ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 139 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2761 - 2780 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2761 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงสนามบินปากเซ ระยะที่ 2 | กค | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงสนามบินปากเซ ระยะที่ ๒ ในวงเงิน ๑๘๔ ล้านบาท โดยให้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินที่ สพพ. ได้รับการจัดสรรแล้วในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ สำหรับโครงการพัฒนาถนนหมายเลข ๖๘ (โอเสม็ด - สำโรง - กลอรันห์) ที่ได้ยกเลิกไปแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาจัดทำแผนการให้ความช่วยเหลือทางการเงินกับประเทศเพื่อนบ้านในมิติที่หลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากการสร้างสาธารณูปโภคด้านการขนส่ง โดยอาจพิจารณาเพิ่มโครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านอื่น ๆ เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำ รวมถึงการพัฒนาด้านสังคม เช่น การพัฒนาระบบสาธารณสุข การพัฒนาระบบการศึกษา และการพัฒนาชุมชน เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2762 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 2/2555 | นร | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการให้เป็นไปตามมติ กพต. ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธาน กพต. เสนอ โดยให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในส่วนของโครงการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๑๓ สาย อำเภอนาทวี - บ้านประกอบ ตอน ๒ และการเชื่อมโยงการขนส่งจากด่านประกอบไปอำเภอกาบัง จังหวัดยะลา แผนพัฒนามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ โครงการปรับปรุงด่านศุลกากรสะเดา (ด่านพรมแดนสะเดา)/ โครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ จังหวัดสงขลา ร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ รวมทั้งโครงการทำดี มีอาชีพ โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีกในครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง โครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพการเลี้ยงแพะในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และโครงการพัฒนาศักยภาพการเลี้ยงแพะเนื้อเพื่อรองรับอุตสาหกรรมฮาลาล ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเรื่องดังต่อไปนี้ ให้ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามระเบียบคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าด้วยการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ใช้จ่ายเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๒ โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๙๓.๓๙๗๓ ล้านบาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๕.๙๗๘ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาดำเนินการเชื่อมโยงโครงข่ายกับภาคเอกชน ชุมชน และท้องถิ่น เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ข้อมูลร่วมกัน โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นศูนย์กลางควบคุมกล้องวงจรปิด CCTV ๒.๓ โครงการปรับปรุงด่านศุลกากรสะเดา (ด่านพรมแดนสะเดา)/โครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๒.๔ โครงการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๑๓ สาย อำเภอนาทวี - บ้านประกอบ ตอน ๒ ให้กรมทางหลวงปรับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๕ การจัดตั้งสถาบันส่งเสริมการศึกษา เยียวยาและฟื้นฟูผู้พิการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการขอจัดตั้งสำนักงานวัฒนธรรมอำเภอในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้พิจารณาถึงภาพรวมของอัตรากำลังคนภาครัฐและภาระงบประมาณในอนาคต และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป รวมทั้งควรกำหนดเฉพาะพื้นที่พิเศษใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๖ การสนับสนุนเงินอุดหนุนพิเศษพระภิกษุสงฆ์ใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๔.๘๓ ล้านบาท และปรับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๐ ล้านบาท ไปดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
| 2763 | ยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น | นร | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบยุทธศาสตร์ แนวทาง และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะการร่วมกันปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาหน่วยงานของตนเองให้มีความโปร่งใส สรุปได้ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น แบ่งออกเป็น ๖ แนวทางหลักและอื่น ๆ ดังนี้ ๑.๑ การปลุกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ (Awareness Building Approach) มุ่งเน้นการสร้างจิตสำนึกและทัศนคติเชิงบวกในการสร้างภูมิคุ้มกันและความเข้มแข็งให้กับสังคมไทย ครอบคลุมทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ควบคู่ไปกับการปลูกฝัง สร้างค่านิยมที่อยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง โดยอาศัยกลไกของสังคมเป็นการลงโทษผู้กระทำผิดหรือทุจริตคอร์รัปชั่น ๑.๒ การพัฒนาองค์การ (Organization Development Approach) มุ่งเน้นการพัฒนาองค์การทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เป็นองค์การสีขาว มีการดำเนินการป้องกันและลดความเสี่ยงที่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ตลอดจนวางระบบคัดกรองบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งในระบบราชการที่คำนึงถึงความมีเหตุผลทางคุณธรรม (Moral Reasoning) หรือความสามารถทางด้านจริยธรรม (Ethicability) ๑.๓ การเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม (Participatory Approach) มุ่งเน้นการสร้างความโปร่งใสในกระบวนการดำเนินงานของภาครัฐ โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการเปิดเผยและมีส่วนร่วม อันจะทำให้ภาคส่วนอื่นในสังคมได้เข้ามามีส่วนรับรู้ ตรวจสอบหรือร่วมในกระบวนการใด ๆ เพื่อให้กลไกการดำเนินการมีความถูกต้องชอบธรรม โปร่งใส และน่าเชื่อถือ ๑.๔ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย (Legal Approach) มุ่งเน้นการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้เป็นเครื่องมือป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนยกระดับมาตรฐานกฎหมายด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) รวมถึงการแก้ไขกฎหมายลำดับรองที่เอื้อไปสู่พฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงราชการ ๑.๕ การตรวจสอบ เฝ้าระวังเชิงรุก (Surveillance Approach) มุ่งเน้นการวางกลไกการตรวจสอบและเฝ้าระวังในเชิงรุก ทั้งกลไกการเฝ้าระวังของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กลไกการตรวจสอบตามกฎหมาย ตลอดจนการเชื่อมโยงและบูรณาการการรับแจ้งเบาะแสและเรื่องร้องเรียนให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวมถึงการวางระบบข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ ๑.๖ การปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด (Suppression Approach) มุ่งเน้นการดำเนินการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง รวมถึงการกำหนดมาตรการในการลงโทษที่เข้มงวดและรุนแรงขึ้น เพื่อให้ทุกภาคส่วนเกิดความตื่นตัว และเกรงกลัวต่อการประพฤติที่มิชอบ ๑.๗ อื่น ๆ เช่น การร่วมมือทางวิชาการกับรัฐบาล หรือองค์การระหว่างประเทศ และอื่น ๆ เกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ เป็นต้น ๒. แผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นการดำเนินการในระยะแรกที่คาดว่าจะก่อให้เกิดผลสำเร็จเร็วและก่อให้เกิดผลต่อเนื่องในระยะต่อไป โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานภายใต้ ๔ แนวทาง ดังนี้ ๒.๑ การปลุกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ ได้แก่ การสร้างข้าราชการไทยหัวใจสีขาว การมอบรางวัลเพื่อเชิดชูเกียรติและกำหนดบัญชีรายชื่อข้าราชการที่มีความซื่อสัตย์สุจริต หรือมีผลงานในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น และการติดเครื่องหมายสัญลักษณ์แสดงการอาสาต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ๒.๒ การพัฒนาองค์การ ได้แก่ การสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ (Clean Initiative Program) และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ๒.๓ การตรวจสอบ เฝ้าระวังเชิงรุก โดยการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น (Anti - Corruption War Room) ๒.๔ การปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด โดยการประกาศลงโทษผู้กระทำผิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ๓. กำหนดจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น” ในวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ โดยเชิญคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารการเปลี่ยนแปลงระดับกรมและจังหวัด ตลอดจนผู้แทนจากภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคท้องถิ่น เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||
| 2764 | การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง | ทส | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การตรวจเยี่ยมราษฎร ติดตามสภาพปัญหา และตรวจพื้นที่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำในจังหวัดเชียงราย ๑.๑ วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๕ ตรวจติดตามสภาพปัญหาและตรวจพื้นที่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อป้องกันบรรเทาปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ได้แก่ โครงการปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำหนองกู่ บ้านปางลาว โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองหลวง โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำลำน้ำแม่สกึ้น โครงการปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำหนองบัวน้อย โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำ ช่วง ๒ บ้านเมืองงิม และเปิดศูนย์รับแจ้งการช่วยเหลือประชาชนเรื่องน้ำบาดาล ๑.๒ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๕ ตรวจติดตามสภาพปัญหาและตรวจพื้นที่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อป้องกันบรรเทาปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ได้แก่ โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำแม่น้ำลาว โครงการสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้า โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยเฮี้ย โครงการฝายน้ำล้นแม่ลาว โครงการปรับปรุงซ่อมแซมฝายน้ำล้นแม่ลาว และโครงการปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำลำน้ำลาว ๒. การตรวจเยี่ยมราษฎร ติดตามสภาพปัญหา และตรวจพื้นที่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำในจังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี และชัยนาท เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ๒.๑ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ เทศบาลตำบลพรานกระต่าย อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ๒.๒ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ ลานเอนกประสงค์ หมู่ที่ ๑๑ บ้านหนองสองห้อง ตำบลบ้านไร่ อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ๒.๓ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ วัดหาดทนง หมู่ที่ ๖ บ้านหาดทนง ตำบลหาดทนง อำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี ๒.๔ ตรวจเยี่ยมโครงการอนุรักษ์บึงน้ำเขียว หมู่ที่ ๒ บ้านบึงน้ำเขียว ตำบลคุ้งสำเภา อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ๓. การตรวจเยี่ยมราษฎร ติดตามสภาพปัญหา และตรวจพื้นที่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำในจังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม และกาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ๓.๑ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น และตรวจเยี่ยมโครงการปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำเพื่อเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย ลำห้วยน้อย หมู่ที่ ๑๒ บ้านทุ่ม ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ๓.๒ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ องค์การบริหารส่วนตำบลเชียงยืน ตำบลเชียงยืน อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม และตรวจเยี่ยมโครงการปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำเพื่อเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย หนองอีสานเขียว ตำบลเหล่าดอกไม้ อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ๓.๓ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ โรงเรียนบ้านปอแดง ตำบลดอนสมบูรณ์ อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ และตรวจเยี่ยมโครงการปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำเพื่อเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย หนองบัวบาน ตำบลบัวบาน อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์
|
|||||||||||||||||||||
| 2765 | สรุปผลการตรวจติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง | วท | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการตรวจติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง ณ จังหวัดลพบุรี อุทัยธานี ชัยนาท และพระนครศรีอยุธยา ระหว่างวันที่ ๕ - ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และเห็นชอบตามข้อเสนอแนะตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นควรให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมชลประทาน หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องทบทวนการประสานงานในเรื่องการบริหารจัดการน้ำใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของการลดการปล่อยน้ำอย่างกะทันหัน ว่าจะต้องมีการแจ้งล่วงหน้านานเท่าใด และผลกระทบหรือจุดเสี่ยงจะเกิดขึ้นที่ไหน ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้คล้าย ๆ กับที่เกิดขึ้นเมื่อเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์เริ่มการปล่อยน้ำโดยไม่มีการประสานงานอย่างเหมาะสม ทำให้น้ำท่วมที่อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๑.๒ การขาดแคลนน้ำของชาวนาขณะนี้ เกิดขึ้นเพราะการประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ชาวนาเลื่อนฤดูการปลูกข้าวเร็วขึ้น ๑ เดือน ดังนั้น ความต้องการน้ำในระยะต้นจึงสูงมาก ทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำอย่างฉับพลัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องปรับปฏิทินการส่งน้ำเสียใหม่ โดยมุ่งการส่งน้ำให้ถึงไร่นาในช่วงต้นของฤดูกาลเพาะปลูกให้ทันทุกพื้นที่ ๑.๓ การขุดลอกแม่น้ำเจ้าพระยาของกรมเจ้าท่า มุ่งเน้นในเรื่องของการเดินเรือตามอำนาจหน้าที่เท่านั้น การขุดลอกดังกล่าวจึงมุ่งไปที่การสร้างร่องน้ำถาวรเท่านั้น ยังไม่ใช่เป็นการขุดลอกเต็มลำน้ำเพื่อสนองนโยบายการเร่งระบายน้ำ จึงเห็นควรให้กรมเจ้าท่าปรับแผนการขุดลอกลำน้ำเสียใหม่ หรืออาจต้องมีการทบทวนให้เอกชนเข้ามาขุดลอกโดยการจ่ายเงินค่าทรายให้กับทางราชการ ๑.๔ การประกาศเขตภัยพิบัติของกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นการประกาศอย่างหลวม (เหวี่ยงแห) หวังผลเพียงให้สามารถเบิกงบประมาณไปช่วยประชาชนที่เดือดร้อนเท่านั้น โดยมองข้ามผลกระทบทางด้านจิตวิทยา ทำให้มองคล้าย ๆ ว่า ภาคกลางของประเทศไทย ซึ่งไม่ควรจะขาดแคลนน้ำกลับเกิดภัยแล้งขึ้น เห็นได้ชัดเจนว่าบางจังหวัดเมื่อประกาศแล้วใช้เงินช่วยเหลือเพียง ๔๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น ซึ่งไม่น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ถึงกับต้องประกาศภัยแล้ง จึงเห็นควรให้มีการปรับปรุงระเบียบและข้อปฏิบัติเสียใหม่ เพื่อสามารถให้พื้นที่ ใช้หรือจ่ายงบประมาณช่วยเหลือเยียวยาประชาชนได้ โดยไม่ต้องพึ่งการประกาศเป็นเขตภัยแล้ง เพราะพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือจริงนั้นมีขนาดเล็ก ๒. กรณีการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ซึ่งตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้อธิบดี/ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องประกาศกำหนดพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติก่อน จึงจะสามารถเบิกจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติได้ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับการเกิดภัยพิบัติจริง ดังนั้น เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง ประกอบกับเพื่อให้การควบคุมการใช้จ่ายเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการปรับปรุงระเบียบ หลักเกณฑ์ และข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการใช้จ่ายงบกลางฯ ให้สำนักงบประมาณรายงานการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางของแต่ละส่วนราชการและยอดเงินคงเหลือให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 2766 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นนโยบายขาดดุล จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท รายได้สุทธิ จำนวน ๒,๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๒. การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นดำเนินการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เป็นไปตามขั้นตอนการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณฯ และหลักเกณฑ์การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณฯ ๔. ให้สำนักงบประมาณนำเสนอวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และผลการพิจารณาปรับปรุงงบประมาณฯ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่ได้รับอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีไปจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และเอกสารประกอบงบประมาณ โดยให้ส่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรงก่อนนำไปพิมพ์เป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในวันอังคารที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 2767 | การกำหนดค่าตอบแทนของกรรมการบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัทในเครือของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดอัตราเบี้ยประชุมกรรมการของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัทในเครือของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยกำหนดให้บริษัทฯ อยู่ในรัฐวิสาหกิจกลุ่มที่ ๓ ได้รับเบี้ยประชุมกรรมการในอัตราไม่เกินคนละ ๖,๐๐๐ บาทต่อเดือน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงอัตราเบี้ยกรรมการรัฐวิสาหกิจ) ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||
| 2768 | การดำเนินการโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต | กค | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามผลการประชุมหารือของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (นายนิรุตติ คุณวัฒน์) ในการดำเนินการโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยที่ประชุมได้มีข้อยุติหลักการของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ดังนี้ ๑.๑ ระยะเวลาดำเนินการ เริ่มตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๒ รูปแบบการดำเนินการ ๑.๒.๑ โครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ครอบคลุมเฉพาะนักเรียน นักศึกษาในระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่าเฉพาะหลักสูตร/สาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักและมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคน โดยผู้เข้าร่วมโครงการฯ เป็นนักเรียน/นักศึกษารายใหม่ ที่มิใช่ผู้กู้ยืมรายเก่าของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ยกเว้นกรณีผู้กู้ยืมรายเก่าของ กยศ. ที่เปลี่ยนระดับจาก ม.๖ หรือเทียบเท่า เป็นระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่าในปีการศึกษา ๒๕๕๕ โดยผู้กู้ยืมที่เปลี่ยนระดับนี้ อาจเลือกที่จะกู้ยืม กยศ. หรือเข้าร่วมโครงการฯ ก็ได้ ๑.๒.๒ สำหรับในปีการศึกษา ๒๕๕๕ การกำหนดหลักสูตร/สาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักและมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนในเบื้องต้น ให้เป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการกองทุนเพื่อการศึกษาตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปพลางก่อน ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการฯ พิจารณาปรับปรุงให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นก็ได้ โดยมีรายละเอียดของหลักสูตร/สาขาวิชาไม่ต่ำกว่าเดิม ๑.๒.๓ กรณีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ที่มีฐานะยากจนมีสิทธิได้รับค่าครองชีพเพิ่มเติมจากค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมการศึกษาที่สถานศึกษาเรียกเก็บตามกฎหมาย โดยใช้อัตราเดียวกับของ กยศ. ๑.๒.๔ สำหรับรายละเอียดการดำเนินการโครงการฯ อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ใช้แนวทางเช่นเดียวกับ กยศ. ยกเว้นกรณีหลักเกณฑ์การชำระคืนเงินกู้ของโครงการฯ ที่ควรต้องให้เหมาะสมสอดคล้องกับหลักการของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ที่มุ่งเน้นในหลักสูตร/สาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักฯ ดังนั้น การชำระคืนเงินกู้จะยึดโยงกับความสามารถในการหารายได้ในอนาคตเป็นสำคัญก่อนเริ่มให้มีการชำระคืนเงินกู้ยืมของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ๑.๒.๕ ให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อการศึกษาตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ พิจารณาจัดเตรียมรายละเอียดรูปแบบการดำเนินการและโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ โดยให้ทันต่อการเปิดภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๕ เช่น คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ การปรับปรุงรายละเอียดสาขา/วุฒิขาดแคลนเดิมจากที่ใช้ในปีการศึกษา ๒๕๕๑ ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน กรอบวงเงินและการจัดสรร เอกสารหลักฐานต่าง ๆ การประชาสัมพันธ์เสริมสร้างความเข้าใจ และการบริหารงานด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ๑.๒.๖ เพื่อให้การดำเนินการให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามีการบูรณาการครอบคลุมการดำเนินงานของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ และ กยศ. ในระยะต่อไป เห็นควรให้คณะกรรมการ กยศ. และคณะกรรมการกองทุนเพื่อการศึกษาเร่งจัดทำร่างกฎหมายรองรับการดำเนินการโครงการฯ ในระยะยาว โดยให้ควบรวมกฎหมาย กยศ. เป็นส่วนหนึ่ง และให้มีผลบังคับใช้ภายในปีการศึกษา ๒๕๕๖ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาหาแนวทางการปล่อยสินเชื่อและการกำกับดูแลการชำระเงินคืน โดยอาจเปิดโอกาสให้ธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ฯลฯ เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการนี้ให้มากขึ้น ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับนิสิตหรือนักศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการนี้ด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2769 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เรื่อง "การศึกษาและตรวจสอบงบไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข" | สว | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เรื่อง "การศึกษาและตรวจสอบงบไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข" พร้อมข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนของข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงสาธารณสุขควรมีโครงสร้างขององค์กรที่ชัดเจนในการดูแลรับผิดชอบ และเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมคำขอจากพื้นที่ที่สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายกับโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน และบูรณาการการจัดทำคำขอตั้งงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๒. พื้นที่ควรได้รับทราบกรอบวงเงิน/เงื่อนไข/และกรอบเวลาในการจัดทำคำขอจัดตั้งงบประมาณที่ชัดเจน ๓. ควรมีการตั้งองค์กรใหม่ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงเครือข่ายกับโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน และสำนักงานบริหารสาธารณสุขภูมิภาคต้องมีการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่น ในด้านวิชาการต่าง ๆ เพื่อรองรับการจัดสรรงบประมาณ รวมทั้งควรมีการปรับปรุงระบบการจัดซื้อจัดจ้างให้มีความยุติธรรมด้วย ๔. ต้องมีการกำหนดมาตรฐานครุภัณฑ์ให้ทุกโรงพยาบาลมีมาตรฐานครุภัณฑ์เช่นเดียวกัน และสอดคล้องกับขนาดของโรงพยาบาลหรือจำนวนผู้ป่วยด้วย ๕. กระทรวงสาธารณสุขต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ กระบวนการและขั้นตอนในการพิจารณาคำของบประมาณที่ชัดเจน และต้องมีการระบุเพดานเงินงบประมาณที่แต่ละจังหวัดได้รับการจัดสรรให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ควรเร่งรัดให้มีการเสนอขออนุมัติงบประมาณในเวลาจำกัด เพราะอาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการจัดทำคำของบประมาณได้
|
|||||||||||||||||||||
| 2770 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการปัญหาลุ่มน้ำภาคกลางแบบบูรณาการ" | สสป | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการปัญหาลุ่มน้ำภาคกลางแบบบูรณาการ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการจัดระบบการไหล (จราจร) ของน้ำ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการระบายน้ำจากพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ออกสู่ทะเลได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น ปรับปรุงศักยภาพการระบายน้ำที่มีอยู่ในปัจจุบันให้สามารถรองรับปริมาณน้ำในภาวะวิกฤต ให้สอดคล้องกันทั้งระบบและสอดคล้องกับปัญหาในแต่ละพื้นที่ สร้างแผนการระบายน้ำ ได้แก่ ทางระบายน้ำและระบบระบายน้ำเพิ่มเติมจากเดิม รวมทั้งการลดอุปสรรคจากเขื่อนกักน้ำ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการระบายน้ำให้ไหลได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และทันเหตุการณ์ เป็นต้น ๒. มาตรการชะลอน้ำไว้ในพื้นที่ต้นน้ำ เพื่อเป็นการดูดซับน้ำไว้ในพื้นที่ต้นน้ำและชะลอการไหลของน้ำ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณน้ำหลากในพื้นที่ลุ่มน้ำสายต่าง ๆ โดยวิธีบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้และพื้นที่ป่าต้นน้ำ และบริหารจัดการทรัพยากรดินและทรัพยากรน้ำ ๓. มาตรการการพักน้ำในพื้นที่ตอนกลางและตอนล่าง เพื่อแก้ปัญหาน้ำอย่างบูรณาการในพื้นที่ตอนกลางและตอนล่าง โดยปรับปรุง ฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติและแหล่งน้ำที่สร้างขึ้น ที่มีสภาพตื้นเขิน และอาคารบังคับน้ำที่ชำรุด ให้สามารถกักเก็บน้ำได้เต็มประสิทธิภาพ ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการขุดสระน้ำในไร่นาให้มากขึ้น มีการบริหารจัดการพื้นที่รับน้ำในภาวะวิกฤต และจัดให้มีพื้นที่หน่วงน้ำในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการนิคมอุตสาหกรรม และโครงการขนาดใหญ่อื่น ๆ อย่างเหมาะสม ๔. มาตรการการเพิ่มการระบายน้ำออกสู่ทะเล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำจากพื้นที่ตอนบน ตอนกลาง และตอนล่างลงสู่ทะเลให้มีประสิทธิภาพ โดยปรับปรุงระบบชลประทาน ได้แก่ การปรับปรุงทางระบายน้ำ การปรับปรุงคลองชลประทาน เป็นต้น การขุดลอกและขยายคลองธรรมชาติ การสร้างสถานีสูบน้ำเพิ่มเติมให้เพียงพอ การบังคับใช้กฎหมายต่อการบุกรุกพื้นที่ทางน้ำสาธารณะอย่างเคร่งครัด และเร่งดำเนินการโครงการก่อสร้างทางด่วนน้ำยกระดับ (Water Highway) เพื่อใช้ระบายน้ำในฤดูน้ำหลาก และสามารถใช้เป็นเส้นทางคมนาคมทางบกในฤดูแล้ง ๕. มาตรการจัดตั้งศูนย์บริหารการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำภาคกลาง รัฐต้องตั้งศูนย์บริหารการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำภาคกลางให้เป็นการถาวร เพื่อให้กระบวนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำภาคกลางมีความเป็นเอกภาพ และเกิดประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน ๖. มาตรการช่วยเหลือและชดเชย รัฐต้องช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ที่ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะอย่ายิ่งผู้ซึ่งได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากรัฐใช้มาตรการผันน้ำเข้าท่วมพื้นที่ ตามนโยบายป้องกันพื้นที่เขตเศรษฐกิจหรือชุมชนเมือง ๗. มาตรการภาษีพิเศษ รัฐจะต้องออกกฎหมายภาษีพิเศษเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ที่เสียสละในมาตรการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่เขตเศรษฐกิจและชุมชนเมือง โดยผู้ที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวจะต้องชำระภาษีพิเศษแก่รัฐเพื่อนำไปใช้ในการบริหารจัดการบรรเทาอุทกภัย
|
|||||||||||||||||||||
| 2771 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตั้งโรงฆ่าสัตว์ โรงพักสัตว์ และการฆ่าสัตว์ พ.ศ. .... | กษ | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตั้งโรงฆ่าสัตว์ โรงพักสัตว์ และการฆ่าสัตว์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๒. กำหนดบทนิยามคำว่า “ใบอนุญาต” “ศาสนสถาน” “สถานศึกษา” “สถานพยาบาล” “หอพัก” “ห้องผลิต” ๓. กำหนดให้ผู้มีความประสงค์จะตั้งโรงฆ่าสัตว์ โรงพักสัตว์ และการฆ่าสัตว์ ให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนดพร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน การยื่นคำขอรับใบอนุญาตในกรุงเทพมหานครให้ยื่น ณ กรมปศุสัตว์ ในเขตจังหวัดอื่นให้ยื่น ณ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดแห่งท้องที่ที่โรงฆ่าสัตว์และโรงพักสัตว์นั้นตั้งอยู่ และกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาออกใบอนุญาต ๔. กำหนดให้สถานที่ตั้งโรงฆ่าสัตว์และโรงพักสัตว์ต้องอยู่ในทำเลที่เหมาะสม มีการคมนาคมที่สะดวก มีบริเวณเพียงพอต่อการประกอบกิจการโรงฆ่าสัตว์ โรงพักสัตว์ และการฆ่าสัตว์ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย เหตุรำคาญ หรือความเสียหายต่อบุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น และห้ามตั้งอยู่ในบริเวณ เช่น บริเวณที่ห้ามตั้งโรงงานหรือห้ามตั้งโรงฆ่าสัตว์ตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง เป็นต้น กำหนดลักษณะของโรงฆ่าสัตว์ในบริเวณรอบนอกอาคาร โครงสร้างภายในอาคาร บริเวณภายในอาคาร เครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงฆ่าสัตว์ และลักษณะของโรงพักสัตว์ ๕. กำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้รับใบอนุญาตต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ เช่น จัดให้มีการพักสัตว์ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม งดให้อาหารสัตว์ก่อนทำการฆ่าสัตว์ เป็นต้น กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการป้องกันการระบาดของโรคติดต่อ เช่น จัดให้มีการตรวจโรคสัตว์ภายในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนทำการฆ่าสัตว์ เป็นต้น รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการควบคุมสุขลักษณะส่วนบุคคลและสุขลักษณะในการปฏิบัติงาน ๖. กำหนดให้หยุดทำการฆ่าสัตว์ในวันพระ ยกเว้นสัตว์ปีก และวันสำคัญตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ๗. กำหนดให้โรงฆ่าสัตว์ โรงพักสัตว์ และการฆ่าสัตว์ใดที่ได้รับใบอนุญาตอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามกฎกระทรวงนี้ ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ โรงฆ่าสัตว์ โรงพักสัตว์ และการฆ่าสัตว์จำพวกไก่ เป็ด และห่านที่ได้ดำเนินการอยู่ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. ๒๕๓๕ บังคับกับไก่ เป็ด และห่านในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๔๙ ใช้บังคับ ให้ได้รับยกเว้นหลักเกณฑ์ตามข้อ ๖(๑) และ (๒)
|
|||||||||||||||||||||
| 2772 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ พ.ศ. .... | ศธ | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาเทคโนโลยีและสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์เพิ่มขึ้น ๑.๒ กำหนดสีประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีและสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์เพิ่มขึ้น ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีสาระสำคัญเป็นเพียงการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา และกำหนดสีประจำสาขาวิชาเพิ่มเติมเท่านั้น เห็นควรจัดทำเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับแก้ไขเพิ่มเติมแทนการปรับปรุงทั้งฉบับ ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 2773 | การบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต | นร | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบแนวทางการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต และงบประมาณในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของส่วนราชการ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบแนวทางการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต ประกอบด้วย ๒ ระยะ ๔ ขั้นตอน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ระยะเร่งด่วน ดำเนินการในช่วงเดือนมีนาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ๑.๑.๑.๑ ขั้นตอนที่ ๑ สร้างความรู้ ความเข้าใจ (เดือนมีนาคม ๒๕๕๕) ได้แก่ การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง “การบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต” ให้แก่ส่วนราชการ การกำหนดแบบประเมินความพร้อมของการบริหารจัดการในสภาวะวิกฤต (Checklist) และการพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ด้วยตนเองให้แก่ส่วนราชการ และพัฒนาช่องทางการเรียนรู้ผ่าน e-learning หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ สำนักงาน ก.พ.ร. ๑.๑.๑.๒ ขั้นตอนที่ ๒ การเตรียมความพร้อมให้ส่วนราชการ (เดือนมีนาคม - เมษายน ๒๕๕๕) ได้แก่ การทบทวนแผนสำรองฉุกเฉินของส่วนราชการเพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต ซึ่งการจัดทำแผนดังกล่าวต้องพิจารณาให้ครอบคลุมในประเด็นสำคัญ เช่น การระบุงานสำคัญที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการส่งมอบงานบริการ การประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่งานสำคัญจะหยุดชะงัก การวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเพื่อประเมินความเสียหายของงานสำคัญที่จะหยุดชะงัก กำหนดลำดับความสำคัญ และจัดสรรทรัพยากร เป็นต้น การกำหนดมาตรการการเตรียมความพร้อมของส่วนราชการ ได้แก่ มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านกระบวนการ มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูล และมาตรการการเตรียมความพร้อมด้านสถานที่และงบประมาณ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๑.๓ ขั้นตอนที่ ๓ ซักซ้อมแผนและนำไปปฏิบัติจริง (เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕) ได้แก่ ส่วนราชการจัดให้มีการอบรมและประชาสัมพันธ์แผนรองรับการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก การจัดให้มีการสื่อสารเพื่อป้องกันและลดความตระหนกของผู้ที่เกี่ยวข้อง และสาธารณชน รวมทั้งสามารถแจ้งเหตุแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างทันท่วงที การกำหนดสถานที่สำรองเพื่อทำการทดสอบ การทดสอบกับสถานการณ์จริงอย่างน้อยปีละครั้ง โดยบุคลากรของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกระดับต้องมีส่วนร่วมในการทดสอบ การทดสอบและประเมิน รวมทั้งการปรับปรุงแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๒ ระยะยาว ขั้นตอนที่ ๔ ส่งเสริมให้มีการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตอย่างยั่งยืน ดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ได้แก่ การส่งเสริมส่วนราชการให้มีระบบรองรับภาวะวิกฤตที่ยั่งยืน โดยส่วนราชการต้องติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามระบบที่วางแผนไว้ การปรับปรุง สื่อสารสร้างความเข้าใจ และซักซ้อมแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตให้ครอบคลุมทั้งกระบวนการตามพันธกิจ และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเตรียมความพร้อมด้านระบบงานต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๒ งบประมาณในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของส่วนราชการ ได้แก่ งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการในส่วนของการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ส่วนราชการผนวกรวมเข้าไปกับแผนการฝึกอบรมที่ส่วนราชการต้องดำเนินการอยู่แล้ว และงบประมาณในส่วนของการนำไปสู่การปฏิบัติ เช่น การจัดหาสถานที่สำรอง การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อให้การบริการไม่หยุดชะงัก เป็นต้น ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตควรคำนึงถึงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจภายใต้ทรัพยากรและงบประมาณที่มีอย่างจำกัดได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของแต่ละส่วนราชการควรมีการเชื่อมโยงให้เกิดการบริหารจัดการในภาวะวิกฤตในระดับประเทศ รวมทั้งกรอบระยะเวลาดำเนินการควรพิจารณาปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมและสามารถปฏิบัติงานตามกรอบเวลาได้จริง และควรมีแนวทางการจัดทำแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตเพื่อให้ทุกส่วนราชการนำไปจัดทำแผนการดำเนินงานตามแต่ภารกิจของแต่ละหน่วยงาน พร้อมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจให้ทุกส่วนราชการที่ต้องจัดทำแผน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการทำงานในภาพรวมกรณีเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ภาคราชการ และภาคเอกชนสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ และจัดทำแผนบูรณาการในเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 2774 | การปรับปรุงโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท | กค | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักการปรับปรุงโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ดังนี้ ๑.๑.๑ ปรับปรุงเงื่อนไขการดำเนินงานโครงการพักหนี้ฯ ที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แล้ว โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ร่วมโครงการพักหนื้ฯ ซึ่งมีลูกหนี้ที่ต้องเข้ากระบวนการฟื้นฟูศักยภาพต้องเร่งรัดการจัดทำแผนฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้และเริ่มฟื้นฟูลูกหนี้อย่างเป็นรูปธรรมภายหลังสิ้นสุดการรับยื่นแบบแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕ ตามแผนงานที่คณะทำงานฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้โครงการพักหนี้ฯ กำหนด พร้อมจัดทำแผนการชำระหนี้ใหม่ร่วมกับลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้เริ่มชำระหนี้คืนได้หลังจาก ๑๒ เดือนนับแต่วันที่สิ้นสุดการฟื้นฟูลูกหนี้แต่ละราย หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ตามแผนชำระหนี้ใหม่ได้ หรือไม่สามารถแสดงให้เห็นว่ามีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดีขึ้นจากก่อนเข้าโครงการ ลูกหนี้ดังกล่าวจะยังคงมีสถานะเป็นลูกหนี้พักหนี้ในโครงการพักหนี้ฯ แต่รัฐบาลจะไม่ต่อระยะเวลาชดเชยต้นทุนเงินสำหรับการพักหนี้ในอัตราร้อยละ ๔ ต่อปี ๑.๑.๒ ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการซึ่งได้รับการชดเชยต้นทุนเงินจากรัฐบาลในอัตราร้อยละ ๔ ต่อปี สามารถนำเงินชดเชยที่ได้ไปขยายการให้สินเชื่อพัฒนาภาคเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจมีการขยายวงเงินสินเชื่อใหม่สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จากเงินชดเชยที่ได้รับ ๑.๑.๓ ขยายกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มเติมรูปแบบการช่วยเหลือ โดยเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สถานะปกติของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) เข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ โดยมีคุณสมบัติคือ ต้องมีหนี้คงค้างไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ก่อนวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ และมีสถานะหนี้ปกติ ณ วันที่มายื่นความจำนงเข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ ต้องไม่เป็นหนี้ประเภทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อ/ลิสซิ่ง และสินเชื่อสำหรับผู้มีรายได้ประจำ และต้องไม่เป็นลูกหนี้ที่ได้รับการลดอัตราดอกเบี้ย หรือได้รับอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษตามข้อตกลงจากสถาบันการเงินนั้น ๆ อยู่แล้ว ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่มีสถานะหนี้ปกติตามเงื่อนไขดังกล่าว สามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ โดยลูกหนี้สามารถสมัครใจเลือกพักเงินต้นและลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี หรือลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปีโดยไม่พักเงินต้น เป็นระยะเวลา ๓ ปี และลูกหนี้สามารถมีสิทธิ์ขอกู้เพิ่มจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้นตามความสามารถในการชำระหนี้ได้ทั้ง ๒ กรณี โดยการกู้ยืมเพิ่มจะชำระดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน ณ วันที่ได้รับการอนุมัติให้กู้เพิ่ม ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาและดำเนินการในรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติลูกหนี้ที่เข้าพักหนี้หรือลดภาระหนี้ และเงื่อนไขโครงการสำหรับการเกษตร ตามที่เสนอ ๑.๓ แนวทางเบื้องต้นสำหรับการบรรเทาผลกระทบทางการเงินให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๔ กรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงของสถาบันการเงินเฉพาะกิจจากการดำเนินโครงการที่ปรับปรุงใหม่ ในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อปี คิดเป็นวงเงินในช่วงโครงการพักหนี้ ๓ ปี รวมเป็นเงิน ๒๒,๘๕๑.๘๒ ล้านบาท โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ร่วมโครงการทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เสนอเพิ่มเติมว่า เห็นควรปรับปรุงคุณสมบัติของลูกหนี้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการ จากเดิม “๔.๒.๑ ต้องมีหนี้คงค้างไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ก่อนวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ ...” เป็น “๔.๒.๑ ต้องมีหนี้คงค้างไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ก่อนวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ...” ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้กับสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรด้วย เพื่อให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรดังกล่าวพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้กับสมาชิกต่อเนื่องได้ และในการจัดทำแผนฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ ควรให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ความเข้าใจทางการเงิน การออม การลงทุน การบริหารความเสี่ยง และการสร้างวินัยทางการเงิน รวมทั้งการเพิ่มรายได้จากการพัฒนาประสิทธิภาพและมูลค่าของสินค้าและผลิตภัณฑ์ การลดรายจ่ายและต้นทุนในการประกอบอาชีพ และการสร้างความมั่นคงด้านอาหารในครัวเรือนควบคู่ไปด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2775 | ขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ | กค | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการปรับแก้ไขหลักเกณฑ์และแนวทางในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดระยะเวลาการทำสัญญาเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ จาก ๓ ปี เป็น ๕ ปี เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณในส่วนของรายการค่าเช่ารถยนต์ เนื่องจากผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์จะเสนอราคาค่าเช่าในอัตราที่ต่ำกว่าการทำสัญญาเช่ารถยนต์เป็นระยะเวลา ๓ ปี ประกอบกับมีข้อเสนอแนะของส่วนราชการหลายแห่งที่เห็นว่า รถยนต์ที่ใช้ในการปฏิบัติภารกิจของหน่วยงานที่มีระยะเวลาการใช้ ๕ ปี หากมีการบำรุงรักษาที่ดีอย่างต่อเนื่องจะมีสภาพและสมรรถนะที่สามารถรองรับการปฏิบัติงานตามภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒ ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการคำนวณอัตราค่าเช่ารถยนต์จากอัตราเดิม ปรับลดลงประมาณร้อยละ ๑๐ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและประหยัดงบประมาณของทางราชการสูงสุด โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๒.๑ ปรับลดรายการค่ากำไร จากเดิมร้อยละ ๘ เป็นร้อยละ ๕ เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารปัจจุบันที่ปรับลดลงซึ่งอัตราที่ปรับลดดังกล่าวยังคงสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ๑.๒.๒ ปรับลดค่าซ่อมบำรุงรักษาและน้ำมันหล่อลื่น ให้ปรับลดลงในภาพรวมร้อยละ ๑๐ จากที่กำหนดไว้เดิม เนื่องจากการคำนวณอัตราค่าเช่าเดิมกำหนดให้มีค่าซ่อม ๒ รายการ คือ ค่าซ่อมปกติ ค่าซ่อมกลางและค่าน้ำมันหล่อลื่น ๑.๒.๓ ปรับค่าอำนวยการและค่ารถทดแทน จากเดิมร้อยละ ๑๒ เป็นร้อยละ ๘ เนื่องจากข้อเท็จจริงพบว่า การใช้รถยนต์ของส่วนราชการมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นน้อยมาก โอกาสที่ผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์ต้องจัดรถทดแทนให้ส่วนราชการจึงมีน้อย ๑.๒.๔ ปรับลดค่าเบี้ยประกันภัยชั้น ๑ จากเดิมร้อยละ ๒.๔ ของราคารถยนต์ เป็นร้อยละ ๑.๒ เนื่องจากสูตรการคำนวณอัตราค่าเช่ารถยนต์ได้กำหนดค่ากำไรให้ผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์แล้ว จึงเห็นควรให้ผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์ร่วมรับผิดชอบค่าเบี้ยประกันภัยกับรัฐในอัตราส่วนที่เท่ากัน จากการปรับสูตรการคำนวณตามรายการข้างต้นจะทำให้อัตราค่าเช่ารถยนต์ประเภทต่าง ๆ มีอัตราลดลงประมาณร้อยละ ๑๐ ทั้งนี้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการคำนวณอัตราค่าเช่ารถยนต์ดังกล่าว ให้ใช้กับการทำสัญญาเช่ารถยนต์ใหม่เท่านั้น ส่วนสัญญาเช่ารถยนต์ที่ทำไปแล้วก่อนที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์เดิมต่อไปจนกว่าสัญญาเช่าจะสิ้นสุด ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับรถยนต์ที่นำมาใช้ในราชการ เช่น การจ้างพนักงานขับรถ การเบิกจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการของพนักงานขับรถที่จ้างจากภายนอก (outsource) และการดำเนินการสำหรับรถราชการที่มีอายุใช้งานนาน เช่น ใช้งานมาเกินกว่า ๑๐ ปี และยังไม่สามารถจัดหารถยนต์ใหม่ทดแทน เป็นต้น และหากจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องก็ให้ดำเนินการ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 2776 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการดาวเทียมไทย | สสป | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการดาวเทียมไทย ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะด้านความมั่นคงทางการสื่อสาร ๑.๑ เร่งผลักดันให้มีหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมและกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยเฉพาะ รวมทั้งดูแลและผลักดันให้เกิดการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม และการส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย ๑.๒ สร้างความรู้ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์เรื่องดาวเทียมไทยต่อภาคประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและตระหนักถึงประโยชน์ดาวเทียมไทยและการรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสทุกภาคส่วน ๑.๓ ไม่ควรซื้อดาวเทียมคืนจากภาคเอกชน เนื่องจากดาวเทียมดังกล่าวมีหน่วยงานภาครัฐกำกับดูแลอยู่แล้ว ๑.๔ สนับสนุนการเตรียมการในการยิงดาวเทียมดวงใหม่ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร เพื่อรองรับความต้องการใช้งานในอนาคต โดยพิจารณาถึงปริมาณเงินลงทุน อายุของดาวเทียมเดิมที่มีอยู่และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งสัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดอายุในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ จึงควรมีนโยบายและการเตรียมการล่วงหน้าที่ชัดเจนตั้งแต่ปัจจุบันเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด ๒. ข้อเสนอแนะการบริหารจัดการทั่วไป ๒.๑ ไม่ควรบริหารกิจการดาวเทียมเอง เนื่องจากกิจการดาวเทียมเป็นกิจการที่มีการแข่งขันในตลาดระหว่างประเทศด้วย แต่ควรเข้ามากำหนดนโยบายตรวจสอบการดำเนินกิจการดาวเทียมอย่างเคร่งครัด ๒.๒ สนับสนุนให้มีการแข่งขันเสรีเรื่องดาวเทียม โดยยกเลิกระบบสัมปทาน (Concessions) เป็นใบอนุญาต (License) ๒.๓ มีการปรับปรุงกฎหมาย/ระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหรือกำกับดูแลเรื่องดาวเทียม ๒.๔ วางระเบียบกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาต (License) และการอนุญาตให้ดำเนินการ เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุด ๒.๕ สนับสนุนให้ภาคเอชนแข่งขันทางการตลาดภายในประเทศอย่างเป็นธรรม และมีศักยภาพเพื่อแข่งขันกับตลาดโลกได้ ๒.๖ พัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจประกันภัยที่ควรครอบคลุมถึงการประกันภัยวัตถุอวกาศ และอุปกรณ์เคลื่อนที่ กฎหมายอวกาศเกี่ยวกับเรื่องความรับผิดทางแพ่งและอาญา รวมทั้งการละเมิดทางการปกครอง และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะอวกาศ รวมทั้งการดำเนินการใด ๆ อันเป็นการขัดต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการใช้อวกาศส่วนนอกภายใต้ UNCOPOUS ที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญา
|
|||||||||||||||||||||
| 2777 | ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล พ.ศ. 2554 | พม | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำความเห็นและข้อเสนอแนะจากที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล ปี ๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ไปประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายและแผนการพัฒนา โดยดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการมุ่งสร้างความเข้มแข็งในภาคเกษตรโดยการลดภาระหนี้สินของเกษตรกร สนับสนุนระบบเกษตรปลอดสารเคมีและเกษตรอินทรีย์ พัฒนาระบบตลาดที่เป็นธรรมด้านราคาของพืชผลการเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร อันจะนำไปสู่ความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ของเกษตรกร รวมถึงสร้างระบบความมั่นคงทางอาหารในสังคมไทย เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าร่วมประชาคมอาเซียน โดยมีประเด็นข้อเสนอ ได้แก่ หนี้สินเกษตรกร การสร้างรายได้ ราคาผลผลิตทางการเกษตร เกษตรพันธะสัญญาและความมั่นคงทางอาหาร การค้าเสรีและประชาคมอาเซียน ๑.๒ ข้อเสนอต่อนโยบายสังคม มุ่งพัฒนาสังคมโดยเน้นแนวทางปลูกจิตสำนึกคุณธรรมจริยธรรม ใช้ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นเครื่องมือและให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทหลักในการจัดการปัญหายาเสพติดและการพนัน แรงงานข้ามชาติ เด็กและเยาวชน กลุ่มชาติพันธุ์และคนไร้รัฐ บนหลักการสิทธิมนุษยชน โดยมีประเด็นข้อเสนอ ได้แก่ ศาสนาและวัฒนธรรม ยาเสพติดและการพนัน แรงงานข้ามชาติ ผู้หญิง เด็กและเยาวชน กลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มคนไร้รัฐ ๑.๓ ข้อเสนอต่อนโยบายกฎหมาย โครงสร้าง และวิธีปฏิบัติราชการ รัฐบาลควรดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างในทุกระดับ โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปรับปรุงโครงสร้างรัฐและออกแบบโครงสร้างองค์กรปกครองท้องถิ่นให้เหมาะกับบริบทพื้นที่ เนื้อหาสำคัญคือ “การกระจายอำนาจในรูปแบบชุมชน/ท้องถิ่น/จังหวัด จัดการตนเอง” หรืออาจจะเรียกชื่ออื่น ๆ ที่ภาคประชาชนสามารถเข้าใจได้ ภารกิจปฏิรูปประเทศไทยมีเนื้อหาสองประการ คือ นวัตกรรมปรับปรุงกลไกองค์กรและการสร้างขบวนการภาคประชาชน ในการเข้าร่วมภารกิจปฏิรูปประเทศไทย ภารกิจสองประการนี้จะต้องดำเนินการเป็นองค์รวมร่วมกันเพื่อให้เกิดความคืบหน้าความสำเร็จที่วัดผลได้ โดยมีประเด็นข้อเสนอ ได้แก่ กำจัดการทุจริตคอรัปชั่น การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น การพัฒนาภาคใต้ การเสริมสร้างความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พื้นที่ปกครองพิเศษเพื่อให้จังหวัดจัดการตนเอง ๑.๔ ข้อเสนอต่อนโยบายคุณภาพชีวิต ยกระดับการพัฒนาสุขภาวะชุมชนท้องถิ่นสู่การจัดการตนเอง สร้างคุณภาพการศึกษาเพื่อชีวิต จัดให้มีกองทุนชุมชนท้องถิ่นและกองทุนสวัสดิการชุมชนเพื่อยกระดับสังคมไทยให้เป็นสังคมสวัสดิการตลอดชีพ โดยมีประเด็นข้อเสนอ ได้แก่ สุขภาพ กองทุนชุมชนท้องถิ่นและกองทุนสวัสดิการชุมชน การศึกษา ๑.๕ ข้อเสนอต่อนโยบายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการดูแลอนุรักษ์จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยคำนึงถึงต้นทุนชีวิต สิทธิชุมชน ระบบนิเวศ เปิดโอกาสให้องค์กรชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และบริหารจัดการบนหลักการมีส่วนร่วม “ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตรวจสอบ ร่วมติดตามประเมินผล ร่วมรับประโยชน์” โดยมีประเด็นข้อเสนอ ได้แก่ ที่ดิน/ที่อยู่อาศัย การจัดการน้ำ/ลุ่มน้ำ/น้ำโขง การจัดการน้ำและลุ่มน้ำ ป่าไม้ เหมืองแร่ การจัดการภัยพิบัติ การจัดการทรัพยากรชายฝั่ง การจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พลังงาน และมาตรการเร่งด่วนด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายการบริหารและอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะแล้ว จึงให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับข้อเสนอเชิงนโยบายดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงาน จึงควรต้องมีการศึกษาในรายละเอียดเพิ่มเติมก่อนนำมาสู่การปฏิบัติว่า ข้อเสนอเชิงนโยบายดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแผนการดำเนินการต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วหรือไม่อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความซ้อนซ้ำในการทำงาน และเพื่อให้ข้อเสนอเชิงนโยบายขององค์กรชุมชนและของภาครัฐเกื้อหนุนซึ่งกันและกันเพื่อประโยชน์ของชุมชนต่อไป นอกจากนี้ บางประเด็นข้อเสนอที่เป็นแนวทางไปสู่การปฏิบัติอาจมีผลกระทบต่อภาคส่วนอื่น ควรมีข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติม โดยเฉพาะการวิเคราะห์เชื่อมโยงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เพื่อความเหมาะสมในการนำมากำหนดเป็นนโยบายและแผนงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาทั้งในระดับชุมชน ท้องถิ่น และระดับชาติต่อไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2778 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดมาตรการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... | พณ | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดมาตรการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดมาตรการจัดระเบียบการส่งออกและนำเข้าอย่างหนึ่งอย่างใดกับสินค้า ๑๕ กลุ่มรายการตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ดังต่อไปนี้ ๑.๑.๑ เป็นสินค้าที่ต้องแสดงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า หนังสือรับรองคุณภาพสินค้า หรือหนังสือรับรองตามความตกลงหรือประเพณีทางการค้าระหว่างประเทศต่อกรมศุลกากรในการส่งออกหรือนำเข้า ๑.๑.๒ เป็นสินค้าที่ผู้ส่งออกหรือผู้นำเข้าต้องขึ้นทะเบียนต่อกรมการค้าต่างประเทศหรือหน่วยงานอื่นที่กระทรวงพาณิชย์มอบหมาย ๑.๑.๓ เป็นสินค้าที่ต้องส่งออกหรือนำเข้าภายในช่วงระยะเวลาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ๑.๑.๔ เป็นสินค้าที่ต้องส่งหรือนำเข้าทางด่านศุลกากรที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ๑.๑.๕ เป็นสินค้าที่ผู้ส่งออกหรือผู้นำเข้าต้องส่งรายงานการส่งออกและการนำเข้าตามระยะเวลาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ๑.๒ มาตรการส่งออกและนำเข้าในแต่ละสินค้า ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กำหนดตามความเหมาะสมของสถานการณ์ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เกี่ยวกับการปรับปรุงบัญชีรายชื่อสินค้าท้ายร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ควรกำหนดให้ครอบคลุมถึงสินค้าเกษตรที่มีความสำคัญด้วย เช่น มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลัง ไปพิจารณา และหากมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มเติมสินค้าท้ายประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพิ่มเติมต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดในการส่งออกและนำเข้า เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อภาคเกษตรโดยรวมและผู้บริโภคในประเทศ และควรกำหนดปริมาณการส่งออกและนำเข้าที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรโดยรวม เกษตรกรและผู้ประกอบการแปรรูปในประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของราคาสินค้าเกษตร คุณภาพวัตถุดิบและความปลอดภัยผู้บริโภคในประเทศ รวมทั้งในการออกระเบียบของกระทรวงพาณิชย์จะต้องไม่เป็นการเพิ่มภาระและความยุ่งยากให้กับผู้ส่งออกและผู้ผลิตในประเทศที่จำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบ/ชิ้นส่วนจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบโดยทั่วถึง โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกหนังสือรับรอง การขึ้นทะเบียน และการตรวจสอบเพื่อการนำเข้าและส่งออก รวมถึงผู้ประกอบการนำเข้าหรือส่งออกสินค้า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการ |
|||||||||||||||||||||
| 2779 | แผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการบริหารจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๕ เกี่ยวกับแผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด คำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการเสนอ โดยมีผลการพิจารณา ดังนี้
๑. เห็นชอบกับแผนพัฒนาจังหวัด จำนวน ๗๖ จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด จำนวน ๑๘ กลุ่มจังหวัด ตามความเห็นของอนุกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (อ.ก.น.จ.) ด้านแผนและด้านงบประมาณ โดยเห็นว่าภาพรวมแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐบาล แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค รวมถึงยุทธศาสตร์รายสาขา รวมทั้งความสอดคล้องกับศักยภาพ โอกาส สภาพปัญหา และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ๒. เห็นชอบแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด ๗๖ จังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ๗๖ จังหวัด/๑๘ กลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความเห็นของ อ.ก.น.จ. ด้านแผนและด้านงบประมาณ โดยมีโครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุนงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ดังนี้ ๒.๑ โครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด จำนวน ๓๐๘ โครงการ รวม ๗,๑๗๗,๘๑๖,๗๙๔ บาท ๒.๒ โครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณจังหวัด ๗๖ จังหวัด จำนวน ๒,๙๑๖ โครงการ รวม ๑๘,๘๖๐,๙๗๓,๘๐๔ บาท ทั้งนี้ โครงการที่เห็นควรสนับสนุนข้างต้นเป็นโครงการที่สอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์จังหวัด/กลุ่มจังหวัด แต่จากข้อจำกัดทางด้านงบประมาณอาจไม่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการ ดังนั้น กรณีที่มีการพิจารณาต้นทุนต่อหน่วยของโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้วยังมีงบประมาณเหลืออยู่ เห็นชอบให้นำโครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรมาพิจารณาสนับสนุนเพิ่มเติมตามลำดับความสำคัญหรือที่สำรองไว้ในกรณีที่มีการแปรญัตติงบประมาณเพิ่มเติม ๒.๓ ในส่วนของโครงการที่ดำเนินการโดยกระทรวง ทบวง กรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ หรือเอกชนตามที่ปรากฏในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มอบให้จังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดประสานขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ๓. ให้คณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) และคณะกรรมการบริหารงานกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.ก.) พิจารณาแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้วแต่กรณี ว่ามีโครงการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล ซึ่งได้แก่ การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ การเชื่อมโยงระบบสาธารณูปโภคให้สอดคล้องกัน และการพัฒนาเตรียมการเพื่อการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณที่จะได้รับการจัดสรรหรือไม่ หากไม่มีและต้องการปรับปรุงแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด หรือแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัดให้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลดังกล่าว ให้ ก.บ.จ. หรือ ก.บ.ก. ปรับปรุงแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด หรือแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด โดยการทำโครงการที่ ก.น.จ. ให้ความเห็นชอบในหลักการ ซึ่งอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณที่จะได้รับการจัดสรรไปเป็นโครงการสำรอง แล้วเสนอโครงการใหม่ หรือนำโครงการสำรองมาแทนที่โครงการเดิม และหากโครงการใหม่นั้นไม่อยู่ในแผนพัฒนาจังหวัด หรือแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ให้ ก.บ.จ. หรือ ก.บ.ก. ปรับปรุงแผนพัฒนาจังหวัด หรือแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แล้วส่งให้ฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. และสำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และให้ฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. รวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาปรับปรุงแผนดังกล่าวโดยตรงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 2780 | รายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินประจำปี พ.ศ. 2553 | ปง | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ด้านการปราบปรามการฟอกเงิน ๑.๑.๑ สำนักงาน ปปง. ได้รับรายงานการทำธุรกรรม จำนวนทั้งสิ้น ๒,๓๒๔,๘๗๙ ธุรกรรม ได้แก่ ธุรกรรมเงินสด จำนวน ๖๙๓,๓๘๑ ธุรกรรม ธุรกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน จำนวน ๗๕๐,๒๕๒ ธุรกรรม ธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย จำนวน ๘๗๖,๙๘๒ ธุรกรรม การรับเรื่อง/การแจ้งเบาะแส จำนวน ๒๙๙ ธุรกรรม และเงินสดข้ามแดน จำนวน ๓,๙๖๕ ธุรกรรม ๑.๑.๒ การดำเนินการตรวจสอบวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับแจ้งแยกตามความผิดมูลฐาน ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ จำนวนรวมทั้งสิ้น ๕๒๑ เรื่อง ซึ่งทั้งหมดอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ ๑.๑.๓ การดำเนินคดีตามที่คณะกรรมการธุรกรรมได้มีคำสั่งยึดและ/หรืออายัดทรัพย์สิน ตั้งแต่วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ มูลค่าทรัพย์สินรวม ๔,๑๒๖,๘๐๑,๗๑๘.๙๗ บาท โดยศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน ๕๔๐ คดี มูลค่าทรัพย์สิน ๒,๔๓๙,๘๙๖,๒๗๒.๐๕ บาท และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล จำนวน ๕๓ คดี มูลค่าทรัพย์สิน ๕๖๐,๔๑๓,๙๓๙.๖๖ บาท ๑.๑.๔ การบริหารจัดการทรัพย์สินที่ได้จากการยึดและ/หรืออายัดทรัพย์สิน โดยขายทอดตลาดทรัพย์สิน จำนวน ๓๙ รายการ มูลค่า ๑,๖๖๓,๗๕๐ บาท ส่งคืนทรัพย์สินแก่เจ้าทรัพย์ในกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินสามารถแสดงให้ศาลเห็นว่าตนเป็นเจ้าของแท้จริงและทรัพย์สินนั้นไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน ๒ คดี มูลค่า ๒,๐๑๖,๖๕๘.๔๓ บาท ๑.๑.๕ นำทรัพย์สินที่ศาลสั่งตกเป็นของแผ่นดินส่งกระทรวงการคลัง จำนวน ๑๒ คดี มูลค่า ๑๕,๑๖๓,๙๘๒.๓๗ บาท ๑.๒ ด้านการป้องกันการฟอกเงิน สำนักงาน ปปง. ได้ร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนประชาชนทั่วไป ดังนี้ ๑.๒.๑ ส่งเสริมและประสานความร่วมมือกับภาคประชาชน ได้แก่ โครงการสายลับ ปปง. โครงการเครือข่ายภาคประชาชน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแก่ประชาชน เป็นต้น ๑.๒.๒ ส่งเสริมและประสานความร่วมมือกับต่างประเทศ ได้แก่ จัดทำบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ร่วมมือในฐานะสมาชิกกลุ่มองค์กรระหว่างประเทศ/ความร่วมมือในภูมิภาค ฝึกอบรม/ดูงาน เป็นต้น ๒. เห็นชอบให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลที่มีจำนวนบุคลากรไม่เพียงพอที่จะรองรับภารกิจสำคัญที่จะต้องปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เห็นควรให้สำนักงาน ปปง. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖)] ในส่วนของมาตรการบริหารจัดการกำลังคนเชิงยุทธศาสตร์ โดยทบทวนบทบาทภารกิจและเกลี่ยอัตรากำลังเพื่อให้การใช้กำลังคนเหมาะสมกับลักษณะงานและปริมาณงานของหน่วยงานในสังกัดก่อน หากดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวแล้วอัตรากำลังไม่เพียงพอ ก็ให้นำเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังให้ตามความจำเป็นและเหมาะสม สำหรับการกำหนดเงินเพิ่มพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ปปง. ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การกำหนดตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษและการกำหนดอัตราเงินเพิ่มของข้าราชการพลเรือนในภาพรวม เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำและมีความเป็นธรรมในภาคราชการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. เห็นชอบให้นำความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการกำหนดอัตรากำลังและการกำหนดเงินพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ปปง. รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างใหม่ของสำนักงาน ปปง. เป็นข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี และให้นำรายงานพร้อมทั้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
.....
