ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 137 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2721 - 2740 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2721 | ร่างกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ พ.ศ. ๒๕๕๓ ให้สอดคล้องกับโครงสร้างและระบบเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูง และเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาการปรับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๔ การปรับอัตราเงินเดือนชดเชยกรณีมีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพของข้าราชการ หรือการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ โดยมีผลกระทบเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่รับราชการอยู่ก่อนมีการให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพหรือปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรกำหนดตารางเทียบขั้นเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้สอดคล้องกับการปรับปรุงแก้ไขร่างกฎ ก.ค.ศ.ฯ เพื่อให้เกิดความชัดเจน และให้ตัดร่างข้อ ๓ ของร่างกฎ ก.ค.ศ. ฯ ที่กำหนดให้กรณีที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพของข้าราชการ หรือการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ และร่างข้อ ๗ ที่กำหนดให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูงของอันดับเงินเดือนของตำแหน่งและวิทยฐานะในอันดับ คศ.๒ ให้มีสิทธิได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของอันดับเดิม โดยให้ไปอาศัยรับเงินเดือนในอันดับถัดไปได้อีกหนึ่งอันดับ ออกจากร่างกฎ ก.ค.ศ. ฯ ส่วนกรณีการปรับเงินชดเชยให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้รับราชการอยู่ก่อน โดยให้ได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของอันดับเงินเดือนเดิมที่ได้รับอยู่ได้ ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ. กำหนด โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี นั้น การได้รับเงินค่าครองชีพไม่มีผลให้ข้าราชการได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น จึงอาจไม่จำเป็นต้องกำหนดหลักเกณฑ์ที่จะให้ข้าราชการได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูง นอกจากนี้ เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการประเมินผลหรือการวัดผลการปฏิบัติงานประกอบการดำเนินการตามร่างกฎ ก.ค.ศ. ฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งครูผู้ช่วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2722 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | กค | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยกรมบัญชีกลางได้รวบรวมรายงานการเงินของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๘,๐๘๒ หน่วยงาน จาก ๘,๓๙๒ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๓๑ เพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยรวบรวมข้อมูลรายงานการเงินสิ้นสุดถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะในประเด็นสำคัญต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานทุกกลุ่มจัดทำบัญชีและรายงานการเงินให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน และส่งสำเนารายงานการเงินที่ส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้กรมบัญชีกลาง โดยเฉพาะในส่วนของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ส่งสำนักงานคลังจังหวัดรวบรวมส่งกรมบัญชีกลางต่อไป ยกเว้นหน่วยงานในกลุ่มของรัฐวิสาหกิจยังคงส่งข้อมูลรายงานการเงินให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจตามเดิม ๑.๒.๒ ให้ผู้บริหารให้ความสำคัญงานบัญชีมากยิ่งขึ้น และให้กำกับดูแลให้ผู้ตรวจสอบภายในวางแผนการตรวจสอบด้านการเงินและบัญชี พร้อมทั้งรายงานผลให้ผู้บริหารทราบอย่างสม่ำเสมอเพื่อรายงานปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะ กรณีมีปัญหาข้อขัดข้องในการปฏิบัติงานเพื่อสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องทันเหตุการณ์ต่อไป ๑.๒.๓ ให้ผู้บริหารระดับกรม/กระทรวง พิจารณาให้ความสำคัญในเรื่องอัตรากำลังและคุณสมบัติของเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานการเงินและบัญชีของหน่วยงานในสังกัด ซึ่งจำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาด้านบัญชี และจะต้องมีการสอนงานการเงินและบัญชีให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายสามารถปฏิบัติงานได้ต่อเนื่องเป็นปัจจุบัน รวมทั้งพิจารณาความดีความชอบเป็นกรณีพิเศษให้กับเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีที่จัดทำบัญชีและรายงานการเงินถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน ๑.๒.๔ ผู้บริหารควรกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัด โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บและนำส่งเงินรายได้แผ่นดิน/รายได้ของหน่วยงาน/เงินนอกงบประมาณต่าง ๆ ให้มีการควบคุมดูแลการรับเงินและการออกใบเสร็จรับเงิน รวมถึงการบันทึกรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน ๑.๒.๕ ผู้บริหารควรกำชับหน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่การเงินของหน่วยงานให้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายเงินให้ถูกต้อง ครบถ้วน และปฏิบัติตามระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและรอบคอบ โดยให้มีการตรวจสอบเอกสารหลักฐานและการบันทึกบัญชีให้ถูกต้อง ครบถ้วนอย่างสม่ำเสมอ ๑.๒.๖ ผู้บริหารควรกำชับให้หน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีตรวจสอบและบันทึกรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน พร้อมทั้งให้มีการจัดทำงบกระทบยอดเงินฝากธนาคารประจำเดือน เพื่อให้สามารถตรวจพบข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นและปรับปรุงแก้ไขรายการบัญชีดังกล่าวให้ถูกต้องก่อนจัดทำรายงานการเงินประจำเดือน/ประจำปี ๑.๒.๗ ผู้บริหารควรกำชับให้หน่วยงานในสังกัดควบคุมดูแลและตรวจสอบบัญชีวัสดุและสินทรัพย์ถาวรของหน่วยงานให้ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงและตรงกับทะเบียนคุมวัสดุ ทะเบียนคุมทรัพย์สิน หากพบข้อผิดพลาดให้รายงานผู้บริหารและดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังติดตามผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะแนวทางการการปฏิบัติงานของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องตามที่กรมบัญชีกลางเสนอ และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งเผยแพร่ข้อเสนอแนะดังกล่าวไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ต่อราชการในการจัดทำข้อมูลทางบัญชีการเงินของภาครัฐให้มีความทันสมัย ถูกต้องเพื่อใช้ในการบริหารสินทรัพย์ หนี้สิน รายได้ และค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยืดหยุ่นต่อการปฏิบัติงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2723 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2555 | พณ | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๑.๑ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ จำนวน ๓ คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา คณะอนุกรรมการเตรียมการประชุม WIPO Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore (WIPO IGC) และคณะอนุกรรมการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาด้านภูมิปัญญา ทรัพยากรชีวภาพ และวัฒนธรรมไทย ๑.๑.๒ เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญา พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสร้างสรรค์และการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงพาณิชย์ที่สอดคล้องกับศักยภาพของประเทศไทย และความต้องการตลาดโลก ตลอดจนใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและบริการ รวมถึงการคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรชีวภาพของไทยอย่างเหมาะสมทั้งในและต่างประเทศ สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ประกอบด้วย ๗ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์สร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ยุทธศาสตร์การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์การศึกษา และสร้างวัฒนธรรมด้านทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์ความร่วมมือด้านต่างประเทศ และยุทธศาสตร์ด้านการเงินการคลัง ๑.๑.๓ เห็นชอบแผนเร่งรัดการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ ซึ่งได้รวบรวมการดำเนินการที่สำคัญเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทยประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว แบ่งเป็น ๔ ด้าน คือ ด้านโครงสร้าง ด้านการบังคับใช้กฎหมาย ด้านการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และด้านการศึกษาและรณรงค์สร้างจิตสำนึกการเคารพสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๑.๔ เห็นชอบ (ร่าง) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ พ.ศ. .... ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และเกิดผลเป็นรูปธรรม รวมถึงเสนอแนะการกำหนดนโยบาย แนวทาง มาตรการ และแผนงานด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อคณะรัฐมนตรี ๑.๑.๕ รับทราบในเรื่องสำคัญ ได้แก่ รายงานผลการดำเนินงานด้านการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รายงานผลการประเมินสถานะไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ รายงานผลการดำเนินงานของคณะทำงานความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาอาเซียน (ASEAN Working Group on Intellectual Property Cooperation - AWGIPC) รายงานผลการประชุม WIPO Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore (WIPO IGC) ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ครั้งที่ ๑๙ และรายงานผลการเตรียมการจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ ครั้งที่ ๒ (Thailand International Creative Economy Forum - TICEF 2012) ๑.๒ เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญา พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ พร้อมทั้งหน่วยงานรับผิดชอบหลัก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแผนเร่งรัดการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ ตามที่คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติมีมติเห็นชอบ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการพัฒนา ปรับปรุง และการบังคับใช้กฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรเกษตร การส่งเสริมและคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อให้มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ที่สูงขึ้น การยกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในด้านการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรชีวภาพให้ครอบคลุมในประเด็นสิทธิของกลุ่มคนและชุมชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรด้านต่าง ๆ การเพิ่มกฎหมายเฉพาะเพื่อการปกป้องคุ้มครองด้านการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมและภูมิปัญญาท้องถิ่น การสนับสนุนให้มีการจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางเพื่อพัฒนาผู้มีศักยภาพทางด้านศิลปวัฒนธรรมสู่การเป็นศิลปินอาชีพอย่างครบวงจร การส่งเสริมให้ศิลปินและผู้สร้างสรรค์งานด้านศิลปวัฒนธรรมใช้ประโยชน์จากระบบทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพและก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มของผลงานนั้น ๆ การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดจากทุนสนับสนุนของรัฐที่เหมาะสมโดยผู้รับทุนวิจัยจากงบประมาณแผ่นดินมีสิทธิเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดจากผลงานวิจัยดังกล่าวได้ การปรับปรุงกระบวนการจดสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าให้มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างความมั่นใจแก่เจ้าของสินค้าและบริการ การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติด้านยาและเวชภัณฑ์ การกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนในแต่ละยุทธศาสตร์ของแผนยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อให้สามารถประเมินผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ได้อย่างแท้จริง การให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและสร้างความเชื่อมโยงในทางปฏิบัติทั้งระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการดำเนินมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต/เคเบิลทีวีโดยใช้มาตรการทางกฎหมาย โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายควบคู่กับการคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ และการเคารพในสิทธิขั้นพื้นฐานด้านการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนตามรัฐธรรมนูญอย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2724 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของมูลนิธิปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของมูลนิธิปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ โดยสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริได้ดำเนินงานพัฒนาในพื้นที่ต้นแบบ “โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบบูรณาการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่จังหวัดน่าน” และ “โครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน อ่างเก็บน้ำห้วยคล้าย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุดรธานี” ซึ่งผลสำเร็จของการพัฒนามีความก้าวหน้าและบรรลุเป้าหมายในระดับอยู่รอด กล่าวคือ ประชาชนมีผลิตผลทางการเกษตรเพิ่มมากขึ้น มีรายได้เพิ่ม หนี้สินลดลง ระดับการพัฒนาต่อไปคือ อยู่อย่างพอเพียงและเตรียมความพร้อมที่จะพัฒนาไปสู่ระดับความยั่งยืน โดยมีรายละเอียดของการดำเนินงาน สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบบูรณาการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่จังหวัดน่าน ดำเนินการใน ๓ อำเภอ คือ อำเภอท่าวังผา อำเภอสองแคว และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่อยู่รอด พอเพียงและอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสอดคล้องกับความต้องการของชาวบ้านในพื้นที่ และมีการบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยมีกิจกรรมการดำเนินงาน ได้แก่ การพัฒนาแหล่งน้ำ อาทิ การสร้างฝายน้ำอนุรักษ์ ฝายน้ำการเกษตรรูปแบบต่าง ๆ การพัฒนาระบบต้นแบบการส่งและกักเก็บน้ำ การปรับปรุงระบบน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค ระบบท่อส่งน้ำเข้าสู่พื้นที่เกษตรชาวบ้านโดยตรง เป็นต้น การปรับปรุงสภาพพื้นที่ให้เหมาะสมกับการเพาะปลูก และการจัดตั้งกองทุน อาทิ กองทุนเมล็ดพันธุ์ผักผู้รับประโยชน์ กองทุนสุกร กองทุนยาและสุขภาพสัตว์ กองทุนหัตถกรรมและการแปรรูป เป็นต้น ๒. โครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน อ่างเก็บน้ำห้วยคล้าย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลกุดหมากไฟ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี เป็นพื้นที่ที่มูลนิธิชัยพัฒนาเสนอ เนื่องจากมีการใช้ประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำไม่เต็มศักยภาพ มาเป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาในรูปแบบใหม่ คือ การบูรณาการการทำงานร่วมกัน ทำเล็ก ประหยัด ขยายผลได้เร็วในวงกว้าง และได้ประโยชน์สูงสุด โดยมีบ้านโคกล่าม และบ้านแสงอร่าม เป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาด้านระบบน้ำและร่วมกับโครงการฟาร์มตัวอย่างในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พัฒนาการเกษตรด้วยการปรับปรุงดิน ทำการเกษตรผสมผสานด้วยการปลูกพืช ๓ ระดับ เลี้ยงหมูจินหัว เป็ดอี้เหลียง และปลาในบ่อ โดยมีแผนกิจกรรมพัฒนา ได้แก่ การพัฒนาแหล่งน้ำ อาทิ การเสริมตอม่อเพื่อยกระดับกักเก็บน้ำบริเวณ Spill way การปรับปรุงฝายเดิมลักษณะเป็นอ่างพวง ๓ ตัว การวางท่อส่งน้ำเข้าสู่แปลงเกษตรกรชาวบ้านโดยตรง เป็นต้น และการส่งเสริมด้านกองทุน อาทิ กองทุนสุกร กองทุนเมล็ดพันธุ์ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2725 | รายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ประจำปี พ.ศ. 2554 | อื่นๆ | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ได้แก่ ๑.๑.๑ สำรวจ ศึกษา และวิเคราะห์ทางวิชาการ รวมตลอดทั้งวิจัยและสนับสนุนการวิจัย เพื่อประโยชน์ในการวางเป้าหมาย นโยบาย และจัดทำแผนโครงการและมาตรการต่าง ๆ ในการดำเนินการ โดย (คปก.) ได้ดำเนินการจัดให้มีโครงการสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนต่างๆ ในสังคมที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคมเพื่อรับฟังความคิดเห็นและรวบรวมประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลักดันกฎหมายแต่ละด้าน จำนวน ๑๕ โครงการ ๑.๑.๒ ปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของประเทศ รวมทั้งปรับปรุงและพัฒนากฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน ๑.๑.๓ เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแผนการให้มีกฎหมาย หรือการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย โดยพิจารณาภาพรวมของกฎหมายในเรื่องนั้นหรือกลุ่มกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่มีความสัมพันธ์กันในเรื่องนั้น ๑.๑.๔ เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแผนการตรากฎหมายที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามนโยบายและแผนการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประกอบการพิจารณา ๑.๑.๕ เสนอความเห็นและข้อสังเกตต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเกี่ยวกับร่างกฎหมายฉบับหนึ่งฉบับใดที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามที่เห็นสมควร โดยอาจจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานและประชาชนที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย ๑.๑.๖ ให้คำปรึกษาและสนับสนุนการดำเนินการในการร่างกฎหมายของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ๑.๑.๗ ออกระเบียบหรือประกาศเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน การรักษาการแทนและการปฏิบัติการแทน การกำหนดอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนสวัสดิการหรือการสงเคราะห์อื่นแก่พนักงานและลูกจ้างของสำนักงาน และการดำเนินการอื่นของสำนักงาน ๑.๑.๘ จัดทำรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ประจำปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว ๑.๑.๙ ปฏิบัติการอื่นตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๓ หรือกฎหมายอื่นหรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย ๑.๒ เป้าหมาย นโยบาย และแผนปฏิบัติการ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายได้วางแนวทางดำเนินการเพื่อปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของประเทศให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ไว้ในเบื้องต้นทั้งสิ้น ๘ ด้าน และมีโครงการเพื่อสนับสนุนในแต่ละด้าน ได้แก่ ด้านการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ด้านกระบวนการยุติธรรม ด้านที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านสวัสดิการสังคม ด้านความเสมอภาคระหว่างเพศ ด้านหลักประกันทางธุรกิจ ด้านการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน และด้านข่าวสารของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ๒. ให้คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายศึกษา วิเคราะห์ กฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ว่าต้องมีการปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติม หรือไม่ อย่างไร แล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามมาตรา ๑๙ (๙) แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๓
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2726 | สรุปผลการประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2555 | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจในภาพรวม และวิกฤติเศรษฐกิจยูโร พร้อมทั้งได้มีมติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เสนอ ดังนี้
๑. ให้มีคณะทำงานสำหรับการติดตามผลกระทบจากวิกฤตการเงินในยุโรป จำนวน ๓ คณะ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธาน จัดประชุมทุกสัปดาห์ แล้วนำเสนอผลการพิจารณาต่อที่ประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในสัปดาห์ถัดไป ๑.๒ คณะทำงานติดตามภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธาน จัดประชุมทุกสัปดาห์ แล้วนำเสนอผลการพิจารณาต่อที่ประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในสัปดาห์ถัดไป ๑.๓ คณะทำงานร่วมระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจในประเด็นที่เกี่ยวข้องรายวัน รายสัปดาห์ โดยให้จัดทำ Template เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานสถานการณ์ในรูปแบบเดียวกัน รวมทั้งวิเคราะห์สถานการณ์และกำหนด Trigger point เพื่อช่วยในการติดตามสถานการณ์และดำเนินมาตรการในกรณีต่าง ๆ ที่จำเป็นได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งศึกษาผลกระทบของการส่งออกของไทยไปกลุ่มยูโรโซนทั้งทางตรงและทางอ้อมแยกรายสาขาที่สำคัญ ๒. ให้กระทรวงการคลังติดตามข้อมูลผู้ประกอบการที่ทำการค้ากับประเทศในกลุ่มยูโรโซนโดยใช้ฐานข้อมูลลูกค้าของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ๓. ให้กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคม เสนอแนะแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงพาณิชย์ เตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นใน ๔ อุตสาหกรรม ได้แก่ สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ อัญมณี และยานยนต์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2727 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สำหรับโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ ในวงเงิน ๙๕.๔๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีขอบเขตการดำเนินโครงการ แหล่งเงินทุน และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ดังนี้ ๑.๑ ขอบเขตการดำเนินโครงการ ประกอบด้วย งานปรับปรุงบึงหนองด้วงน้อยให้เป็นแก้มลิงย่อย งานปรับปรุงร่องระบายน้ำหนองด้วงน้อย (Drainage Channel) และงานก่อสร้างทางบริการ (Service Road) และระบบระบายน้ำชั่วคราว ๑.๒ แหล่งเงินทุน ใช้เงินทุนจากเงินสะสมของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ๑.๓ รายละเอียดเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ๑.๓.๑ วงเงินให้ความช่วยเหลือ ๙๕.๔๐ ล้านบาท (เงินกู้ทั้งจำนวน) ๑.๓.๒ อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ ๑.๕ ต่อปี ๑.๓.๓ อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) ๑.๓.๔ ค่าบริหารจัดการของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ร้อยละ ๐.๑๕ ของวงเงินกู้ ๑.๓.๕ กำหนดชำระดอกเบี้ย ปีละ ๒ ครั้ง ๒. ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลตัวเลขหรือสถิติที่เกี่ยวกับปริมาณน้ำฝน และศึกษาความสามารถในการระบายน้ำเพื่อวิเคราะห์ว่าโครงการสามารถช่วยลดปัญหาอุทกภัยบริเวณนครหลวงเวียงจันทน์และพื้นที่ใกล้เคียงได้มากน้อยเพียงใด โดยการเปรียบเทียบสภาพก่อนและหลังดำเนินโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2728 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ พ.ศ. .... | พณ | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดคำนิยามคำว่า “ทรัพย์สินทางปัญญา” “คณะกรรมการ” และ “กรรมการ” ๑.๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “คทป.” ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยภาคราชการ จำนวน ๑๘ คน ภาคเอกชน จำนวน ๕ คน โดยมีอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นกรรมการและเลขานุการ ๑.๓ ให้คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ เช่น ๑.๓.๑ กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริม คุ้มครอง และการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา และด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศ รวมถึง สั่งการ ตรวจสอบ และติดตามการปฏิบัติงานของส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศสัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม ๑.๓.๒ ติดตามการดำเนินการของส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ ๑.๓.๓ กำหนดแนวทางและมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพบุคลากร งบประมาณ อำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๓.๔ รายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ๑.๔ ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ โดยมีอำนาจหน้าที่ เช่น รับผิดชอบในงานวิชาการและงานเลขานุการของคณะกรรมการฯ ตลอดจนศึกษา วิเคราะห์ข้อมูล ประเมินผลการปฏิบัติงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานตามระเบียบนี้ต่อคณะกรรมการฯ ๑.๕ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือและสนับสนุนในการปฏิบัติตามนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศ รวมทั้งแผนปฏิบัติการและมาตรการต่าง ๆ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรแต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (ลสวทน.) เป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ในการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา จาก “กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริม คุ้มครอง และการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา” เป็น “กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริม คุ้มครอง และการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมให้มีการสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญาและการนำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์” นอกจากนี้ เห็นควรให้คณะกรรมการฯ มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและรูปแบบการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาประเภทใหม่ที่สมควรได้รับการคุ้มครองนอกเหนือจากสิ่งที่กฎหมายให้การคุ้มครองไว้แล้ว โดยกำหนดนโยบายเพื่อสร้างระบบกฎหมายเฉพาะ (Sui Generis) ที่เหมาะสมกับประเทศไทย รวมทั้งให้คณะกรรมการฯ พิจารณาประชุมในเรื่องเร่งด่วนเพื่อให้สังคมไทยผลิตทรัพย์สินทางปัญญาของตนเองให้มากขึ้น ตลอดจนกำหนดแนวทางพัฒนาประสิทธิภาพของบุคลากรภายใต้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2729 | การแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงเกี่ยวกับการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ จำนวน 3 ฉบับ | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ในส่วนที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และการจัดการเงินร่วมลงทุน มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แก้ไขชื่อประกาศในข้อ ๑๑ (๔) ของกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามอย่างอื่นของผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ โดยเปลี่ยนจากชื่อประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๑๐๓ (๙) และ (๑๐) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ๑.๒ แก้ไขระยะเวลาในการพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาตฯ ของคณะกรรมการ ก.ล.ต. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้มีระยะเวลาเพิ่มขึ้นจากเดิมเพื่อให้มีความรอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น ๑.๓ แก้ไขให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และการจัดการเงินร่วมลงทุน ในข้อ ๑๖ (๖) ของกฎกระทรวงฯ ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด จากเดิมที่ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด ๒. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์ (พ.ศ. ....) เป็นการปรับปรุงแก้ไขการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ ยกเลิกกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๕ ๒.๒ กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ดังกล่าวต้องเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ๒.๓ แก้ไขระยะเวลาในการพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาตฯ ของคณะกรรมการ ก.ล.ต. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้มีระยะเวลาเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อให้มีความรอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น ๒.๔ กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตดังกล่าวต้องดำรงคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดตลอดเวลาตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด จากเดิมที่กำหนดให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นผู้กำหนด ทั้งนี้ อัตราค่าธรรมเนียมยังคงอัตราเดิม คือ ค่าธรรมเนียมคำขอรับใบอนุญาตฯ ๑๐,๐๐๐ บาท และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตฯ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ๓. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (พ.ศ. ....) เป็นการปรับปรุงแก้ไขการอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๓.๑ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๐ (พ.ศ. ๒๕๔๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๓.๒ กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ดังกล่าวต้องเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ๓.๓ แก้ไขระยะเวลาในการพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาตฯ ของคณะกรรมการ ก.ล.ต. และรัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลัง ให้มีระยะเวลาเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อให้มีความรอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น ๓.๔ กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตดังกล่าวต้องดำเนินงานตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด จากเดิมที่ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด ทั้งนี้ อัตราค่าธรรมเนียมยังคงอัตราเดิม คือ ค่าธรรมเนียมคำขอรับใบอนุญาตฯ ๑๐,๐๐๐ บาท และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตฯ ๑๐,๐๐๐ บาท |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2730 | มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ได้รับความเสียหายโดยทางตรงหรือทางอ้อมจากอุทกภัย | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ได้รับความเสียหายโดยทางตรงหรือทางอ้อมจากอุทกภัย โดยให้กำหนดระยะเวลาการดำเนินมาตรการดังกล่าวถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑.๑ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยของเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการปลดหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๒.๑.๒ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่ลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยของเจ้าหนี้อื่น และสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๒.๑.๓ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยของสถาบันการเงินและผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยที่จำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นประกันหนี้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงินและได้มีการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวให้บุคคลอื่นเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้สถาบันการเงิน ซึ่งได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชำระอยู่กับสถาบันการเงินหรือมีภาระผูกพันตามสัญญาประกันหนี้กับสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โดยการโอนอสังหาริมทรัพย์และการกระทำตราสารต้องกระทำในระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๒.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ที่กรมสรรพากรกำหนด สำหรับการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ในส่วนของหนี้ที่เจ้าหนี้ดังกล่าวได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัย ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๓. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยให้กระทรวงการคลังแจ้งคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) และคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน (กศอ.) ทราบด้วย ดังนี้ ๓.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงหรือทางอ้อมจากอุทกภัย ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัย ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๓.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงหรือทางอ้อมจากอุทกภัย ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองห้องชุด ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัย ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบถึงผลการดำเนินงานตามมาตรการของกระทรวงการคลังเพื่อเป็นการประเมินความสำเร็จของนโยบายการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัย และการกำหนดมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงมาตรการจูงใจผู้ที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เพื่อเป็นแนวทางในการถือปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2731 | มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยให้ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการดังกล่าวออกไปอีก ๑ ปี จากสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑.๑ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่รับการปลดหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒.๑.๒ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น และสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่รับจากการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒.๑.๓ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินและผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ที่จำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นประกันหนี้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงินและได้มีการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวให้บุคคลอื่น เพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้สถาบันการเงิน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชำระอยู่กับสถาบันการเงินหรือมีภาระผูกพันตามสัญญาประกันหนี้กับสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โดยการโอนอสังหาริมทรัพย์และการกระทำตราสารต้องกระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ที่กรมสรรพากรกำหนด สำหรับการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ในส่วนของหนี้ที่เจ้าหนี้ดังกล่าวได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๓. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๓.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๓.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองห้องชุด ตามประมวลกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร และสิทธิประโยชน์ทางค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ควรให้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวเฉพาะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non - Performing Loans : NPL) ที่เกิดจากลูกหนี้รายย่อย ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และวิสาหกิจชุมชน โดยขยายมาตรการออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ เท่านั้น เพื่อป้องกันการวางแผนหลีกเลี่ยงภาษีของบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลอันจะส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2732 | การปรับปรุงแผนปฏิบัติการ | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่กระทรวง ส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการให้เป็นไปตามแผนบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล นั้น เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมเข้าสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งบูรณาการการบริหารจัดการปัญหาอุทกภัยอย่างเป็นระบบ จึงมอบให้กระทรวง ส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐรับไปพิจารณาทบทวนและปรับปรุงแผนปฏิบัติการของแต่ละหน่วยงานให้เหมาะสมสอดคล้องกับข้อเท็จจริงดังกล่าว แล้วแจ้งไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) เพื่อบูรณาการแผนปฏิบัติการในภาพรวมจัดทำเป็นแผนแม่บทต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2733 | ข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน | นร | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง เรื่องการใช้เงินกู้ SAL (Structural Adjustment Loan : SAL) ตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐ ในวงเงินทั้งสิ้น ๑,๑๑๒,๖๘๘,๘๐๐ บาท เพื่อดำเนินการตามข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย โครงการส่งเสริมและพัฒนาความเป็นเลิศในการให้บริการประชาชน วงเงิน ๓๓๓,๓๕๕,๓๐๐ บาท และโครงการส่งเสริมและยกระดับธรรมาภิบาลในส่วนราชการ วงเงิน ๗๗๙,๓๓๓,๕๐๐ โดยทั้ง ๒ โครงการดังกล่าวจะส่งเสริมให้เกิดการยกระดับธรรมาภิบาลในภาคราชการอย่างทั่วถึงทั้งส่วนราชการระดับกรม และจังหวัด โดยเฉพาะโครงการส่งเสริมและยกระดับธรรมาภิบาลในส่วนราชการ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามแผนงานที่กำหนดไว้ มีการประเมินผลการดำเนินงานเรื่องการปรับปรุงการให้บริการให้มีความสะดวกและรวดเร็วขึ้น มีกลไกกลั่นกรองข้อเสนอโครงการในรายละเอียดและกำหนดตัวชี้วัดที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการสร้างความโปร่งใสในระบบราชการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้มีคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองโครงการของส่วนราชการและจังหวัดที่สร้างระบบธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบในราชการ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับไปดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2734 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดชลบุรี วันที่ 19 มิถุนายน 2555 | นร | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดและจังหวัดภาคตะวันออก รวม ๔ จังหวัด (จังหวัดชลบุรี ระยอง ตราด และจันทบุรี) จำนวน ๑๑๕ โครงการ วงเงินรวม ๑๗,๖๙๘.๔๘ ล้านบาท และรับทราบข้อเสนอโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐในจังหวัดจันทบุรี โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๓๔ โครงการ วงเงินรวม ๕๑๖.๙๐ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ทั้งนี้ ให้จังหวัดประสานกับหน่วยงานรับผิดชอบหลักในพื้นที่ (Function Base) เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามมาตรฐานการก่อสร้างและการให้บริการของหน่วยงานหลัก ดังนี้ ๒.๑ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก วงเงินรวม ๑๐๑.๘๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการวางท่อระบายน้ำถนนสุขุมวิทฝั่งตะวันออก (ช่วงสถานีตำรวจทางหลวง - สุขุมวิท ซอย ๑๑) งบประมาณดำเนินการ ๙.๙๐ ล้านบาท โครงการวางท่อระบายน้ำถนนสุขุมวิท (ช่วงคลองน้ำเหม็น - ถนนบางแสนล่าง) งบประมาณดำเนินการ ๙.๙๐ ล้านบาท โครงการวางท่อขยายเขตประปาบริเวณถนนบางแสนสาย ๔ เหนือ งบประมาณดำเนินการ ๔.๐๐ ล้านบาท โครงการจัดสร้างปะการังเทียมเพื่อการป้องกันการทำประมงในเขตพื้นที่การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและเสริมสร้างแหล่งอาศัยสัตว์น้ำจังหวัดระยอง งบประมาณดำเนินการ ๗.๕๐ ล้านบาท โครงการติดตั้งป้ายบอกทางแหล่งท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก งบประมาณดำเนินการ ๑๒.๕๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาและส่งเสริมภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวชายหาดกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก งบประมาณดำเนินการ ๕.๐๐ ล้านบาท โครงการศึกษาออกแบบวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในการแปรรูปผลผลิตเงาะเพื่อเพิ่มศักยภาพเชิงพาณิชย์ งบประมาณดำเนินการ ๙.๐๐ ล้านบาท โครงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศป่าชายเลนขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ งบประมาณดำเนินการ ๑๐.๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งโลจิสติกส์เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน งบประมาณดำเนินการ ๒๙.๐๐ ล้านบาท และโครงการพัฒนาศักยภาพและเตรียมความพร้อมด้านการท่องเที่ยวของภาคตะวันออกเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน งบประมาณดำเนินการ ๕.๐๐ ล้านบาท ๒.๒ จังหวัดชลบุรี วงเงินรวม ๑๑๐.๙๓ ล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาอ่างเก็บน้ำมาบประชันเพื่อการอุปโภคบริโภค ตำบลโป่ง อำเภอบางละมุง งบประมาณดำเนินการ ๓๐.๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนน คสล. พร้อมวางท่อระบายน้ำ บริเวณซอยหนองยายรัก ๒ หมู่ที่ ๑๑, ๑๒ ตำบลนาป่า อำเภอเมืองชลบุรี งบประมาณดำเนินการ ๑๐.๑๓ ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนน คสล. ถนนสุขุมวิทสายเก่า บ้านศรีพโลทัย หมู่ที่ ๑ ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมือง งบประมาณดำเนินการ ๑๐.๐๐ ล้านบาท โครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำประปาในเขตเทศบาลตำบลห้วยกะปิ งบประมาณดำเนินการ ๙.๙๙ ล้านบาท โครงการวางท่อขยายเขตน้ำประปาภูมิภาคในเขตเทศบาลเหมือง งบประมาณดำเนินการ ๙.๙๐ ล้านบาท โครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำประปาในเขต อบต. เกาะลอย งบประมาณดำเนินการ ๙.๙๒ ล้านบาท โครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลมาบไผ่ งบประมาณดำเนินการ ๖.๐๐ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงถนนบริเวณริมหาดนาจอมเทียน งบประมาณดำเนินการ ๒๕.๐๐ ล้านบาท ๒.๓ จังหวัดจันทบุรี วงเงินรวม ๑๐๐.๖๘ ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ด่านถาวรบ้านผักกาด เพื่อรองรับการค้าและการท่องเที่ยวชายแดน และเศรษฐกิจประชาคมอาเซียน งบประมาณดำเนินการ ๔๕.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบศูนย์บริหารจัดการอัญมณีจังหวัดจันทบุรี และจัดซื้อครุภัณฑ์ งบประมาณดำเนินการ ๑๙.๒๔ ล้านบาท โครงการพัฒนาเส้นทางเข้าศูนย์พัฒนาไม้ผลตามพระราชดำริฯ ตำบลท่าหลวง อำเภอมะขาม งบประมาณดำเนินการ ๑๒.๔๔ ล้านบาท โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว (บริเวณถนนเลียบชายฝั่งทะเล ปากน้ำแขมหนู ต.ตะกาดเง้า อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี) งบประมาณดำเนินการ ๑๒.๐๐ ล้านบาท และโครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวอำเภอแหลมสิงห์ งบประมาณดำเนินการ ๑๒.๐๐ ล้านบาท ๒.๔ จังหวัดตราด วงเงินรวม ๑๐๓.๔๘ ล้านบาท ได้แก่ โครงการขยายขีดความสามารถในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลจังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๑๒.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางขึ้น - ลงเครื่องบิน (Runway) สนามบิน ๒๐๗ จังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๑๕.๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำและทางเท้าถนนภายในโครงการพัฒนาพื้นที่สนามบิน ๒๐๗ จังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๑๔.๙๐ ล้านบาท โครงการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนไม้ผลที่ประสบปัญหาด้านราคา งบประมาณดำเนินการ ๕.๖๐ ล้านบาท โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อรักษาความปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยว งบประมาณดำเนินการ ๒๔.๐๐ ล้านบาท โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำและระบายน้ำของแหล่งน้ำขนาดเล็กในพื้นที่จังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๑๐.๔๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างปรับปรุงสะพานทางเดินเท้า คสล. บริเวณภายในพื้นที่ป่าชายเลนบ้านเปร็ดในจังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๖.๗๑ ล้านบาท และโครงการพัฒนาศักยภาพโรงเรียนกีฬาและสนามกีฬาจังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๘.๐๐ ล้านบาท ๒.๕ จังหวัดระยอง วงเงินรวม ๑๐๐.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างปรับปรุงถนนปกรณ์สงเคราะห์ราษฎร์ (ช่วงที่ ๑) งบประมาณดำเนินการ ๓๐.๐๐ ล้านบาท โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำทับมา แบบบูรณาการ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง งบประมาณดำเนินการ ๖๐.๐๐ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างถนนสายแหลมท่าตะเคียน - แหลมยาง อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ตอนที่ ๒ งบประมาณดำเนินการ ๑๐.๐๐ ล้านบาท ๓. สำหรับแผนงาน/โครงการที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก และ ๔ จังหวัด ในส่วนที่เหลือ ให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี และนำเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๔. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตตามผลการพิจารณาไปประกอบการพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2735 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2555 | กษ | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการ กนป. เสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติรับทราบการแต่งตั้งคณะทำงานยกร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม และคณะทำงานยกร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มปี ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะทำงานทั้ง ๒ คณะ ตามมติ กนป. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ และประธานกรรมการ กนป. ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานฯ ทั้ง ๒ คณะ เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ๒. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำมันพืชปาล์ม กรณีให้มีการนำเข้าน้ำมันปาล์ม ๔๐,๐๐๐ ตัน โดยนำเข้าแล้ว ๑๐,๐๐๐ ตัน และส่งมอบแล้วเมื่อวันที่ ๘ - ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ รวมทั้งออกประกาศกระทรวงพาณิชย์เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการส่งออกน้ำมันปาล์มในอัตรา ๑๐ บาท/กิโลกรัม ดังนี้ ๒.๑ ไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศ ส่วนที่เหลืออีก ๓๐,๐๐๐ ตัน ๒.๒ ไม่เห็นด้วยกับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษในการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบในอัตรากิโลกรัมละ ๑๐ บาท การเก็บค่าธรรมเนียมควรมีการหารือผู้เกี่ยวข้อง ๒.๓ ไม่เห็นด้วยกับการควบคุมราคาขายปลีกน้ำมันพืชปาล์มบริสุทธิ์ที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตและควรพิจารณาหามาตรการดูแลฝ่ายต่าง ๆ ให้เหมาะสม ๒.๔ การพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบในระยะสั้นและระยะยาว ให้คณะทำงานยกร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม และคณะทำงานยกร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มปี ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐ เร่งรัดดำเนินการ ทั้งนี้ ประธานกรรมการ กนป. จะได้หารือร่วมกับฝ่ายบริหารเพื่อพิจารณาการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำมันพืชปาล์มอย่างเร่งด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2736 | ขออนุมัติแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. 2555 - 2557 | สธ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ เพื่อผลักดันให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบและทิศทางในการดำเนินการควบคุมยาสูบ เพื่อมุ่งสู่สังคมไทยปลอดบุหรี่ และสุขภาพที่ดีของประชาชน โดยมียุทธศาสตร์ที่สำคัญในการดำเนินการควบคุมการบริโภคยาสูบของประเทศ ประกอบด้วย ๘ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การป้องกันมิให้เกิดผู้บริโภคยาสูบรายใหม่ ประกอบด้วย ๓ ยุทธวิธี ได้แก่ การให้ความรู้ การปกป้องเด็กและเยาวชนจากความเย้ายวน และการขจัดการเข้าถึง ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การส่งเสริมให้ผู้บริโภคลด และเลิกใช้ยาสูบ ประกอบด้วย ๕ ยุทธวิธี ได้แก่ การส่งเสริมการเลิกบริโภคยาสูบ การส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาบุคลากรและเครือข่ายให้มีองค์ความรู้ในการช่วยให้เลิกยาสูบ การส่งเสริมสนับสนุนให้มีการบริการเลิกยาสูบอย่างเป็นเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน การสร้างและนำมาตรฐานการดูแลรักษาโรคติดยาสูบระดับชาติไปใช้เป็นแนวทางให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ และการส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาการเข้าถึงยาช่วยเลิกยาสูบ ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การลดพิษภัยของผลิตภัณฑ์ยาสูบ ประกอบด้วย ๔ ยุทธวิธี ได้แก่ การปรับกฎกระทรวง พ.ศ. ๒๕๔๐ ว่าด้วยการแจ้งรายการส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทบุหรี่ซิกาแรตหรือบุหรี่ซิการ์ การสร้างกระบวนการบริหารจัดการข้อมูลส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบ การสร้างกลไกให้บริษัทบุหรี่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ และการติดตามเฝ้าระวังและเผยแพร่ข้อมูลสารอันตรายของผลิตภัณฑ์ฯ ๑.๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การสร้างสิ่งแวดล้อมให้ปลอดควันบุหรี่ ประกอบด้วย ๖ ยุทธวิธี ได้แก่ การปรับปรุงกฎหมายให้สถานที่สาธารณะและสถานที่ทำงานทุกแห่งปลอดควันบุหรี่ ๑๐๐% การส่งเสริมสนับสนุนให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายในทุกที่ที่กำหนดให้ปลอดควันบุหรี่ การปรับเปลี่ยนค่านิยมของการบริโภคยาสูบเพื่อให้การไม่สูบบุหรี่ในบ้าน สถานที่ทำงาน และสถานที่สาธารณะเป็นบรรทัดฐานของสังคมไทย การดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ การศึกษาวิจัยและพัฒนาให้ได้องค์ความรู้และข้อมูลสนับสนุนการสร้างสิ่งแวดล้อมปลอดควันบุหรี่และการบังคับใช้กฎหมาย และการเฝ้าระวังและควบคุม กำกับและประเมินผลการสร้างสิ่งแวดล้อมปลอดควันบุหรี่ ๑.๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การสร้างเสริมความเข้มแข็งและพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินงานควบคุมยาสูบของประเทศ ประกอบด้วย ๖ ยุทธวิธี ได้แก่ การพัฒนานโยบายและภาวะการนำในการควบคุมยาสูบ การพัฒนาโครงสร้างและระบบบริหารจัดการหน่วยงานควบคุมยาสูบ การพัฒนาระบบเฝ้าระวังการควบคุมกำกับและประเมินผลการควบคุมยาสูบ การสนับสนุนการศึกษาวิจัยและจัดการความรู้และด้านการควบคุมยาสูบ การเสริมสร้างขีดความสามารถและขยายเครือข่ายในการควบคุมยาสูบของภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการเสริมสร้างขีดความสามารถและขยายเครือข่ายในการควบคุมยาสูบระดับภูมิภาค ๑.๑.๖ ยุทธศาสตร์ที่ ๖ การควบคุมการค้าผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ผิดกฎหมาย ประกอบด้วย ๔ ยุทธวิธี ได้แก่ การป้องกันและปราบปรามยาสูบผิดกฎหมาย การควบคุมแหล่งจัดหา การดำเนินการสำหรับผู้กระทำความผิดและบทลงโทษ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ๑.๑.๗ ยุทธศาสตร์ที่ ๗ การแก้ปัญหาการควบคุมยาสูบโดยใช้มาตรการทางภาษี ประกอบด้วย ๓ ยุทธวิธี ได้แก่ การปรับปรุงโครงสร้างภาษียาสูบ การปรับปรุงระบบการบริหารจัดเก็บภาษียาสูบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมยาสูบ และการลดสิทธิประโยชน์ทางภาษีผลิตภัณฑ์ยาสูบ ๑.๑.๘ ยุทธศาสตร์ที่ ๘ การเฝ้าระวังและควบคุมอุตสาหกรรมยาสูบ ประกอบด้วย ๗ ยุทธวิธี ได้แก่ การป้องกันอุตสาหกรรมยาสูบเข้ามาแทรกแซงนโยบายว่าด้วยการควบคุมยาสูบ การตรวจสอบอุตสาหกรรมยาสูบ (บริษัทบุหรี่ข้ามชาติและโรงงานยาสูบ กลุ่มบังหน้า และกลุ่มผลประโยชน์ร่วมกัน) การเฝ้าระวังและดำเนินการกับผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ (เช่น บุหรี่ไร้ควัน และบุหรี่ชูรส ฯลฯ) และผลิตภัณฑ์ยาสูบแปลงร่าง การเฝ้าระวังและดำเนินการกับตลาดรูปแบบใหม่ต่าง ๆ เช่น Below the Line marketing การเฝ้าระวังและดำเนินการด้านความรับผิดชอบขององค์กรธุรกิจต่อสังคมของบริษัทบุหรี่และโรงงานยาสูบ การทำให้ยาสูบเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ และการเป็นคดีความ ๑.๒ เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ และให้จัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณรองรับแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี ๑.๓ เห็นชอบให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้ความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินงานและบริหารจัดการเพื่อให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเพิ่มบทบาทของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในการป้องกันและลดจำนวนประชาชนผู้บริโภคยาสูบให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้มีตัวชี้วัดผลสำเร็จที่ชัดเจนเพื่อให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่และงบประมาณที่ได้รับ การกำหนดยุทธศาสตร์ลดการนำเข้าใบยาสูบจากต่างประเทศและลดผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบภายในประเทศ การกำหนดยุทธศาสตร์สนับสนุนและส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนการปลูกยาสูบ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดิน และจาก สสส. การให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีเพื่อรองรับการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ตามความจำเป็นและความเหมาะสม การประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ระเบียบ ด้านการควบคุมยาสูบ การกำหนดเรื่องการควบคุมยาสูบโดยเน้นเรื่องเพศหรือบทบาทของผู้หญิงกับบุหรี่เพิ่มมากขึ้น การใช้มาตรการทางกฎหมายโดยเฉพาะการห้ามจำหน่ายบุหรี่แบ่งมวนเพื่อจำกัดการเข้าถึงยาสูบของเยาวชน และการดำเนินคดีกับร้านค้าที่ขายบุหรี่ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี การหาแนวทางให้ผู้สูบบุหรี่มีส่วนร่วมจ่ายในค่ารักษาพยาบาลสำหรับการเข้าถึงยาช่วยเลิกยาสูบในระบบหลักประกันสุขภาพ และการเก็บภาษียาสูบประเภทยาเส้นหรือบุหรี่มวนเองให้มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2737 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน | กค | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการประเมินผลการดำเนินงานเงินนอกงบประมาณประเภททุนหมุนเวียน ซึ่งกระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง ได้ดำเนินการระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๔๗ ซึ่งเป็นลักษณะนำร่อง จำนวน ๑๐ ทุนฯ และขยายจำนวนทุนฯ ในระบบฯ ตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๔๘ จนครอบคลุมจำนวนทุนฯ ทั้งหมดในปีบัญชี ๒๕๕๓ สามารถสรุปผลการดำเนินงานของระบบฯ เป็น ๒ ระยะ ดังนี้ ๑.๑.๑ ระยะที่ ๑ ปีบัญชี ๒๕๔๗ เป็นปีแรกที่เริ่มใช้ระบบฯ ในเบื้องต้น จำนวน ๑๐ ทุนฯ ซึ่งมีรูปแบบและวิธีการประเมินโดยเปรียบเทียบกับแผนการดำเนินงานของทุนฯ ว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ เพียงใด ผลการประเมินสรุปได้ว่า ในปีบัญชี ๒๕๔๗ ส่วนใหญ่ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย กล่าวคือ มีการกำหนดตัวชี้วัดทั้งหมด ๔ ด้าน รวมจำนวน ๘๓ ตัวชี้วัด เช่น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงาน อัตราสูญเสียของผลผลิต (Loss Ratio) การจัดทำแผนการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า และระบบรับเรื่องร้องเรียน แผนการจัดระบบสถิติผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ การจัดทำแผนประจำปี เป็นต้น โดยมีตัวชี้วัดผลการดำเนินงานผ่านเกณฑ์ปกติ คือ เป็นไปตามเป้าหมายและสูงกว่าเป้าหมาย จำนวน ๖๘ ตัวชี้วัด และมีตัวชี้วัดต่ำกว่าเป้าหมาย จำนวน ๑๕ ตัวชี้วัด ๑.๑.๒ ระยะที่ ๒ ปีบัญชี ๒๕๔๘ - ๒๕๕๓ ได้มีการประเมินผลการดำเนินงานเต็มรูปแบบโดยมีเกณฑ์วัดผลการดำเนินงานทั้ง ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านการเงิน ด้านปฏิบัติการ การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน และมีการประเมินผลงานออกเป็น ๕ ระดับ จาก ๑ - ๕ คือ จากการปรับปรุงไปถึงดีมาก ๑.๑.๓ สำหรับในปีบัญชี ๒๕๕๔ มีทุนฯ เข้าสู่ระบบประเมินผลฯ จำนวน ๘๑ ทุนฯ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของหน่วยงานเจ้าสังกัดทุนฯ ส่วนในปีบัญชี ๒๕๕๕ กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง มีแผนประเมินผลทุนหมุนเวียนที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบประเมินผลฯ ที่เหลือทั้งหมด ซึ่งมีทุนฯ ที่ไม่เข้าระบบประเมินผลของกระทรวงการคลัง จำนวน ๔ ทุนฯ ได้แก่ กองทุนการพัฒนาพรรคการเมือง กองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง กองทุนเพื่อการพัฒนาและเผยแพร่ประชาธิปไตย และกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เนื่องจากคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑๒) ได้วินิจฉัยว่า อาจไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนฯ หรือปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ หรือหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนดในประเด็นดังกล่าวอีก ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน เพื่อกระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลางจะได้ดำเนินการและแจ้งให้ส่วนราชการ/หน่วยงานเจ้าสังกัดของทุนหมุนเวียนดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการประเมินผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน โดยเฉพาะทุนหมุนเวียนที่ยังไม่ได้รับการประเมิน และให้เสนอรายงานผลการประเมินดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน โดยการรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียนที่มีคะแนนประเมินต่ำกว่า ๓.๐ คะแนน ติดต่อกัน ๓ ปี จะเกิดผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายที่มาขอรับบริการจากกองทุนหรือไม่ โดยเฉพาะในทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งเพื่อช่วยเหลือ ส่งเสริมการผลิตของเกษตรกร ส่วนข้อเสนอแนะในการจัดทำบัญชีต้นทุนที่แท้จริง โดยปันส่วนค่าใช้จ่ายในส่วนเงินเดือนของข้าราชการที่ปฏิบัติงานให้ทุนหมุนเวียน เพื่อให้เห็นถึงต้นทุนการดำเนินงานที่แท้จริง ควรมีการจัดทำเกณฑ์การปันส่วนที่ชัดเจน และกำหนดให้ทุกทุนหมุนเวียนถือปฏิบัติ รวมทั้งพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของทุนหมุนเวียนประกอบในการตัดสินใจของผู้บริหารด้วย สำหรับข้อเสนอให้นำหลักการ Balanced Scorecard (BSC) ไปใช้กับทุนหมุนเวียนที่มีกฎหมายเฉพาะที่จัดตั้งขึ้น รวมถึงการรายงานผลให้กระทรวงการคลังทราบ จะก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติแก่ทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ เนื่องจากกฎหมายเฉพาะนั้นได้มีการกำหนดบทบัญญัติในเรื่องการติดตามประเมินผลหรือการตรวจสอบการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนไว้เป็นการเฉพาะแล้ว นอกจากนี้ การจัดตั้งทุนหมุนเวียนใหม่ที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายเฉพาะของหน่วยงานของรัฐ ควรถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๑ และวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง แนวทางการจัดตั้งทุนหมุนเวียนและกรอบคู่มือการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของทางราชการ) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลังรับไปเร่งรัดดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ การกำกับดูแล ตรวจสอบ และประเมินผลกรณีที่หน่วยงานมีทุนหมุนเวียนที่มีรายได้ โดยไม่ต้องนำรายได้ส่งคลัง เพื่อให้รายได้ดังกล่าวนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ร่วมหารือในการดำเนินการดังกล่าวกับกระทรวงการคลังด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2738 | การปรับปรุง ระเบียบ หลักเกณฑ์ และข้อปฎิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ | นร | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง สรุปผลการตรวจติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง) โดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการปรับปรุงระเบียบ หลักเกณฑ์ และข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป นั้น เนื่องจากขณะนี้หลายจังหวัดที่ประสบอุทกภัยมีความจำเป็นต้องประกาศกำหนดพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติเพื่อที่จะเบิกจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็วและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2739 | เร่งรัดการพิจารณาการจ่ายเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง สรุปผลการตรวจติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง) มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการปรับปรุงระเบียบ หลักเกณฑ์ และข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้เหมาะสมยิ่งขึ้นและให้รายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป และให้สำนักงบประมาณรายงานการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางของแต่ละส่วนราชการและยอดเงินคงเหลือให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย นั้น ขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 2740 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง "ปัญหาและข้อเสนอแนะต่อการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2553 - 2573 (PDP 2010)" | สว | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตเพิ่มเติมของวุฒิสภาเกี่ยวกับรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง “ปัญหาและข้อเสนอต่อการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๗๓ (PDP 2010)” พร้อมผลการดำเนินการตามข้อสังเกตเพิ่มเติมของวุฒิสภา ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. การทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างพิจารณาปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและสังคม โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศควบคู่กับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการเพิ่มปริมาณการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration สนับสนุนกรจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าด้วยการพิจารณาผลประหยัดพลังงาน (Energy Efficiency : EE) ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๗๓) เพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนด้วยการปรับให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (Alternative Energy Development Plan : AEDP) ๒๕% ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๔) ๒. รายละเอียดการดำเนินการตามแผน EE ๒๐ ปี และแผน AEDP ได้มีการนำเป้าหมายผลการประหยัดพลังงานไฟฟ้าตามแผน EE มาใช้เป็นกรอบในการปรับปรุงค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าโดยคณะอนุกรรมการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า โดยการจัดทำค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าดังกล่าวได้ปรับปรุงตามค่า GDP ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งได้ประมาณการความต้องการไฟฟ้าใหม่ตามการกระตุ้นเศรษฐกิจของนโยบายรัฐบาล ผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น และผลกระทบโครงการรถไฟฟ้า ๑๒ สายของรัฐบาลในการประมาณการเศรษฐกิจแล้ว สำหรับกรอบการปรับปรุงแผน PDP ตามแผน AED มีการพิจารณาปรับปรุงสัดส่วนปริมาณพลังงานหมุนเวียนให้เป็นไปตามแผน AEDP ซึ่งการกำหนดประเภทเชื้อเพิลงพลังงานหมุนเวียนที่เข้าระบบจะคำนึงถึงความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ความพร้อมของระบบส่งไฟฟ้า และผลกระทบราคาค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องรับภาระ ๓. การให้ความสำคัญกับแผน PDP ที่มีความเชื่อมโยงกับภาคสังคม ๓.๑ สถานที่ตั้งโรงไฟฟ้า ๓.๑.๑ ในการจัดหาพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าเป็นหน้าที่ผู้พัฒนาโครงการในการจัดหาพื้นที่ที่มีศักยภาพเหมาะสมกับโครงการนั้น ๆ ทั้งทางด้านเทคนิคและการยอมรับของประชาชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยกระทรวงพลังงานจะเป็นผู้ติดตามการดำเนินการดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการด้านไฟฟ้าอย่างทั่วถึง เพียงพอต่อความต้องการไฟฟ้า ในราคาที่เป็นธรรม โดยคุณภาพไฟฟ้าอยู่ในเกณฑ์เชื่อถือได้ ๓.๑.๒ กระทรวงพลังงานได้กำหนดให้มีโรงไฟฟ้าใหม่ที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงตามแผน PDP โดยใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและเพิ่มประสิทธิภาพโรงฟ้า
|
||||||||||||||||||||||||||||||
.....
