ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 136 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2701 - 2720 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2701 | การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ 100 ปี ของการสหกรณ์ไทย | กษ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการประกาศให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ ๑๐๐ ปี ของการสหกรณ์ไทย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีแนวทางดำเนินการหลังการประกาศ “สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติ” โดยคาดหวังว่า หากสหกรณ์ได้รับการพิจารณาเป็นวาระแห่งชาติ จะมีผลในทางปฏิบัติในเรื่องที่สำคัญ ดังนี้ ๑.๑ เป็นเครื่องมือสำคัญในการรองรับนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลได้อย่างเต็มที่ เช่น นโยบายประกันรายได้เกษตรกร ปัญหาจากผลของ AFTA สหกรณ์สามารถรองรับการตลาดผลผลิตการเกษตรได้ นโยบายส่งเสริมการออมภาคประชาชน การแก้ปัญหาหนี้สินนอกระบบ โดยสหกรณ์เป็นแหล่งการออมที่สำคัญของภาคประชาชน เป็นต้น ๑.๒ เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับมหภาคโดยการขับเคลื่อนและพัฒนาการรวมกลุ่มเศรษฐกิจและสังคมในชนบทที่มีความหลากหลายให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้วิธีการสหกรณ์ เพื่อลดความซ้ำซ้อน สร้างความชัดเจน และความเป็นเอกภาพแก่ระบบการส่งเสริมกลุ่มของรัฐ รวมถึงเป็นการปฏิรูประบบการออมของประเทศที่ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ในระยะยาว ๑.๓ เป็นกลไกสร้างการเรียนรู้ วิถีแห่งประชาธิปไตยในระยะยาว โดยปลูกฝังประชาธิปไตยตั้งแต่ระดับเยาวชน ผ่านกิจกรรมสหกรณ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม อันจะทำให้เกิดการซึมซับวิธีการประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปบูรณาการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์และรายละเอียดต่าง ๆ ที่จะดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการสหกรณ์ รวมทั้งการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมายในข้อเสนอระเบียบวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ให้ชัดเจนเพื่อจะได้มีขอบเขตทิศทางและจุดมุ่งหมายร่วมของทุกภาคส่วนที่จะนำไปดำเนินการ การศึกษาโครงสร้างหน่วยงาน อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ผลกระทบ รวมทั้งผลดีผลเสีย ที่ผู้รับบริการจะได้รับ และรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานที่จะต้องดำเนินงานตามข้อเสนอวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์มาประกอบการพิจารณา การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดการดำเนินงานตามข้อเสนอยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ให้ชัดเจน การปลูกฝังและวางรากฐานการสหกรณ์ให้กับเยาวชน โดยเฉพาะการให้มีหลักสูตรการสหกรณ์เป็นวิชาบังคับในโรงเรียน และนำระบบการสหกรณ์มาใช้ในโรงเรียน การทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยราชการในพื้นที่ และสหกรณ์ในระดับพื้นที่ในการขับเคลื่อนการพัฒนาสหกรณ์ในพื้นที่อย่างเป็นเอกภาพ การเชื่อมโยงสหกรณ์เครือข่ายการผลิต และการตลาด ที่มีอยู่หลากหลายประเภทในทุกระดับตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ และการปรับปรุงโครงสร้างภายในกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนทางวิชาการและให้บริการที่เกี่ยวข้องแก่สหกรณ์ทุกประเภท ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2702 | การเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ดังนี้ ๑.๑ การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวนทั้งสิ้น ๗๓,๐๘๘.๕ ล้านบาท โดยมีรายการผูกพันงบประมาณ ๑๐ รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๒๔๗.๘ ล้านบาท เป็นปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๔๔๙.๖ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณปีต่อ ๆ ไป จำนวน ๑,๗๙๘.๒ ล้านบาท ๑.๒ การเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของส่วนราชการ ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายฯ จากมหาวิทยาลัยศิลปากร จำนวน ๖๕.๘ ล้านบาท เป็น สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา จำนวน ๖๕.๘ ล้านบาท การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการงบประมาณที่กำหนดไว้ในเอกสารประกอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานดำเนินการของกองทุนตั้งตัวได้ที่กำหนดไว้ในเอกสารประกอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ๒. ให้สำนักงบประมาณนำเรื่องการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้วเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๓. เห็นชอบการปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงานการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ในส่วนของขั้นตอนการนำเสนอคณะรัฐมนตรี จากวันอังคารที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นวันจันทร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ในวันอังคารที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2703 | ผลการประชุมเชิงปฏิบัติการการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ปี 2558 ครั้งที่ 1 | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมเชิงปฏิบัติการการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ปี ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งได้มีการนำเสนอของหัวหน้าส่วนราชการจำแนกหน่วยงานตามภารกิจที่สอดรับกับประชาคมอาเซียน ๓ เสาหลัก ได้แก่ ประชาคมเศรษฐกิจ ประชาคมสังคมและวัฒนธรรม และประชาคมการเมืองและความมั่นคง รวมทั้งภารกิจของหน่วยงานขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี และความเห็นของที่ประชุมฯ ๒. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติบูรณาการผลการดำเนินงานของหน่วยงานและรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๒.๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปแผนงาน/โครงการหลักและจัดลำดับความสำคัญเพื่อบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานในแต่ละ ๓ เสาหลัก และวิเคราะห์ภาพรวม ความพร้อม/ไม่พร้อม และความได้เปรียบ/เสียเปรียบในการแข่งขันในแต่ละด้าน ให้แล้วเสร็จภายใน ๓ สัปดาห์ โดยด้านเศรษฐกิจ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นเจ้าภาพหลัก ด้านสังคมและวัฒนธรรม ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นเจ้าภาพหลัก และด้านการเมืองและความมั่นคง ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นเจ้าภาพหลัก ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในเรื่องการเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียน โดยให้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแผนพัฒนาศักยภาพการเป็นศูนย์กลางอาเซียนของไทยใน ๓ เรื่อง ประกอบด้วย การขนส่ง การท่องเที่ยว รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสุขภาพ และการสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ ให้พิจารณาในประเด็นเฉพาะควบคู่กันไปด้วย เช่น เรื่องการพัฒนาด่านศุลกากร ด่านตรวจคนเข้าเมือง และการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ สัปดาห์ ๒.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เป็นหน่วยงานหลักในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยวางแผนกำลังคนทั้งระบบ ครอบคลุมทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ และภาคการผลิตและบริการ ทั้งในส่วนของจำนวนความต้องการ และการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน และภาษาทักษะด้านภาษา โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ สัปดาห์ ๒.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นเจ้าภาพหลัก ในการพัฒนาขีดความสามารถของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเพื่อบูรณาการความพร้อมของ ๓ เสาหลัก โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่จังหวัดชายแดน เขตเศรษฐกิจพิเศษ และพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเติบโต รวมทั้งการพัฒนาสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการส่งออก โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๕ สัปดาห์ ๒.๕ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับภาคเอกชน ๕ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ๒.๖ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบการสนับสนุนการขับเคลื่อน ๓ เสาหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการปฏิบัติงานในภาครัฐและการศึกษา การจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลและให้คำปรึกษา (Call Center) ที่มีหลายภาษา จัดทำเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของประเทศไทย การให้บริการด้านกฎหมาย พลังงานและไฟฟ้าซึ่งเป็นทั้งสินค้าและปัจจัยสนับสนุน รวมทั้งการวิจัยและพัฒนา โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๕ สัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2704 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 6/2555 | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุรินทร์ โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุรินทร์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการศึกษาวิจัยโครงการ “นครราชสีมา : เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในอนุภูมิภาค” จำนวน ๒๐ ล้านบาท และขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้านนโยบายและงบประมาณเพื่อศึกษาความเป็นไปได้โครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรชายแดน ที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ที่ประชุมมีมติ ๒.๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองรับข้อเสนอโครงการศึกษาวิจัยโครงการ “นครราชสีมาเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในอนุภาค” ไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้มีผู้แทนภาคเอกชนเข้าร่วมในคณะกรรมการกำกับการศึกษาโครงการฯ ด้วย ๒.๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรชายแดนที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ๒.๒ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนการพัฒนาและขยายเส้นทางการจราจร จำนวน ๑๐ โครงการ โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่ จังหวัดนครราชสีมา - บุรีรัมย์ - สุรินทร์ - ศรีษะเกษ - อุบลราชธานี และโครงการยกระดับสนามบินอุบลราชธานี ที่ประชุมมีมติ ๒.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมและจัดลำดับความสำคัญของการขยายเส้นทางและช่องจราจรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยให้ความสำคัญกับเส้นทางและช่องจราจรที่เชื่อมโยงระหว่างภาคและประเทศเพื่อนบ้านในการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ๒.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนการพัฒนารถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และขั้นตอนการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการควบคู่ไปด้วย ๒.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าอากาศยานอุบลราชธานีในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการบินในอินโดจีน โดยคำนึงถึงปริมาณความต้องการเดินทาง ความได้เปรียบในเชิงพื้นที่ รวมทั้งโอกาสและข้อจำกัดในการรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร ๒.๓ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำโป่งขุนเพชรบริเวณบ้านแก่งกระจวน ตำบลโคกสะอาด อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และขอให้เร่งรัดการก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนบน เขื่อนชีบน และเขื่อนยางนาดี จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จ ที่ประชุมมีมติ ๒.๓.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำโป่งขุนเพชรให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และนำเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ต่อไป ๒.๓.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเรื่องประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เพื่อเร่งรัดการก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนบน เขื่อนชีบน และเขื่อนยางนาดี จังหวัดชัยภูมิ และนำเสนอ กบอ. ต่อไป ๒.๓.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับ กบอ. และกลุ่มจังหวัดพิจารณาการเชื่อมโยงพื้นที่ในการจัดหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคแบบบูรณาการในภาพรวมทั้งระบบ โดยคำนึงถึงความพร้อมของพื้นที่และการยอมรับของประชาชน ทั้งนี้ ให้ขอความร่วมมือภาคเอกชนได้ร่วมสนับสนุนข้อมูลที่จำเป็นในพื้นที่ด้วย ๒.๔ ข้อเสนอของ สทท. เรื่อง ขอให้สนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินโครงการ “นำช้างคืนถิ่น” และ “คชอาณาจักร” ขอให้พัฒนาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมในเขตอำเภอวังน้ำเขียวให้เป็นสวนพฤกษศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน และขอให้ส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวเชื่อมโยงอีสานใต้กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ประชุมมีมติ ๒.๔.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อน การอนุรักษ์ช้างและอาชีพควาญช้าง โดยบูรณาการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน มูลนิธิ และองค์กรการกุศล เพื่อให้การดูแลอนุรักษ์ช้างเป็นไปอย่างเป็นระบบและสามารถแก้ไขปัญหาช้างได้อย่างยั่งยืน ๒.๔.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาบูรณาการพัฒนาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมในเขตอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เพื่อใช้ประโยชน์จากพื้นที่โดยเน้นการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยไม่กระทบต่อพื้นที่ปาสงวน ๒.๔.๓ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอเรื่องการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงอีสานใต้กับประเทศเพื่อนบ้านไปผนวกไว้ในแผนการเชื่อมโยงระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากความตกลงที่ไทยได้จัดทำร่วมกับกัมพูชา สปป.ลาว และเวียดนาม เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง คมนาคม และการท่องเที่ยวระหว่างกัน ๒.๔.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพิจารณาความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้าน และการบังคับใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการนำเที่ยวในประเทศสำหรับบริษัทนำเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้าน และนำเสนอผลการดำเนินการต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.๕ ข้อเสนอของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้ฝ่ายเลขานุการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานมารายงานให้ทราบเป็นระยะ ๒.๖ เรื่องอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม ๒.๖.๑ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ผลการประชุม 3rd Asian Business Summit (ABS) ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.๖.๒ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การส่งเสริมการค้าชายแดน โดยการยกระดับจุดผ่อนปรนเป็นด่านถาวร ที่ประชุมีมติรับทราบและให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยติดตามรายงานความก้าวหน้าการยกระดับจุดผ่านแดนให้คณะรัฐมนตรีรับทราบต่อไป ๒.๖.๓ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง โครงการปรับปรุงพื้นที่ด่านชายแดนช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดสุรินทร์ รับไปพิจารณาในรายละเอียดของข้อเสนอต่อไป ๒.๖.๔ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การเร่งรัดจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ประสานสำนักงบประมาณ รับไปพิจารณาในรายละเอียดการขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา และการจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา) ๒.๖.๕ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ข้อเสนอโครงการจัดตั้ง Northeastern Food Valley จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๙๔๗,๔๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี (ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษารายละเอียดโครงการ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อศึกษาความเหมาะสมในการกำหนดเขตพื้นที่ดำเนินการในภาพรวมทั้งประเทศ โดยคำนึงถึงการเพิ่มมูลค่าของผลิตผลการเกษตรด้วย ๒.๖.๖ ข้อเสนอของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เรื่อง โครงการให้ความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาให้การสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2705 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการ "อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา" | ตช | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินโครงการ “อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา ๖๐ พรรษา” (ที่ทำการและที่พักอาศัยข้าราชการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง) ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ได้ในวงเงิน ๕,๒๑๙,๔๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากแผนงานป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติภัยทางถนน ผลผลิตการอำนวยการจราจร งบลงทุน โครงการจัดหาที่พักอาศัยสำเร็จรูปพร้อมที่ดินสำหรับข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย ๒๗๐ หน่วย ไปตั้งจ่ายในแผนงานพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ผลผลิตการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน งบลงทุน โครงการ "อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา ๖๐ พรรษา" จำนวน ๑๐๕,๓๐๐,๐๐๐ บาท และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณตามโครงการอาคารที่ทำการและอาคารที่พักอาศัยเฉลิมพระเกียรติฯ ระยะที่ ๑ ซึ่งสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบปรมะาณไว้แล้ว จำนวน ๖๒๖,๑๓๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอยู่อีกจำนวน ๔,๔๘๗,๙๗๐,๐๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๕๙ รองรับต่อไป โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) กรณีวงเงินปีแรกของโครงการต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของวงเงินทั้งสิ้นของโครงการ และสัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ ต่อรายจ่ายลงทุนเกินหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณได้เป็นกรณีพิเศษ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า การคำนวณค่าใช้จ่ายของพื้นที่ใช้สอยต่อตารางเมตรควรเทียบกับราคากลาง และเป็นไปตามกลไกของตลาด เพื่อให้เป็นมาตรฐานและสามารถนำไปใช้ได้กับการก่อสร้างอาคารอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน โดยประสานรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ นอกจากนั้น ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาการใช้อาคารเป็นสถานที่ทำการให้มีความเหมาะสมกับชื่ออาคารที่ได้รับพระราชทานด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2706 | ผลการประชุมเวทีหารือเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4 | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridor Forum : ECF) ครั้งที่ ๔ ภายใต้แผนงานการพัฒนาความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ โดยสาระสำคัญของการประชุมเกี่ยวข้องกับเรื่องการบูรณาการการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การอำนวยความสะดวกการค้าข้ามพรมแดนและโลจิสติกส์ การลงทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านพลังงานและเกษตร รวมถึงการพัฒนาเมืองและทรัพยากรมนุษย์ ตลอดจนทิศทางในอนาคตเพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ สรุปสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้ ดังนี้ ๑.๑ รัฐมนตรีประเทศลุ่มแม่น้ำโขง และภาคีการพัฒนา ได้ร่วมหารือแนวทางการเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจให้มีผลเป็นรูปธรรมเพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างกันในภูมิภาค (Regional Connectivity) และการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชีย โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานในเรื่องการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ การอำนวยความสะดวกการค้าและการขนส่งข้ามพรมแดน การพัฒนาโลจิสติกส์ และการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการลงทุนตามแนวพื้นที่ หลังจากโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานได้รับการพัฒนาค่อนข้างครบสมบูรณ์แล้ว ๑.๒ รับทราบความต้องการของภาคเอกชนและรับไปเร่งปรับปรุงการดำเนินงานให้สอดคล้องกับความต้องการที่ส่วนใหญ่เป็นประเด็นในเรื่องการขนส่งและโลจิสติกส์ อาทิ การเพิ่มเติมการพัฒนาเส้นทางการขนส่งภายใต้กรอบ GMS และการดำเนินงานตามความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาค การประกันภัยคนและสินค้า รวมถึงการประกันภัยบุคคลที่สาม การอำนวยความสะดวกกิจกรรมทางเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ๑.๓ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ควรเข้ามาช่วยประเทศสมาชิกพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาเมืองและเมืองชายแดน รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และฝีมือแรงงาน เพื่อการเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการห่วงโซ่การผลิตร่วมระหว่างประเทศและการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามพรมแดน เพื่อนำไปสู่การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของภูมิภาค การลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน ๑.๔ ADB ได้เสนอโครงการลำดับความสำคัญสูงในการขจัดอุปสรรคและข้อจำกัดของการพัฒนาเส้นทางตามแนวระเบียงเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีศักยภาพในการเป็นเส้นทางการค้าหลักของอนุภูมิภาค โดยมีความสนใจให้การสนับสนุน จำนวน ๕ โครงการ ได้แก่ การปรับปรุงถนนกอกะเรก - ท่าตอน เชื่อมโยงเมืองเมียวดี (เมียนมาร์) - อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก (ไทย), การปรับปรุงถนนเลี่ยงเมืองและโครงสร้างพื้นฐานบริเวณพรมแดนอรัญประเทศ - ปอยเปต, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบริเวณพรมแดนไทย - เมียนมาร์, ถนนเลี่ยงเมืองพนมเปญ และการประเมินท่าเรือย่างกุ้งและถนนเชื่อมโยง ๑.๕ กลไกเวทีหารือเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ (ECF) ควรได้รับการปรับปรุงให้สามารถระดมความเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเห็นควรให้ ADB จัดทำแนวทางการปรับปรุงกลไกการดำเนินงาน ECF และประเมินผลการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจและรับฟังความเห็นจากภาคเอกชนเป็นระยะเพื่อประสิทธิผลในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจต่อไป ๒. เห็นชอบข้อเสนอการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการโดยประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดประชุม ECF ครั้งที่ ๕ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และผลักดันการดำเนินงานเพื่อสร้างความเข้าใจและเพิ่มการมีส่วนร่วมของจังหวัด ภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจและพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง ๒.๒ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) ประสานกับ ADB เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือในการให้ความช่วยเหลือพัฒนาโครงการลำดับความสำคัญสูงในเมียนมาร์และกัมพูชา ๒.๓ กระทรวงคมนาคมพิจารณาผลักดันเส้นทาง R8 (นครพนม - ท่าแขก - ยมราช - หลักซาว - วินห์) และเส้นทาง R12 (นครพนม - ท่าแขก - มหาไซย - น้ำพาว - จาลอ - ฮาตินห์ - วินห์) เข้าอยู่ภายใต้กรอบการดำเนินงานตามความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Cross Border Transport Agreement : CBTA) ๒.๔ กระทรวงแรงงานพิจารณากำหนดแนวทางความร่วมมือด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน แรงงานอพยพ และการจ้างแรงงานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเป็นระบบ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2707 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 3/2555 | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบเรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๔ เรื่อง ตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธาน กพต. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เรื่อง การบูรณาการเป้าหมายยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒ เรื่อง ผลการเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ของที่ปรึกษาและผู้แทนพิเศษ OIC ๑.๓ เรื่อง ผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาด้านการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๔ เรื่อง การพัฒนาระบบการควบคุมดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำ/ทัณฑสถานจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามวิธีปฏิบัติศาสนาอิสลาม ๒. เห็นชอบในหลักการเรื่องเพื่อพิจารณาตามมติ กพต. ดังนี้ ๒.๑ เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนที่เสียชีวิตและทุพพลภาพจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และขอรับการจัดสรรงบประมาณจากเงินงบกลางปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ เนื่องจากคณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานกรรมการได้เสนอเรื่องการปรับปรุงหลักเกณฑ์ การจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนที่เสียชีวิตและทุพพลภาพจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว จึงเห็นควรให้เป็นไปตามผลการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป และรับทราบมติการประชุมคณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ สืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้คณะกรรมการเยียวยาฯ นำความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กรณีนายสมชาย นีละไพจิตร ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒.๒ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมการจ่ายเงินยังชีพรายเดือนผู้พิการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รับทราบตามมติ กพต. ๒.๓ สำหรับการดำเนินงานตามภารกิจของหน่วยงานต่าง ๆ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เห็นชอบให้เพิ่มวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๑๖๘,๐๕๖,๐๐๐ บาท ส่วนการเพิ่มกรอบอัตรากำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนให้แก่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอำเภอเมือง อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอเทพา อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี ของจังหวัดสงขลา จำนวน ๒,๗๐๐ อัตรา ให้กรมการปกครองจัดทำแผนเพื่อขออนุมัติเพิ่มกรอบอัตรากำลังต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๔ เรื่อง การพิจารณากำหนดวันหยุดราชการประจำปีเพิ่มเติม และเรื่อง การทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือว่าด้วยทุนการศึกษาระหว่างศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กับองค์กร Muhammadiyah ให้ ศอ.บต. จัดทำรายละเอียดเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2708 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - เนเธอร์แลนด์ | คค | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของประเทศไทยและเนเธอร์แลนด์ ดังนี้ ๑.๑ สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ได้แก่ ๑.๑.๑ ปรับปรุงข้อบทว่าด้วยการแต่งตั้งสายการบินที่กำหนด การให้อนุญาตและการเพิกถอนใบอนุญาต และข้อบทว่าด้วยสิทธิเกี่ยวกับการควบคุมเชิงกำกับดูแลเรื่องความปลอดภัย ทั้งสองฝ่ายตกลงปรับปรุงข้อบทโดยยึดร่างแม่บทที่ไทยได้ตกลงไว้กับประชาคมยุโรปเป็นหลัก และผนวกสาระของข้อบทในความตกลงฯ เดิมเพิ่มเติม เพื่อความสมบูรณ์ของเงื่อนไขที่เคยตกลงกันไว้ ๑.๑.๒ ใบพิกัดเส้นทางบก ปรับปรุงเป็นดังนี้ ฝ่ายไทย จุดใด ๆ ในไทย - จุดระหว่างทางใด ๆ - จุดใด ๆ ในเนเธอร์แลนด์ - จุดพ้นใด ๆ ฝ่ายเนเธอร์แลนด์ จุดใด ๆ ในเนเธอร์แลนด์ - จุดระหว่างทางใด ๆ - จุดใด ๆ ในไทย - จุดพ้นใด ๆ ๑.๑.๓ สิทธิความจุความถี่ ทั้งสองฝ่ายตกลงให้สิทธิความจุความถี่สำหรับการทำการบินระหว่างกันโดยไม่จำกัด ทั้งในส่วนของบริการขนส่งผู้โดยสารผสมสินค้าและบริการขนส่งเฉพาะสินค้า โดยคงเงื่อนไขห้ามมิให้สายการบินของเนเธอร์แลนด์ทำการบินพ้นจากจุดใด ๆ ในประเทศไทยไปยังออสเตรเลียเกินกว่า ๒ เที่ยวต่อสัปดาห์ไว้เช่นเดิม ๑.๑.๔ สิทธิรับขนการจราจร ทั้งสองฝ่ายตกลงคงหลักการที่ให้สายการบินที่กำหนดของทั้งสองฝ่ายสามารถใช้สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ ได้อย่างเต็มที่ไว้เช่นเดิม ในส่วนของสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ มีการปรับปรุงให้สิทธิอย่างเต็มที่ในส่วนของเที่ยวบินขนส่งเฉพาะสินค้า สำหรับเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสารผสมสินค้า ตกลงให้สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ฝ่ายละ ๗ เที่ยวต่อสัปดาห์ โดยการจราจรพักค้างที่จุดต่าง ๆ ในประเทศไทย หรือจุดต่าง ๆ ในเนเธอร์แลนด์ เป็นเวลา ๗๒ ชั่วโมงหรือน้อยกว่า ไม่ถือว่าเป็นการขนส่งการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ๑.๑.๖ ข้อบทว่าด้วยการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายตกลงปรับปรุงข้อบทว่าด้วยการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ให้ครอบคลุมถึงความร่วมมือระหว่างสายการบินของประเทศเดียวกัน ๑.๒ สาระสำคัญของหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ได้แก่ การแต่งตั้งสายการบินที่กำหนด การให้อนุญาต และการเพิกถอนใบอนุญาต ความปลอดภัยการบิน ใบพิกัดเส้นทางบิน ความจุและความถี่ สิทธิรับขนการจราจร และการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ๒. ให้นำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ ต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2709 | รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานโครงการสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ ภายใต้แผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น | นร | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานโครงการสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ ภายใต้แผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยผลการดำเนินงานที่ผ่านมา คณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ ซึ่งมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธาน ได้มีการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยให้ส่วนราชการและจังหวัดนำเสนอข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ต่อคณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิด้านการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เมื่อวันที่ ๙ และ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามลำดับ โดยมีผลการพิจารณาข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ดังนี้
๑. ส่วนราชการ (ระดับกรม) ๑.๑ ส่วนราชการระดับกรม มีจำนวนทั้งสิ้น ๑๔๔ กรม เสนอข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการแล้ว จำนวน ๑๔๒ กรม และยังไม่ได้เสนอ จำนวน ๒ กรม ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานกิจการยุติธรรม ๑.๒ ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ผ่านในเบื้องต้น มีจำนวน ๓๓ กรม ได้แก่ ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ไม่ได้ของบประมาณสนับสนุน จำนวน ๑๒ กรม และข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ของบประมาณสนับสนุน จำนวน ๒๑ กรม ๑.๓ ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขบางส่วน หรือต้องมีการทบทวนดำเนินการใหม่ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๐๗ กรม ๒. จังหวัด ๒.๑ จังหวัด มีจำนวนทั้งสิ้น ๗๖ จังหวัด เสนอข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการแล้วทุกจังหวัด ๒.๒ ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ผ่านในเบื้องต้น มีจำนวน ๑๓ จังหวัด ได้แก่ ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ไม่ได้ของบประมาณสนับสนุน จำนวน ๑ จังหวัด และข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ของบประมาณสนับสนุน จำนวน ๑๒ จังหวัด ๒.๓ ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขบางส่วน หรือต้องมีการทบทวนดำเนินการใหม่ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๖๑ จังหวัด ๓. การดำเนินงานในระยะต่อไป ๓.๑ ส่วนราชการและจังหวัดที่เสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ และผู้ทรงคุณวุฒิฯ ในเบื้องต้นแล้ว จำนวนรวมทั้งสิ้น ๔๖ หน่วยงาน จะเริ่มดำเนินการได้ในวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๓.๒ ส่วนราชการและจังหวัดที่ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการยังต้องมีการปรับปรุงแก้ไขบางส่วน หรือต้องมีการทบทวนการดำเนินการใหม่ จำนวนรวมทั้งสิ้น ๑๖๘ หน่วยงาน ซึ่งเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ และผู้ทรงคุณวุฒิฯ แล้ว จะเริ่มดำเนินการได้ครบทั้งหมดภายในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2710 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่างๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ(ค.ต.ป.) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของ ค.ต.ป. ในภาพรวมพบว่า ส่วนราชการและจังหวัดมีการพัฒนาการดำเนินงานทั้ง ๕ ด้าน อย่างต่อเนื่อง และได้มีข้อค้นพบที่สำคัญและข้อเสนอแนะ ซึ่งหากมีการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ก็จะทำให้การดำเนินงานของส่วนราชการและจังหวัดมีประสิทธิภาพและบังเกิดประสิทธิผลมากขึ้น ๒. เห็นชอบข้อเสนอแนะตามความเห็นของ ค.ต.ป. เกี่ยวกับข้อค้นพบที่สำคัญและข้อเสนอแนะ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการทุก ๖ เดือน ต่อ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ตามที่รับผิดชอบ ๓. รับทราบรายงานผลการประเมินตนเองของ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งพบว่ามีผลการประเมินตนเองในภาพรวมรายคณะอยู่ในเกณฑ์ระดับดีเยี่ยม โดยมีแผนการดำเนินงานในอนาคต ดังนี้ ๓.๑ บูรณาการงานสอบทานและประเมินผลแต่ละด้านให้มีความเชื่อมโยง เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งในระดับกรม ระดับกระทรวง และระดับจังหวัดตามเจตนารมณ์ของ ค.ต.ป. โดยจะให้ความสำคัญกับการสอบทานข้อมูลทางการเงินเพราะเป็นการสะท้อนภาพการบริหารที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ จะได้พัฒนารายงานด้านการตรวจสอบและประเมินผลด้านต่าง ๆ ให้ชัดเจน สามารถเสนอข้อสังเกตและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว และมีการนำผลการตรวจสอบและประเมินผลไปปรับปรุงแก้ไขอย่างแท้จริง สำหรับการสอบทานกรณีพิเศษจะได้นำประเด็นยุทธศาสตร์สำคัญมาพิจารณาติดตาม ตรวจสอบและประเมินผล เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ในยุทธศาสตร์นั้น ๆ ๓.๒ ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่การปฏิบัติงานของ ค.ต.ป. ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในงานด้านการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง และเน้นการลงพื้นที่เพื่อพบปะหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็นอันจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติราชการ ๓.๓ ปรับปรุงเทคนิคในการตรวจสอบและประเมินผล และกำหนดเกณฑ์การพิจารณา (Criteria) ที่ชัดเจนถูกต้อง พร้อมทั้งส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาปรับปรุงระบบและกระบวนการสอบทานงานด้านต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2711 | การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น | นร | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานปลัดกระทรวงทุกกระทรวง โดยให้เป็นส่วนราชการตามมาตรา ๓๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดไว้ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรวงทุกกระทรวง และให้รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และรองปลัดกระทรวงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นอีกตำแหน่งหนึ่ง ๑.๒ ให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นในส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี และส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง ทุกส่วนราชการ โดยให้เป็นส่วนราชการตามมาตรา ๓๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดไว้ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของส่วนราชการนั้น ๆ และให้รองหัวหน้าส่วนราชการทำหน้าที่เป็นหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นอีกตำแหน่งหนึ่ง ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ เป็นส่วนราชการภายในกรม ตามมาตรา ๓๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งจะมีเป็นจำนวนมาก ทำให้การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ ดำเนินไปด้วยความล่าช้า ดังนั้น ในระหว่างที่ยังมิได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในของหน่วยงานใด ให้หน่วยงานนั้นดำเนินการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ เป็นหน่วยงานภายในไปพลางก่อน เพื่อให้การดำเนินนโยบายของรัฐบาลในเรื่องนี้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. ประสานกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงทุกกระทรวง ส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี และส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง ในการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ มิให้ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานของแต่ละส่วนราชการที่มีอยู่แล้ว ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเกลี่ยอัตรากำลังที่มีอยู่เดิมสำหรับการปฏิบัติงานในศูนย์ปฏิบัติการฯ โดยไม่เป็นการเพิ่มอัตราใหม่ การเตรียมความพร้อมให้หน่วยงานต่าง ๆ ในการดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ การจัดทำประมาณการภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้น การวางระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการฯ ในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งมิติของประสิทธิภาพและประสิทธิผล และรายงานผลการดำเนินงาน รวมทั้งปัญหา อุปสรรค และแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีอย่างสม่ำเสมอ การจัดระบบงานให้มีการประสานข้อมูลและกิจกรรมร่วมกับกลุ่มงานคุ้มครองจริยธรรม การกำหนดขอบเขต อำนาจ หน้าที่ ความรับผิดชอบ และขั้นตอนการปฏิบัติของศูนย์ปฏิบัติการฯ ให้ชัดเจน รวมทั้งการวางแนวทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career Path) ของบุคลากรในศูนย์ปฏิบัติการฯ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2712 | การจ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างผลอาสินในพื้นที่โครงการปรับปรุงด่านศุลกากรสะเดา (ด่านพรมแดนสะเดา) | กค | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้จ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสินในที่ดินโครงการปรับปรุงด่านศุลกากรสะเดา (ด่านพรมแดนสะเดา) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ จ่ายเงินชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสินในที่ดินให้กับผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติที่ได้ตกลงโดยมีบันทึกยินยอมรับราคาตามที่คณะทำงานตกลงราคาและจ่ายเงินชดเชยกำหนดโดยไม่มีเงื่อนไขทั้งหมด จำนวน ๓๖ แปลง เนื้อที่รวม ๑๘ - ๑ - ๑๓.๕ ไร่ เป็นเงินทั้งสิ้น ๓๙,๘๙๕,๐๖๙.๖๓ บาท ๑.๒ ในระหว่างรอขั้นตอนดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมส่งมอบพื้นที่ให้กรมศุลกากร อนุมัติให้กรมศุลกากรร่วมกับจังหวัดสงขลาและสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลาร่วมกันจ่ายเงินค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสินในที่ดินโครงการไปก่อน ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรต้องพิจารณารายละเอียดของพื้นที่ และตรวจสอบสิทธิของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งระยะเวลาที่ประชาชนได้เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐประกอบการพิจารณาจ่ายเงิน และความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กรมศุลกากรเร่งดำเนินการเกี่ยวกับการขออนุญาตใช้พื้นที่จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อยเสร็จสิ้นก่อนการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ราษฎร และดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี มาตรฐาน และระเบียบแบบแผนของทางราชการที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งกำกับการตรวจสอบสิทธิ์ของบุคคลและการจ่ายเงินให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ และสำหรับงบประมาณเพื่อการจ่ายค่าชดเชยดังกล่าว ให้กรมศุลกากรพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ได้รับจัดสรรสำหรับเป็นค่าชดเชยผลอาสินและสิ่งก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ และได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน โดยให้ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2713 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2555 ครั้งที่ 4 | กค | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้
๑. การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๔ ซึ่งเป็นการปรับลดแผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๑,๕๖๐.๗๗ ล้านบาท และปรับเพิ่มแผนการปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล จำนวน ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท ทำให้ภาพรวมของแผนฯ มีวงเงินเพิ่มขึ้น ๑๖,๔๓๙.๒๔ ล้านบาท จากเดิม ๒,๒๖๒,๐๓๙.๔๘ ล้านบาท เป็น ๒,๒๗๘,๔๗๘.๗๒ ล้านบาท ๒. การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาลและการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ปรับปรุงครั้งที่ ๔ ๓. ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ปรับปรุงครั้งที่ ๔ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2714 | การติดตามสภาพปัญหาและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง | ทส | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสภาพปัญหาและตรวจพื้นที่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อการป้องกันบรรเทาปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง และการแก้ไขปัญหาด้านขยะมูลฝอยในพื้นที่จังหวัดสกลนคร และการปฏิบัติกิจกรรมปลูกป่า ณ จังหวัดมหาสารคาม ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะได้ตรวจติดตามสภาพปัญหาและตรวจพื้นที่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อป้องกันบรรเทาปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ได้แก่ โครงการปรับปรุงพื้นที่ชุ่มน้ำหนองทุ่งมน หมู่ที่ ๑ บ้านเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร และโครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองบัวรวม ตำบลเดื่อศรีคันไชย อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร โดยดำเนินการขุดลอกแหล่งน้ำ และจัดทำคันป้องกันตลิ่ง และโครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำลำน้ำพุง ตำบลเต่างอย อำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร โดยดำเนินการศึกษาออกแบบเพื่อการขุดลอก และจัดการปรับปรุงพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อเป็นแก้มลิงในการเก็บกักน้ำ นอกจากนี้ ได้ตรวจติดตามและรับฟังปัญหาด้านขยะมูลฝอย และการปรับปรุงบ่อขยะและระบบการกำจัดขยะมูลฝอยของเขตเทศบาลตำบลวานรนิวาส อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร และการจัดทำเตาเผาขยะและระบบการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลตำบลบ้านม่วง อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร ๒. วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เป็นประธานเปิดงานโครงการคืนผืนป่าให้แผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ณ ป่าสงวนแห่งชาติป่าดินแดง - วังกุง หมู่ที่ ๑๐ บ้านโนนสูง ตำบลหนองเหล็ก อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม และร่วมปลูกต้นไม้ร่วมกับพลังมวลชนกลุ่มต่าง ๆ และประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งได้มอบเกียรติบัตรแก่ราษฎรผู้คืนผืนป่า และผู้ทำคุณประโยชน์ด้านทรัพยากรป่าไม้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2715 | การปรับปรุงแก้ไขประกาศกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการกำหนดรายชื่อประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง | พณ | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการกำหนดรายชื่อประเภทภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การกำหนดรายชื่อประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๔๘ ๒. เพิ่มเติมรายชื่อของประเทศภาคีอนุสัญญาให้เป็นปัจจุบัน ดังนี้ ๒.๑ อนุสัญญากรุงเบิร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ฉบับเดิมมีภาคี ๑๕๙ ประเทศ ปัจจุบันเพิ่มขึ้นจำนวน ๖ ประเทศ ๒.๒ ความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ฉบับเดิมมีภาคี ๑๔๘ ประเทศ ปัจจุบันเพิ่มขึ้นจำนวน ๖ ประเทศ ๓. ปรับปรุงแก้ไขรายชื่อประเทศให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศหลายประเทศและตัวสะกดตามประกาศราชบัณฑิตยสถาน เรื่อง กำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง ลงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ และมติคณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมชื่อภูมิศาสตร์สากลแห่งราชบัณฑิตยสถานที่ได้ดำเนินการตรวจสอบแก้ไขและมีมติรับรองชื่อประเทศทั้งหมดเป็นปัจจุบันแล้ว ดังนี้ ๓.๑ อนุสัญญากรุงเบิร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ฉบับเดิม ปรับปรุงแก้ไขจำนวน ๒๔ ประเทศ ๓.๒ ความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ฉบับเดิม ปรับปรุงแก้ไขจำนวน ๒๖ ประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2716 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 สำหรับค่าเช่าอาคารเพื่อดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา | วธ | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยเช่าอาคารจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา และก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๘๕ ภายในวงเงิน ๑,๐๖๒,๐๒๐,๑๐๐ บาท โดยค่าเช่าในปีแรกให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามอัตราค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริง จำนวน ๑๐ เดือน ซึ่งได้เสนอขอตั้งงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๑๘,๕๗๕,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีและเสนอตั้งงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. สำหรับการใช้ชื่อ “โครงการพัฒนาศูนย์หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา” ให้กระทรวงวัฒนธรรมหารือสำนักราชเลขาธิการก่อน ตามความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ๓. ให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบบริเวณพื้นที่ที่จะพัฒนาเป็นศูนย์หอศิลป์ร่วมสมัยทั้งสองฝั่ง โดยให้มีการจัดระเบียบร้านค้า แผงลอยที่ผิดกฎหมาย เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวให้บรรลุเป้าหมายและมีความเหมาะสมในการเป็นที่ตั้งของหอศิลป์ร่วมสมัยต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2717 | รายงานการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ 2 และการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง | กษ | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ ๒ และการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง ณ เมืองคาซาน รัสเซีย ระหว่างวันที่ ๓๐ - ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปคได้ร่วมกันรับรองปฏิญญาคาซานว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปคอย่างเป็นเอกฉันท์ ซึ่งปฏิญญาคาซานฯ ประกอบด้วย ๕ ประเด็นหลัก คือ การเพิ่มผลผลิตและผลิตภาพทางการเกษตร การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการพัฒนาตลาดสินค้าอาหาร การส่งเสริมความปลอดภัยและคุณภาพอาหาร การปรับปรุงการเข้าถึงอาหารสำหรับกลุ่มคนที่มีความเปราะบางทางสังคม การสร้างความมั่นใจในการบริหารจัดการระบบนิเวศน์อย่างยั่งยืน และการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม รวมถึงการค้าที่เกี่ยวข้อง ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมหารือทวิภาคีนอกรอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของรัสเซีย ชิลี เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เกี่ยวกับความร่วมมือด้านการเกษตร สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๒.๑ การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของรัสเซียในเรื่องบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ความตกลงทางวิชาการด้านการตรวจสอบและรับรองสินค้าสัตว์น้ำ และบันทึกความร่วมมือเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยในการนำเข้าและส่งออกธัญพืชและผลิตภัณฑ์ธัญพืช โดยฝ่ายไทยได้ขอให้ทางรัสเซียพิจารณาการขึ้นบัญชีโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ปีกปรุงสุกเพิ่มเติมอีก ๑๖ แห่ง และโรงงานชำแหละไก่ ๑ แห่ง ๒.๒ การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของชิลีในเรื่องการลงนามบันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือเกษตร และด้านมาตรการสุขอนามัยพืชที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ซึ่งทางชิลีจะเร่งลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในประเทศไทย ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒.๓ การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาหาร เกษตร ป่าไม้ และประมงของเกาหลีใต้ โดยได้เสนอให้มีการขยายความร่วมมือทางด้านควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยด้านสุขอนามัยในผลิตภัณฑ์ประมงให้ครอบคลุมทุกสาขาทางด้านเกษตร ซึ่งทางเกาหลีใต้เห็นควรจัดทำความร่วมมือดังกล่าวและเร่งให้มีการลงนามโดยเร็ว ๒.๔ การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น ในประเด็นที่นายกรัฐมนตรีของไทยได้หารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นในการเยือนอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาในการขอให้พิจารณายกเลิกการห้ามนำเข้าสินค้าสัตว์ปีกสดจากประเทศไทย โดยขอให้ญี่ปุ่นพิจารณาส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบโรงงานของไทยเพื่อให้สินค้าไก่สดจากไทยส่งออกไปยังญี่ปุ่นได้ ซึ่งทางญี่ปุ่นแจ้งว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูล และขอให้มีการประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่เทคนิคของกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยเท่านั้น ทั้งนี้ ในเรื่องการส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจโรงงานในประเทศไทย ทางญี่ปุ่นจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวเป็นกรณีพิเศษ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2718 | สรุปผลการเข้าร่วมการประชุมสมัชชานานาชาติด้านเทคนิคและการศึกษาสายอาชีพและฝึกอบรม ครั้งที่ 3 | ศธ | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมสมัชชานานาชาติด้านเทคนิคและการศึกษาสายอาชีพและฝึกอบรม ครั้งที่ ๓ (Third International Congress on Technical and Vocational Education and Training : TVET) หัวข้อ Building Skills for Work and Life ระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ ศูนย์การประชุมนานาชาตินครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมสมัชชานานาชาติด้านเทคนิคและการศึกษาสายอาชีพและฝึกอบรม ครั้งที่ ๓ จัดโดยองค์การยูเนสโกร่วมกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือในประเด็นด้านความท้าทายทั้งในปัจจุบันและอนาคต สำรวจแนวทางในการพัฒนาด้าน TVET เสริมสร้างความเข้าใจและแบ่งปันความรู้ในการพัฒนาความช่วยเหลือด้าน TVET เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน การกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์เพื่อปรับเปลี่ยนและขยายตัวด้าน TVET และสนับสนุนการดำเนินงานด้าน TVET ในระดับประเทศ ภูมิภาค และนานาชาติ ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้หารือทวิภาคีกับผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกในเรื่องความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยกับองค์การยูเนสโก โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการด้าน ICT ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก หัวข้อ “The Power of ICT in Education Policies : Implications for Educational Practices” ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ ที่ประเทศไทย ซึ่งได้เรียนเชิญผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกเข้าร่วมในพิธีเปิดการประชุมดังกล่าว และได้หารือในประเด็นความร่วมมือกับองค์การยูเนสโกเกี่ยวกับการลงนามในความตกลงโครงการพัฒนาว่าด้วยการฟื้นฟูศูนย์การเรียนรู้ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในประเทศไทยและการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้จัดสรรเงินกองทุน (Japanese Funds-in-Trust) ให้แก่ยูเนสโกเพื่อช่วยเหลือรัฐบาลไทยในการดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้พบหารือกับผู้อำนวยใหญ่ยูเนสโก รวมทั้งผู้นำจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์การระหว่างประเทศด้านการศึกษา เกี่ยวกับบทบาทของไทยในการเป็นผู้นำด้านการศึกษาเพื่ออาชีพ พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของไทยในการผลักดันการศึกษาสายอาชีพเพื่อสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในเวทียูเนสโก ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้นำเสนอโครงการและกิจกรรมที่ประสบความสำเร็จของไทยในการพัฒนาการศึกษาด้านเทคนิคและการศึกษาสายอาชีพและการฝึกอบรม รวมทั้งการชูบทบาทของไทยในการเป็นผู้นำในการดำเนินโครงการและกิจกรรมด้านการศึกษาในเวทีระหว่างประเทศที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น โครงการ “ยกระดับการศึกษาประชาชนให้จบ ม.๖ ภายใน ๘ เดือน” ที่มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการศึกษาอย่างมีคุณภาพให้กับประชาชนทุกคนด้วยการส่งเสริมประสบการณ์ทางอาชีพ และส่งเสริมการศึกษาของประชาชนเพื่อการมีงานทำตลอดชีวิต ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้พบปะนักเรียนทุนในโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน รุ่นที่ ๒ ซึ่งศึกษาอยู่ที่นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนักเรียนได้แสดงข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงการดำเนินโครงการฯ ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งเสนอปัญหาและอุปสรรคที่ผ่านมา ได้แก่ ปัญหาความล่าช้าในการได้รับเงิน และค่าใช้จ่ายจากรัฐบาลที่จ่ายมหาวิทยาลัยให้แก่นักเรียนทุน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ย้ำถึงนโยบายการศึกษาในการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมเสมือนบุคคลในครอบครัว และเชื่อมั่นว่านักเรียนที่สำเร็จการศึกษาจะมีศักยภาพในการประกอบอาชีพ เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าทั้งในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สามารถประกอบอาชีพทั้งในประเทศและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงการดำเนินโครงการฯ รุ่นที่ ๓ ว่าจะคัดเลือกได้ประมาณ ๖๐๐ คน ซึ่งขณะนี้คัดเลือกได้แล้วประมาณ ๓๐๐ คน โดยจะให้เลือกไปเรียนที่ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ด้วย และในอนาคตอาจสนับสนุนให้ทุนศึกษาต่อระดับปริญญาโท โดยพร้อมจะเปิดกว้างให้แก่เด็กที่เรียนจบปริญญาตรีทุกคนได้รับโอกาสดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2719 | โครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 2 ของ กฟผ. | พน | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในวงเงิน ๒๒,๗๕๒.๑๐ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินตราต่างประเทศ จำนวน ๑๕,๑๒๖.๔๐ ล้านบาท และเงินบาท จำนวน ๗,๖๒๕.๗๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้อย่างเพียงพอ มั่นคง และสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๗๓ (แผน PDP 2010) โดยสถานที่ตั้งโครงการจะอยู่ภายในบริเวณโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี พื้นที่รวมประมาณ ๑๑๒ ไร่ ชนิดและขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมกังหันแก๊สแบบ Single Shaft Combined Cycle ใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้าฐาน ประกอบด้วย หน่วยการผลิตไฟฟ้า ๒ หน่วย หน่วยละ ๔๕๐ เมกะวัตต์ รวมขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าสุทธิประมาณ ๙๐๐ เมกะวัตต์ ทั้งนี้ ให้ กฟผ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเกี่ยวกับการปรับปรุงการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าฯ ให้สอดคล้องกับกำลังการผลิตตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยในขั้นตอนของการจัดทำแผนฯ ในอนาคต ประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๒ ให้ กฟผ. และรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ พิจารณาความเหมาะสมของการใช้แหล่งเงินทุนภายในประเทศเป็นอันดับแรกก่อน เนื่องจากระบบสถาบันการเงินในประเทศในปัจจุบันยังมีสภาพคล่องอยู่ในระบบค่อนข้างสูง จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องจัดหาแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศในส่วนของการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ ๑.๓ ให้ กฟผ. ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ ได้ เมื่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ความเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว ๒. ให้ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการทำความเข้าใจด้านสังคมกับชุมชนในพื้นที่เพื่อให้มีทัศนคติและยอมรับการดำเนินงานของโครงการเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการดำเนินโครงการในระยะต่อไปและความปลอดภัยในการดำเนินงานอย่างเข้มงวด การพิจารณาหามาตรการป้องกันและรองรับความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงฤดูฝน เนื่องจากพื้นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา การให้ความสำคัญกับระบบตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อชุมชนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะคุณภาพน้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้าฯ การดำเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) ในพื้นที่โครงการอย่างต่อเนื่อง การถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องกระบวนการมีส่วนร่วมและการดำเนินงานชุมชนสัมพันธ์ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน การเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เยาวชน ประชาชน และชุมชนในด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งต่าง ๆ ตลอดจนข้อดีข้อเสียของแต่ละแหล่งผลิตพลังงานเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนและชุมชน การเตรียมแผนการพัฒนาโรงไฟฟ้าฯ ในระยะยาวและการพิจารณาทางเลือกของแหล่งเชื้อเพลิงที่เหมาะสมเพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรักษาความมั่นคงของระบบผลิตไฟฟ้าของประเทศในอนาคต รวมทั้งการกำหนดกลไกและเครื่องมือในการติดตามประเมินผลที่เชื่อมโยงกับการป้องกันทุจริตของโครงการภาครัฐ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการและป้องกันปัญหาการทุจริต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2720 | ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2554 นโยบายของคณะกรรมการและโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินงานของ รฟม. ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๑.๑ ด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ๑.๑.๑.๑ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วเสร็จ การก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้าร้อยละ ๓๔.๘๙ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๖.๕๙ งานระบบรถไฟฟ้ามีความล่าช้ากว่าแผน โดยอยู่ระหว่างดำเนินงานเพื่อคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการฯ ๑.๑.๑.๒ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๖๖.๖๖ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๒.๘๙ การก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้าร้อยละ ๔.๙๕ เร็วกว่าแผนร้อยละ ๐.๐๗ งานระบบรถไฟฟ้ามีความล่าช้ากว่าแผน โดยอยู่ระหว่างแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการฯ ๑.๑.๑.๓ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ อยู่ระหว่างการปรับปรุงแบบรายละเอียดของสถานีวัดพระศรีมหาธาตุเพื่อแก้ไขปัญหาที่กรุงเทพมหานครไม่ยินยอมให้ใช้พื้นที่สำนักงานเขตบางเขนเพื่อก่อสร้างโครงการฯ และอยู่ระหว่างรอพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน การดำเนินงานล่าช้ากว่าแผน ๑.๑.๑.๔ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๖๐.๑๔ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๒.๘๙ ดำเนินการคัดเลือกผู้รับจ้างงานโยธาสัญญาที่ ๑ (งานโครงสร้างพื้นฐานทางวิ่งรถไฟฟ้ายกระดับและสถานี) แล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างจัดเตรียมเอกสารประกวดราคาและจัดทำราคากลางสำหรับการประกวดราคางานสัญญาที่ ๒ (ระบบราง) การดำเนินงานล่าช้ากว่าแผน ๑.๑.๑.๕ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ และจัดเตรียมเอกสารประกวดราคาแล้วเสร็จ การดำเนินงานโครงการเป็นไปตามแผนงาน ๑.๑.๑.๖ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน - มีนบุรี ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้วเสร็จ การดำเนินงานโครงการเป็นไปตามแผนงาน ๑.๑.๑.๗ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ อยู่ระหว่างดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ การดำเนินงานโครงการในส่วนของการจัดจ้างที่ปรึกษาฯ มีความล่าช้ากว่าแผนงานเล็กน้อย ๑.๑.๒ ด้านการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ได้ปรับปรุงการให้บริการในด้านต่าง ๆ เช่น ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและเอกชนใช้พื้นที่บริเวณลานจอดรถของ รฟม. เป็นท่าจอดรถโดยสาร และที่จอดรถรับ - ส่งผู้โดยสาร เชื่อมต่อทางเดินระหว่างอาคารศูนย์การค้าและอาคารอื่น ๆ กับสถานีรถไฟฟ้า รวมทั้งรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยภายในเขตระบบรถไฟฟ้า กำกับดูแลการเดินรถของผู้รับสัมปทานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันเท่ากับ ๑๙๐,๙๔๑ คน เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๓ คิดเป็นร้อยละ ๕.๕๒ ๑.๑.๓ ด้านการเงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รฟม. มีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ ๑๑,๘๓๓.๑๕ ล้านบาท โดยมีรายได้รวม ๕๕๔.๕๔ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม ๑๒,๓๘๗.๖๙ ล้านบาท ๑.๑.๔ ด้านการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรบุคคล ได้แก่ การพัฒนาและปรับปรุงระบบบริหารจัดการองค์ความรู้เพื่อให้ รฟม. เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ด้านระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน การจัดกิจกรรมเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม เช่น การบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย การมอบทุนการศึกษา การปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศตามแผนแม่บทเทคโนโลยีและการสื่อสาร การจัดทำแผนถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีจากที่ปรึกษา ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธา และเอกชน ผู้ลงทุนงานระบบรถไฟฟ้า และการจัดทำแผนวิสาหกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานขององค์กร ๑.๒ นโยบายของคณะกรรมการ รฟม. ได้แก่ การเร่งรัดดำเนินโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายต่าง ๆ ให้เปิดบริการได้ตามแผน การให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนด้วยความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ตรงต่อเวลา การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน การดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล มีการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงให้ความสำคัญต่อการป้องกันและลดผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากการดำเนินงานขององค์กร การบริหารสินทรัพย์ ดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง และให้บริการเสริมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มรายได้และลดภาระการสนับสนุนจากภาครัฐ การบริหารจัดการทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ การสื่อสารในเชิงรุกในรูปแบบต่าง ๆ การพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการภายใน และระบบสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร การถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีจากผู้รับเหมาและที่ปรึกษา รวมทั้งการพัฒนาและปรับปรุงระบบแรงจูงใจทั้งในรูปตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงินเพื่อสร้างความเป็นธรรมและสร้างขวัญกำลังใจแก่พนักงาน ๑.๓ โครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต มีโครงการหลักที่สำคัญที่จะดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒๒ โครงการ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าให้แล้วเสร็จตามแผนงานและจัดหาเอกชนเข้าร่วมลงทุนและให้บริการเดินรถเพื่อให้สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้าหมาย และมีโครงข่ายที่เชื่อมโยงและครอบคลุมพื้นที่บริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพิ่มขึ้น การให้ความสำคัญกับการกำหนดโครงสร้างอัตราบุคลากรให้สอดคล้องกับบทบาทขององค์กรในการกำกับดูแลการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน รวมทั้งเร่งจัดทำแผนธุรกิจและแนวการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรเพื่อรองรับการให้บริการโครงการรถไฟฟ้าในเส้นทางนำร่อง ไปประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
