ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 135 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2681 - 2700 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2681 | กรอบแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ | มท | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่คณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ ๑.๑.๑ คณะกรรมการบูรณาการฯ ทำหน้าที่ในการบูรณาการการทำงานของทุกส่วนราชการในการจัดการและกระจายการถือครองที่ดินทั่วประเทศให้เหมาะสมและสอดคล้องต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ โดยมีสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินเป็นกลไก ซึ่งมีแผนปฏิบัติการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ โดยการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ๑.๑.๒ ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) เสนอขอแปรญัตติเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๕๗๐,๕๓๕,๒๐๐ บาท ๑.๑.๓ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ รวม ๓ คณะ โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) เป็นประธาน ประกอบด้วยคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาด้านกฎหมาย คณะอนุกรรมการจัดรูปที่ดิน และคณะอนุกรรมการบริหารจัดการที่ดิน ๑.๑.๔ จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการบูรณาการฯ อย่างน้อยทุก ๆ ๒ เดือน หากมีความจำเป็นเร่งด่วน อาจจัดให้มีการประชุมเดือนละ ๑ ครั้ง แล้วแต่กรณี ๑.๑.๕ คณะกรรมการบูรณาการฯ จะเป็นผู้แต่งตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัดในภาพรวม โดยให้คณะอนุกรรมการบริหารจัดการที่ดินเป็นผู้พิจารณาเสนอ ๑.๒ การดำเนินงานของ บจธ. คณะกรรมการบูรณาการฯ ได้พิจารณาถึงกรอบอำนาจหน้าที่ของ บจธ. ประกอบกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบูรณาการฯ แล้ว เห็นว่า บจธ. มีความเหมาะสมและเป็นกลไกสำคัญสำหรับการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการฯ ควรให้มีการดำเนินงานตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ ต่อไป ๒. เห็นชอบการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด ตามที่คณะกรรมการบูรณาการฯ เสนอ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นกรรมการ เพิ่มเติม และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ให้คณะกรรมการบูรณาการฯ ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการบูรณาการฯ รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และคณะกรรมการประสานงานเพื่อให้มีโฉนดชุมชน เกี่ยวกับการพิจารณาให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ การผลักดันร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ซึ่งเป็นกฎหมายที่จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เป็นองค์กรกลางทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินของประเทศให้มีผลบังคับใช้ การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ควรมีเป้าหมายสำคัญร่วมกันในการบูรณาการการแก้ไขปัญหาที่ดินอย่างเป็นระบบ การให้ความสำคัญในเรื่องการรับรองสิทธิของชุมชนในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการปฏิรูปการจัดการที่ดินโดยให้มีการกระจายสิทธิที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน รวมทั้งการรับรองสิทธิของชุมชนในการจัดการทรัพยากร ที่ดิน น้ำ ป่าไม้ ทะเล การจัดทำระบบฐานข้อมูลที่ดินของประเทศ และมีแนวเขตการถือครองที่ดินของรัฐที่ชัดเจน การเร่งดำเนินการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐทั่วประเทศให้เป็นแนวเดียวกัน การกำหนดโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของ บจธ. ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการฯ การกำหนดรูปแบบและความสัมพันธ์เชื่อมโยงการทำงานระหว่าง บจธ. กับศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินงานร่วมกัน การวางระบบกลไกการกำกับดูแลและสั่งการของศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตอบสนองนโยบายการแก้ไขปัญหาที่ดินเชิงระบบได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการพิจารณานโยบายการดำเนินงานโฉนดชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ส่วนการให้ บจธ. เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการฯ นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาทบทวนพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ หากเห็นว่า โครงสร้าง อำนาจหน้าที่ และการดำเนินการของ บจธ. ไม่สอดคล้องกับการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในเรื่องนี้ สมควรปรับปรุงแก้ไขพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 2682 | รายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงถนนในนครหลวง เวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ 9 | กค | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้ระหว่างสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ ๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สพพ. ได้ดำเนินการลงนามในสัญญากู้เงินกับธนาคารออมสิน เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพื่อนำไปให้กู้ต่อแก่ สปป.ลาว โดยมีเงื่อนไขทางการเงิน ๑.๑ วงเงินกู้ จำนวน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๑.๒ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวเท่ากับอัตราต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน บวกส่วนต่างร้อยละ ๑.๖๕ ต่อปี (เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยทุก ๖ เดือน ปัจจุบันคิดเป็นดอกเบี้ยร้อยละ ๔.๐๒๕) ๑.๓ อายุเงินกู้ ๑๐ ปี (นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา) ๑.๔ ระยะเวลาการเบิกเงิน ๒ ปี (นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา) ๒. สพพ. ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับรัฐบาล สปป.ลาว สำหรับโครงการฯ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ โดยมีเงื่อนไขทางการเงิน ๒.๑ วงเงินกู้ จำนวน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๒.๒ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๕ ต่อปี ๒.๓ อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) ๒.๔ กำหนดชำระดอกเบี้ย วันที่ ๒๐ พฤษภาคม และ ๒๐ พฤศจิกายน ของทุกปี ๒.๕ การชำระคืนเงินกู้ เริ่มชำระคืนวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และสิ้นสุดวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๗๔ ๒.๖ ระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่าย วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
| 2683 | การปรับปรุงสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ประเภทค่าธรรมเนียมการแพทย์หรือเรียกชื่ออย่างอื่นให้พนักงานสำนักงานธนานุเคราะห์ คู่สมรส และบุตร | พม | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่เห็นชอบให้สำนักงานธนานุเคราะห์ปรับปรุงสวัสดิการเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของพนักงานสำนักงานธนานุเคราะห์ให้มีสิทธิการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ประเภทค่าธรรมเนียมการแพทย์ หรือที่เรียกชื่ออย่างอื่นได้เฉพาะตัวพนักงาน คู่สมรส และบุตร กรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการนอกเวลาราชการประเภทผู้ป่วยนอกเท่าที่จ่ายจริงครั้งละไม่เกิน ๓๐๐ บาท รวมปีละไม่เกิน ๓,๖๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2684 | การดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน 2554 - 2563 | สธ | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมประชุมสรุปผลการดำเนินงานเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงคมนาคม (สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร/กรมการขนส่งทางบก) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเน้นย้ำมาตรการที่ดำเนินงานผ่านมา และร่วมหารือเพื่อบูรณาการงานที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคตต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเน้นปัจจัยเสี่ยงหลักที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุ ๔ ประเด็น ดังนี้
๑. ประเด็นการสวมหมวกนิรภัย ได้แก่ การขยายปีรณรงค์สวมหมวกนิรภัย ๑๐๐% ไปถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยตั้งเป้าให้สวมเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ ๒๐ ต่อปี การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย และรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยในหน่วยงานทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ๒. ประเด็นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการดื่มแล้วขับ ได้แก่ การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การผลักดันการแก้ไขกฎหมายกรณีผู้ขับขี่ที่ปฏิเสธการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ให้สันนิษฐานว่าเมา การผลักดันการออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมในเรื่องการห้ามดื่มหรือขายบนทางสาธารณะ การผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถนำเงินที่ได้จากการเปรียบเทียบปรับในส่วนของการกระทำความผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ไปซื้อวัสดุ อุปกรณ์สนับสนุนงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนนได้ เช่น เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ รวมทั้งรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนมีการรับรู้และตระหนักถึงความสูญเสียจากการเมาแล้วขับ ๓. ประเด็นการขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด ได้แก่ การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การผลักดันให้ อปท. สามารถนำเงินที่ได้จากการเปรียบเทียบปรับในส่วนของการกระทำความผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ไปซื้อวัสดุ อุปกรณ์สนับสนุนงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนนได้ เช่น เครื่องมือตรวจจับความเร็ว และการศึกษาและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการควบคุมความเร็วรถตู้สาธารณะ ๔. ประเด็นการใช้เข็มขัดนิรภัย ได้แก่ การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการปรับปรุง แก้ไข กฎ ระเบียบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ใช้รถใช้ถนน เช่น ให้มีกฎหมายบังคับใช้เข็มขัดนิรภัยในผู้โดยสารที่นั่งตอนหลังของรถ และให้มีการบังคับติดตั้งเข็มขัดนิรภัยในรถโดยสารสาธารณะทุกที่นั่ง ให้มีการใช้เก้าอี้นิรภัยสำหรับเด็ก รวมทั้งรณรงค์ส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัยในหน่วยงานทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
|
||||||||||||||||||||||||
| 2685 | ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างเป็นระบบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นทั้งในส่วนของงานป้องกันและงานพัฒนา จึงขอให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเร่งรัดติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับการปรับปรุงแผนการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณของกระทรวง กรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับเป้าหมายยุทธศาสตร์ร่วม ๒๙ ข้อ ของแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง แผนการดำเนินงานขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้) ให้แล้วเสร็จ และให้รายงานนายกรัฐมนตรีโดยด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
| 2686 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศ" | สสป | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศ" ดังนี้ ๑.๑ นโยบายรัฐบาลเกี่ยวการพัฒนาคน รัฐบาลควรถือเป็นวาระสำคัญของชาติโดยเร่งด่วน ๑.๒ รัฐบาลควรจัดให้มียุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศ ๑.๓ รัฐบาลควรแต่งตั้งกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศโดยเร่งด่วนโดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน มีคณะกรรมการประกอบด้วย ผู้แทนส่วนราชการ และภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่อง "ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศ" ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบให้การพัฒนาคนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ควรกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ โดยให้มีการติดตามประเมินผลความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และเห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลัก ๒.๒ ไม่ควรกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศขึ้นใหม่ เนื่องจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นปรัชญานำทางในการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง และในยุทธศาสตร์ที่ ๒ ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืนไว้แล้ว และเห็นชอบให้ส่วนราชการทีเกี่ยวข้องตระหนักถึงข้อเสนอของสภาที่ปรึกษาฯ และให้ถือเป็นประเด็นสำคัญ ประกอบการพิจารณากำหนดยุทธศาสตร์ตามภารกิจของหน่วยงานให้มีความครอบคลุม ๒.๓ เห็นสมควรให้มีคณะกรรมการติดตามประเมินผลตามความสำเร็จในการขับเคลื่อนการพัฒนาคน ซึ่งมีคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง เช่น ด้านการศึกษา สุขภาพ สตรี เด็กและเยาวชน แรงงาน เป็นต้น ซึ่งมีคณะกรรมการระดับชาติและมีนายกรัฐมนตรี/รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามภารกิจของส่วนราชการ หากแต่งตั้งคณะการกรรมยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศจะทำให้เกิดความซ้ำซ้อน โดยผู้แทนสภาที่ปรึกษาฯ มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการติดตามฯ ควรมีอำนาจหน้าที่ในการเชื่อมโยงและประสานแผน ให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุง พัฒนา เพื่อให้การดำเนินการตามแผนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น โดยเห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานหลัก
|
||||||||||||||||||||||||
| 2687 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การวิเคราะห์ระบบการจัดการน้ำลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบบูรณาการ | กษ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การวิเคราะห์ระบบการจัดการน้ำลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบบูรณาการ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการรับฟังความคิดเห็นต่อกรอบแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ระบบการจัดการลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบบูรณาการ ส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๑.๔๕ แสดงความเห็นด้วยต่อกรอบแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ระบบการจัดการลุ่มน้ำยมฯ ในทุกหัวข้อ ซึ่งคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำผลการรับฟังความคิดเห็นต่อกรอบแนวทางการศึกษาการจัดการลุ่มน้ำยมฯ ไปปรับปรุงเป็นข้อกำหนดขอบเขตงาน (TOR) สำหรับการศึกษาระบบการจัดการลุ่มน้ำยมฯ ผลการศึกษามี ๒ ประเด็น ได้แก่ ๑.๑ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงกลยุทธ์ (Strategic Environmental Assessment L : SEA) เป็นกระบวนการในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของนโยบาย แผน เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบาย โดยมีการพิจารณาถึงผลกระทบทางลบ ทางบวกจากการดำเนินโครงการต่อมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยผลการศึกษาสรุปว่า ทางเลือกการจัดการน้ำในลุ่มน้ำยมมีด้วยกัน ๔ ทางเลือก คือ ๑.๑.๑ ทางเลือกที่ ๑ มีการพัฒนาเฉพาะมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และการปรับปรุงประสิทธิภาพการชลประทาน ๑.๑.๒ ทางเลือกที่ ๒ มีการพัฒนาในมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง การพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลาง ทั้งอ่างเก็บน้ำและฝาย/ประตูระบายน้ำตามลำน้ำยม รวมถึงการพัฒนาและจัดสรรน้ำโครงการขนาดเล็กในพื้นที่ประสบภัยแล้งซ้ำซาก ๑.๑.๓ ทางเลือกที่ ๓ มีการพัฒนาในมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง ทั้งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลางและแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ได้แก่ เขื่อนแม่ยม และเขื่อนแม่ยมตอนบน ๑.๑.๔ ทางเลือกที่ ๔ มีการพัฒนาในมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง ทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลางและแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ได้แก่ เขื่อนแก่งเสือเต้น ทั้งนี้ แนวทางการเลือกการพัฒนาโครงการ ทางเลือกที่ ๔ เป็นทางเลือกที่มีศักยภาพมากที่สุด โดยมีความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับทางเลือกที่ ๑, ๒ และ ๓ ในด้านความยั่งยืนทางด้านเศรษฐกิจ ทางเลือกที่ ๔ จะให้ผลประโยชน์สุทธิมากกว่าทางเลือกที่ ๓ และทางเลือกที่ ๒ ตามลำดับ ๑.๒ การใช้นโยบายสาธารณะแบบบูรณาการเป็นกระบวนการที่ให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังในกระบวนการศึกษาวิเคราะห์ระบบการจัดการลุ่มน้ำยม ทั้งนี้ ผลจากการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ทางเลือกในการจัดการลุ่มน้ำยม” ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำยมตอนบนและลุ่มน้ำยมตอนล่าง รวม ๙ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพะเยา ลำปาง น่าน แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร กำแพงเพชร และนครสวรรค์ โดยให้จัดมีการประชุมรวมทั้งหมดจำนวน ๙ ครั้ง โดยพื้นที่และกลุ่มประชากรเป้าหมายของการประชุมในพื้นที่ลุ่มน้ำยมได้ครอบคลุมพื้นที่และกลุ่มประชากรเป้าหมายที่มาจากพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยทั้ง ๑๑ ลุ่มน้ำ มีพื้นที่ครอบคลุม ๑๖๑ ตำบล ๓๑ อำเภอ ๑๐ จังหวัด ผลสรุปจากการมีส่วนร่วมในการจัดระดับความสำคัญของทางเลือกในการพัฒนาลุ่มน้ำยมพบว่า ผู้มีส่วนได้เสียส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับทางเลือกที่ ๔ รองลงมาได้แก่ ทางเลือกที่ ๓ ทางเลือกที่ ๒ และทางเลือกที่ ๑ ตามลำดับ ยกเว้นกลุ่มองค์กรอิสระที่ให้ความสำคัญกับทางเลือกที่ ๔ น้อยที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||
| 2688 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 พ.ศ. .... | กค | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอว่า ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๐ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ได้แก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญแตกต่างจากร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาหลายประการ โดยมีประเด็นข้อกฎหมายที่สำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จึงขอรับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไปตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาหลักเกณฑ์การกำหนดประเภทธุรกิจและประเภทสินทรัพย์ ตลอดจนเกณฑ์ในการกำกับดูแล ที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จะประกาศกำหนด ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๐ พ.ศ. .... โดยเฉพาะการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ที่เป็นการทำธุรกรรมที่ซับซ้อน การทำธุรกรรมไขว้ และการโอนสินทรัพย์เป็นทอด ๆ และในระยะต่อไปหากมีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนแล้ว เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ศึกษาเพิ่มเติมถึงความเหมาะสมของการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เช่น การแปลงสินทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ (Movable asset) เป็นต้น เพื่อให้ภาคธุรกิจมีแหล่งสนับสนุนเงินทุนเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาตราสารทางการเงินประเภทใหม่ตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 2689 | ขออนุมัติผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง และขอเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันรายการก่อสร้างอาคารศูนย์การศึกษาและบริการวิชาการ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ | ศธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เปลี่ยนแปลงรายการและเพิ่มวงเงินการก่อสร้างอาคารศูนย์การศึกษาและบริการวิชาการ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในวงเงินจำนวน ๕๒๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามผลประกวดราคา โดยให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๑๑๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับจัดสรรแล้ว ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒๓,๔๐๐,๐๐๐ บาท ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๑,๔๒๐,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป อีกจำนวน ๗๒,๑๘๐,๐๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันจากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๘ พร้อมทั้งให้ผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2690 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. .... | ศธ | 21/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑. กำหนดให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น ๒. กำหนดให้มหาวิทยาลัยมีรายได้จากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ และเงินกองทุนที่รัฐบาลหรือมหาวิทยาลัยจัดตั้งขึ้น และรายได้หรือผลประโยชน์จากกองทุน เป็นต้น และให้รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ๓. กำหนดให้มีสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วย นายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการซึ่งเลือกจากผู้ดำรงตำแหน่ง และคณาจารย์ประจำตามที่กำหนด กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่ง และให้สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๔. กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัย สภาวิชาการ และสภาพนักงาน โดยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด และให้จำนวน คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง ตลอดจนการประชุม เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย ๕. กำหนดให้มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด และรับผิดชอบการบริหารงานของมหาวิทยาลัย กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๖. กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษาและการประเมินการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย ๗. กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการการบัญชีและการตรวจสอบทางบัญชีและการเงินของมหาวิทยาลัย ให้อธิการบดีเป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และให้รัฐมนตรีมีอำนาจและหน้าที่กำกับและดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของมหาวิทยาลัย ๘. กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณฯ การดำรงตำแหน่งและคณะกรรมการต่าง ๆ ส่วนราชการ การโอนบรรดาข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ พนักงานของมหาวิทยาลัย ตำแหน่งทางวิชาการ ตลอดจนระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
| 2691 | การปรับปรุงวันหยุดพักผ่อนประจำปีของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง | กค | 21/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับเพิ่มจำนวนวันหยุดพักผ่อนประจำปีสำหรับพนักงานของโรงงานยาสูบ (รยส.) ที่ทำงานตั้งแต่ ๑๐ ปีขึ้นไป จาก ๑๐ วันทำงาน เป็น ๑๓ วันทำงาน และสะสมได้ไม่เกิน ๓๐ วันทำงาน ตามมติของคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เพื่อให้เป็นตามนัยพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๑๓ วรรคสาม ทั้งนี้ รยส. ควรบริหารจัดการองค์กรภาพรวมโดยมิให้กระทบต่อการผลิตยาสูบ ค่าใช้จ่ายองค์กร รวมทั้งฐานะทางการเงินเป็นสำคัญ และในการปรับเพิ่มจำนวนวันหยุดพักผ่อนประจำปีดังกล่าวอาจทำให้รัฐวิสาหกิจอื่นเสนอขอปรับเพิ่มตาม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พิจารณาความเหมาะสมของจำนวนวันหยุดพักผ่อนประจำปีสำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจโดยรวม โดยเฉพาะพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีอายุการทำงานตั้งแต่ ๑๐ ปีขึ้นไป เพื่อให้รัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติเป็นหลักเกณฑ์เดียวกัน และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของรัฐวิสาหกิจโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 2692 | การปรับปรุงแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนล่าง 1 และตอนล่าง 2 รวม 8 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรี นอกสถานที่ ณ จังหวัดสุรินทร์ วันที่ 30 กรกฎาคม 2555 | นร11 | 21/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการ/กิจกรรมของจังหวัดในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๑ (จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์) และตอนล่าง ๒ (จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร) รวม ๘ จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุรินทร์ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยให้ใช้เงินงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในส่วนที่สามารถเจียดจ่ายของหน่วยงานรับผิดชอบเพื่อดำเนินการโครงการหรือกิจกรรม จำนวน ๖ โครงการ และ ๑๔ กิจกรรมย่อย วงเงินรวม ๘๕.๖๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๑.๑ จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ โครงการซ่อมสร้างถนนลาดยางผิว AC เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในการเดินทางสัญจรไปมา และการขนส่งผลิตภัณฑ์การเกษตร สาย นม.๔๐๐๙ แยกทางหลวงหมายเลข ๒๑๕๐-บ้านทำนบพัฒนา ตำบลหนองหอย ตำบลทัพรั้ง อำเภอขามสะแกแสง อำเภอพระทองคำ จังหวัดนครราชสีมา ระยะทาง ๒.๐๐๐ กิโลเมตร วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนนลาดยางผิว AC เพื่อการขนส่งผลผลิตทางการเกษตร บ้านศูนย์กลาง-บ้านโนนสำราญ ตำบลโนนสำราญ อำเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา ระยะทาง ๒.๐๐๐ กิโลเมตร วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท และโครงการซ่อมสร้างถนนลาดยางผิว AC สาย บ้านชลประทาน-บ้านวงเกษตร ตำบลหนองไม้แดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ระยะทาง ๑.๓๒๕ กิโลเมตร วงเงิน ๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๒ จังหวัดชัยภูมิ จำนวน ๗ กิจกรรมย่อย ได้แก่ กิจกรรมการขุดลอกแก้มลิง/ลำห้วย/คลอง/อ่างเก็บน้ำ จำนวน ๔ กิจกรรม วงเงิน ๑๓.๕๑ ล้านบาท และก่อสร้างสะพานจำนวน ๓ กิจกรรม วงเงิน ๑๓.๘๐ ล้านบาท ๑.๑.๓ จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน ๑ โครงการ ได้แก่ โครงการขุดลอกห้วยเมฆา วงเงิน ๖.๖๓ ล้านบาท ๑.๑.๔ จังหวัดสุรินทร์ จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยตำบลหนองหลวง อำเภอโนนนารายณ์ วงเงิน ๓.๐๐ ล้านบาท และโครงการบูรณะผิวทางลาดยาง AC สายบ้านจรัส-ช่องพริก ตำบลจรัส อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ วงเงิน ๕.๖๐ ล้านบาท ๑.๑.๕ จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน ๗ กิจกรรมย่อย ได้แก่ กิจกรรมการขุดลอกคลองและเพิ่มประสิทธิภาพระบบสูบ จำนวน ๒ กิจกรรม และการก่อสร้างสะพาน ถนน และวางท่อระบายน้ำ จำนวน ๕ กิจกรรม วงเงิน ๑๘.๐๖ ล้านบาท ๑.๒ แผนงาน/โครงการของจังหวัดในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๑ และตอนล่าง ๒ เป็นโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที (เพิ่มเติม) จำนวน ๖ โครงการ วงเงิน ๘๔.๘๒ ล้านบาท เพื่อทดแทนโครงการ/กิจกรรมของจังหวัดที่ควรให้ความเห็นชอบใช้งบประมาณที่สามารถเจียดจ่ายของหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการตามข้อ ๑.๑ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ประกอบด้วย ๑.๒.๑ จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๑ โครงการ ได้แก่ โครงการปรับปรุงอาคารระบายน้ำล้นอ่างเก็บน้ำลำตะคองพร้อมงานส่วนประกอบ วงเงิน ๒๔.๘๕ ล้านบาท ๑.๒.๒ จังหวัดชัยภูมิ จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตประชาชน วงเงิน ๑๗.๓๑ ล้านบาท และโครงการพัฒนาอาชีพ (การผลิตพริกให้ได้มาตรฐานปลอดภัยต่อผู้บริโภคเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน) วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๓ จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน ๑ โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาศูนย์ฝึกวิชาชีพสู่ชุมชนเมืองแป๊ะอย่างยั่งยืน วงเงิน ๖.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๔ จังหวัดสุรินทร์ จำนวน ๑ โครงการ ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางเดินเคาะระฆังพันใบขึ้นเขาสวาย วงเงิน ๘.๖๐ ล้านบาท ๑.๒.๕ จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน ๑ โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาอาชีพเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน วงเงิน ๑๘.๐๖ ล้านบาท ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วยว่า โครงการต่าง ๆ ที่สมควรจะดำเนินการได้นั้น ต้องเป็นโครงการที่มีรายละเอียดแสดงให้เห็นถึงวัตถุประสงค์และผลลัพธ์ของโครงการที่เป็นรูปธรรมชัดเจน หากกรณีเป็นโครงการเพื่อการฝึกอบรม ประชุมสัมมนา ไม่สมควรดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2693 | รายงานผลการเข้าร่วมประชุม World Economic Forum on East Asia ด้านพลังงาน | พน | 14/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานผลการประชุม World Economic Forum on East Asia ด้านพลังงาน (Private session on Energy) ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม - ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพมหานคร โดยการประชุม Private session on Energy จัดขึ้นในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ซึ่งมีการประชุม ๒ เรื่อง คือ การประชุม Energy Security and Infrastructure Roundtable : ASEAN Five-Year Plan in Energy และการประชุม New Energy Architecture for East Asia ส่วนการประชุม Public Session จัดขึ้นในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ คือ การประชุม Powering the Region’s Growth : The Future of Energy สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม Energy Security and Infrastructure Roundtable : ASEAN Five-Year Plan in Energy ๑.๑ การรวมตัวกันเพื่อเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ (game changer) ที่จะนำไปสู่การได้ประโยชน์ร่วมกันของชาติสมาชิกอาเซียนเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงาน โดยแนวทางที่จะสามารถนำไปสู่การรวมตัวกันได้อย่างแท้จริงจะต้องเกิดขึ้นจากการผลักดันยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติและการแสดงภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง (strategy and strong leadership) ของผู้นำชาติสมาชิกอาเซียนเพื่อผลักดันแนวทางต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจังในระดับชาติและระดับภูมิภาค ๑.๒ การรวมตัวกันของอาเซียนจะนำไปสู่การแบ่งปันผลประโยชน์สูงสุดในด้านทรัพยากรธรรมชาติของภูมิภาค โดยจะต้องมีการปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน และการลดการอุดหนุนราคาด้านพลังงาน แต่ทั้งนี้จะต้องมุ่งเน้นนโยบายในการส่งเสริมการเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานอย่างทั่วถึงในทุกภาคส่วน ๑.๓ การจัดตั้งศูนย์กลางการค้าพลังงานอาเซียน (ASEAN Energy Market Centre) จะช่วยให้นโยบายและโครงสร้างทางพลังงานมีเสถียรภาพมากขึ้น การกำหนดกลไกราคาพลังงาน และมาตรฐานทางเทคนิคต่าง ๆ และการสร้างหลักธรรมาภิบาลในรูปแบบที่เหมาะสม ๒. การประชุม New Energy Architecture for East Asia ๒.๑ การรวมตัวทางด้านพลังงานของอาเซียนจะก่อให้เกิดการแบ่งปันผลประโยชน์สูงสุดเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งประเทศสมาชิกจะสามารถเสริมสร้างจุดแข็งของตน และอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนต่างชาติในตลาดอาเซียน ๒.๒ ความสำเร็จในเบื้องต้นในการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงานระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในปัจจุบันจะเริ่มต้นจากการร่วมมือกันในระดับทวิภาคี (bilateral) ซึ่งเห็นได้จากการร่วมมือในด้านก๊าซธรรมชาติ (Trans ASEAN Gas Pipeline-TAGP) และการร่วมมือด้านการเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้า (ASEAN Power Grid-APG) ส่วนการเชื่อมโยงในระดับภูมิภาคอาจจะยังมีข้อจำกัดในด้านการร่วมมือกัน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือด้านพหุภาคี (Multilateral) ที่เข้มแข็ง ๒.๓ การเชื่อมโยงในประเด็น New Energy Architecture จะต้องมีการสร้างความสมดุลของการพัฒนาพลังงานใน ๓ มิติ ได้แก่ ความมั่นคงทางด้านพลังงาน (energy security and access) การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (economic growth) และการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (environmental sustainability) ๓. การประชุม Powering the Region’s Growth : The Future of Energy ๓.๑ หลักการที่สำคัญสำหรับการดำเนินการเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงทางด้านโครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงานในอาเซียน ชาติสมาชิกจะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในการวางแผนให้มีกระบวนการที่มุ่งไปสู่การบรรลุเป้าหมายอย่างแท้จริง ๓.๒ ชาติสมาชิกอาเซียนจะต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบ กลไกของราคา และมาตรฐานทางเทคนิคที่เหมาะสมในการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไฟฟ้าและระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติภายในภูมิภาค ๓.๓ ภาคธุรกิจต่างชาติที่มาร่วมประชุมได้ประมาณการการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนใน ๑๐ ปีข้างหน้าว่าจะมีมูลค่าประมาณ ๒ แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๖,๒๐๐ ล้านล้านบาท) ซึ่งการลงทุนขนาดใหญ่นี้จะได้จากการลงทุนที่มาจากภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในและนอกภูมิภาคอาเซียนที่จะนำไปสู่การพัฒนาด้านอื่น ๆ เช่น สังคม และการศึกษา เป็นต้น ๓.๔ การร่วมมือของอาเซียนจะประสบความสำเร็จได้จะต้องกำหนดแนวทางหรือนโยบายด้านพลังงานให้สอดคล้องกันสามด้าน คือ ความมั่นคงในการจัดหา (security of supply) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) และความสามารถในเชิงการแข่งขัน (competitiveness) โดยประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติด้านพลังงานที่แตกต่างกัน อาทิ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานใต้พิภพ สิ่งเหล่านี้ชาติสมาชิกจะต้องจัดสรรให้มีความเหมาะสมต่อบริบททางเศรษฐกิจและสังคมของอาเซียนโดยรวมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 2694 | ขอความเห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่เสียชีวิตและทุพพลภาพจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 14/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่เสียชีวิตและทุพพลภาพจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประธานกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีประชาชนผู้เสียชีวิตสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เดิมได้รับการช่วยเหลือเป็นเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท เพิ่มเป็น ๕๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ กรณีประชาชนผู้ทุพพลภาพสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากเดิมได้รับการช่วยเหลือเป็นเงินจำนวน ๘๐,๐๐๐ บาท เพิ่มเป็น ๕๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบเป็นต้นไป และให้ย้อนหลังครอบคลุมผู้เสียชีวิตและทุพพลภาพ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๗ เป็นต้นมา โดยส่วนที่มีผลย้อนหลังจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นไม่ช้ากว่าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อไม่ให้เป็นภาระด้านงบประมาณในปีหนึ่งปีใดเกินสมควร และให้นำจำนวนเงินที่ได้รับความช่วยเหลือไปแล้วมาหักออกจากจำนวนเต็มที่พึงจะได้รับด้วย ๒. ส่วนรายละเอียดงบประมาณให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรที่เห็นควรดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเยียวยาฯ ตลอดจนระเบียบ และวิธีการขอรับการช่วยเหลือต่อประชาชนในพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีนำไปใช้เป็นเงื่อนไขสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนด้วยกันเองหรือประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งเร่งรัดเรื่องการนำคนที่กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมให้ได้โดยเร็วควบคู่ไปกับการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2695 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย และตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... | กษ | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย และตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย และตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย เพื่อก่อสร้างประตูระบายน้ำตามโครงการปรับปรุงระบบหนองหลวง เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน การเก็บกักน้ำสำหรับพื้นที่การเกษตร การอุปโภคและบริโภค ตลอดจนป้องกันและบรรเทาอุทกภัย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 2696 | ปรับปรุงหลักเกณฑ์มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | กค | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ผ่านมาตรการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ผ่านกลไกการค้ำประกันในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (มาตรการ PGS) และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยความร่วมมือของธนาคารออมสิน (Soft Loan ออมสิน) ดังนี้
๑. กลุ่มเป้าหมายเป็น SMEs ที่ประกอบธุรกิจทุกประเภทที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัย ตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือเป็น SMEs ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม โดยจะต้องมียอดการสั่งซื้อหรือยอดขายกับคู่ค้าในพื้นที่ประสบอุทกภัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕ โดยธนาคารจะต้องเป็นผู้รับรองและยืนยัน ๒. วงเงินค้ำประกันสูงสุดทุกประเภท/วงเงินให้สินเชื่อสูงสุดทุกประเภทรวมกันไม่เกิน ๓๐ ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน โดยสินเชื่อที่ได้รับจากสถาบันการเงินต้องเป็นสินเชื่อใหม่ และต้องไม่นำไปชำระหนี้เดิมกับสถาบันการเงินผู้ให้กู้ ๓. ระยะเวลารับคำขอ ภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๕ |
||||||||||||||||||||||||
| 2697 | ร่างพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. .... | สธ | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ยกเลิกพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ๑.๒ กำหนดบทนิยามเพิ่มเติม อาทิ เชื้อจุลินทรีย์ สารชีวภาพ เป็นต้น ๑.๓ กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศกำหนดมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยและอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อสาธารณชน ๑.๔ กำหนดให้มีคณะกรรมการเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนส่วนราชการ ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ ผู้แทนนักวิชาการด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ผู้แทนผู้รับอนุญาตหรือจดแจ้ง และผู้ทรงคุณวุฒิ กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่ง องค์ประชุม และให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๕ กำหนดให้จัดตั้ง “สำนักงานกำกับเชื้อโรคและพิษจากสัตว์” ขึ้นในกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๖ กำหนดกระบวนการการขออนุญาตและการจดแจ้งซึ่งการผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ การออกใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง ประเภทของใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง การแก้ไขรายการในใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง อายุและการต่ออายุใบอนุญาตและใบรับจดแจ้ง และการขอรับใบแทนใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง ๑.๗ กำหนดให้ผู้รับอนุญาต ผู้จดแจ้ง ผู้ดำเนินการ และผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการ มีหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๘ กำหนดให้ผู้อนุญาตมีอำนาจในการควบคุมเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ตามที่กำหนด ๑.๙ กำหนดกระบวนการเลิกกิจการและการโอนกิจการที่เกี่ยวกับเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ๑.๑๐ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง การสั่งยกเลิกคำสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง และการที่ผู้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้งจะขายเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ๑.๑๑ กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีระดับการใช้อำนาจตามที่กำหนด ๑.๑๒ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอุทธรณ์การไม่ออกใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง การไม่ต่ออายุใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง และการพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง ๑.๑๓ กำหนดความรับผิดทางแพ่ง และบทกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ซึ่งมีโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ ๑.๑๔ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับคณะกรรมการ ใบอนุญาต คำขออนุญาต ตลอดจนบรรดากฎกระทรวง ประกาศ หรือระเบียบที่ออกตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการปรับแก้ไขในส่วนของคณะกรรมการ การขออนุญาตและการออกใบอนุญาต การขอจดแจ้งและการออกใบจดแจ้ง รวมทั้งบทกำหนดโทษ และความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานกำกับเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีฐานะเป็นกองหรือเทียบกอง สามารถกำหนดได้โดยกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และในการจัดตั้งหน่วยงานดังกล่าวจะต้องไม่เป็นเหตุให้ขอเพิ่มอัตรากำลัง ซึ่งจะมีผลกระทบต่องบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคคลภาครัฐ รวมทั้งควรดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ที่ได้มีมติเห็นชอบในหลักการว่า “ไม่ควรมีข้อกำหนดในรายละเอียดให้มีการจัดตั้งส่วนราชการขึ้นใหม่ในการร่างกฎหมายเพื่อใช้บังคับกับเรื่องหนึ่งเรื่องใด” และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ ที่กำหนดให้การจัดตั้งส่วนราชการระดับต่ำกว่ากรมจะต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่องกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 2698 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนสำหรับปีบัญชี 2554 (1 มกราคม 2554 - 31 ธันวาคม 2554) ของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย | กค | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนสำหรับปีบัญชี ๒๕๕๔ (๑ มกราคม ๒๕๕๔ - ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔) ของบรรษัทตลาดรองสินเชื่ออุตสาหกรรมที่อยู่อาศัย (บตท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป โดยมีรายละเอียดดังนี้
๑. ผลการดำเนินการของ บตท. ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีสินทรัพย์รวม ๑,๙๘๐.๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๑๔๐.๔ ล้านบาท มีหนี้สินรวม ๑,๒๖๑.๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๑๓๘.๙ ล้านบาท มีรายได้รวม ๑๑๓.๗ มีค่าใช้จ่ายรวม ๑๐๔.๘ ล้านบาท มีกำไรสุทธิจำนวน ๔.๑ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๓.๘ ล้านบาท มีอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ร้อยละ ๑๘.๘ ๒. บตท. ดำเนินการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ โดยดำเนินการจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ (SPV) มาแล้วจำนวน ๔ บริษัท ปัจจุบันคงเหลือเฉพาะนิติบุคคลเฉพาะกิจ บตท. (SPV ๔) โดยการออกหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ รวมจำนวน ๔๒๐.๐ ล้านบาท ๓. การพัฒนาตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ๓.๑ โครงการความร่วมมือกับสถาบันการเงินพันธมิตร ๓ แห่ง ในการจัดซื้อสินเชื่อที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะยาว ๓.๒ โครงการความร่วมมือกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ (Developer) โดย บตท. ได้ร่วมมือกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์นำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้แก่ลูกค้าของโครงการอย่างต่อเนื่อง ๓.๓ โครงการจัดซื้อสินเชื่อจาก Mortgage Company ปัจจุบันอยู่ระหว่างหาผู้วิเคราะห์สินเชื่อที่พร้อมให้บริการ คาดว่าจะดำเนินโครงการได้ในปี ๒๕๕๕ ๓.๔ โดยที่ธนาคารกสิกรไทยมีความประสงค์จะขายสินเชื่อให้กับ บตท. ภายในปี ๒๕๕๔ จึงได้ลงนาม MOU ร่วมกันและลงนามในสัญญาซื้อขายเรียบร้อยแล้ว ได้ทยอยจัดซื้อสินเชื่อได้จำนวนเพียงเล็กน้อย เนื่องจากกองสินเชื่อที่คัดเลือกไว้ลูกค้าอยู่ในเขตประสบปัญหาอุทกภัย ๔. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยการบริหารจัดการกองสินเชื่อปกติ NPL และทรัพย์สินรอการขาย (Non - Performing Asset : NPA) ได้เร่งดำเนินการแก้ไขอย่างใกล้ชิดรวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ภายใต้นโยบายและมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
|
||||||||||||||||||||||||
| 2699 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองพันธุ์พืช (จำนวน 12 คน 1. นายณัฐ โฆษิวากาญจน์ ฯลฯ) | กษ | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองพันธุ์พืช จำนวน ๑๒ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ สิงหาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. นายณัฐ โฆษิวากาญจน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากเกษตรกรภาคเหนือ ๒. นายสำอาง แก้วประดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากเกษตรกรภาคกลาง ๓. นายเกรียงไกร ไทยอ่อน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากเกษตรกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๔. นางประมวญ พงษ์ไพบูลย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากเกษตรกรภาคตะวันออก ๕. นายวิเชียร เจียระธรรม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากเกษตรกรภาคตะวันตก ๖. นายสัญญา ปานสวี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากเกษตรกรภาคใต้ ๗. รองศาสตราจารย์ธีระ เอกสมทราเมษฐ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นนักวิชาการ ด้านปรับปรุงพันธุ์พืชจากสถาบันการศึกษา ๘. รองศาสตราจารย์เสวียน เปรมประสิทธิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นนักวิชาการ ด้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติจากสถาบันการศึกษา ๙. นางอณัญญา หงษา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์การพัฒนาเอกชน ที่ไม่แสวงหากำไรที่มีกิจกรรมเกี่ยวกับการเกษตร ๑๐. นางสาวกิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์การพัฒนาเอกชน ที่ไม่แสวงหากำไรที่มีกิจกรรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ ๑๑. นายสุพล ธนูรักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสมาคมที่มีวัตถุประสงค์ เกี่ยวกับการปรับปรุงพันธุ์และขยายพันธุ์พืช ๑๒. รองศาสตราจารย์จวงจันทร์ ดวงพัตรา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสมาคมที่มีวัตถุประสงค์ เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืช
|
||||||||||||||||||||||||
| 2700 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ครั้งที่ 5/2555 (กรณีเร่งด่วน 4 ประเด็น) | นร11 | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ (กรณีเร่งด่วน ๔ ประเด็น ตามข้อเสนอของประธาน กยอ.) เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการ กยอ. รวบรวมข้อมูลความคืบหน้าในการดำเนินโครงการ/แผนงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการแล้ว ให้ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน เพื่อรายงานให้ กยอ. ทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย สรุปสาระสำคัญของผลการประชุมฯ ดังนี้
๑. ประเด็นที่ ๑ นโยบายการลงทุนของประเทศไทย นับตั้งแต่วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ภาพรวมการลงทุนของประเทศไทยรอบระยะเวลา ๑๕ ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถบริหารให้เกิดการลงทุนที่สร้างรากฐานสำหรับอนาคตของประเทศได้ดีพอ ทั้งที่ประเทศไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง การออมสุทธิสูงแต่ยังไม่มีการนำเงินออมในระบบดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการลงทุนเพื่อการพัฒนาโครงการสำคัญต่าง ๆ ของประเทศ ให้มีมาตรฐานและเพียงพอ ดังนั้น รัฐบาลจึงควรพิจารณากำหนดนโยบายการลงทุนในระยะ ๕-๑๐ ปีข้างหน้า โดยให้ความสำคัญกับการใช้แหล่งเงินกู้ในประเทศเป็นหลัก ๒. ประเด็นที่ ๒ โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย มีความสำคัญในระดับภูมิภาค เนื่องจากเป็นการเชื่อมโยงพื้นที่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของประเทศไปสู่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก ดังนั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เห็นควรยกระดับความร่วมมือในการพัฒนาโครงการดังกล่าวขึ้นเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล ทั้งนี้ ในระหว่างที่ประธานาธิบดีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤษภาคม-๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ และมีกำหนดพบหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาดังกล่าว เห็นควรเสนอฝ่ายเมียนมาร์ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อให้มีกลไกในระดับรัฐบาลของทั้งสองประเทศในการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ๓. ประเด็นที่ ๓ การลงทุนพัฒนาระบบราง ควรดำเนินการควบคู่กันไปทั้งการปรับปรุงระบบรถไฟที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง โดยควรมีการวางแผนเพื่อใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงของทั้งสองระบบในลักษณะสนับสนุนกัน ทั้งนี้ ในส่วนของการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงควรให้ความสำคัญกับการขนส่งสินค้าเพื่อช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของประเทศ และสนับสนุนการเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งกับท่าเรือน้ำลึกฝั่งอันดามันและฝั่งทะเลจีนใต้ เพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายเสรีสินค้าและบริการภายใต้แผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ๔. ประเด็นที่ ๔ การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การสนับสนุนสินเชื่อแบบผ่อนปรนของธนาคารพาณิชย์ยังมีผลการดำเนินงานในการอนุมัติสินเชื่อค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับการสนับสนุนสินเชื่อแบบผ่อนปรนผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน เป็นต้น ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการจัดสรรวงเงินสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ ในวงเงิน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้กับธนาคารพาณิชย์ ภายใต้พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. ๒๕๕๕ แล้ว ดังนั้น เห็นควรขอความร่วมมือให้สมาคมธนาคารไทยช่วยเร่งรัดธนาคารพาณิชย์ในการอำนวยความสะดวกเพื่อปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และรายย่อย |
||||||||||||||||||||||||
.....
