ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 133 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2641 - 2660 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2641 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สำนักงบประมาณ และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เกี่ยวกับความเหมาะสมและความจำเป็นของโครงการ ของ รฟท. เรียงตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย ของ รฟท. กระทรวงคมนาคม โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง และงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ โดย ๑.๑ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย เห็นควรสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ที่เหลืออยู่ จำนวน ๑๒ สายทาง เนื่องจากมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์เพื่อสนับสนุนการขนส่งสินค้าทางรางและการพัฒนาทางคู่ (Double Track) รวมถึงความสอดคล้องกับการปรับปรุงโครงข่ายหลักซึ่งสภาพทางและอายุการใช้งานของสายทางทุกสายทางอยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย ๑.๒ โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง เห็นควรสนับสนุนโครงการฯ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเดินรถ และลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น โดยแผนงานที่ รฟท. เสนอมาอยู่ในเส้นทางสายหลักที่มีปริมาณการจราจรตัดผ่านหนาแน่น ๑.๓ งานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ เป็นงานที่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของรางรถไฟ เพื่อรองรับการลงทุนในส่วนของระบบราง โดยการติดตั้งรั้วในเขตสายทางรถไฟจะช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากทางลักผ่านและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านการขนส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้าให้รวดเร็วและตรงเวลามากขึ้น ๒. อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ได้แก่ ๒.๑ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย ของ รฟท. กระทรวงคมนาคม จำนวน ๔ สายทาง ระยะทาง ๒๖๕ กิโลเมตร ได้แก่ ระหว่างสถานีคลองรังสิต-ชุมทางบ้านภาชี ระยะทาง ๑๒๐ กิโลเมตร ระหว่างชุมทางบ้านภาชี-มาบกะเบา (เดิม) ระยะทาง ๔๔ กิโลเมตร ระหว่างชุมทางศรีราชา-ชุมทางเขาชีจรรย์-สัตหีบ ระยะทาง ๖๖ กิโลเมตร และระหว่างชุมทางเขาชุมทอง-นครศรีธรรมราช ระยะทาง ๓๕ กิโลเมตร วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๙๓๙.๒๕๒๓ ล้านบาท ๒.๒ โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง วงเงิน ๑๙๕.๔๒ ล้านบาท ๒.๓ โครงการ GFMIS-SOE ส่วนขยาย (ระยะที่ ๒) ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง วงเงิน ๘๗ ล้านบาท ๓. อนุมัติให้ รฟท. ดำเนินโครงการ และอนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศ และให้ รฟท. กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัยในสายทางที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรแหล่งเงินลงทุน จำนวน ๘ สายทาง ระยะทาง ๘๔๙ กิโลเมตร รวมวงเงิน ๘,๘๗๔.๖๒ ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป ส่วนงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ วงเงิน ๓,๐๔๖.๑๓ ล้านบาท ให้มีการทบทวนความเหมาะสมของโครงการให้รอบคอบและนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 2642 | แผนบริหารจัดการและแผนธุรกิจโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) | กก | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ดำเนินโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) ต่อไป ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องด้านการเงินของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ในช่วงเวลาการขายบัตรสมาชิกใหม่ จำนวน ๑๐๐ ล้านบาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แผนงานเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว ผลผลิต การส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานด้านตลาด รายการค่าใช้จ่ายในการชำระค่าหุ้นบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด จำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งตั้งงบประมาณไว้ จำนวน ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนการชำระค่าหุ้นบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด เนื่องจากหากยังไม่มีการยกเลิกโครงการฯ จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องจ่ายชำระค่าหุ้นดังกล่าว ทั้งนี้ เห็นสมควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอทำความตกลงเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายงบประมาณกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับดูแลการบริหารจัดการโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้การดำเนินโครงการฯ ประสบปัญหา ไม่สร้างภาระด้านงบประมาณ และอำนวยประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศอย่างแท้จริง และในการดำเนินการตามแนวทางบริหารจัดการสมาชิกเดิม อาทิ การเปลี่ยนแปลง การซื้อคืน หรือการยกเลิกสิทธิ์ ควรเป็นไปอย่างรอบคอบและรัดกุมเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย และความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยในระยะยาว รวมทั้งให้ความสำคัญในการสร้างรายได้และสร้างกระแสเงินสดหมุนเวียนให้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจเพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณของภาครัฐ และพิจารณาแนวทางการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารบริษัทฯ โดยเพิ่มสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากขึ้น มีกระบวนการสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเชิงธุรกิจเข้ามาบริหารงานเพิ่มเติม และมีการคัดกรองสมาชิกใหม่ที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ การให้สิทธิพิเศษบางประการกับสมาชิกบัตร จำเป็นต้องพิจารณาในรายละเอียดที่ชัดเจนและรอบคอบ เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของหลายหน่วยงาน ซึ่งในทางปฏิบัติต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานเหล่านี้ก่อน เช่น การให้บริการตรวจลงตราชนิดพิเศษทุก ๕ ปี โดยให้มีสิทธิพำนักชั่วคราวจากเดิม ๓ เดือน เป็น ๑๒ เดือน การถือครองอสังหาริมทรัพย์ การเข้าถึงผู้บริหารระดับสูงของไทย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2643 | การผนวกรายการความตกลงและพิธีสารทางเศรษฐกิจของอาเซียน แนบท้ายความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) และการลงนามพิธีสาร เพื่อแก้ไขความตกลงทางเศรษฐกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้าของอาเซียน | พณ | 06/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบรายการความตกลงและพิธีสารทางเศรษฐกิจของอาเซียน ๑๑ ฉบับ ที่จะนำมาผนวกแนบท้ายความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) ได้แก่ ๑.๑.๑ ความตกลงว่าด้วยการให้สิทธิพิเศษทางการค้าในอาเซียน (Agreement on Preferential Trading Arrangement) ๑.๑.๒ ความตกลงว่าด้วยการใช้มาตรการกำหนดอัตราอากรร่วมเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (Agreement on the Common Effective Preferential Tariff Scheme for the ASEAN Free Trade Area) ๑.๑.๓ พิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยการให้สิทธิพิเศษทางการค้าในอาเซียน (Protocol to Amend the Agreement on ASEAN Preferential Trading Arrangement) ๑.๑.๔ พิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยการใช้มาตรการกำหนดอัตราอากรร่วมเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน [Protocol to Amend the Agreement on the Common Effective Preferential Tariff (CEPT) Scheme for the ASEAN Free Trade Area (AFTA)] ๑.๑.๕ พิธีสารว่าด้วยการดำเนินการพิเศษสำหรับสินค้าอ่อนไหวและอ่อนไหวสูง (Protocol on the Special Arrangement for Sensitive and Highly Sensitive Products) ๑.๑.๖ พิธีสารว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานการใช้มาตรการกำหนดอัตราอากรร่วมเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนสำหรับบัญชียกเว้นลดภาษีชั่วคราว [Protocol Regarding the Implementation of the Common Effective Preferential Tariff (CEPT) Scheme Temporary Exclusion List] ๑.๑.๗ พิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยการใช้มาตรการกำหนดอัตราอากรร่วมเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนสำหรับการขจัดภาษีนำเข้า [Protocol to Amend the Agreement on the Common Effective Preferential Tariff (CEPT) Scheme for the ASEAN Free Trade Area (AFTA) for the Elimination of Import Duties] ๑.๑.๘ พิธีสารเพื่อแก้ไขพิธีสารว่าด้วยการดำเนินการพิเศษสำหรับสินค้าอ่อนไหวและอ่อนไหวสูง ฉบับที่ ๑ (First Protocol to Amend the Special Arrangement for Sensitive and Highly Sensitive Products) ๑.๑.๙ พิธีสารว่าด้วยการปรับปรุงการขยายการให้สิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้การให้สิทธิพิเศษทางการค้าในอาเซียน (Protocol on Improvements on Extensions of Tariff Preferences under the ASEAN Preferential Trading Arrangement) ๑.๑.๑๐ ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมของอาเซียน (Basic Agreement on the ASEAN Industrial Cooperation Scheme) ๑.๑.๑๑ พิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมของอาเซียน (Protocol to Amend the Basic Agreement on the ASEAN Industrial Cooperation Scheme) ๑.๒ เห็นชอบพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงทางเศรษฐกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้าของอาเซียน ๑.๓ นำเสนอรายการความตกลงและพิธีสารทางเศรษฐกิจของอาเซียน ๑๑ ฉบับฯ ในข้อ ๑.๑ และพิธีสารฯ ในข้อ ๑.๒ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๑.๔ เมื่อรัฐสภาเห็นชอบรายการความตกลงและพิธีสารทางเศรษฐกิจของอาเซียน ๑๑ ฉบับฯ ตามข้อ ๑.๑ และพิธีสารฯ ในข้อ ๑.๒ แล้ว อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามพิธีสารฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีได้ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในประเทศ เพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามพิธีสารฯ ๑.๕ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) สำหรับการลงนามในพิธีสารฯ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้เป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ และหลังจากที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในแล้วเสร็จ ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งผลการรับรองผูกพันพิธีสารฯ ของประเทศไทยต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนอย่างเป็นทางการ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรแจ้งข้อมูลแก่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในส่วนของรายการความตกลง/พิธีสารฯ ทั้ง ๑๑ ฉบับ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการทราบ เพื่อให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2644 | การรับรองร่างเอกสารผลการประชุมผู้นำเอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ 9 | กต | 02/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงของประธาน (Chair’s Statement) และร่างปฏิญญาเวียงจันทน์ว่าด้วยการกระชับความเป็นหุ้นส่วนสำหรับสันติภาพและการพัฒนา (Vientiane Declaration on Strengthening Partnership for Peace and Development) ที่จะมีการรับรองในการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ ๙ (The 9th Asia-Europe Meeting-ASEM 9) ระหว่างวันที่ ๕-๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ที่เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยร่างถ้อยแถลงฯ กล่าวถึงประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ความร่วมมือทางการเมือง และความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก ASEM รวมทั้งอนาคตของ ASEM การส่งเสริมประสิทธิภาพ การปรับปรุง กระบวนการทำงาน และการประชาสัมพันธ์ ASEM การประชุมและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องในอนาคต และการจัดประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ ๑๐ (ASEM 10) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ภูมิภาคยุโรป ส่วนร่างปฏิญญาเวียงจันทน์ฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือของฝ่ายเอเชียและยุโรปในลักษณะหุ้นส่วนเพื่อสันติภาพและการพัฒนา โดยเน้นหลักการของความเท่าเทียม การเคารพซึ่งกันและกัน การยึดมั่นในแนวทางของกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ และความสำคัญในการร่วมมือเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนระหว่างสมาชิก ASEM โดยร่วมกันแสวงหาทางแก้ไขปัญหาและประเด็นความท้าทายต่าง ๆ ของโลกในปัจจุบัน ๑.๒ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนรับรองเอกสารทั้งสองฉบับ ๑.๓ หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำของร่างเอกสารผลการประชุมผู้นำ ASEM 9 ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญหรือที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ก่อนจะมีการรับรองเอกสารดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลังและข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการปรับปรุงข้อความในร่างถ้อยแถลงฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2645 | ผลการทบทวนความคืบหน้าการดำเนินการสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของอาเซียนและของไทย (AEC Blueprint Mid-Term Review) | พณ | 02/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการทบทวนความคืบหน้าการดำเนินการสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของอาเซียนและไทย (AEC Blueprint Mid-Term Review) ของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia : ERIA) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการ และเตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถานะการดำเนินการ ในส่วนของอาเซียนมีความคืบหน้ามากในด้านการลดภาษีศุลกากร แต่การดำเนินการหลายเรื่องยังช้ากว่ากำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่สำคัญ ได้แก่ มาตรฐานและความสอดคล้อง (Standard and Conformity) มาตรการที่มิใช่ภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า การเปิดเสรีการค้าบริการ การเคลื่อนย้ายเงินทุน การเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือ ความร่วมมือด้านพลังงาน การอำนวยความสะดวกทางการค้า สำหรับสถานะการดำเนินการของไทยมีความคืบหน้ามากในเรื่องการเปิดเสรีและอำนวยความสะดวกทางการค้า เช่น การลด/ยกเลิกภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษี และการลดจำนวนวันที่ใช้ในกระบวนการส่งออกและนำเข้าสินค้า การมีกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า และการอำนวยความสะดวกต่อการลงทุน โดยมีประเด็นที่ ERIA เสนอแนะให้ไทยพิจารณาปรับปรุง ได้แก่ การเร่งพัฒนาภาคธุรกิจบริการซึ่งปัจจุบันไทยยังไม่เปิดเสรีเกินไปกว่าที่กฎหมายกำหนด การปรับปรุงนโยบายการลงทุนให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชน ความล่าช้าในการให้สัตยาบันความตกลงยอมรับร่วมด้านมาตรฐานและความสอดคล้อง รวมทั้งข้อตกลงยอมรับคุณสมบัติวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวอาเซียน การพัฒนา SMEs โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเงินทุนสำหรับ SMEs และนโยบายการแข่งขัน ยังขาดแนวทาง/วิธีการบังคับใช้กฎหมายที่ชัดเจน ๑.๒ ผลการดำเนินการตามมาตรการภายใต้แผนพิมพ์เขียวในการไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) ต่อเศรษฐกิจของสมาชิกอาเซียน ในส่วนของอาเซียน พบว่าการดำเนินการตาม AEC Blueprint ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของทุกประเทศสมาชิก โดยกลุ่ม CLMV ซึ่งประกอบด้วยกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม จะได้ประโยชน์ในระดับสูงกว่าประเทศสมาชิกดั้งเดิม (ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไนดารุสซาลาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์) และยังเห็นว่าการเปิดเสรีในกรอบ ASEAN+1 FTA ส่งผลดีต่ออาเซียนมากกว่าการจัดตั้ง AEC เพียงอย่างเดียว โดยอาเซียนจะได้ประโยชน์มากขึ้นหากมีการเปิดเสรีกับคู่เจรจาในกรอบอาเซียน+๓ (๑๓ ประเทศ) หรืออาเซียน+๖ (๑๖ ประเทศ) และอาเซียนจะได้รับประโยชน์มากขึ้นหากมีการเปิดเสรีด้านการค้าบริการ และมีมาตรการด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าและโลจิสติกส์ควบคู่ไปด้วย สำหรับไทยจะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจาก AEC ในด้านการขยายตัวของ GDP มากเป็นอันดับ ๓ รองจากอินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ส่วนการเปิดเสรีด้านการค้าบริการ ไทยได้รับประโยชน์เป็นอันดับ ๒ ในอาเซียน รองจากเวียดนาม และในการเปิดเสรีของอาเซียนกับประเทศนอกภูมิภาคในรูปแบบอาเซียน+๓ หรืออาเซียน+๖ ไทยจะได้รับประโยชน์มากเป็นอันดับ ๓ ในอาเซียน รองจากเวียดนามและกัมพูชา ๑.๓ ERIA ได้เสนอมาตรการที่ควรได้รับความสำคัญลำดับต้น (Priorities) จากปัจจุบันถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้แก่ การลด/ยกเลิกภาษีศุลกากร การแก้ไขปัญหา/อุปสรรคจากการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษี การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน การเปิดเสรีการค้าบริการ การเปิดเสรีการลงทุน การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง การดำเนินการเพื่อลดช่องว่างของระดับการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิก (ตามแผนงาน Initiative for ASEAN Integration) การพัฒนาและส่งเสริม SMEs การเจรจาจัดทำความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) รวมทั้งมาตรการที่ควรได้รับความสำคัญในช่วงภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้แก่ มาตรฐานและความสอดคล้อง การรวมกลุ่มด้านการเงิน การจัดทำ MRAs วิชาชีพสาขาต่างๆ ICT พลังงาน ทรัพย์สินทางปัญญา นโยบายการแข่งขันและการคุ้มครองผู้บริโภค ความร่วมมือด้านการเกษตร และเรื่องอื่น ๆ เช่น เรื่องการทำความตกลงหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีซ้อน ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร มาตรการต่าง ๆ ทั้งที่มีผลบังคับใช้แล้วและอยู่ระหว่างดำเนินการให้กับทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากความตกลงอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมภายในประเทศทั้งในด้านพัฒนาคน องค์ความรู้ กฎ และระเบียบ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานงานกับสำนักงาน ก.พ.ร. รวบรวมข้อมูลความคืบหน้าการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ในภาพรวมทั้งหมด เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปบูรณาการประกอบการจัดทำแผนปฏิบัติการการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 2646 | การดำเนินโครงการนำร่องระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน | พณ | 02/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบมติที่ประชุมคณะมนตรีเขตการค้าเสรีอาเซียน ครั้งที่ ๒๖ เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ที่ให้ขยายเวลาเป้าหมายที่อาเซียนจะเริ่มต้นดำเนินระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองในภูมิภาค จากเดิมภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และเห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน โครงการที่ ๑ (ซึ่งมีภาคี ๔ ประเทศ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย) ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการให้ความเห็นชอบของไทยต่อการขยายระยะเวลาโครงการนำร่องฯ โครงการที่ ๑ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ต่อเลขาธิการอาเซียน ก่อนวันสิ้นสุดอายุโครงการฯ ในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ๑.๓ ให้นำเสนอบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของภาคีสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน โครงการที่ ๒ โดยมีเอกสารภาคผนวกระเบียบปฏิบัติในการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแนบบันทึกความเข้าใจฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อให้ความเห็นชอบ ก่อนที่ไทยจะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันสำหรับการภาคยานุวัตรเป็นภาคีสมาชิกของบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการติดตามและประเมินผลโครงการนำร่องฯ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและแก้ไขปัญหาอุปสรรค เพื่อให้การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียนสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจถึงความแตกต่างของระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของโครงการที่ ๑ ซึ่งให้ทั้งผู้ผลิตและผู้ประกอบการค้าขอรับอนุญาตรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง และโครงการที่ ๒ ซึ่งให้เฉพาะผู้ผลิตเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ และสามารถใช้ประโยชน์จากการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2647 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย | นร11 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยรวม ๔ จังหวัด (จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไปดำเนินการต่อไป โดย ๑.๑ ความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการศึกษาความเป็นไปได้และการสำรวจออกแบบเบื้องต้นท่าอากาศยานนานาชาติดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี โครงการปรับปรุงทางหลวงย่านชุมชน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โครงการก่อสร้างทางคู่ขนาน ทางหลวงสายเอเชีย (สาย ๔๑) เขตชุมชน จังหวัดพัทลุง และโครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมบริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเขตพื้นที่ (Core Zone) และเขตพื้นที่กันชน (Buffer Zone) เพื่อนำพระบรมธาตุเป็นมรดกโลก และโครงการที่เห็นชอบในหลักการ ได้แก่ โครงการอาชีวศึกษาชุมพรเชิงบูรณาการสู่ประชาคมอาเซียน จังหวัดชุมพร ๑.๒ ความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของทั้ง ๔ จังหวัด ๑.๒.๑ จังหวัดชุมพร มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการป้องกันน้ำท่วมและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในเขตทางหลวง [ทางหลวงหมายเลข ๔๑ (AH 18) บริเวณใกล้สะพานแม่น้ำสวี] และการบูรณาการโครงการในพื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริชุมพร จำนวน ๔ โครงการ ประกอบด้วย โครงการก่อสร้าง/ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและภูมิทัศน์ โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ (ขุดลอกแก้มลิงหนองใหญ่) โครงการศูนย์การเรียนรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กว่า ๔,๑๐๐ โครงการ และโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ (ศูนย์เรียนรู้โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่) และโครงการที่เห็นชอบในหลักการ ได้แก่ โครงการยกระดับคุณภาพกำลังคนอาชีวศึกษาเชิงบูรณาการสู่ประชาคมอาเซียน ๑.๒.๒ จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ท่องเที่ยวหาดเฉวง อำเภอเกาะสมุย โครงการขุดบ่อบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน โครงการศูนย์บริหารจัดการสารสนเทศสำหรับนักท่องเที่ยวอำเภอเกาะสมุย โครงการส่งเสริมชุมชนต้นแบบในพื้นที่จัดสรรที่ดินทำกิน อำเภอพุนพิน โครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร และโครงการบริหารจัดการขยะเพื่อสิ่งแวดล้อม อำเภอเกาะพะงัน และโครงการที่เห็นชอบในหลักการ ได้แก่ โครงการบริหารจัดการน้ำ (แก้มลิงทุ่งหัวสน) อำเภอกาญจนดิษฐ์ และโครงการจัดตั้งโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ สุราษฎร์ธานี ๑.๒.๓ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชนสมัชชาพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด โครงการวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นมรดกโลก โครงการขุดลอกคลองท่าซักเพื่อป้องกันอุทกภัยจังหวัด (หมู่ที่ ๒-๙ ตำบลท่าซัก อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช) โครงการก่อสร้างถนนสายชายทะเล-บ้านสี่กั๊ก ตำบลท่าขึ้น อำเภอท่าศาลา โครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองชะอวด ตำบลชะอวด ตำบลเคร็ง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช และโครงการก่อสร้างท่อระบายน้ำชนิดท่อเหลี่ยมเพื่อป้องกันน้ำท่วมพื้นที่เศรษฐกิจและพื้นที่ตำบลและอำเภอข้างเคียง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช และโครงการที่เห็นชอบในหลักการ ได้แก่ โครงการศูนย์การเรียนรู้ทางภาษาเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และโครงการขุดลอกคลองนบ อำเภอนบพิตำ ๑.๒.๔ จังหวัดพัทลุง มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการระบายน้ำ อำเภอป่าพะยอม อำเภอควนขนุน อำเภอปากพะยูน และอำเภอป่าบอน โครงการขุดลอกคลองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ อำเภอป่าพะยอม อำเภอควนขนุน อำเภอปากพะยูน และโครงการปรับปรุงโครงข่ายทางหลวงชนบทเพื่อการระบายน้ำและป้องกันการกัดเซาะ อำเภอเมือง ๒. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากโครงการในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และพัทลุง ๓.๑ จังหวัดชุมพร ให้เร่งรัดโครงการก่อสร้างถนนสายช่อง ๕-บ่อนไก่ ระยะทาง ๗.๕ กิโลเมตร เพื่อเป็นเส้นทางลัดเข้าสู่เมืองชุมพร ๓.๒ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๓.๒.๑ ให้เทศบาลนครเกาะสมุยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเกาะสมุย กำหนดแผนการบำรุงรักษาทางน้ำสาธารณะประจำปี รณรงค์สร้างจิตสำนึกการรักษาลำน้ำสาธารณะ และการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ ๓.๒.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยของโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และโครงการเพิ่มศักยภาพและพัฒนาการให้บริการทางการแพทย์ ๓.๒.๓ ให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานีจัดทำโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอาชีพ และให้จังหวัดสุราษฎร์ธานีจัดทำโครงการศูนย์ฝึกอบรม/พัฒนาอาชีพ บรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ๓.๓ จังหวัดพัทลุง ๓.๓.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาทางหลวงชนบทริมฝั่งทะเลสาบสงขลา ๓.๓.๒ ให้คณะทำงานของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ลงพื้นที่เพื่อหาแนวทางและวางแผนบริหารจัดการลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
|
|||||||||||||||||||||
| 2648 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... | ศธ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้การขอรับการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์เพื่อการผลิต การวิจัย หรือการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ๒. กำหนดผู้มีสิทธิขอรับเงินกองทุน หลักเกณฑ์การยื่นขอรับเงินกองทุน ๓. กำหนดขั้นตอนการพิจารณาแผนงานหรือโครงการ หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาการกลั่นกรองทางวิชาการ การกลั่นกรองทางวิชาการ การพิจารณาแผนงานหรือโครงการที่เสนอขอรับเงินกองทุน และอำนาจในการอนุมัติเงินกองทุนของคณะกรรมการ ๔. กำหนดหลักเกณฑ์การรายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้เงินของผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน การระงับการจ่ายเงินงวด และการปรับปรุงโครงการ
|
|||||||||||||||||||||
| 2649 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2555) ธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๕) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ ภาวะเศรษฐกิจ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๒.๒ จากระยะเดียวกันปีก่อน ๑.๒ เสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมปรับดีขึ้นหลังปัญหาอุทกภัยคลี่คลายลง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๓.๐๐ ต่อปี สำหรับเสถียรภาพด้านราคา อัตราเงินเฟ้อชะลอลงและยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย ส่วนเสถียรภาพด้านต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี ๑.๓ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ ๕.๗ ในขณะที่แรงส่งของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มอ่อนลงจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ ๒. ส่วนที่ ๒ การดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน กนง.ประเมินภาวะการเงินโดยรวมในปัจจุบันว่า ยังผ่อนปรนเพียงพอที่จะสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป และสามารถรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งเศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงศักยภาพ ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย ๒.๒ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน ได้แก่ ๒.๒.๑ ภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์มีเสถียรภาพ สินเชื่อขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลงเล็กน้อย กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ สำหรับปัจจัยที่ควรติดตามที่อาจมีผลต่อเสถียรภาพในช่วงต่อไปที่สำคัญ ได้แก่ ผลของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและคุณภาพของสินเชื่อ สินเชื่อมีการเร่งตัวโดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ๒.๒.๒ การดำเนินนโยบายด้านสถาบันการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้จัดให้มีการประชุมร่วมระหว่าง กนง. และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) โดยที่ประชุมร่วมได้ประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทยในปัจจุบันว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ ปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งในระยะสั้นอาจสร้างความผันผวนต่อตลาดการเงินของไทย และในระยะยาวจะกระทบต่อศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ๒.๒.๓ การดูแลความมั่นคงของสถาบันการเงิน ธปท. ได้ดำเนินการกำกับดูแลธุรกรรมที่สำคัญของสถาบันการเงิน โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการออกตั๋วเงินของสถาบันการเงินให้มีความชัดเจน ทันสมัย และสอดคล้องหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในส่วนของการดูแลผู้บริโภคได้ร่วมมือกับ ก.ล.ต. และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการยกร่างแนวนโยบายในเรื่องการขายผลิตภัณฑ์ด้านประกันและหลักทรัพย์ผ่านสาขาของสถาบันการเงิน สำหรับการเตรียมความพร้อมสถาบันการเงินเพื่อรองรับการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ธปท. ได้ออกหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำสำหรับความเสี่ยงด้านปฏิบัติการโดยวิธี Advanced Measurement Approaches (วิธี AMA) นอกจากนี้ได้เตรียมออกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเงินกองทุนเกี่ยวกับแนวทางในการรายงานข้อมูล (Leverage Ratio) และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และยังได้ดำเนินการต่อไปในส่วนของการประเมินผลกระทบ (Quantitative Impact Study: QIS) ของหลักเกณฑ์ Basel III ต่อระบบสถาบันการเงินด้วย ๒.๒.๔ การดำเนินนโยบายการพัฒนาระบบสถาบันการเงิน การดำเนินการคืบหน้าตามวัตถุประสงค์ คือ ลดต้นทุน ส่งเสริมการแข่งขันและการเข้าถึงบริการทางการเงิน และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน ๒.๒.๕ การดำเนินนโยบายสถาบันการเงินในเวทีระหว่างประเทศ ธปท. ได้ร่วมกำหนดนโยบายการเปิดเสรีและกลยุทธ์การเจรจากับคณะทำงานพิจารณาเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ตามแนวนโยบายของรัฐบาลและแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเปิดเสรีภาคการเงิน รอบที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๗) นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมประชุมจัดทำแผนการรวมตัวภาคการธนาคาร และร่วมเจรจาความตกลงการค้าเสรีอื่น ๆ อีก ๔ ฉบับ สำหรับบทบาท ธปท. ในเวทีการกำกับดูแลสากล ได้เข้าร่วมหารือในเวทีที่มีความสำคัญในการวางเกณฑ์สากลของการกำกับดูแลสถาบันการเงิน ๒.๒.๖ การดำเนินงานด้านการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน ได้ดำเนินการปรับปรุงแนวทางการตรวจสอบสถาบันการเงินแบบเน้นธุรกรรมที่สำคัญของสถาบันการเงิน โดยในครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้ตรวจสอบสถาบันการเงินแล้วเสร็จ ๑๗ แห่ง และอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบอีก ๖ แห่ง นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้มีการตรวจสอบกระบวนการบริหารที่สำคัญ ซึ่งได้ดำเนินการตรวจสอบสถาบันการเงินในด้านนี้แล้ว ๑๔ แห่ง ๒.๒.๗ การทำหน้าที่เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงินของ ธปท. ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องประมาณ ๔.๘ เท่าของอัตราที่กฎหมายกำหนด ๒.๓ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน ๒.๓.๑ การดำเนินนโยบายด้านระบบการชำระเงิน ธปท. ดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ ตามแผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงิน ๒๕๕๕-๒๕๕๙ อาทิ การสนับสนุนการพัฒนาระบบ Local Switching การชำระเงินด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกและใช้จ่ายในประเทศ การส่งเสริมการทำธุรกรรมชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ การกำหนดมาตรฐานกลางข้อความการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาระบบการชำระเงินเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งการดำเนินงานตามแผนงานดังกล่าวมีความคืบหน้าตามที่กำหนด ๒.๓.๒ การพัฒนาระบบการหักบัญชีเช็คระหว่างธนาคารด้วยภาพเช็ค (Imaged Cheque Clearing and Archive System: ICAS) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบ ICAS ซึ่งเริ่มใช้งานในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ก่อนทยอยขยายการให้บริการไปทั่วประเทศภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๓.๓ การกำกับดูแลระบบการชำระเงินและผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ธปท. อยู่ระหว่างศึกษาและรวบรวมข้อมูลแนวทางการกำกับดูแลระบบการชำระเงินตามมาตรฐานสากลที่สำคัญ รวมถึงพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ภายใต้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๕๑ นอกจากนี้ได้ให้ความร่วมมือกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในการให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับผู้ให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
|
|||||||||||||||||||||
| 2650 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 24 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 20 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน | พณ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๔ (The 24th APEC Ministerial Meeting) และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๐ (The 20th APEC Economic Leaders Meeting) ระหว่างวันที่ ๕-๙ กันยายน ๒๕๕๕ ณ นครวลาดิวอสตอก สหพันธรัฐรัสเซีย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมในคณะฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมยืนยันที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ระบบการค้าพหุภาคี และเสาะหาแนวทางการเจรจาในรูปแบบที่แตกต่างแปลกใหม่และน่าเชื่อถือ (different, fresh, and credible negotiating approaches) เพื่อให้การเจรจาการค้าพหุภาคีรอบโดฮาสามารถบรรลุผลสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้การหารือประเด็นเทคนิคเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitaion : TF) และประเด็นด้านการพัฒนาอื่น ๆ ที่กำลังดำเนินการอยู่ใน WTO มีความคืบหน้า โดยจะมีการทบทวนความคืบหน้าการทำงานเรื่องนี้ในการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค (Ministers Responsible for Trade : MRT) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๒ ที่ประชุมยืนยันที่จะไม่ออกมาตรการใหม่ ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุน ทั้งการค้าสินค้าและบริการ และการส่งออก และไม่ใช้มาตรการที่ไม่สอดคล้องกับความตกลง WTO ไปจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งจะลดมาตรการที่เป็นการกีดกันหรือบิดเบือนทางการค้าลง ๑.๓ ที่ประชุมได้ให้การรับรองรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปค จำนวน ๕๔ รายการ โดยจะลดอัตราภาษีศุลกากรเก็บจริงจากสินค้าในรายการดังกล่าวให้ไม่เกินร้อยละ ๕ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ทั้งนี้ รายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปค จำนวน ๕๔ รายการ ได้แก่ กลุ่มสินค้าบอยเลอร์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (พิกัด ๘๔ จำนวน ๒๓ รายการ) กลุ่มสินค้าเครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า (พิกัด ๘๕ จำนวน ๑๑ รายการ) กลุ่มสินค้าอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์ เครื่องมือวัดและตรวจสอบ (พิกัด ๙๐ จำนวน ๑๙ รายการ) และสินค้าแผ่นปูพื้นทำจากไม้ไผ่ (พิกัด ๔๔๑๘๗๒) มีสินค้าที่ไทยเสนอ ๒๐ รายการ และมีสินค้าที่ไทยให้การสนับสนุน ๑๒ รายการ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเพื่อปกป้อง/รักษาสิ่งแวดล้อม ๑.๔ ที่ประชุมได้ให้การรับรองแบบจำลองบทบัญญัติเรื่องความโปร่งใส (APEC Model Chapter on Transparency for Regional Trade Agreement/Free Trade Agreement) เพื่อเตรียมการสำหรับการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีของภูมิภาคเอเปค (Free Trade Area of the Asia-Pacific : FTAAP) ในอนาคต ๑.๕ ที่ประชุมยินดีต่อการเจรจาขยายขอบเขตสินค้าและสมาชิกภายใต้ความตกลงเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Agreement : ITA) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกและมีส่วนสนับสนุนพันธกิจหลักของเอเปคในการเปิดตลาดและอำนวยความสะดวกทางการค้าในภูมิภาค โดยมอบหมายเจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างจริงจังให้บรรลุผลการเจรจา ๑.๖ ที่ประชุมยืนยันที่จะเพิ่มการผลิตและผลผลิตทางการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยการกระตุ้นการลงทุนด้านการเกษตร นำนวัตกรรมเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตรมาใช้ สร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนในด้านการเกษตร โดยให้นำ “หลักการสำหรับการลงทุนด้านการเกษตรอย่างมีความรับผิดชอบ” (Principles for Responsible Agricultural Investment : PRAI) มาหารือต่อไป ๑.๗ ที่ประชุมยืนยันความมุ่งมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายการปรับปรุงสมรรถนะห่วงโซ่อุปทานของเอเปค (APEC-wide target) ให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยลดระยะเวลา ต้นทุน และความไม่แน่นอนในการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของแต่ละสมาชิก ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสงวนท่าทีในการสนับสนุนการขยายขอบเขตความตกลง ITA ภายใต้ WTO ควรเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ และทำความเข้าใจกับภาคเอกชนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในเรื่องรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปคที่ได้มีการรับรอง จำนวน ๕๔ รายการ ที่จะต้องทำการลดอัตราภาษีศุลกากรเก็บจริงให้ไม่เกินร้อยละ ๕ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้มีเวลาในการเตรียมตัวและใช้ประโยชน์จากการลดอัตราภาษีได้อย่างแท้จริง รวมทั้งดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องการเพิ่มสมรรถนะของห่วงโซ่อุปทานที่เอเปคได้กำหนดเป้าหมายปรับปรุงสมรรถนะของเอเปคให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 2651 | การดำเนินการโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ | นร07 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปภาพรวมสถานภาพการจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการโครงการเร่งด่วนตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ ณ วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ รวม ๖ ครั้ง จำนวนทั้งสิ้นรวม ๒๒๔ โครงการ วงเงิน ๕,๖๕๓.๕๙ ล้านบาท หน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณแล้วทั้งสิ้น จำนวน ๒๒๓ โครงการ รวมเป็นเงิน ๕,๔๗๔.๗๑ ล้านบาท และสำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรแล้วทั้ง ๒๒๓ โครงการ วงเงิน ๕,๓๖๑.๓๒ ล้านบาท ๒. หน่วยงานขอยกเลิกไม่ขอรับการจัดสรร ๑ โครงการ วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำพร้อมระบบกระจายน้ำสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริโครงการขยายผลโครงการหลวงแม่สลอง (เชียงราย) เนื่องจากซ้ำซ้อนกับที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ๓. สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับโครงการเร่งด่วนตามมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมนอกสถานที่ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๖ ครั้ง ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
|
|||||||||||||||||||||
| 2652 | รายงานผลการดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย และการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย | อก | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย และการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความคืบหน้าการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายได้ทำสัญญาว่าจ้างมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เป็นที่ปรึกษาเพื่อปฏิบัติงานโครงการศึกษาวิจัยแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของไทย โดยมีขอบเขตการศึกษาครอบคลุมประเด็นการปรับปรุงระบบแบ่งปันรายได้ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลทราย การบริหารจัดการน้ำตาลทรายเพื่อการบริโภคภายในประเทศ การปรับปรุงบทบาทและสร้างความเข้มแข็งของกองทุนฯ การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ และการปรับปรุงบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ซึ่ง TDRI ได้ส่งมอบรายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์แล้ว เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ ขณะนี้คณะกรรมการพิจารณาตรวจการรับจ้างอยู่ระหว่างการตรวจรับงานตามสัญญา ๒. ความคืบหน้าการจ่ายเงินช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายได้ลงนามในสัญญากู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ และมีการควบคุม กำกับดูแล โดยให้ชาวไร่อ้อยจัดทำบันทึกการรับเงินช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยและการยินยอมให้กองทุนฯ บันทึกบัญชีให้ชาวไร่อ้อยเป็นลูกหนี้แยกเป็นแต่ละราย และคณะทำงานควบคุมการผลิตประจำโรงงานน้ำตาลทรายของแต่ละโรงงานที่ประกอบด้วยผู้แทนชาวไร่อ้อย โรงงานน้ำตาลทราย และสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ร่วมตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง แล้วนำเสนอกองทุนฯ ตรวจสอบ เพื่อแจ้งให้ ธ.ก.ส. สั่งจ่ายเงินช่วยเหลือเข้าบัญชีชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิโดยตรงต่อไป ซึ่งจากรายงานผลการจ่ายเงินเพิ่มค่าอ้อยดังกล่าวของสำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ณ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ ธ.ก.ส. มีการจ่ายเงินช่วยเหลือไปแล้ว จำนวน ๑๕,๐๖๙.๐๖ ล้านบาท (ปริมาณอ้อย ๙๗,๘๕๑,๐๗๐.๔๐ ตัน) จากจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มค่าอ้อยทั้งสิ้น ๑๕,๐๘๘.๘๗ ล้านบาท คงเหลืออ้อยที่ยังมิได้รับเงินช่วยเหลืออีก จำนวน ๑๒๘,๖๑๙.๘๐๑ ตัน หรือประมาณร้อยละ ๐.๑๓ ของปริมาณอ้อยที่ส่งเข้าหีบทั้งหมด ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น ๙๗,๙๗๙,๖๙๐.๒๐๑ ตัน ๓. กระทรวงอุตสาหกรรมได้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ เพื่อดำเนินการติดตาม ตรวจสอบ และกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยของกองทุนฯ ซึ่งในชั้นนี้ การจ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าวยังไม่มีปัญหาอุปสรรคและข้อร้องเรียนแต่อย่างใด
|
|||||||||||||||||||||
| 2653 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 7/2555 | นร11 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และเห็นชอบตามมติที่ประชุม กรอ. โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษารายละเอียดและความเหมาะสมในการจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางเพื่อทำหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนาปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร รวมทั้งมาตรการและสิทธิพิเศษเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากพืชปาล์มน้ำมันไปสู่อุตสาหกรรมขั้นสูงในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ และเสนอคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ ให้พิจารณาในรายละเอียดโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราเพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามระเบียบและขั้นตอน ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์พิจารณาเร่งรัดเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายป่าไม้ยุโรป (EU FLEGT) และเร่งรัดการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย รับข้อเสนอการเร่งรัดการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าภาคใต้ ทุ่งสง ไปศึกษารายละเอียดด้านการจัดการธุรกิจ ผู้บริหารโครงการและการจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมในโครงการ เพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี ๑.๔ ให้กระทรวงพลังงานศึกษาในรายละเอียดข้อเสนอเพื่อขอรับการสนับสนุนการพัฒนาโรงงานไฟฟ้าพลังงานชีวมวลเพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้าทดแทนและลดมลภาวะของเสียในโรงงานให้ครอบคลุมมาตรการที่ภาคเอกชนเสนอ ๒. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการบำรุงรักษาทางและกิจกรรมฟื้นฟูทางหลวงที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นลำดับแรกให้สอดคล้องเหมาะสมกับวงเงินงบประมาณที่ได้รับ สำหรับการปรับปรุงถนนเพื่อขยายเป็น ๔ ช่องจราจร ให้กรมทางหลวงจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามเกณฑ์การขยายเพิ่มช่องจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ส่วนการพัฒนาและปรับปรุงเส้นทางสายรองเลียบชายฝั่งอ่าวไทยเป็น ๔ ช่องจราจร ควรให้ความสำคัญในการใช้เป็นเส้นทางเพื่อการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวและการปรับปรุงเส้นทางเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน โดยขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการก่อสร้างท่าเรือรองรับการขนส่งและการท่องเที่ยวของภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เพื่อเชื่อมโยงอ่าวไทย-อันดามัน โดยเร่งรัดการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของท่าเรือน้ำลึกเขาประจำเหียง อำเภอสวี จังหวัดชุมพร และศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าเรือที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และท่าเรือที่อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๓. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๓.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาเร่งรัดแผนการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการแม่น้ำตรัง-ลุ่มน้ำตาปี-แม่น้ำชุมพร ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และเสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ตามขั้นตอนต่อไป ๓.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนโครงการแก้ปัญหาภัยแล้ง/น้ำท่วมของภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยเสนอต่อ กบอ. ตามขั้นตอนต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำดี/น้ำดิบของเกาะสมุย และแจ้งผลการดำเนินงานให้ภาคเอกชนทราบ รวมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการบริหารจัดการบำบัดน้ำเสียในแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนนครขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี ๔. ข้อเสนอของ กกร./สทท. เรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๔.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาความเหมาะสมของกลุ่มท่องเที่ยวมหัศจรรย์สองสมุทรตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติพิจารณาประกาศเป็นเขตพัฒนาการท่องเที่ยว พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขต ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนโครงการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ระเบิดหินเก่าที่รกร้างให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดพัทลุง ๔.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาในรายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพทางการแพทย์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพภาคใต้ตอนบน ประกอบด้วยโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีแห่งที่ ๒ โครงการจัดตั้งศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และโครงการจัดตั้งสถาบันการแพทย์ชั้นสูง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภาคใต้ตอนบน เพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอน ๕. รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุม กรอ.ภูมิภาค ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานฯ มารายงานให้ทราบเป็นระยะ ๖. รับทราบเรื่องอื่น ๆ ที่ กกร./สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเสนอเพิ่มเติม ๖.๑ การเร่งรัดกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ๖.๒ การผลักดันและสนับสนุนให้ บริษัท ปตท. จำกัด เข้ามาลงทุนสร้างสถานีบริการ NGV ที่สอดคล้องกับการขยายท่อก๊าซช่วงขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช-จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๖.๓ การเร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ทันในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๖.๔ การพิจารณาทบทวนการขยายสิทธิให้นักลงทุนนอกภาคีอาเซียน (Non Party) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีบริการ (ASEAN Framework Agreement on Services) ๖.๕ การเร่งรัดการเจรจา Thai-EU FTA เพื่อให้มีผลบังคับใช้ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรักษาตลาดและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหภาพยุโรป ๖.๖ การดำเนินโครงการให้ความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้
|
|||||||||||||||||||||
| 2654 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ 21 - 22 ตุลาคม 2555 | นร11 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้กลุ่มอ่าวไทย (จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง) รวม ๔ จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๗ โครงการ วงเงินรวม ๕๑๗.๓๔ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้อ่าวไทย รวม ๔ จังหวัด ๙๖ โครงการ วงเงินรวม ๔๐,๒๐๐.๙๙ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีจากการประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ไปดำเนินการโดยเร็วต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการ โดย ๒.๑ โครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมบริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และโครงการวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นมรดกโลก ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติบูรณาการแนวทางการดำเนินโครงการร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของงานโยธา การป้องกันน้ำท่วม และการดำเนินการเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกให้เหมาะสมชัดเจน เพื่อนำเสนอสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาในรายละเอียดตามขั้นตอนต่อไป ๒.๒ โครงการที่เกี่ยวกับการก่อสร้างและปรับปรุงทางหลวงสายเอเชีย (สาย ๔๑) จำนวน ๒ โครงการ ให้กระทรวงคมนาคมบูรณาการและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการก่อสร้างทางหลวงดังกล่าวตลอดทั้งสายทางมีการเชื่อมต่อในแต่ละช่วงที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ โดยให้จัดทำรายละเอียดโครงการ แล้วส่งให้สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒.๓ โครงการต่าง ๆ ตามพระราชดำริ ของจังหวัดชุมพร ให้จังหวัดชุมพรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการกิจกรรมและแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และเผยแพร่ข่าวสารการดำเนินโครงการให้ประชาชนทราบโดยทั่วกันด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 2655 | แผนประชากรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) | นร11 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนประชากรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ซึ่งมีเป้าหมายการพัฒนาประชากรไทยทุกช่วงวัยมีอนามัยการเจริญพันธุ์ที่เหมาะสมและมีศักยภาพเพิ่มขึ้น สามารถแข่งขันได้ในภูมิภาคอาเซียนและตลาดโลก รวมทั้งมีการใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนย้ายประชากรอย่างเสรีในภูมิภาคอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจให้มีความเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดรายละเอียดของยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องในระยะ ๕ ปี เพื่อรองรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร รวมทั้งเพื่อสร้างความสมดุลของจำนวนประชากรของประเทศต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนประชากรในระยะยาว (๑๐-๒๐ ปี) โดยกำหนดเป้าหมายประชากร รวมทั้งจัดทำยุทธศาสตร์และแนวทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้สมดุลกับโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลง และการเข้าเป็นสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ (AEC) แล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมาย องค์ประกอบของการเปลี่ยนแปลงของประชากรไทยให้ชัดเจน โดยเฉพาะเป้าหมายการเพิ่มประชากร การทบทวนตัวชี้วัดที่สะท้อนแผนชี้นำระดับชาติ การกำหนดเป้าหมายรายปีเพื่อให้หน่วยงานที่นำไปปฏิบัติมีจุดมุ่งหมายชัดเจนประกอบการประเมินในการปรับปรุงหรือพัฒนางานระหว่างช่วงแผนประชากรฯ และนำแผนประชากรฯ สู่การปฏิบัติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการรักษาภาวะมีบุตรยาก สวัสดิการสำหรับบุตรที่กำหนดไว้เพียง ๒ คน รวมถึงการกำหนดคำนิยาม "คู่สมรสที่มีความพร้อมมีบุตร" ให้ชัดเจน รวมทั้งการกำหนดกลไกและรูปแบบวิธีการการทำงานร่วมกันของแต่ละภาคส่วนอย่างชัดเจนทั้งด้านงบประมาณและหน่วยรับผิดชอบเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีเอกภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2656 | การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ 100 ปี ของการสหกรณ์ไทย | กษ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์และแนวทางในการดำเนินงานตามข้อเสนอวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามยุทธศาสตร์และแนวทางในการดำเนินงาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับแนวทางในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์วาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ (๑๓ กลยุทธ์) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ สร้างและพัฒนาการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนในชาติ ประกอบด้วย ๒ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ ผลักดันการจัดการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนในระบบการศึกษา และกลยุทธ์ที่ ๒ สร้างและผลักดันการจัดการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนนอกระบบการศึกษา ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ สนับสนุนและพัฒนาการรวมกลุ่มของประชาชนด้วยวิธีการสหกรณ์ให้เป็นฐานรากสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย ๒ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ สร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนโดยใช้วิธีการสหกรณ์เป็นแนวทางในการดำเนินงาน และกลยุทธ์ที่ ๒ ส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใช้ระบบสหกรณ์เป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ เพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงเครือข่ายระบบการผลิตการตลาดและการเงินของสหกรณ์ ประกอบด้วย ๓ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ การสร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ผลิตสินค้าคุณภาพเพื่อยกระดับสินค้าสหกรณ์ให้ได้มาตรฐาน กลยุทธ์ที่ ๒ การสร้างเครือข่ายการตลาดสินค้าสหกรณ์ และกลยุทธ์ที่ ๓ เชื่อมโยงเครือข่ายการเงินสหกรณ์ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ สนับสนุนแผนพัฒนาการสหกรณ์ให้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งของขบวนการสหกรณ์ มี ๑ กลยุทธ์ คือ ผลักดันแผนพัฒนาการสหกรณ์สู่การปฏิบัติ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ ปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐ ขบวนการสหกรณ์ และปรับปรุงกฎหมายสหกรณ์ให้เอื้อต่อการพัฒนา ประกอบด้วย ๔ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ การปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับงานส่งเสริมสหกรณ์ กลยุทธ์ที่ ๒ ปฏิรูปโครงสร้างสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย กลยุทธ์ที่ ๓ ปรับปรุงโครงสร้างชุมนุมสหกรณ์ และสหกรณ์ และกลยุทธ์ที่ ๔ ปรับปรุงกฎหมายสหกรณ์ให้เอื้อต่อการส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์ ภายใต้หลักการอุดมการณ์ และวิธีการสหกรณ์ให้เหมาะสมกับสหกรณ์แต่ละประเภท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์วาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมประเด็นการพัฒนา ให้สหกรณ์ดำเนินการได้อย่างเป็นมืออาชีพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ และยุทธศาสตร์ที่ ๕ ในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยงาน อำนาจหน้าที่ อัตรากำลัง รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน ข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์ในวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ที่มีรายละเอียดของแผนงาน/โครงการ งบประมาณ และหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้สหกรณ์ ชุมนุมสหกรณ์ และสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย รวมทั้งเครือข่ายการพัฒนาที่เกี่ยวข้องให้มีการดำเนินการที่เอื้อและส่งเสริมกันและกันอย่างมีเอกภาพ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์แต่ละประเภทในทุกระดับ มีความเป็นอิสระ มีความคล่องตัวในการดำเนินงาน และมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๔. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการ ส่วนในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
| 2657 | การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) | ศธ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๒. เห็นชอบการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุใหม่ โดยให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุด้วย ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๓. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) รับรอง เพื่อการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา |
|||||||||||||||||||||
| 2658 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร07 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑,๐๒๙ รายการ เป็นเงินงบประมาณรายจ่ายของงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๗,๘๙๐.๘ ล้านบาท จากวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้นจำนวน ๙๗,๘๑๙.๔ ล้านบาท สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๑๘ รายการ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นเจ้าของเรื่องดำเนินการตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป็นกรณี ๆ ไปอีกครั้งหนึ่ง ๒. อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ข้อ ๑.๖ กำหนดให้รายการรายจ่ายลงทุนที่จะขอผูกพันข้ามปีงบประมาณทุกรายการต้องได้รับจัดสรรงบประมาณในปีแรกเป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของวงเงินรายจ่ายส่วนที่เป็นเงินงบประมาณทั้งสิ้นของรายการนั้น ๆ โดยไม่รวมเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณได้ ๓. อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักพระราชวัง และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนแปลงรายละเอียดของรายการและวงเงินที่กำหนดไว้ในเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๔. รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เสนอในครั้งนี้ หากเป็นรายการที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณสามารถพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นนั้น ๆ สามารถปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีก ๕. เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีผลบังคับใช้แล้ว จึงเห็นควรให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยเฉพาะรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ โดยให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลและเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนฯ และมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 2659 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา" | สสป | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็นและผลการพิจารณาของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา" โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รัฐบาลควรมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทบทวนร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๕๕) โดยนำความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ มาประกอบการพิจารณาเพื่อปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ไม่เกิดผลเสียหายแก่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทที่ประเทศไทยเคารพนับถือมาเป็นเวลาช้านาน ๑.๒ โดยที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนับถือพระพุทธศาสนา รัฐบาลจึงควรเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนและภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวางและทั่วถึง ๑.๓ การที่ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ความหมายของคำว่า "พระพุทธศาสนา" หมายความว่า พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทและอาจริยวาทหรือมหายาน เป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญมาก เพราะอาจจะมีผลกระทบกระเทือนและมีผลเสียหายแก่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ซึ่งพระมหากษัตริย์และประชาชนชาวไทยเคารพนับถือมาช้านาน รัฐบาลจึงควรจัดให้ "สังฆพิจารณ์" ในบรรดาพระสงฆ์ และ "ประชาพิจารณ์" ในบรรดาพุทธศาสนิกชนชาวไทย ว่าจะรับความหมายของคำว่าพระพุทธศาสนา รวมถึงพระพุทธศาสนาฝ่ายอาจริยวาทหรือมหายานหรือไม่ ๑.๔ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นปีที่มีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับพระพุทธศาสนา เป็นปีพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า รัฐบาลจึงควรจัดให้มีการรณรงค์อย่างจริงจัง จริงใจ และต่อเนื่องในการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา โดยจัดทำแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา โดยเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ๑.๕ โดยที่พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา การรักษาพระไตรปิฎก คือการรักษาพระพุทธศาสนา รัฐบาลจึงควรจัดให้มีการรณรงค์อย่างจริงจัง จริงใจ และต่อเนื่อง ให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยได้เข้าใจและเข้าถึงพระไตรปิฎก ให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระไตรปิฎก ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธศาสนาตามพระไตรปิฎก เพื่อป้องกันการบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า สนับสนุนให้วัดและสถานศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศ มีพระไตรปิฎกที่เป็นภาษาไทยที่อ่านเข้าใจได้ง่ายไว้ประจำวัดและสถานศึกษา รวมทั้งจัดให้มีการอบรม การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพระไตรปิฎกแก่พุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะเยาวชนผู้เป็นทรัพยากรและอนาคตของชาติ ๒. มอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับความเห็นของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์) เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎหมาย) ที่กำหนดให้การเสนอร่างกฎหมายในเรื่องใดที่ไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร ไม่ให้มีบทบัญญัติกำหนดให้ยกเว้นภาษีอากรตามกฎหมายว่าด้วยภาษีอากร ไปประกอบการพิจารณาในการเสนอร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... ต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 2660 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2556 | กค | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งประกอบด้วย ๓ แผนย่อย ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินในประเทศ ๙๔๓,๙๓๖.๑๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๑๕,๔๕๕.๗๗ ล้านบาท รวม ๙๕๙,๓๙๑.๘๗ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงินในประเทศ ๗๐๓,๓๙๔.๕๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๓๔,๒๐๘.๔๐ ล้านบาท รวม ๗๓๗,๖๐๒.๙๐ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยง วงเงินในประเทศ ๔๗,๑๐๐.๐๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๑๗๖,๐๓๘.๓๘ ล้านบาท รวม ๒๒๓,๑๓๘.๓๘ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๑๒๗,๘๘๕.๒๑ ล้านบาท ๑.๒ การกู้เงินของรัฐบาล การกู้มาเพื่อให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ การกำกับดูแลส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจให้ดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าว เพื่อให้การใช้เงินกู้ตามแผนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการให้หน่วยงานที่มีความประสงค์ในการกู้เงินให้ความสำคัญกับการกู้เงินในประเทศมากกว่าการกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของสกุลเงินตราต่างประเทศและปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังจะค้ำประกันและให้กู้ต่อ โดยเป็นเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการที่มีวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลทางการเกษตรตามนโยบายรัฐบาลและเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการปล่อยสินเชื่อ วงเงิน ๑๖๐,๐๐๐ ล้านบาท อาจจะต้องมีการปรับปรุงวงเงินดังกล่าวให้สอดคล้องกับการดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ที่จำเป็นต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกครั้งหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
.....
