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติระหว่างเกิดและหลังเกิดแผ่นดินไหวแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เร่งรัดจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยให้ครบถ้วนทุกพื้นที่และมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัย พร้อมทั้งแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง จัดทำป้ายแจ้งให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางเข้าเขตจังหวัดหรือบริเวณที่ใกล้รอยเลื่อน ได้รับทราบว่ากำลังอยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยง และบรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติแผ่นดินไหว ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือในทุกชั้นเรียน เป็นต้น ๒.๒ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยและอุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น จัดหาและพัฒนาเครื่องมือ อุปกรณ์ตรวจวัดแผ่นดินไหวและระบบสัญญาณเตือนภัยที่ใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีความทันสมัย ปรับปรุงและพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวให้มีความถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว และครอบคลุมทั่วถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดหาเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ทันสมัย ความเร็วสูงและมีความแม่นยำให้กับกรมอุตุนิยมวิทยา เป็นต้น ๒.๓ มาตรการด้านการบริหารจัดการ เช่น ปรับปรุงโครงสร้างขององค์กร หน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วางแผนการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวแห่งชาติเป็นการเฉพาะ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว รวมถึงแผนย่อยระดับจังหวัดและท้องถิ่น มอบหมายหน่วยงานหลักเพียงหน่วยงานเดียวในการประชาสัมพันธ์หรือให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในขณะเกิดเหตุภัยพิบัติ และจัดตั้งวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นการเฉพาะ เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ให้เสมือนวิทยาลัยการอาชีพต่าง ๆ เป็นต้น ๒.๔ มาตรการด้านกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ โดยมีมาตรการบังคับให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว ที่ปลูกสร้างก่อนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีผลบังคับใช้ควรปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างให้สามารถรองรับต่อการเกิดแผ่นดินไหวได้ ตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติฯ และมีมาตรการเพิ่มโทษเกี่ยวกับผู้ที่ให้ข่าวลือ การพูดในลักษณะที่ทำนายหรือคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติแผ่นดินไหว โดยไม่มีหลักฐานทางวิชาการมาประกอบหรือสนับสนุนในเรื่องนั้น ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2613 | การเสนอร่างกฎหมายในสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ | นร04 | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดแนวทางการเสนอร่างกฎหมายในสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป ดังนี้
๑. ร่างกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีได้ร้องขอให้รัฐสภาดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๑๕๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และยังอยู่ระหว่างชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา ให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องติดตามการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว และให้กรรมาธิการซึ่งเป็นผู้แทนคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การเสนอร่างกฎหมายและการตอบกระทู้ถามในสมัยสามัญนิติบัญญัติ) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. กรณีร่างกฎหมายตามแผนการตรากฎหมายฯ ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนการตรากฎหมายฯ และให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรให้ความสำคัญกับร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นพิเศษ รวมทั้งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. กรณีร่างกฎหมายที่ไม่ใช่ร่างกฎหมายตามแผนการตรากฎหมายฯ และอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ให้คณะกรรมการดังกล่าวพิจารณาความเหมาะสม อย่างไรก็ดี กรณีที่รัฐมนตรีซึ่งเกี่ยวข้องเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนต้องเสนอร่างกฎหมายนั้น ให้แจ้งต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เพื่อประสานกับคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของการเสนอและการพิจารณาให้สภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๔. สำหรับร่างกฎหมายที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือกรรมาธิการร่วมกันของทั้งสองสภา โดยร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาวาระที่ ๑ ของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา ให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเตรียมรายชื่อกรรมาธิการเพื่อเสนอสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา และติดตามการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว ส่วนร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาในวาระที่ ๒ ของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือกรรมาธิการร่วมกันของทั้งสองสภา หากรัฐมนตรีไม่ได้ร่วมเป็นกรรมาธิการด้วย ให้กรรมาธิการซึ่งเป็นผู้แทนคณะรัฐมนตรีหรือเจ้าหน้าที่ผู้ชี้แจงดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการและนโยบายของคณะรัฐมนตรี ไม่ควรขอแก้ไขหรือชี้แจงให้ผิดไปจากหลักการเดิมหรือยอมตามข้อเสนอของหน่วยงานอื่นโดยพลการ และรายงานผลการพิจารณาให้รัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวให้ดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎหมาย) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2614 | การแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม 5 คณะ (การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี) | นร04 | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๓๖/๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๕ คณะ ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะที่ ๑ ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย ความมั่นคง การพัฒนาสังคม และแรงงาน มีรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย และการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน การพัฒนาสังคม การพัฒนาองค์กรชุมชน การพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งด้านความมั่นคง ด้านแรงงาน และด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๑.๒ คณะที่ ๒ ฝ่ายวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อด้านวิทยาศาสตร์ และด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร ๑.๓ คณะที่ ๓ ฝ่ายเศรษฐกิจ มีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพัน หรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม รวมทั้งด้านการเงิน การคลัง การภาษีอากร สถาบันการเงิน การลงทุน การผลิต การหารายได้เข้าประเทศ การนำเข้าและส่งออกสินค้า นโยบายรัฐวิสาหกิจ และการพลังงาน รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในภาพรวมอื่น เช่น กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพัน หรือเรื่องที่มีผลกระทบด้านการเกษตร การคมนาคม การอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวและกีฬา หรือเรื่องที่มีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๑.๔ คณะที่ ๔ ฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติและสาธารณสุข มีรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อการสงวน อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการและการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ และการสาธารณสุข ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๑.๕ คณะที่ ๕ ฝ่ายสังคม โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อการต่างประเทศ การทหาร การศึกษา การประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ รวมทั้งด้านวัฒนธรรม และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสังคมในภาพรวมอื่น ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๒. สำหรับเรื่องที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๗๑/๒๕๕๔ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๕ คณะ ลงวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๔ หากเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๓๖/๒๕๕๕ ให้คณะกรรมการฯ ตามคำสั่งดังกล่าวพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2615 | ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ปี พ.ศ. 2556 - 2559 | กษ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์การปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ ๑ เตรียมความพร้อมและสร้างภูมิคุ้มกัน และกลยุทธ์ที่ ๒ การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ๑.๒ ยุทธศาสตร์การเก็บกักและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ ๑ การพัฒนาระบบข้อมูลและองค์ความรู้ก๊าซเรือนกระจก และกลยุทธ์ที่ ๒ ส่งเสริม สนับสนุนการปรับระบบการผลิตสู่เกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ๑.๓ ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ ๑ การพัฒนาเสริมสร้างองค์ความรู้ ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลยุทธ์ที่ ๒ สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน กลยุทธ์ที่ ๓ เพิ่มศักยภาพบุคลากร กลยุทธ์ที่ ๔ พัฒนาการดำเนินงานตามกรอบความร่วมมือกับต่างประเทศ ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และกลยุทธ์ที่ ๕ สร้างกลไกในการติดตาม ขับเคลื่อนการพัฒนาการเกษตร ภายใต้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างเป็นระบบ ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นประธาน เป็นหน่วยงานกลาง (Focal Point) รับไปประสานงานและบูรณาการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้นำความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) และคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เกี่ยวกับคำว่า “การท่องเที่ยวเกษตรเชิงอนุรักษ์” ควรใช้คำว่า “การท่องเที่ยวเชิงเกษตร” (Agro Tourism) ซึ่งเป็นความหมายสากลมากกว่า การให้ความสำคัญกับการนำยุทธศาสตร์ฯ สู่กระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการอย่างบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมสีเขียวที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การเพิ่มเติมประเด็นที่เชื่อมโยงกับภาคการผลิตอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหารที่จะแสดงให้เห็นถึงเส้นทางการลดก๊าซเรือนกระจก หรือวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และมีกรอบโยบายที่เหมาะสมและกลไกที่ควบคุมได้สำหรับความมั่นคงทางด้านอาหารและพลังงาน เช่น การกำหนดพื้นที่ เขตการผลิตพืช และการปรับปรุงพันธุ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต เป็นต้น รวมทั้งการกำหนดให้มีการดำเนินการติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในแต่ละปีได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลที่เป็นรูปธรรม เป็นต้น ไปพิจารณาปรับปรุงยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตรฯ ให้สมบูรณ์ชัดเจนและครบถ้วน และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้มีการจัดทำยุทธศาสตร์เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในด้านต่างๆ เพิ่มเติม ได้แก่ ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านสาธารณสุข มอบกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพดำเนินการจัดทำ และยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเตรียมพร้อมรองรับภัยพิบัติ มอบกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพดำเนินการจัดทำ แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2616 | ความคืบหน้าการดำเนินการโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท (หนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้) ๑.๑ กระทรวงการคลังได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่จัดทำแนวทางรูปแบบและหลักสูตรการอบรมฟื้นฟูและการจัดทำแผนการชำระหนี้ใหม่ที่เหมาะสมตามประเภทลูกหนี้เพื่อให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจนำไปปฏิบัติ และจัดทำเกณฑ์การคิดค่าใช้จ่ายและหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายงบประมาณในการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพในการประกอบอาชีพของลูกหนี้เพื่อประกอบการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมทั้งออกแบบวิธีการประเมินผลการทำงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพด้านการอบรมฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ เพื่อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งในระหว่างดำเนินโครงการและภายหลังสิ้นสุดโครงการได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๒ กระทรวงการคลังได้จัดการประชุมคณะทำงานฯ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ และวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ โดยที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ ผลการดำเนินงานโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีการอบรมฟื้นฟูให้ลูกหนี้ ณ วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ กรอบการอบรมฟื้นฟูฯ หลักสูตรการอบรมฟื้นฟูฯ และแผนการทำงาน แนวทางการประเมินผลการทำงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในเชิงปริมาณและคุณภาพด้านการอบรมฟื้นฟูศักยภาพของลูกหนี้ รวมทั้งเกณฑ์การเบิกจ่ายงบประมาณในการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพด้านการประกอบอาชีพของลูกหนี้ ๒. โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท (หนี้สถานะปกติ) ๒.๑ กระทรวงการคลังได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการด้านการแนะนำและติดตามการใช้จ่ายเงินที่ประหยัดได้ของลูกหนี้โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยมีรองปลัดกระทรวงการคลัง (นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์) เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ติดตามการใช้จ่ายเงินของลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการฯ ในภาพรวมทั้งประเทศ แนะนำแนวทางในการนำเงินที่ประหยัดได้ไปใช้จ่ายให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิต การประกอบอาชีพ หรือดำเนินการที่ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้บริหารการคลังประจำจังหวัด หรือคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) เพื่อไปดำเนินการ รวมทั้งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อดำเนินการตามที่คณะกรรมการมอบหมาย ๒.๒ คณะกรรมการฯ ได้มีการประชุมไปแล้ว ๓ ครั้ง และได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านฐานข้อมูล โดยมีหน้าที่จัดทำฐานข้อมูลโครงการพักหนี้ฯ ทั้งหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้ และหนี้สถานะปกติ คณะอนุกรรมการฯ ได้จัดทำฐานข้อมูลหนี้สถานะปกติในเบื้องต้นแล้ว ส่วนหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้จะจัดทำฐานข้อมูลต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2617 | แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) | นร | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การจัดงานหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ OTOP MIDYEAR 2012 สู่ประชาคมอาเซียน) ที่มอบหมายให้รัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินการร่วมกันในการเพิ่มช่องทางการตลาดและการส่งออกผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) จากระดับชุมชนไปสู่ตลาดทั่วโลก ตลอดจนขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP นั้น การจัดทำอาหารกล่องสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน “ชุดปิ่นโต” เป็นตัวอย่างผลิตภัณฑ์ OTOP ชนิดหนึ่งที่ได้มีการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพ รูปแบบและบรรจุภัณฑ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ซื้อสินค้ามากขึ้น โดยในส่วนของอาหารสำเร็จรูป ควรพิจารณานำอาหารที่ผู้ผลิตได้รับการยอมรับว่าผลิตอาหารที่มีรสชาติอร่อยเป็นต้นตำรับหรือเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นมาดำเนินการและออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมสวยงาม สะดวกแก่การรับประทานระหว่างการเดินทางและเพิ่มช่องทางการจำหน่าย ณ สถานีรถไฟและบนรถไฟสายต่างๆ จึงขอให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการพัฒนาชุมชน) รับแนวทางดังกล่าวไปบูรณาการการปรับปรุงพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ OTOP ชนิดต่างๆ ร่วมกับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) [ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (Thailand Creative & Design Center : TCDC)] กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา) กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2618 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับงานที่ทำเป็นโครงการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินในประเทศเพื่อเป็นแหล่งเงินลงทุนสำหรับโครงการต่าง ๆ จำนวน ๒๐ โครงการ ที่มีความต้องการกู้เงินในประเทศระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติรายการและกรอบวงเงินกู้ของ กฟภ. ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และการปรับปรุงในระหว่างปี (กรอบวงเงินในเบื้องต้นประมาณ ๑๖,๘๖๙.๕๖๒ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และไม่เกินกรอบวงเงินกู้ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ โดยกระทรวงการคลังจะไม่ค้ำประกันเงินกู้ ทั้งนี้ กฟภ. ต้องปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ กำหนดให้การกู้เงินในประเทศดังกล่าวในแต่ละปี กฟภ. จะต้องเสนอความต้องการกู้เงินให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินต่อคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเพื่อบรรจุโครงการเงินกู้ไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2619 | มาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ | กค | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ โดย ๑.๑ ปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการคำนวณเงินได้สุทธิจากเดิม ๕ ขั้นอัตรา เป็น ๗ ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุดร้อยละ ๓๗ คงเหลือร้อยละ ๓๕ ๑.๒ กำหนดคำนิยามของ “คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” ให้หมายความว่า บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันโดยไม่มีวัตถุประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น ทั้งนี้ ให้เสียภาษีจากเงินได้พึงประเมินก่อนหักรายจ่ายในอัตราร้อยละ ๒๐ ๑.๓ กำหนดคำนิยามของ “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล” ให้หมายความว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และให้หมายความรวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญที่อธิบดีกำหนด โดยอนุมัติรัฐมนตรี และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ ให้เสียภาษีจากเงินได้สุทธิในอัตราร้อยละ ๒๐ ๑.๔ ให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินในปีภาษี ๒๕๕๖ ที่จะต้องยื่นรายการในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ๒. สำหรับเงินได้สุทธิตั้งแต่ ๐-๓๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งกำหนดอัตราภาษีไว้ในอัตราร้อยละ ๕ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีสำหรับเงินได้สุทธิ ๑๕๐,๐๐๐ บาทแรกต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2620 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2555 | ทส | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ๑.๑ ให้ รฟม. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๒ หาก รฟม. มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการหรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่ได้เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ตามที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ให้แจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา หากหน่วยงานดังกล่าวเห็นว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการหรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมดังกล่าวไม่กระทบต่อสาระสำคัญของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และเป็นมาตรการที่เกิดผลดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า หรือเทียบเท่ามาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ แล้ว ให้หน่วยงานที่มีอำนาจอนุมัติหรืออนุญาตรับพิจารณาการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายนั้น ๆ พร้อมกับสำเนาเรื่องแจ้งสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อทราบ หากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจกระทบต่อสาระสำคัญของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้จัดส่งรายงานการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดโครงการ หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเสนอคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ให้ความเห็นชอบก่อนการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงแก้ไข ๑.๓ ให้ รฟม. นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๔ ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรควบคุม กำกับดูแลการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสีเขียวอ่อน ส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรายงานเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทุก ๖ เดือน ๒. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับโครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ๒.๑ ให้ รฟท. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของ รฟท. ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๙/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๔ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๒.๒ ให้ รฟท. นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๒.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ควบคุม กำกับดูแลการดำเนินโครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของ รฟท. ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรายงานเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทุก ๖ เดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
