ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 138 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2741 - 2760 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2741 | การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ (คณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ) | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ โดยปรับเปลี่ยนองค์ประกอบคณะกรรมการฯ ในฝ่ายเลขานุการ และเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการที่ดิน การวางแผน การบริหารที่ดินให้สอดคล้องกับผังเมือง การชลประทาน และการระบายน้ำ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบเสนอ โดยให้กระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าเบี้ยประชุมกรรมการและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของคณะกรรมการฯ ให้กรมที่ดินปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2742 | ร่างกฎกระทรวงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน สำหรับโครงการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ ที่ต้องจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม ตามกฎหมายของกรมธุรกิจพลังงาน พ.ศ. .... | พน | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน สำหรับโครงการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ ที่ต้องจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม ตามกฎหมายของกรมธุรกิจพลังงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้เจ้าของโครงการต้องปฏิบัติในการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน สำหรับโครงการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ ที่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม ตามกฎหมายของกรมธุรกิจพลังงาน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดคำนิยามต่าง ๆ ได้แก่ ประชาชน รายงานด้านสิ่งแวดล้อม ประมวลหลักการปฏิบัติงาน รายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข ลดและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการ และเจ้าของโครงการ เป็นต้น ๑.๒ กำหนดให้ก่อนเริ่มดำเนินโครงการ เจ้าของโครงการต้องจัดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการให้ประชาชนทราบ และต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ๑.๓ กำหนดข้อมูลเกี่ยวกับโครงการที่เจ้าของโครงการต้องเผยแพร่แก่ประชาชน เช่น เหตุผลความจำเป็น และวัตถุประสงค์ของโครงการ สาระสำคัญของโครงการ สถานที่ที่จะดำเนินการ และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ประชาชน เป็นต้น ๑.๔ กำหนดวิธีการในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไว้ ๓ ประการ ได้แก่ การสำรวจความคิดเห็น การประชุมปรึกษาหารือ และวิธีอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ๑.๕ กำหนดเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการต้องดำเนินการก่อนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ได้แก่ เสนอแผนการดำเนินงานของโครงการการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อกรมธุรกิจพลังงาน และประกาศให้ประชาชนทราบถึงวิธีการรับฟังความคิดเห็น ระยะเวลา สถานที่ ตลอดจนรายละเอียดอื่นเพียงพอแก่การที่ประชาชนจะเข้าใจและสามารถแสดงความคิดเห็นของประชาชนได้ ๑.๖ กำหนดเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการต้องดำเนินการภายหลังการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ได้แก่ การจัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและประกาศให้ประชาชนทราบ การนำข้อมูลผลการดำเนินงานและการปรับปรุงแก้ไขประเด็นที่เกี่ยวข้องที่ได้รับจากการรับฟังความคิดเห็นผนวกไว้กับรายงานด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการ หรือรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข ลดและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอต่อกรมธุรกิจพลังงาน และกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข หรือเยียวยาความเดือดร้อนหรือเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบดังกล่าวเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมก่อนเริ่มดำเนินโครงการนั้น และประกาศให้ประชาชนทราบ ๑.๗ กำหนดให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลในการดำเนินการตามกฎกระทรวงนี้ ๑.๘ กำหนดให้โครงการที่ได้ดำเนินการอยู่แล้วก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงนี้ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญในร่างกฎกระทรวงฯ บางประเด็น และความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับคำนิยามคำว่า “ประชาชน” ในร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ ๑ ได้ให้ความหมายไว้ว่า “ประชาชนผู้ซึ่งอาจได้รับความเดือดร้อนหรือความเสียหายโดยตรงจากการดำเนินงานโครงการ” แต่ในร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ ๒ ได้ให้ความหมายไว้ว่า “ผู้อยู่อาศัยหรือประกอบอาชีพอยู่ภายในระยะ ๑๐๐ เมตร จากระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อของโครงการ” และการกำหนดให้เจ้าของโครงการต้องจัดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนทราบและต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้อยู่อาศัยหรือประกอบอาชีพอยู่ในระยะ ๑๐๐ เมตร จากระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ จะเพียงพอและเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร รวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลโครงการให้ประชาชนรับทราบตามร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ ๓ มิได้มีการกำหนดช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลไว้ อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนและทำให้การเผยแพร่ข้อมูลของแต่ละโครงการอาจมีความไม่ทั่วถึง นอกจากนี้ การกำหนดให้สิทธิแก่ประชาชนที่เห็นว่าตนเองได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายโดยตรงจากการดำเนินโครงการ แต่เจ้าของโครงการยังไม่มีการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นในพื้นที่ของตนนั้น อาจร้องขอต่อกรมธุรกิจพลังงานเพื่อวินิจฉัยให้มีการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาเปิดช่องทางในการสื่อสารกับประชาชนเพื่อรับฟังปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และสามารถนำไปปรับปรุง เพื่อให้การดำเนินการตามร่างกฎกระทรวงฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผังเมืองทั้งหมด เพื่อใช้ในการพิจารณาดำเนินโครงการต่าง ๆ มิให้มีผลกระทบต่อการบริหารจัดการน้ำ |
||||||||||||||||||||||||
| 2743 | การปรับปรุงแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 และ 2 รวม 8 จังหวัด ตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกาญจนบุรี วันที่ 20 พฤษภาคม 2555 ของจังหวัดราชบุรี | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ และ ๒ รวม ๘ จังหวัด (จังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร) ตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกาญจนบุรี วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ของจังหวัดราชบุรี ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดและจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ และ ๒ รวม ๘ จังหวัด จำนวน ๒๐๓ โครงการ วงเงินรวม ๓๓,๐๙๓.๔๓ ล้านบาท ๑.๒ โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๖๑ โครงการ วงเงินรวม ๑,๐๔๑.๔๓ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รวมทั้งจังหวัดราชบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและแนวทางการดำเนินการกรณีการปรับลดงบประมาณโครงการฝายลำน้ำห้วยแห้ง ตำบลทุ่งหลวง อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี จากเดิมวงเงิน ๔๐ ล้านบาท ลงเหลือ ๓๐ ล้านบาท (ปรับลด ๑๐ ล้านบาท) เพื่อมิให้กระทบต่อวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการกักเก็บและระบายน้ำของโครงการดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
| 2744 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 5/2555 | วท | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ที่เห็นชอบว่า ในกรณีที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) พิจารณากลั่นกรองรายละเอียดของโครงการตามแนวทางที่ กนอช. และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) กำหนดไว้แล้ว ให้ กบอ. สามารถเสนอแผนงานโครงการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติได้โดยตรง และให้ กบอ. นำเสนอ กนอช. เพื่อทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้ กบอ. เร่งจัดทำแผนปฏิบัติการบริหารจัดการน้ำการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยแห่งชาติเสนอต่อ กนอช. และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็ว เพื่อให้การพิจารณาอนุมัติแผนงาน/โครงการของ กบอ. มีทิศทางที่ชัดเจน สอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และเป็นไปตามนโยบายที่ กนอช. กำหนด รวมทั้งให้ กบอ. เร่งดำเนินการเสนอขอแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๒.๑ รับทราบสรุปรายงานสถานการณ์น้ำของประเทศไทย และความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนการป้องกันบรรเทาอุทกภัย ๒.๒ อนุมัติให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ในการพิจารณาข้อเสนอแผนการพัฒนาประสิทธิภาพการเก็บและการระบายน้ำในพื้นที่รับน้ำนองในพื้นที่ ๑๑ จังหวัด เพื่อดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานในระยะเร่งด่วน ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรม ๒.๓ อนุมัติงบประมาณการดำเนินงานตามข้อเสนอแผนการพัฒนาประสิทธิภาพการเก็บและการระบายน้ำในพื้นที่รับน้ำนองในพื้นที่ ๑๑ จังหวัด เพื่อดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานในระยะเร่งด่วน ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๙๖ รายการ วงเงินงบประมาณ ๖๑๔,๑๓๖,๒๐๐ บาท โดยใช้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบการบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๒.๔ อนุมัติงบประมาณการดำเนินงานตามข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรม วงเงินงบประมาณ ๓,๒๓๖,๖๙๔,๐๐๐ บาท โดยใช้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบการบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๒.๕ เห็นชอบข้อเสนอการบริหารจัดการสิ่งก่อสร้างรุกล้ำลำน้ำสาธารณะ ตามที่ กบอ. เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร รับไปดำเนินการ ๓. สำหรับวงเงินอุดหนุนการดำเนินโครงการปรับปรุงระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยนิคม/สวน/เขตอุตสาหกรรม ๖ แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน สวนอุตสาหกรรมบางกะดี เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค สวนอุตสาหกรรมนวนคร และนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ตามข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เป็นไปตามการคำนวณราคาตามแบบมาตรฐานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยที่ กบอ. ได้พิจารณาเห็นชอบแล้ว ในวงเงิน ๓,๒๓๖,๖๙๔,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการที่ควรคำนึงถึงความซ้ำซ้อนในการขอรับงบประมาณ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัด กำกับ ติดตามการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงการคำนึงถึงมาตรฐานการออกแบบระบบเขื่อนที่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ และควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำความเข้าใจกับชุมชนโดยรอบนิคมให้เห็นถึงความจำเป็นที่ภาครัฐได้ให้ความสำคัญในการลงทุนเพื่อปกป้องนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๔. ให้ กบอ. รับไปประสานงานและหารือในรายละเอียดกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่รับน้ำนองในพื้นที่ ๑๑ จังหวัด เพื่อจัดทำแผนเผชิญเหตุและกำหนดแนวทางการปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการอพยพ การจัดเตรียมพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกในศูนย์พักพิง การแก้ไขปัญหาการรุกล้ำที่รับน้ำและทางระบายน้ำ และการป้องกันไม่ให้มีการรุกล้ำพื้นที่เพิ่มเติม และให้มีการซักซ้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ทราบข้อมูลต่าง ๆ อย่างทั่วถึงกันเป็นการล่วงหน้าด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2745 | รายงานความคืบหน้ามาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยปี 2554 | กค | 29/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้ามาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยปี ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานตามมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยของสถาบันการเงินเฉพาะกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ มีการอนุมัติการให้ความช่วยเหลือ ๗๑,๑๐๒ ราย วงเงิน ๒๒,๕๘๙.๔๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘.๑๖ ของวงเงินสินเชื่อรวม และเบิกจ่ายแล้ว ๗๑,๐๔๙ ราย วงเงิน ๒๒,๕๖๔.๖๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘.๑๕ ของวงเงินสินเชื่อรวม ส่วนการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ได้มีการจ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว ๒,๔๙๘,๕๗๘ ราย วงเงิน ๑๒,๔๙๒.๘๙ ล้านบาท ๒. สาเหตุที่ผลการดำเนินงานตามมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยยังอยู่ในระดับต่ำ ๒.๑ สถาบันการเงินส่วนใหญ่มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอยู่แล้วหลายมาตรการ เช่น การผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้สินเชื่อ ทั้งการขยายระยะเวลา ลดยอดผ่อนชำระรายเดือน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งลูกค้านำรายจ่ายที่ลดลงดังกล่าวรวมถึงนำเงินที่เก็บออมไว้มาใช้จ่ายเพื่อซ่อมแซมความเสียหายเล็กน้อยตามความจำเป็นเท่านั้น ๒.๒ รัฐบาลมีมาตรการให้เงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ซี่งช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ประสบอุทกภัยไปส่วนหนึ่ง ๒.๓ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) วงเงินรวม ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยจัดสรรเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับสถาบันการเงินในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี ซึ่งเป็นการสมทบเงินระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับสถาบันการเงินในอัตราร้อยละ ๗๐ : ๓๐ เป็นระยะเวลา ๕ ปี และให้สถาบันการเงินคิดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมกับลูกค้าไม่เกินร้อยละ ๓ ต่อปี ๒.๔ ผู้ประสบอุทกภัยส่วนใหญ่ต้องการดูความชัดเจนในการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลก่อน
|
||||||||||||||||||||||||
| 2746 | ขอความเห็นชอบการปรับปรุงโครงสร้างของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง | กค | 29/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ เพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเกี่ยวกับการเสนอแนะนโยบายและมาตรการ ตรวจสอบ และติดตามการกระทำความผิดเกี่ยวกับธุรกิจการเงินนอกระบบ และเป็นศูนย์ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องปรามการกระทำความผิดอันเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจการเงิน ๑.๒ กำหนดให้มีสำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน (สพช.) ในสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ๑.๓ กำหนดอำนาจหน้าที่ของ สพช. ๑.๔ ยกเลิก (๗) ของข้อ ๑๓ แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ ยกเลิก (๘) ของข้อ ๒ แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ๒.๒ กำหนดให้มีกลุ่มงานด้านวิชาการ ขึ้นตรงต่อปลัดกระทรวงการคลัง และกำหนดอำนาจหน้าที่ของกลุ่มงานด้านวิชาการ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2747 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เรื่อง ปัญหาเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิทธิทางการศึกษาของเด็กจากการใช้ระบบการวัดและประเมินผลมาตรฐานการจัดการศึกษาในระบบการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง (A-NET) และการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) | สว | 29/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เรื่อง ปัญหาเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิทธิทางการศึกษาของเด็กจากการใช้ระบบการวัดและประเมินผลมาตรฐานการจัดการศึกษาในระบบการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง (A-NET) และการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) พร้อมข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอในประเด็นเกี่ยวกับสภาพปัญหาที่เอื้อให้เกิดผลกระทบต่อการละเมิดสิทธิทางการศึกษาจากระบบทดสอบทางการศึกษาขั้นสูง (A-NET) และการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปัญหาและผลกระทบจากเกณฑ์ในการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา หรือระบบกลาง (Admissions) และระบบรับตรง รวมทั้งข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงนโยบายทางการศึกษาในประเด็นการทบทวนการใช้เกณฑ์ระบบแอดมิชชั่น (Admissions) ความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการทางการศึกษาของเยาวชนไทยในอนาคต การปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย การปรับปรุงคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียน รวมทั้งทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการจัดการ ปรับปรุงโครงสร้างความเป็นอิสระของแต่ละมหาวิทยาลัยและระบบราชการของกระทรวง กรมหรือเทียบเท่าควบคุมและกำกับดูแลการรับสมัครบุคคลเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 2748 | การติดตามประเมินผลโครงการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยและโครงการป้องกันปัญหาอุทกภัยต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ | นร | 29/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้หน่วยงานส่วนกลางดำเนินการตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีจากการติดตามประเมินผลโครงการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยและโครงการป้องกันปัญหาอุทกภัยต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ระหว่างวันที่ ๑๔ - ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. หน่วยงานส่วนกลางที่ได้รับอนุมัติงบประมาณและมีโครงการดำเนินการในพื้นที่ ควรจะต้องแจ้งข้อมูลให้จังหวัดทราบ เพื่อให้จังหวัดสามารถช่วยประสานงาน รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการ ให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว และประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย ๒. ควรใช้ระบบสารสนเทศในการสนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างจังหวัดและส่วนกลาง โดยมีการประสานกับผู้ดูแลระบบ PMOCFLOOD เพื่อปรับปรุงระบบให้ทุกจังหวัดสามารถรับทราบข้อมูลทุกโครงการที่ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดได้ ๓. การประเมินผลดำเนินการตามแผนงาน/โครงการ ต้องพิจารณาถึงความยั่งยืนของผลประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่จะได้รับ และควรมีการชี้แจงต่อประชาชนในพื้นที่ให้รับทราบ และเกิดความตระหนักในการร่วมดูแลรักษาพื้นที่ที่มีการปรับปรุงซ่อมแซมแล้ว หรือสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามโครงการ ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน และเป็นการป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
|
||||||||||||||||||||||||
| 2749 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมเจ้าท่า พ.ศ. .... | คค | 29/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมเจ้าท่า พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี พ.ศ. ๒๕๔๙ ดังนี้
๑. กำหนดให้เปลี่ยนชื่อ “กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี” เป็น “กรมเจ้าท่า” ๒. กำหนดให้แก้ไขความในข้อ ๔ (๑) (ก) กระบังหมวก และข้อ ๔ (๒) หมวกแก๊ปทรงอ่อนสีกรมท่า ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับระดับชั้นของข้าราชการ ดังนี้ ๒.๑ ระดับ ๖ ถึงระดับ ๘ แก้ไขเป็นตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับอาวุโส ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการ และระดับชำนาญการพิเศษ และตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับต้น ๒.๒ ระดับ ๙ แก้ไขเป็นตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับทักษะพิเศษ ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญและระดับทรงคุณวุฒิ และตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง และตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับต้นและระดับสูง ๒.๓ เปลี่ยนอักษรหน้าหมวกแก๊ปทรงอ่อนสีกรมท่าในข้อ ๔ (๒) จาก “กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี” ตัวอักษรสูง ๑ เซนติเมตร เป็น “กรมเจ้าท่า” ตัวอักษรสูง ๑.๕ เซนติเมตร ๓. กำหนดให้เปลี่ยนตราประจำส่วนราชการที่ปรากฏบนหัวเข็มขัดตามข้อ ๙ (๑) เป็นตราประจำส่วนราชการใหม่ คือ หัวเข็มขัดเป็นรูปวงกลมรูปไข่ ภายในมีรูปสมออยู่ภายใต้พระมหามงกุฎ ด้านซ้ายมีช่อราชพฤกษ์ ด้านขวามีช่อพุทธรักษา ใต้ขอบล่างมีอักษรว่า “กรมเจ้าท่า” โค้งตามแนวรูปวงกลมรูปไข่ ๔. กำหนดให้แก้ไขข้อความในข้อ ๑๗ เกี่ยวกับระดับชั้นของข้าราชการ ดังนี้ ๔.๑ ระดับ ๑๐ แก้ไขเป็นตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ และตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ๔.๒ ระดับ ๙ แก้ไขเป็นตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับทักษะพิเศษ ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง และตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับต้น ๔.๓ ระดับ ๘ แก้ไขเป็นตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ และตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับต้น ๔.๔ ระดับ ๗ แก้ไขเป็นตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับอาวุโส ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการ ๔.๕ ระดับ ๕ และระดับ ๖ แก้ไขเป็นตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับชำนาญงาน ๔.๖ ระดับ ๓ และระดับ ๔ แก้ไขเป็นตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ๔.๗ ระดับ ๒ แก้ไขเป็นตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน และยกเลิกความในข้อ ๑๗ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการระดับ ๑ ออก ๕ กำหนดให้เพิ่มเติมข้อยกเว้นให้สิทธิผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงแก้ไขลักษณะ ชนิด ประเภทของเครื่องแบบพิเศษของข้าราชการกรมเจ้าท่า ให้คงใช้เครื่องหมายแสดงระดับและตำแหน่งตามที่กำหนดไว้ในกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี พ.ศ. ๒๕๔๙ ไปจนกว่าจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งหรือเกษียณอายุราชการ แล้วแต่กรณี คือ ข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ซึ่งเดิมดำรงตำแหน่งข้าราชการระดับ ๓ และระดับ ๔ หรือข้าราชการประเภททั่วไป ระดับอาวุโส ซึ่งเดิมดำรงตำแหน่งข้าราชการระดับ ๘ หรือข้าราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ซึ่งเดิมดำรงตำแหน่งข้าราชการระดับ ๕
|
||||||||||||||||||||||||
| 2750 | ขอความเห็นชอบแผนปรับปรุงถนนในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2555 - 2559) ของกรมทางหลวงชนบท | คค | 29/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนปรับปรุงถนนในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) วงเงิน ๓,๖๔๗.๙๓๐ ล้านบาท ของกรมทางหลวงชนบท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญของแผนการปรับปรุงถนนในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงฯ ได้ ดังนี้ ๑.๑ พื้นที่ดำเนินการ โครงการปรับปรุงถนนในพื้นที่โครงการหลวง จำนวน ๓๔ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง และ ๔ สถานีวิจัยเกษตรหลวง ในพื้นที่ ๕ จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน และพะเยา ๑.๒ การจัดลำดับความสำคัญของโครงการ โดยพิจารณาจากสภาพความเดือดร้อนของประชาชน ความยากลำบากในการเดินทาง การใช้ประโยชน์เส้นทางของโครงการหลวง ความสำคัญของผลผลิตตามยุทธศาสตร์โครงการหลวง ความเป็นโครงข่ายการคมนาคมของสายทาง ผลประโยชน์ที่ได้รับ ความสอดคล้องของยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และการกระจายงบประมาณลงสู่พื้นที่ จำแนกลักษณะโครงการ จำนวน ๓ กลุ่ม ตามลำดับความสำคัญ คือ ๑.๒.๑ กลุ่มที่ ๑ เป็นสายทางเข้าที่ทำการศูนย์พัฒนาโครงการหลวง สถานีวิจัยเกษตรหลวง หรือหมู่บ้านหลักของโครงการหลวง จำนวน ๒๔ สายทาง ระยะทาง ๒๑๙.๔๔๙ กิโลเมตร วงเงิน ๑,๓๐๖.๙๗๐ ล้านบาท มีความจำเป็นเร่งด่วนลำดับต้น ดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ๑.๒.๒ กลุ่มที่ ๒ เป็นสายทางเข้าหมู่บ้านบริวารของโครงการหลวง จำนวน ๓๔ สายทาง ระยะทาง ๓๙๐.๔๓๕ กิโลเมตร วงเงิน ๒,๐๔๔.๖๕๐ ล้านบาท มีความจำเป็นเร่งด่วนลำดับกลาง ดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๕๙ ๑.๒.๓ กลุ่มที่ ๓ เป็นสายทางเข้าพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ปฏิบัติงานของโครงการหลวง จำนวน ๑๘ สายทาง ระยะทาง ๗๖.๙๕๐ กิโลเมตร วงเงิน ๒๙๖.๓๑๐ ล้านบาท มีความจำเป็นเร่งด่วนลำดับสุดท้าย ดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ๒. ในส่วนของงบประมาณเพื่อการดำเนินการตามแผนปรับปรุงถนนฯ ดังกล่าว ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยในการดำเนินการตามแผนปรับปรุงถนนฯ ในแต่ละปี มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมจากที่ได้รับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงชนบท) พิจารณาปรับแผนการดำเนินการและแผนการใช้จ่ายเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปรับปรุงถนนฯ อย่างครบถ้วนด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงชนบท) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแผนการปรับปรุงถนนในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงฯ บางแห่งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และบางแห่งอยู่ในป่าอนุรักษ์ ซึ่งเข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งประสานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ในการขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2751 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 4/2555 | นร | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดกาญจนบุรี โดยพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ ณ จังหวัดกาญจนบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการตามมติที่ประชุมและรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๙ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ การพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการสนับสนุนการพัฒนาโครงการดังกล่าว และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนพัฒนาความเชื่อมโยงของไทยกับท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย รวมทั้งบูรณาการแผนงานและโครงการโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๑.๒ การเร่งรัดการพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงภาคตะวันตก ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งเพื่อรองรับการพัฒนาท่าเรือทวายและการเปิดด่านบ้านพุน้ำร้อน พร้อมทั้งจัดลำดับความสำคัญของถนนสายทางหลักและสายทางรอง และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๓ การเตรียมความพร้อมรองรับการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย และการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ Southern Economic Corridor (SEC) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และจังหวัดกาญจนบุรี ประสานงานกับรัฐบาลเมียนมาร์ในการเร่งรัดการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว และเจรจาเพื่อขอเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรีต่อไป ๒.๑.๔ การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าชายแดนและการค้าข้ามแดนไทย - เมียนมาร์ ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๒.๑.๔.๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องของพื้นที่ที่มีศักยภาพในการยกระดับเป็นจุดผ่านแดนระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเจรจากับรัฐบาลเมียนมาร์ ๒.๑.๔.๒ รับทราบแนวทางการดำเนินงานของกองกำลังสุรสีห์ กระทรวงกลาโหม ในการแก้ไขปัญหาร่วมกับเมียนมาร์ เพื่อให้มีการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวพระเจดีย์สามองค์ และเมื่อทั้งสองฝ่ายมีความพร้อม เห็นควรส่งเรื่องให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติพิจารณาความเหมาะสมในการยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวร และให้กระทรวงกลาโหมประสานกับกระทรวงมหาดไทยในด้านความมั่นคงอย่างใกล้ชิด ๒.๑.๔.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ติดตามและประเมินสถานการณ์การพัฒนาในเมียนมาร์ ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง หากเห็นสมควรให้มีการเปิดจุดผ่อนปรนการค้าตะโกบนให้ดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๔.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาผลกระทบจากการเปิดจุดผ่านแดนระหว่างไทย - เมียนมาร์ โดยเฉพาะการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาความสามารถแข่งขันของสินค้าเกษตรไทย ๒.๑.๕ โครงการลดการสูญเสียในวงจรการผลิต และโครงการบริหารจัดการพลังงานแบบบูรณาการเพื่อลดต้นทุนและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน หรือพลังงานชีวมวล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโรงงานอุตสาหกรรม ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ โดยให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมนำโครงการลดการสูญเสียในวงจรการผลิตไปพิจารณาดำเนินการ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงพลังงานดำเนินการในรายละเอียดของการดำเนินโครงการบริหารจัดการพลังงานแบบบูรณาการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโรงงานอุตสาหกรรม สามารถลดต้นทุนและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนหรือพลังงานชีวมวล ๒.๑.๖. การส่งเสริมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในกลุ่มภาคกลางตอนล่าง ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๒.๑.๖.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงสภาพคลองตาหลวงจากสำนักงบประมาณ ภายใต้กรอบวงเงินการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๖.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อเสนอโครงการปรับปรุงระบบนิเวศคลองดำเนินสะดวกและคลองสาขา จังหวัดราชบุรี - สมุทรสาคร - สมุทรสงคราม และการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการของแม่น้ำท่าจีนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ (จังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี) ไปพิจารณาในรายละเอียดแล้วเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อขอรับการสนับสนุนในการดำเนินการต่อไป ๒.๑.๖.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาโครงการนำร่องสู่อุตสาหกรรมเชิงนิเวศพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง โดยให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมเมืองอุตสาหกรรมนิเวศ และให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายและการพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่น ๒.๑.๗ โครงการถนนท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเลอ่าวไทย จังหวัดสมุทรสาคร - สมุทรสงคราม (Royal Coast Road) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปศึกษารายละเอียดของโครงการดังกล่าว เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๘ การประกาศเขตพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองหัวหินและพื้นที่เชื่อมโยง (ชะอำและปราณบุรี) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการประกาศเมืองหัวหินและพื้นที่เชื่อมโยง (ชะอำ - ปราณบุรี) ภายในกลุ่มท่องเที่ยว The Royal Coast ให้เป็นเขตพื้นที่พิเศษตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๙ การปรับปรุงอุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชีวิต ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงกลาโหมขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อปรับปรุงอุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชีวิต โดยหารือกับกระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการต่างประเทศในรายละเอียดของการจัดแสดงนิทรรศการด้วย ๒.๒ เรื่องอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม ได้แก่ ๒.๒.๑ ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... (ผลกระทบตามประกาศ Financial Action Task Force : FATF) ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้นำความเห็นที่ประชุมที่เห็นว่าประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงในการป้องกันและปราบปรามในการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายที่เข้มงวดในการติดตามธุรกรรมทางการเงิน การอายัดทรัพย์ หรือการดำเนินทางกฎหมายผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนการก่อการร้าย ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ รวมทั้งการออกพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความพร้อมของภาคเอกชนไทย และความเป็นไปได้ในการบังคับใช้ ไปประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ซึ่งจะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ๒.๒.๒ การปรับกลไกและกระบวนการบริหารจัดการด้าน Climate Change ของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย กำหนดยุทธศาสตร์ นโยบายและเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศโดยสมัครใจ และจัดทำแผนแม่บทการดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2752 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2555 ครั้งที่ 3 | กค | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓ ซึ่งบรรจุการก่อหนี้ใหม่ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ในแผนการก่อหนี้ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากประมาณการฐานะของกองทุนฯ ณ วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๕ กองทุนฯ มีฐานะติดลบสุทธิ ๒๒,๐๖๓ ล้านบาท ซึ่งติดลบเพิ่มขึ้น จาก ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ จำนวน ๓,๓๖๔ ล้านบาท โดยมีประมาณการหนี้สินที่ครบกำหนดชำระภายใน ๑ เดือน จำนวน ๗,๑๑๘ ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอัตราชดเชย LPG ที่นำเข้าจากต่างประเทศสูงขึ้นตามราคาตลาดโลก และปริมาณการนำเข้า LPG ที่สูงขึ้นกว่าเดือนก่อน ประกอบกับกองทุนฯ ยังมีภาระชดเชยราคาสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมอื่น ๆ ได้แก่ น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และ E85 และก๊าซ NGV เป็นรายวัน ซึ่งสูงกว่าการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ๒. อนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ที่องค์การสวนยางกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท |
||||||||||||||||||||||||
| 2753 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2555 | ทส | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ จำนวน ๗ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคม ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงสามเสน - บางบำหรุ และการปรับปรุงมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางกะปิ - สามเสน ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยเพิ่มเติมมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และให้ดำเนินการในส่วนของมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ทั้งนี้ หาก รฟม. มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่ได้เสนอไว้ในรายงานฯ ให้แจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา ๒. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งมวลชนสายสีน้ำตาล ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) โดยให้ สนข. ปรับปรุงมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ทั้งนี้ หาก สนข. มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่ได้เสนอไว้ในรายงานฯ ให้แจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา ๓. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งมวลชนสายสีเหลืองเข้ม ของ สนข. โดยให้ สนข. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ทั้งนี้ หาก สนข. มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่ได้เสนอไว้ในรายงานฯ ให้แจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา ๔. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งมวลชนสายสีเหลืองอ่อน ของ สนข. โดยให้ สนข. รับข้อสังเกตของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาดำเนินโครงการฯ และให้ สนข. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ทั้งนี้ หาก สนข. มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ หรือมาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่ได้เสนอไว้ในรายงานฯ ให้แจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา ๕. เห็นชอบความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณารายงานการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อประกอบการขออนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เพื่อการทำเหมืองแร่ ต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ แร่หินปูนเพื่อทำปูนขาวสำหรับอุตสาหกรรมฟอกหนังหรืออุตสาหกรรมน้ำตาล และหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ประทานบัตรที่ ๒๔๘๘๙/๑๔๗๕๖ ตั้งอยู่ที่ตำบลเขาวง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ของบริษัท พงษ์ศักดิ์ไทย จำกัด สำหรับเป็นข้อมูลประกอบการขออนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เพื่อการทำเหมืองแร่ต่อคณะรัฐมนตรี โดยให้ผู้ขออนุญาตดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่กำหนดไว้ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากบริษัทฯ มีความประสงค์จะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ และ/หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่เสนอไว้ในรายงานฯ ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติหรืออนุญาตให้ดำเนินการโครงการตามกฎหมายเป็นผู้พิจารณา และให้คณะทำงานเฉพาะกิจติดตามการปฏิบัติตามเงื่อนไขและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมของกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ดำเนินการติดตามตรวจสอบการฟื้นฟูพื้นที่จากการทำเหมืองแร่ และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่เสนอไว้ในรายงานฯ ภายหลังการทำเหมืองแร่ ปีละ ๑ ครั้ง และรายงานให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบทุกครั้ง และให้กรมป่าไม้และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานฯ เป็นเงื่อนไขแนบท้ายหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ของโครงการ รวมทั้งให้กรมป่าไม้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๖. เห็นชอบความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ ต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ประทานบัตรที่ ๒๔๙๑๓/๑๔๕๖๑ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรที่ ๒๔๙๑๔/๑๔๕๔๘, ๒๔๙๑๕/๑๔๕๖๒, ๒๔๙๑๖/๑๔๕๔๙, ๒๔๙๑๗/๑๔๕๖๓, ๒๔๙๑๘/๑๔๕๖๔, ๒๔๙๑๙/๑๔๕๔๖, ๒๔๙๒๐/๑๔๕๔๗, ๒๗๓๑๔/๑๔๕๑๘, ๒๗๓๑๕/๑๔๕๑๗, ๒๗๓๓๒/๑๔๖๖๘, ๒๗๓๓๓/๑๔๖๖๙ และ ๒๗๓๓๔/๑๔๖๗๐ และของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ท่าหลวง) จำกัด ประทานบัตรที่ ๓๒๔๕๑/๑๕๖๘๗, ๓๒๔๕๔/๑๕๖๘๘, ๓๒๔๕๒/๑๕๖๘๙, ๑๙๙๑๗/๑๕๖๙๐ และ ๓๒๔๕๓/๑๕๖๙๑ ตำบลเขาวง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี สำหรับเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาการอนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งซ้อนทับกับพื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เพื่อการทำเหมืองแร่ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ให้ผู้ขออนุญาตปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่กำหนดไว้ในรายงานฯ เพื่อประกอบการขออนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เพื่อการทำเหมืองแร่ ทั้งนี้ หากบริษัทฯ มีความประสงค์จะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ และ/หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่เสนอไว้ในรายงานฯ ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติหรืออนุญาตให้ดำเนินการโครงการตามกฎหมายเป็นผู้พิจารณา และให้คณะทำงานเฉพาะกิจติดตามการปฏิบัติตามเงื่อนไขและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมของกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ดำเนินการติดตามตรวจสอบการฟื้นฟูพื้นที่จากการทำเหมืองแร่ และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่เสนอไว้ในรายงานฯ ปีละ ๑ ครั้ง และรายงานให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบทุกครั้ง และให้กรมป่าไม้และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานฯ เป็นเงื่อนไขแนบท้ายหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ของโครงการ รวมทั้งให้กรมป่าไม้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณามาตรการในการควบคุมปริมาณฝุ่นละอองไม่ให้เกินกว่าค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไป ๗. เห็นชอบความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ ต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนและชนิดหินดินดาน เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ สำหรับประทานบัตรที่ ๓๒๔๔๔/๑๕๕๔๑ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรที่ ๓๒๔๓๙/๑๕๕๓๗, ๑๔๐๘๓/๑๕๕๓๘, ๑๔๐๘๔/๑๕๕๓๙, ๑๔๐๘๕/๑๕๕๔๐, และ ๑๔๐๘๗/๑๕๕๔๒, ๓๒๔๔๓/๑๕๕๔๓, ๓๒๔๔๐/๑๕๕๔๔, ๓๒๔๓๖/๑๕๕๔๕, ๓๒๔๔๕/๑๕๕๔๖ ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (แก่งคอย) จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลทับกวาง ตำบลท่าคล้อ ตำบลบ้านป่า อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี สำหรับเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาขออนุมัติผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติพื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เพื่อการทำเหมืองแร่ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และให้ผู้ขออนุญาตปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่กำหนดไว้ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากบริษัทฯ มีความประสงค์จะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ และ/หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่เสนอไว้ในรายงานฯ ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานทีมี
|
||||||||||||||||||||||||
| 2754 | โครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ 1 : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง | พน | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอเพิ่มเติมขอแก้ไขข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน จากเดิม “อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๗๔.๓ ล้านบาท” เป็น “อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๗๔.๓ ล้านบาท” โดยข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน มีดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ในวงเงินลงทุนจำนวน ๙,๘๕๐ ล้านบาท โดยดำเนินการปรับปรุงและขยายสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๑๕ แนวสายก่อน (รวม ๑๕ โครงการย่อย) และงานปรับปรุงและขยายสายส่งไฟฟ้าเบ็ดเตล็ด จำนวน ๑ โครงการย่อย รวมทั้งหมด ๑๖ โครงการย่อย ๑.๒ อนุมัติในหลักการเบิกจ่ายเงินงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๗๔.๓ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการพิจารณาจัดโครงสร้างทางการเงิน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของโครงการฯ ให้มีความเหมาะสม การบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสมรอบคอบและมีประสิทธิภาพ การให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Environmental Impact Assessment : EIA) รวมทั้งการบริหารและควบคุมการดำเนินโครงการฯ ให้มีต้นทุนการดำเนินงานที่ประหยัดมากที่สุด การศึกษาทางเลือกสำหรับแนวสายส่งที่จะเสนอปรับปรุงในระยะต่อไป และการบูรณาการการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart grids) ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2755 | แนวทางการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย) | นร | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการของแนวทางการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และการสนับสนุนการเตรียมความพร้อมของเมียนมาร์ และให้คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธาน รับไปประกอบการพิจารณาจัดทำแผนงานและโครงการเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับเมียนมาร์ ๑.๑.๑ ระยะเร่งด่วน ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนของโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย (โครงการทวายฯ) ได้แก่ ๑.๑.๑.๑ การสร้างความร่วมมือในลักษณะรัฐต่อรัฐเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการทวายฯ ของเมียนมาร์ โดยผลักดันให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเพื่อเป็นกรอบความร่วมมือระดับทวิภาคี ๑.๑.๑.๒ การเร่งเจรจากับทางการของเมียนมาร์เพื่อเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวและถาวรควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อม ณ จุดผ่านแดนบ้านพุน้ำร้อน เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายคน และสินค้าข้ามแดนและผ่านแดนให้มีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง จัดระบบบริหารจัดการและตรวจปล่อยคนและสินค้า รวมถึงบูรณาการระบบเอกสารและกระบวนการให้บริการให้สอดคล้องกับระบบ National Single Window ๑.๑.๑.๓ การสนับสนุนนักลงทุนไทยไปลงทุนในเมียนมาร์ โดยเร่งออกมาตรการด้านการเงินและการลงทุนเพื่อสนับสนุนธุรกิจไทยไปลงทุนต่างประเทศ จัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลและให้คำปรึกษาสำหรับนักลงทุนไทย และกำหนดมาตรการลดความเสี่ยงด้านการลงทุนและประกอบธุรกิจ ๑.๑.๑.๔ ความช่วยเหลือทางการเงินโดยรัฐบาลไทย โดยเร่งพิจารณาแนวทางการสนับสนุนเอกชนไทยในการพัฒนาโครงการทวายฯ ๑.๑.๒ ระยะปานกลางช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อกับเมียนมาร์จากบริเวณชายแดนไทย - เมียนมาร์อย่างเต็มรูปแบบ ประกอบด้วย ระบบถนน รถไฟ สายส่งไฟฟ้า ท่อก๊าซและท่อน้ำมัน รวมทั้งการเตรียมการพื้นที่เศรษฐกิจ ๑.๒ การสนับสนุนการเตรียมความพร้อมของเมียนมาร์ ๑.๒.๑ การบริการคมนาคมและขนส่ง โดยเฉพาะระบบถนนเชื่อมต่อระหว่างโครงการทวายฯ สู่ด่านพรมแดน รวมทั้งการวางแผนการปรับปรุงสนามบินทวาย การพัฒนาโครงข่ายถนนและรถไฟเชื่อมโยงระหว่างทวายและเมืองสำคัญในเมียนมาร์ และผลักดันการดำเนินงานเพื่อพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกการค้าและการขนส่งข้ามพรมแดนภายใต้แผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Sub-region Cooperation : GMS) เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ ๑.๒.๒ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงิน ให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาระบบบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนและระบบสถาบันการเงินตามมาตรฐานสากล เพื่อให้สามารถรองรับธุรกรรมด้านการเงินและการลงทุนขนาดใหญ่ได้ ๑.๒.๓ การวางแผนและยกระดับแรงงานชาวเมียนมาร์ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพให้สามารถรองรับการพัฒนาและขยายฐานการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการค้าของไทยในอนาคต ๑.๒.๔ การวางแผนระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ให้ความช่วยเหลือด้านการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการและการจัดการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติในการลงทุนพัฒนาท่าเรือและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย รวมทั้งบูรณาการแผนงานและโครงการที่เกี่ยวข้อง โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอเพิ่มเติม ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ จะต้องเป็นนโยบายระดับชาติที่ชัดเจนและเตรียมการให้เป็นระบบครบวงจร โดยเฉพาะเรื่องการจัดทำผังเมืองให้มีการจัดทำเขต (Zoning) ที่ชัดเจนทั้งเขตอุตสาหกรรมและชุมชน และระบบโครงข่ายคมนาคม รวมทั้งโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะลงทุนเพิ่มเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ควรดำเนินการด้วยความรอบคอบและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงผลตอบแทนทางตรงต่อระบบเศรษฐกิจที่ประเทศจะได้รับและผลตอบแทนอื่นของภาครัฐ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2756 | ปฏิญญาคาซานว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปค (Kazan Declaration on APEC Food Security) | กษ | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาคาซานว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปค (Kazan Declaration on APEC Food Security) โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วย ๕ ข้อ ดังนี้ ๑.๑.๑ การเพิ่มผลผลิตภาคเกษตรและผลิตภาพ โดยการส่งเสริมการลงทุนภาคเกษตรจากภาคเอกชน การเพิ่มการลงทุนระยะยาวในการวิจัยและพัฒนาด้านการเกษตร การยอมรับนวัตกรรมเทคโนโลยี การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ และการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ ๑.๑.๒ การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการพัฒนาตลาดสินค้าอาหาร โดยการติดตามแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการผลิตการบริโภคที่เชื่อถือได้และทันสมัยระหว่างกันเพื่อลดความผันผวนของราคาอาหาร ยกระดับตลาดอาหารให้มีความโปร่งใสและคาดการณ์ได้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการตลาดสินค้าอาหารและสนับสนุนระบบขนส่งที่ดี ๑.๑.๓ การส่งเสริมความปลอดภัยอาหารและคุณภาพอาหาร โดยการพัฒนาและสร้างความเข้าใจระหว่างสมาชิกเอเปคเกี่ยวกับความจำเป็นในการผลิตอาหารให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพอาหารระหว่างประเทศ การปรับปรุงกระบวนการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับความปลอดภัยอาหารให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๑.๑.๔ การจัดหาอาหารสำหรับกลุ่มคนที่มีความเปราะบางทางสังคม โดยการจัดหาทั้งด้านเศรษฐกิจและกายภาพเพื่อการเข้าถึงอาหารของกลุ่มคนที่มีความเปราะบางทางสังคม การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายสวัสดิการสังคมอย่างยั่งยืน และการแลกเปลี่ยนหลักการปฏิบัติที่เป็นเลิศระหว่างกัน ๑.๑.๕ การสร้างความมั่นใจในการจัดการระบบนิเวศน์ทางทะเลอย่างยั่งยืน และการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมายและการค้าที่เกี่ยวข้อง โดยเสริมสร้างความร่วมมือในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม สนับสนุนกฎระเบียบด้านการประมงที่โปร่งใส รวมทั้งการจัดการตลาดสินค้าประมง ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้แทนที่เข้าประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ ๒ (The 2nd Ministerial Meeting on Food Security) ระหว่างวันที่ ๓๐ - ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองคาซาน รัสเซีย ให้การรับรองเพื่อประกาศเจตนารมณ์ต่อปฏิญญาดังกล่าว ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และให้ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรมีการส่งเสริมการสร้างความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศสมาชิกในการรองรับที่ต้องปฏิบัติตามความตกลงในกฎกติกา/ระเบียบที่จะให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันของสมาชิกเอเปค และเห็นควรมีนโยบายและการลงทุนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของประเทศด้านวิจัยและพัฒนา การสร้างกำลังคน และโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านการเกษตรและอาหาร เพื่อให้ประเทศไทยไม่ตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบทั้งในการเจรจาการปรับกฎระเบียบของประเทศสมาชิกให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การร่วมเป็นเครือข่ายวิจัยและการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศสมาชิก รวมถึงการรับความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีผ่านองค์กรนานาชาติด้านเกษตรและอาหารที่เกี่ยวข้องในลักษณะ North - South Cooperation และทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนและถ่ายทอดเทคโนโลยีในลักษณะ South - South Cooperation ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2757 | ปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ | นร | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า โดยที่ในระยะเริ่มแรกเพื่อให้การดำเนินการจัดตั้งและบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบในการดำเนินการให้แล้วเสร็จ และเมื่อการดำเนินการดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการขับเคลื่อนการดำเนินการของกองทุนฯ ดังกล่าวด้วย ๒. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ เป็นการแก้ไขในส่วนบทเฉพาะกาล เพื่อให้การบริหารและการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความต่อเนื่องในระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารกองทุน และผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี โดยมีรายละเอียดของการปรับปรุงดังนี้ ๒.๑ ในระหว่างที่ยังมิได้แต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะกรรมการบริหารกองทุนตามระเบียบนี้ ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ทำหน้าที่คณะกรรมการหรือคณะกรรมการบริหารกองทุน แล้วแต่กรณี จนกว่าคณะกรรมการหรือคณะกรรมการบริหารกองทุนที่ได้รับแต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ในการประชุมครั้งแรก ซึ่งต้องไม่เกินสามร้อยวันนับแต่วันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ๒.๒ ในระหว่างที่ยังมิได้แต่งตั้งผู้อำนวยการตามระเบียบนี้ ให้อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนทำหน้าที่ผู้อำนวยการตามระเบียบนี้ จนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการตามระเบียบนี้ ซึ่งต้องไม่เกินสามร้อยวันนับแต่วันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ๒.๓ บรรดาระเบียบ ประกาศ ข้อบังคับ หรือคำสั่งของคณะกรรมการขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ที่ยังมีผลใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ จนกว่าจะได้มีระเบียบ ประกาศ ข้อบังคับ หรือคำสั่งที่ออกตามความในระเบียบนี้ใช้บังคับ ซึ่งต้องไม่เกินสองปีนับแต่วันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2758 | ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 14/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่สำนักงบประมาณได้ปรับปรุงแก้ไขตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว พร้อมเอกสารงบประมาณรายจ่าย มีสาระสำคัญคือ กำหนดโครงสร้างงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ในวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับรายการปรับปรุงระบบชลประทานของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงินงบประมาณ ๔,๕๐๐ ล้านบาท ซึ่งปกติจะปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี สำหรับปีนี้สำนักงบประมาณได้กำหนดให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาโครงการที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เร่งรัดการพิจารณาโครงการตามรายการฯ ของกรมชลประทาน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2759 | การจัดทำถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สปป. ลาว - ไทย - เวียดนามว่าด้วยการพัฒนาแนวพื้นที่ เศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก | กต | 14/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาว - ไทย - เวียดนามว่าด้วยการพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก โดยสาระสำคัญของร่างถ้อยแถลงฯ เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของทั้งสามประเทศที่จะพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตกให้เป็นแนวพื้นที่เศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดยกล่าวถึงประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขในด้านต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การเร่งรัดให้สามารถปฏิบัติตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Cross Border Trade Agreement) ได้อย่างสมบูรณ์โดยเร็วเพื่อลดขั้นตอนและต้นทุนในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารผ่านแดน การปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและสอดคล้องกัน ๑.๒ อนุมัติให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนรับรองเอกสารดังกล่าว ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเจรจาเรื่องต่าง ๆ ในการประชุมดังกล่าว โดยยึดกรอบความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคน้ำโขง (Cross Border Trade Agreement) เพื่อให้เกิดการประสานงานและเป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 2760 | รายงานสถานการณ์และการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี พ.ศ. 2554 | พม | 08/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์และการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเทศไทยยังคงมี ๓ สถานะในกระบวนการค้ามนุษย์ (สถานะประเทศต้นทาง สถานะประเทศปลายทาง และสถานะทางผ่าน) ซึ่งประเทศไทยมีลักษณะเป็นประเทศปลายทางมากกว่าต้นทาง โดยมีผู้เสียหายต่างชาติในประเทศไทย จำนวน ๒๗๙ คน ส่วนใหญ่เป็นชาวลาว และมีผู้เสียหายคนไทยในต่างประเทศ จำนวน ๔๖ คน ส่วนใหญ่ถูกแสวงประโยชน์ในประเทศญี่ปุ่น สำหรับรูปแบบการค้ามนุษย์ยังเป็นการแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีมากที่สุด โดยจับกุมผู้ต้องหาได้ ๑๕๕ คน การส่งกลับผู้เสียหายจะต้องรอจากประเทศต้นทาง ๑๐๘ คน และรอเป็นพยานในการดำเนินคดี ๗๔ คน ๒. ผลการดำเนินการ แผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ บ่งชี้ให้เห็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ตั้งแต่การป้องกัน ซึ่งให้ความสำคัญกับกลุ่มเสี่ยงทั้งกลุ่มผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย กลุ่มแรงงานต่างด้าวในภาคประมง กลุ่มเด็ก กลุ่มภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ประสงค์จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ๓. ด้านการดำเนินคดี ได้เพิ่มประสิทธิภาพของบุคลากรในการบังคับใช้กฎหมายให้ครอบคลุมทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การช่วยเหลือ การสืบสวนสอบสวน การดำเนินคดี การคุ้มครองสิทธิ และการตัดสิน ส่วนการคุ้มครองให้ความสำคัญกับกระบวนการฟื้นฟูและมาตรการทางกฎหมายเพื่อสร้างความร่วมมือกับผู้เสียหายในการดำเนินคดี พร้อมกับความร่วมมือในการจัดการรายกรณี (case management) เพื่อแลกเปลี่ยนสถานการณ์การช่วยเหลือผู้เสียหาย และลดข้อจำกัดในการส่งกลับภูมิลำเนา ๔. ด้านนโยบาย ได้ให้ความสำคัญในมาตรการพิสูจน์สัญชาติ การออกข้อบังคับรองรับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ และความร่วมมือระหว่างประเทศในลักษณะทวิภาคีต่อต้านการค้ามนุษย์ ๕. แนวทางการดำเนินงานต่อไป ได้แก่ ๕.๑ เพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วมของชุมชนและท้องถิ่นในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ๕.๒ พัฒนามาตรฐานการปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ทั้งกระบวนการ ๕.๓ สร้างผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินคดี พิจารณา และพิพากษาคดีค้ามนุษย์ และผลักดันให้มีการจัดตั้งสำนักงานคดีอาญาแผนกคดีค้ามนุษย์ในสำนักงานอัยการสูงสุด และแผนกคดีค้ามนุษย์ในศาลอาญา เพื่อให้การดำเนินคดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ๕.๔ สร้างระบบการจัดเก็บ และระบบข้อมูลการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุง พัฒนาการทำงานในเชิงรุก ๕.๕ ผลักดันให้ประเทศไทยให้สัตยาบันอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร และพิธีสารเพื่อป้องกัน ปราบปราม และลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๓
|
||||||||||||||||||||||||
.....
