ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 132 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2621 - 2640 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2621 | ขออนุมัติกู้เงินตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ระยะที่ 10 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ชะลอการกู้เงินเพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ระยะที่ ๑๐ โดยให้ รฟท. โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จากแผนงานบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ โครงการชำระหนี้เงินกู้เพื่อชดเชยรายได้ค่าโดยสารที่ขาดหายไปจากการดำเนินการตามมาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ในวงเงิน ๔๕๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นแผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงการชดเชยรายได้ค่าโดยสารที่ขาดหายไปจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ในวงเงิน ๔๕๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ รฟท. เร่งรัดการขอบรรจุวงเงินกู้ดังกล่าวให้ทันกับการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจะเสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ รฟท. สามารถดำเนินการกู้เงินได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และมีข้อสังเกตว่าการดำเนินนโยบายกึ่งการคลัง (Quasi-fiscal policy) ในช่วงที่ผ่านมาในส่วนของการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพด้านการเดินทางจะเป็นในลักษณะที่ให้รัฐวิสาหกิจผู้ดำเนินมาตรการเป็นผู้กู้เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการที่รัฐวิสาหกิจนั้นได้สำรองจ่ายไปก่อนแล้ว ซึ่งคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะมีความเห็นว่าค่าใช้จ่ายตามมาตรการดังกล่าวเป็นวงเงินที่ไม่สูงมากนักและเป็นนโยบายที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นควรให้รัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการขอจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโดยตรงจากสำนักงบประมาณจะเหมาะสมกว่า ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2622 | กรอบการเจรจาการจัดทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (VPA) ในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (FLEGT) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป (EU) | ทส | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาการจัดทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (Voluntary Partnership Agreement : VPA) ในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (Forest Law Enforcement, Governance and Trade : FLEGT) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป (European Union : EU) เพื่อขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยสาระสำคัญของกรอบการเจรจาฯ มีดังนี้ ๑.๑ การกำหนดคำนิยามและกรอบสินค้าประเภทไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ของประเทศไทย ๑.๒ กำหนดการรับรองแหล่งที่มาของไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่ประเทศไทยส่งออกสู่ตลาดสหภาพยุโรป ๑.๓ การปรับปรุงและกำหนดหลักเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติในการรับรองแหล่งที่มาของไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ไม่สร้างภาระต้นทุนที่ไม่เหมาะสม และอำนวยความสะดวกทางการค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย รวมทั้งการลดอุปสรรคทางการค้าของสินค้าไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ของประเทศไทยให้มากที่สุด เพื่อขยายการส่งออกสินค้าประเภทนี้ของไทยอย่างยั่งยืน ๑.๔ ให้มีมาตรการป้องกันและเยียวยาสำหรับผู้ประกอบอุตสาหกรรมไม้ประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบจากกฎระเบียบการทำ VPA ๑.๕ ให้มีกลไกการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ๑.๖ ให้มีมาตรการช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป เช่น การสนับสนุนจากสหภาพยุโรปให้ใช้สินค้าไม้ของประเทศไทย ผ่านทางการจัดซื้อจัดจ้างที่คำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Procurement) การเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมไม้ของประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น ๑.๗ ให้มีการเจรจาเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในภาพรวม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรณีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งว่า อาจต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับ VPA อีกทั้งการกำหนดให้ต้องมีการรับรองว่าสินค้าไม้และผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาโดยถูกกฎหมายอาจมีผลกระทบการส่งออกไม้ของประเทศซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมอย่างกว้างขวาง กรณีจึงเข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนั้น ก่อนดำเนินการเพื่อทำ VPA จึงต้องมีการให้ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รวมทั้งเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสามของรัฐธรรมนูญฯ ด้วย นอกจากนี้ ให้กรมป่าไม้ดำเนินการพัฒนาระบบการตรวจสอบและการออกใบรับรองเกี่ยวกับไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่ได้มาตรฐานและมีความน่าเชื่อถือ ควบคู่กับการเจรจาการจัดทำ VPA และให้การสนับสนุนการสร้างความพร้อมแก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เสนอ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการป่าไม้เชิงอนุรักษ์ ป่าไม้เชิงพาณิชย์ และป่าไม้ชุมชนเพื่อรองรับการดำเนินการตามกรอบเจรจาดังกล่าว โดยให้นำโครงการ ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี มาร่วมพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2623 | รายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการลงนามในสัญญาเงินกู้ระหว่างสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ โดยมีวงเงินกู้ ๙๕.๔๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ ๑.๕ ต่อปี อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) กำหนดชำระดอกเบี้ย ๒๐ กุมภาพันธ์ และ ๒๐ สิงหาคมของทุกปี การชำระคืนเงินกู้ เริ่มชำระคืนวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และสิ้นสุดวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๗๕ ระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่าย ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘ ๑.๒ การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว ดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อ สปป.ลาว และประเทศไทย โดยโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์จะทำให้โครงข่ายการระบายน้ำจากนครหลวงเวียงจันทน์ไปยังแม่น้ำโขงมีความสมบูรณ์และมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทำให้ประชาชนในบริเวณพื้นที่โครงการฯ คือ เมืองจันทบุรีและเมืองศรีโคตรบอง ประมาณ ๓ แสนคน ได้รับประโยชน์ ไม่ต้องประสบปัญหาน้ำท่วมขังและน้ำเน่าเสียในช่วงฤดูฝนอันมีสาเหตุจากระบบระบายน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลได้โดยตรง และเป็นการสนับสนุนการใช้สินค้าไทย เนื่องจากเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว ดังกล่าวกำหนดให้ใช้สินค้าจากประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโครงการฯ ๒. ให้ สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการคัดเลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีศักยภาพและคุณภาพ ไม่มีประวัติการทำงานที่ล่าช้าและไม่มีคุณภาพ ก่อให้เกิดการชำรุดและซ่อมแซมที่เร็วกว่ากำหนดเวลาอันสมควร และกำกับการดำเนินงานก่อสร้างให้ได้มาตรฐานและเป็นไปตามกำหนดเวลา ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 2624 | สรุปรายงานการประชุม China-ASEAN Ministerial Meeting on Quality Supervision, Inspection and Quarantine (SPS Cooperation) ครั้งที่ 3 | กษ | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน-จีน ด้านการควบคุมคุณภาพ ตรวจสอบ และกักกัน China-ASEAN Ministerial Meeting on Quality Supervision Inspection and Quarantine (SPS Cooperation) ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๒ กันยายน ๒๕๕๕ ณ เมืองหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และคณะเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ ได้หารือและให้ความเห็นชอบในรายงานการประชุมและข้อเสนอแนะจากการประชุมระดับอธิบดีครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยรับทราบความคืบหน้ากิจกรรมในแผนปฏิบัติงานของปี พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ และเห็นชอบแผนปฏิบัติงานของปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ซึ่งมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ๑.๑ การแจ้งชื่อผู้ประสานงานกลางของประเทศสมาชิก ซึ่งประเทศสมาชิกได้มีการปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันแล้ว ๑.๒ การจัดทำเว็บไซต์ของอาเซียน-จีน ซึ่งจีนเป็นผู้จัดทำเว็บไซต์ดังกล่าวเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช กลไกการดำเนินงานและการแจ้งระหว่างกัน โดยได้มีการเปิดตัวเว็บไซต์อย่างเป็นทางการในการประชุมดังกล่าว ที่ประชุมขอให้ประเทศสมาชิกปรับปรุงข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้เป็นปัจจุบันเพื่อปรับปรุงโครงสร้าง เนื้อหา และการใช้ประโยชน์ต่อไปและหลังจากเปิดตัวทางการจะมีการจัดประชุมเกี่ยวกับการใช้เว็บไซต์อีกครั้ง ๑.๓ การสัมมนา/ฝึกอบรม ที่ประชุมรับทราบกิจกรรมฝึกอบรมในปีที่ผ่านมาและให้ความสำคัญในการจัดสัมมนา/ฝึกอบรมซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องการตรวจสอบกักกัน การระบาดของศัตรูพืชกักกัน เทคนิคในการตรวจสอบความปลอดภัยอาหาร เป็นต้น ๑.๔ การทำวิจัยร่วมและการแลกเปลี่ยนการเยือน จีนให้ความสนใจในการจัดทำวิจัยร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเสนอให้จัดหาแหล่งงบประมาณสนับสนุนกิจกรรมที่จะจัดขึ้น ขณะที่ฟิลิปปินส์สนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้เชี่ยวชาญ ๑.๕ กลไกในการหารือ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าและผลการดำเนินงานของการประชุมระดับผู้ประสานงาน (อธิบดี) และระดับเทคนิคที่ผ่านมา โดยฟิลิปปินส์เสนอให้มีการประชุมผู้ประสานงานบ่อยขึ้น ๒. ที่ประชุมเห็นชอบให้ต่ออายุบันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและอาเซียนในความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ที่จะสิ้นสุดการบังคับใช้ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ออกไปอีก ๑ ปี และให้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับใหม่ ซึ่งคาดว่าจะลงนามในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓. การประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งที่ ๔ มีกำหนดจะจัดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยจะมีการหารือเกี่ยวกับเจ้าภาพในการประชุม เวลาและสถานที่ในการประชุมระดับอธิบดีครั้งถัดไป
|
|||||||||||||||||||||
| 2625 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะ และวัฒนธรรม วุฒิสภา เรื่อง กฎบัตรประเทศไทยว่าด้วยการบริหารจัดการแหล่งมรดกวัฒนธรรม | วธ | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะ และวัฒนธรรม วุฒิสภา เรื่อง กฎบัตรประเทศไทยว่าด้วยการบริหารจัดการแหล่งมรดกวัฒนธรรม และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมตามรายงานดังกล่าวในประเด็นเกี่ยวกับการควบคุมดูแลรักษาพื้นที่ มรดกทางวัฒนธรรม บทนิยามศัพท์ วัตถุประสงค์ของกฎบัตร แนวทางปฏิบัติ หลักการและเหตุผล หลักการในการอนุรักษ์ การบริหารจัดการแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม และการบริหารจัดการแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยคณะกรรมาธิการฯ มีข้อสังเกต ดังนี้
๑. เนื่องจากกฎบัตรฯ ไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีผลบังคับใช้ แต่มีความสำคัญในการใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมของชาติ ให้กับทุกภาคส่วน อย่างน้อยที่สุดหน่วยงานของรัฐควรใช้เป็นแนวทางในการอ้างอิงเพื่อประโยชน์ในการปกปักรักษามรดกวัฒนธรรมของชาติและสนับสนุนการดำเนินงานโดยภาคประชาชน ๒. รัฐควรเป็นผู้เปิดโอกาสและเผยแพร่ให้ภาคประชาชนเห็นความสำคัญและใช้แนวทางในกฎบัตรฯ ในการสืบสานมรดกวัฒนธรรม รวมถึงเป็นผู้นำสู่การปรับปรุงกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๖๖ และมาตรา ๖๗ โดยวุฒิสภา เป็นผู้ประสานงาน ๓. รัฐควรสนับสนุนให้มีกองทุนเพื่อการบริหารจัดการมรดกวัฒนธรรมเพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินงานรักษามรดกวัฒนธรรมอย่างเป็นรูปธรรม เช่น Natioanl Trust ในอังกฤษ ๔. การนำแนวทางในกฎบัตรฯ ไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างนัยสำคัญ และถือเป็นความสำคัญอันดับต้น ๆ ในการพัฒนาท้องถิ่น
|
|||||||||||||||||||||
| 2626 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2555 ณ วันที่ 30 กันยายน 2555 | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ มียอดหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวน ๔,๙๓๗,๒๓๙.๖๒ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๓.๙๑ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยเป็นหนี้ของรัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน ๓,๕๑๕,๐๑๐.๙๕ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๖๔,๒๘๙.๑๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน ๓๕๒,๒๐๗.๓๕ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๕,๗๓๒.๒๑ ล้านบาท ส่วนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไม่มีหนี้คงค้าง โดยหนี้สาธารณะจำนวนดังกล่าวจำแนกตามอายุของหนี้เป็นหนี้ระยะยาว ๔,๖๕๘,๖๔๒.๒๒ ล้านบาท และหนี้ระยะสั้น ๒๗๘,๕๙๗.๔๐ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๔.๓๖ และร้อยละ ๕.๖๔ ตามลำดับ และจำแนกตามแหล่งที่มาเป็นหนี้ต่างประเทศ ๓๔๐,๖๗๑.๗๖ ล้านบาท และหนี้ในประเทศ ๔,๕๙๖,๕๖๗.๘๖ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๖.๙๐ และร้อยละ ๙๓.๑๐ ตามลำดับ ๒. ภาพรวมผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ ประกอบด้วย ๕ แผนงานย่อย และได้ปรับปรุงแผนฯ ในระหว่างปี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินกู้และบริหารหนี้ ซึ่งหลังการปรับปรุงแผนฯ ครั้งที่ ๔ ทำให้วงเงินรวมในแผนฯ ที่จะบริหารจัดการมีจำนวนทั้งสิ้น ๒,๒๗๘,๔๗๘.๗๒ ล้านบาท โดยในช่วงระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้ เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๑,๐๘๗,๒๘๔.๑๙ ล้านบาท ๓. ผลการดำเนินงานในช่วง ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม ๔๙๖,๔๒๐.๒๓ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงินรวม ๕๒๔,๘๒๕.๘๐ ล้านบาท แผนการบริหารความเสี่ยง วงเงินรวม ๓๗,๗๖๑.๑๖ ล้านบาท และแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ วงเงินรวม ๑๐,๑๑๙.๗๕ ล้านบาท ส่วนแผนการก่อหนี้ใหม่ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ ไม่มีการก่อหนี้ใหม่ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๔. สรุปผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (เมษายน-กันยายน ๒๕๕๕) กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนฯ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑,๐๕๙,๐๐๗.๑๙ ล้านบาท โดยมีความก้าวหน้าคิดเป็นร้อยละ ๕๐.๐๘ ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะทั้งปี สำหรับผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ ในช่วง ๖ เดือนหลัง ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้ รวมทั้งสิ้น ๒๘,๒๗๗.๐๐ ล้านบาท และจากการดำเนินการดังกล่าว กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้ รวมทั้งสิ้น ๑,๐๘๗,๒๘๔.๑๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๗.๗๒ ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะทั้งปี ทั้งนี้ การกู้เงินและการบริหารหนี้ตามแผนฯ แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาล จำนวน ๗๕๙,๙๖๗.๔๕ ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน จำนวน ๒๕๙,๑๒๑.๕๙ ล้านบาท และหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน จำนวน ๖๘,๑๙๕.๑๕ ล้านบาท |
|||||||||||||||||||||
| 2627 | การพิจารณาโครงการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันออก | นร11 | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการของรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่ในโครงการก่อสร้างแก้มลิงพรุคลองช้าง และโครงการก่อสร้างแก้มลิงพรุกง ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ดำเนินการปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการก่อสร้างแก้มลิงพรุคลองช้าง เนื่องจากพื้นที่ขุดลอกมีลักษณะเป็นพรุหรือแหล่งซับน้ำ ซึ่งหากทำการขุดลอกอาจมีผลกระทบกับระบบนิเวศและสภาพแวดล้อมของพื้นที่ เห็นควรให้กรมชลประทานพิจารณาตรวจสอบสภาพพื้นที่ที่จะดำเนินการขุดลอกและปรับแผนดำเนินการให้เหมาะสม แล้วนำเสนอ กบอ. พิจารณาต่อไป ๑.๒ โครงการก่อสร้างแก้มลิงพรุกง เนื่องจากพื้นที่ขุดลอกเป็นส่วนต่อเนื่องกับป่าพรุ จึงต้องระมัดระวังผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการดำเนินการขุดลอก เห็นควรให้กรมชลประทานรับทำการสำรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดกับพื้นที่ป่าพรุโดยรอบ แล้วนำเสนอ กบอ. พิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รับไปดำเนินการ โดยให้รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธาน กบอ. ที่เห็นควรให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษา สำรวจ และดำเนินการออกแบบเกี่ยวกับการก่อสร้างหรือปรับปรุงแหล่งน้ำที่เป็นพรุให้เป็นแก้มลิง ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย แล้วนำเสนอ กบอ. พิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 2628 | การปรับระบบบริหารงานบุคคลข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างกฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎ ก.พ.อ. ฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาอาจได้รับเงินประจำตำแหน่งตามบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาท้ายกฎ ก.พ.อ. นี้ ๑.๒ กำหนดให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการการจ่ายเงินประจำตำแหน่งตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการการจ่ายเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาใช้บังคับกับการจ่ายเงินประจำตำแหน่งตามกฎ ก.พ.อ. นี้โดยอนุโลม ๑.๓ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตำแหน่งวิชาการตามที่กำหนด และตำแหน่งอื่นตามที่ ก.พ.อ. กำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้รับเงินประจำตำแหน่ง และจะได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตราใดให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ ก.พ.อ. ประกาศกำหนด ๑.๔ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตำแหน่งประเภทผู้บริหารตามที่กำหนด และตำแหน่งอื่นตามที่ ก.พ.อ. กำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้รับเงินประจำตำแหน่ง การได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตราใดให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ ก.พ.อ. ประกาศกำหนด ๑.๕ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตำแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะ (วช.) ตามที่กำหนด ได้รับเงินประจำตำแหน่งตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ ก.พ.อ. ประกาศกำหนด แต่ให้ได้รับไม่ก่อนวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๓ ๑.๖ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตำแหน่งประเภทเชี่ยวชาญเฉพาะ (ชช.) ตามที่กำหนด ได้รับเงินประจำตำแหน่ง แต่ให้ได้รับไม่ก่อนวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๓ ๑.๗ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามข้อ ๑.๓ ข้อ ๑.๔ ข้อ ๑.๕ และข้อ ๑.๖ ตำแหน่งใด ระดับใด และปฏิบัติหน้าที่หลักของตำแหน่งดังกล่าวให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตราสำหรับตำแหน่งนั้น ๑.๘ กำหนดให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้รักษาราชการแทนหรือรักษาการในตำแหน่งประเภทผู้บริหารที่มีวาระการดำรงตำแหน่งตามที่กำหนด ได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตราที่กำหนดไว้ในตำแหน่งนั้นนับแต่วันที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ จนถึงวันที่พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ แต่ต้องไม่เกินหกเดือน ๑.๙ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาซึ่งเคยดำรงตำแหน่งอาจารย์ ๓ ตำแหน่งครู หรือตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามที่กำหนด ให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตราตามตำแหน่งที่กำหนด นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ ๒ เกี่ยวกับการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งประเภทผู้บริหารในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดี ผู้อำนวยการสำนักงานวิทยาเขต ผู้อำนวยการกองหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากองตามมาตรา ๑๘ (ข) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยเทียบเคียงกับตำแหน่งประเภทอำนวยการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และการกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาได้รับเงินประจำตำแหน่งตามกฎ ก.พ.อ. ฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 2629 | รายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี | ยธ | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment : CAT) โดยเนื้อหาของรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยฯ ประกอบด้วย ๒ ส่วน ได้แก่ ๑.๑.๑ ส่วนที่ ๑ ข้อมูลพื้นฐาน ประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างทางการเมือง หลักกฎหมายทั่วไปในการให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชน หลักในกฎหมายอาญาและหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา สถานะของอนุสัญญาฯ ในกฎหมายภายใน หลักประกันการไม่สามารถยกเลิกเพิกถอนการห้ามการปฏิบัติหรือการลงโทษใด ๆ ที่ทารุณโหดร้าย หรือทำให้เสื่อมเสียศักดิ์ศรี การนำข้อกำหนดในอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ มาใช้โดยศาลหรือเจ้าพนักงานฝ่ายบริหาร และภาพรวมของการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ และปัญหาอุปสรรค ๑.๑.๒ ส่วนที่ ๒ การปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ แต่ละข้อบท โดยวิเคราะห์กฎหมาย กฎ ระเบียบ มาตรการ และกลไกต่าง ๆ ที่ประเทศไทยมีอยู่เพื่อรองรับส่วนที่เป็นสาระบัญญัติ คือ ข้อบทที่ ๑-๑๖ ของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเสนอรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาฯ ฉบับภาษาอังกฤษ ต่อคณะกรรมการต่อต้านการทรมานขององค์การสหประชาชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับข้อสังเกตของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยฯ มีการระบุถึงข้อจำกัดในการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ กระทรวงยุติธรรมควรดำเนินการแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้การดำเนินงานในระยะต่อไปมีความชัดเจน สอดคล้องกับพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาฯ รวมทั้งข้อเสนอแนะจากกลไกการรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายใต้กระบวนการ Universal Periodic Review (UPR) ว่าด้วยการปรับปรุงกฎหมายสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ และเป็นการแสดงถึงพัฒนาการการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของไทยอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2630 | รายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ลงนามในสัญญากู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ระยะเวลาการกู้เงิน ๔ ปี ระยะเวลาในการเบิกจ่ายเงินกู้ ๖ เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญาเงินกู้ ซึ่งเป็นการกู้ในรูปแบบ Term Loan อัตราดอกเบี้ยร้อยละ Bibor+๐.๔๐ และ Bibor+๐.๔๓ คิดเป็นอัตราเฉลี่ย ร้อยละ ๓.๖๓ และ ๓.๖๖ ต่อปี ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ได้มีการเบิกจ่ายเงินกู้สำหรับดำเนินโครงการตามพระราชกำหนดดังกล่าวเป็นวงเงินรวม ๑,๘๐๐ ล้านบาท ๒. หน่วยงานเจ้าของโครงการได้นำวงเงินกู้ดังกล่าวไปดำเนินการตามแผนงานการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่า และระบบนิเวศ ซึ่งเป็นโครงการอนุรักษ์ป่าและดิน การทำฝาย เพื่อทำหน้าที่ปรับอัตราการไหลของน้ำหลากสูงสุด (peak discharge) อีกทั้งการดำเนินการในแผนงานฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพสิ่งก่อสร้าง ซึ่งแบ่งออกเป็นการป้องกันปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วนในพื้นที่ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา และการป้องกันปัญหาอุทกภัยในระยะยาว ทั้งในส่วนของโครงการก่อสร้างและพัฒนาประสิทธิภาพประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำ และโครงการปรับปรุงระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อป้องกันหรือลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่แหล่งชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจ รวมถึงการดำเนินการตามแผนงานที่มีการกำหนดพื้นที่รับน้ำนองและมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้พื้นที่ในการรับน้ำ โดย ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ โครงการดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จและอยู่ระหว่างดำเนินโครงการ ทั้งนี้ ผลที่ได้รับจากการกู้เงินภายใต้พระราชกำหนดนี้ ทำให้รัฐบาลสามารถดำเนินการตามความจำเป็นเร่งด่วนในการบูรณะและฟื้นฟูประเทศ ตลอดจนเยียวยาความเสียหายให้แก่ประชาชน รวมทั้งดำเนินการวางระบบการบริหารจัดการน้ำ โดยคาดว่าจะสามารถป้องกันการเกิดภัยพิบัติในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบอาชีพของประชาชนและผู้ลงทุน เพื่อการพัฒนา และรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 2631 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ ตามมติคณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง ในการประชุมเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และการกำหนดเงื่อนไขรายละเอียดราคากลางงานก่อสร้างในเอกสารสอบราคา เอกสารประกวดราคา หรือเอกสารประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามมติคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางก่อสร้างของทางราชการ ให้นำรายละเอียดการคำนวณราคากลางตาม BOQ. (Bill of Quantities) ซึ่งเป็นรายงานการคำนวณราคากลางที่ผู้มีหน้าที่คำนวณราคากลางได้จัดทำขึ้นตามข้อกำหนดตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างและที่หัวหน้าส่วนราชการได้ให้ความเห็นชอบแล้วไปประกาศเปิดเผย โดยปรับปรุงแนวทางและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง ในส่วนของการเปิดเผยราคากลาง (ข้อ ๒๐) จากที่กำหนดไว้เดิมเป็น “๒๐. ในการจ้างก่อสร้างทุกครั้ง ให้หน่วยงานที่จะมีการจ้างก่อสร้างประกาศเปิดเผยข้อมูลราคากลาง ทางเว็บไซต์ของหน่วยงาน และเว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง (www.gprocurement.go.th) โดยแนบรายละเอียดการคำนวณราคากลางตาม BOQ. (Bill of Quantities) ซึ่งผู้มีหน้าที่คำนวณราคากลางได้จัดทำขึ้นตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างและหัวหน้าส่วนราชการได้ให้ความเห็นชอบแล้วเป็นเอกสารหรือเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ (CD-ROM) เพื่อให้ผู้สนใจสามารถตรวจดูและหรือดาวน์โหลดไปตรวจดูได้พร้อมกับการประกาศสอบราคา ประกาศประกวดราคา หรือตามที่กำหนดสำหรับการจัดจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือการจัดจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการอื่น ทั้งนี้ รายละเอียดการคำนวณราคากลางตาม BOQ. (Bill of Quantities) ที่ต้องประกาศเปิดเผยดังกล่าว ให้หมายถึงรายละเอียดการคำนวณราคากลางตามแบบฟอร์ม ได้แก่ กรณีงานก่อสร้างอาคาร หมายถึง แบบฟอร์ม ปร. ๔, ปร. ๔ (พ), ปร. ๕ (ก). ปร. ๕ (ข) และ ปร. ๖ กรณีงานก่อสร้างทาง สะพาน และท่อเหลี่ยม หมายถึง แบบฟอร์มสรุปราคากลางงานก่อสร้างทาง สะพาน และท่อเหลี่ยม และกรณีงานก่อสร้างชลประทาน หมายถึง แบบฟอร์มสรุปราคากลางงานก่อสร้างชลประทาน” ๑.๒ การกำหนดเงื่อนไขรายละเอียดราคากลางงานก่อสร้างในเอกสารสอบราคา เอกสารประกวดราคา หรือเอกสารประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ๑.๒.๑ การจ้างก่อสร้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้นำรายละเอียดการคำนวณราคากลางตาม BOQ. (Bill of Quantities) ตามแบบฟอร์มข้างต้น กำหนดไว้ในตัวอย่างเอกสารประกวดราคาจ้างในส่วนของเอกสารแนบท้ายเอกสารประกวดราคา โดยกำหนดเพิ่มเติมเป็น “ข้อ ๑.๘ รายละเอียดการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตาม BOQ. (Bill of Quantities) (รายละเอียดการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างเป็นการเปิดเผยเพื่อให้ผู้ประสงค์จะเสนอราคาได้รู้ข้อมูลได้เท่าเทียมกันและเพื่อให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้) ข้อ ๑.๙ ...” ทั้งนี้ ให้นำหลักเกณฑ์ดังกล่าวไปกำหนดไว้ในเอกสารสอบราคาจ้างด้วย ๑.๒.๒ การจ้างก่อสร้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ให้นำรายละเอียดการคำนวณราคากลางตาม BOQ. (Bill of Quantities) ตามแบบฟอร์มข้างต้นกำหนดไว้ในตัวอย่างเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ในส่วนของเอกสารแนบท้ายเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์โดยกำหนดเพิ่มเติมเป็น “ข้อ ๑.๑๐ รายละเอียดการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตาม BOQ. (Bill of Quantities) (รายละเอียดการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างเป็นการเปิดเผยเพื่อให้ผู้ประสงค์จะเสนอราคาได้รู้ข้อมูลได้เท่าเทียมกัน และเพื่อให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้) ข้อ ๑.๑๑ ...ฯลฯ...” โดยให้กำหนดรายละเอียดการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างดังกล่าวในขั้นตอนของการจัดทำเอกสารประกาศเชิญชวน ๑.๒.๓ สำหรับการเปิดเผยข้อมูลราคากลางงานก่อสร้างที่เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (www.gprocurement.go.th) ให้ปฏิบัติตามคู่มือการเปิดเผยข้อมูลราคากลางงานก่อสร้างในระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ www.gprocurement.go.th หัวข้อข่าวจัดซื้อจัดจ้างและหัวข้อดาวน์โหลดแนะนำ ๒. รับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ ตามที่ปลัดกระทรวงการคลัง และรองปลัดกระทรวงการคลัง (นางสาวสุภา ปิยะจิตติ) รายงาน ๓. คณะรัฐมนตรียืนยันการดำเนินนโยบายป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจังเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการและให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (เรื่อง การให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดทำข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะราคากลางและการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจดูได้และการกำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม)] และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเข้าหารือกับประธานกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้ว รวมทั้งปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น และพิจารณาแนวทางที่จะร่วมกันดำเนินการต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ และให้รายงานผลการหารือต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน |
|||||||||||||||||||||
| 2632 | รายงานประจำปี 2554 พร้อมรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | ศธ | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ พร้อมรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การยกระดับคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การวิจัย พัฒนาและเผยแพร่หลักสูตร สื่อ อุปกรณ์และกระบวนการเรียนรู้ โดยดำเนินโครงการวิจัย พัฒนาหลักสูตร สื่อกระบวนการเรียนการสอนการวัดและประเมินผลให้ทันสมัยทัดเทียมนานาชาติ โครงการพัฒนาศูนย์เรียนรู้ดิจิทัล ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี และโครงการวิจัยติดตามประเมินผลเพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งในประเทศและร่วมกับนานาชาติ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โดยดำเนินโครงการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โครงการพัฒนาศักยภาพครู เพื่อเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง และโครงการพัฒนาและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนพระราชดำริและโรงเรียนในท้องถิ่นทุรกันดาร ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การประเมินมาตรฐานการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โดยดำเนินโครงการพัฒนาและประเมินมาตรฐานครูบุคลากรทางการศึกษาและสถานศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี และโครงการพัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินสัมฤทธิผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การสร้างความเข้าใจให้สาธารณชนตระหนักในความสำคัญของวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โดยดำเนินโครงการสร้างเครือข่ายและแหล่งเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต และโครงการสร้างความตระหนักในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ๒. การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเต็มศักยภาพ ๒.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โดยดำเนินโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โครงการพัฒนาและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้ที่มีความรู้ความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ช่วงชั้นที่ ๒, ๓ และ ๔ และโครงการจัดการแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๒๓ ในปี ๒๕๕๔ ณ ประเทศไทย ๒.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๖ การพัฒนาและส่งเสริมครูที่มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โดยดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ๓. การปรับปรุงกระบวนการจัดการบริหารภายในและความรู้สู่องค์กรคุณภาพสูง ๓.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๗ การพัฒนาขีดความสามารถองค์กรให้มีศักยภาพสูง กำหนดเป้าหมายและทิศทางที่ชัดเจนด้วยความมั่นคง ต่อเนื่อง มีการประสานงานที่ดีตลอดเวลา รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้มีบุคลากรที่มีศักยภาพสูง มีระบบงาน กระบวนการ และทรัพยากรทางการบริหารจัดการที่มีคุณภาพ ทันสมัย และใช้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๓.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๘ การพัฒนาและบริหารจัดการองค์ความรู้ โดยดำเนินโครงการพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างองค์กร ระบบงานและค่าตอบแทน โครงการเสริมสร้างบทบาทของ สสวท. ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โครงการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากร โครงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อขยายขีดความสามารถการดำเนินภารกิจ โครงการพัฒนาและบริหารจัดการความรู้ และโครงการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ๔. ทิศทางและแผนการดำเนินงาน ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๔.๑ การยกระดับคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี เน้นการบูรณาการแผนงาน และทรัพยากรกับหน่วยงานอื่นเพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ ๔.๒ การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี อย่างเต็มตามศักยภาพ มุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรมสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษอย่างต่อเนื่อง ๔.๓ การปรับปรุงกระบวนการจัดการบริหารภายในและความรู้สู่องค์กรคุณภาพสูง ปรับโครงสร้างองค์กรให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ ปรับโครงสร้างเงินเดือนเพื่อดึงดูดผู้มีความสามารถและรักษาบุคลากรที่มีไว้กับองค์กร รวมทั้งพัฒนาและปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อขยายขีดความสามารถในการดำเนินภารกิจที่จะส่งผลต่อกระบวนการบริหารจัดการภายในที่มีประสิทธิภาพ ๕. งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว โดยผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของ สสวท. ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญ ตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด
|
|||||||||||||||||||||
| 2633 | การกำหนดค่าตอบแทนกรรมการบริษัท สินเชื่อไปรษณีย์ไทย จำกัด | กค | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดค่าตอบแทนกรรมการให้บริษัท สินเชื่อไปรษณีย์ไทย จำกัด (สปณ.) อยู่ในรัฐวิสาหกิจกลุ่มที่ ๓ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงอัตราเบี้ยกรรมการรัฐวิสาหกิจ) โดยให้กรรมการได้รับเบี้ยประชุมในอัตราไม่เกินคนละ ๖,๐๐๐ บาทต่อเดือน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๔ เรื่อง ขอยกเลิกโครงการไปรษณีย์เพื่อสินเชื่อรายย่อย เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และใช้เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจตามภารกิจใหม่ได้โดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2634 | ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | กค | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ กำหนดหลักเกณฑ์การนำของเข้าเพื่อการผ่านแดนการถ่ายลำออกนอกราชอาณาจักร และอำนาจของพนักงานศุลกากรในการตรวจสอบ ตรวจค้นของผ่านแดนหรือของถ่ายลำ ๑.๑.๒ กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการร้องขอให้อธิบดีกรมศุลกากรพิจารณากำหนดราคาของของนำเข้า กำหนดถิ่นกำเนิดของของที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักร และตีความพิกัดอัตราศุลกากรเพื่อจำแนกของของในพิกัดอัตราศุลกากรเป็นการล่วงหน้า ๑.๑.๓ กำหนดอำนาจของอธิบดีกรมศุลกากรในการจำกัดการใช้อำนาจทางศุลกากรเพื่อตรวจของและป้องกันการลักลอบหนีศุลกากร ๑.๑.๔ กำหนดหลักเกณฑ์การใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในการศุลกากร ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๒.๑ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศกำหนดอัตราอากรตามราคาหรือตามสภาพ เพื่อปฏิบัติตามข้อผูกพันตามสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ ๑.๒.๒ กำหนดอำนาจของอธิบดีกรมศุลกากรในการพิจารณากำหนดถิ่นกำเนิดของของที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามที่ระบุไว้ในสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศเป็นการล่วงหน้า ก่อนการนำของเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๒.๓ กำหนดอำนาจของอธิบดีกรมศุลกากรในการพิจารณาตีความพิกัดอัตราศุลกากรเพื่อจำแนกประเภทของของที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการล่วงหน้า ก่อนการนำของเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๒.๔ กำหนดประเภทของของที่ได้รับยกเว้นอากรเพิ่มขึ้น ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายศุลกากรในประเด็นอื่น ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุน เช่น กำหนดบทลงโทษทางศุลกากรให้เหมาะสม โดยแยกฐานความผิดตามเจตนาการหลีกเลี่ยงภาษีอากร รวมถึงการทบทวนมาตรการการให้เงินสินบนและรางวัลนำจับ เป็นต้น รวมทั้งควรประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจการปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ให้กับผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบโดยทั่วถึง เพื่อให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับและปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 2635 | การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2556 | รง | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ ๗) ลงวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใน ๗๐ จังหวัดที่เหลือ เป็นวันละ ๓๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. เห็นชอบให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ได้แก่ มาตรการลดภาระต้นทุนจากค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น มาตรการยกระดับผลิตภาพแรงงาน (Productivity of Labour) มาตรการทางการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ มาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของ SMEs มาตรการเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการผ่านการใช้จ่ายภาครัฐ และมาตรการช่วยค่าครองชีพให้ลูกจ้างและประชาชนทั่วไป รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เกี่ยวข้อง เฉพาะมาตรการเดิมที่มีระยะเวลาสิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการออกไปอีก ๑ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้แต่งตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นรองประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้แทนคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และภาคเอกชนอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ ปลัดกระทรวงแรงงานเป็นกรรมการและเลขานุการ และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกรรมและผู้ช่วยเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ศึกษาและพิจารณาความเหมาะสมของมาตรการการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงแรงงานและภาคเอกชนเสนอ ๓. ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้มีหน่วยงานกลางทำหน้าที่รับผิดชอบในการรวบรวมข้อมูล เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์รายละเอียดของมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเร่งกำหนดและผลักดันมาตรการในการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการโดยเฉพาะอุตสาหกรรมหรือธุรกิจในระดับ SMEs เพื่อลดอุปสรรคจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ รวมทั้งการสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การปรับปรุงกระบวนการทำงาน และการพัฒนาทักษะในการทำงานของแรงงานให้สอดคล้องกับโครงสร้างทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคการผลิตรายสาขาและสถานประกอบการในการจัดทำ Career Path และโครงสร้างเงินเดือนให้เอื้อต่อการยกระดับสมรรถนะของแรงงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลราคาสินค้าเพื่อมิให้มีการขึ้นราคาสินค้าและบริการอย่างไม่เป็นธรรมจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาล |
|||||||||||||||||||||
| 2636 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดปี 2555 | กษ | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดปี ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะอนุกรรมการโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรด ในการประชุมครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ได้มีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เป็นผู้รับซื้อสับปะรดสดจากเกษตรกร จัดจ้างโรงงานแปรรูปเพื่อผลิตเป็นสับปะรดกระป๋อง และประสานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในเรื่องการใช้เงิน รวมทั้งได้จัดทำหลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางปฏิบัติ และให้มีการจัดประชุมชี้แจงแก่ผู้เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถเร่งรัดดำเนินการรับซื้อโดยเร็วที่สุด ๑.๒ อ.ต.ก. ได้ประสานกับจังหวัดในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำจุดรับซื้อและดำเนินการจัดหาโรงงานแปรรูปสับปะรดกระป๋องตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะอนุกรรมการฯ กำหนด ๑.๓ สำนักงบประมาณได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑๗๕,๖๘๘,๔๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแปรรูปสับปะรดกระป๋อง การประชาสัมพันธ์ และการบริหารจัดการโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรด ปี ๒๕๕๕ ๑.๔ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้สำรวจความต้องการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดในจังหวัดต่าง ๆ โดยเร่งด่วน เพื่อพิจารณาจัดสรรปริมาณการรับซื้อสับปะรดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ผลผลิต และราคาในแต่ละพื้นที่ หากพบว่าไม่มีความต้องการให้พิจารณาทบทวนเพื่อยุติการดำเนินโครงการฯ ๑.๕ คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ ได้มีมติเห็นสมควรสนับสนุนค่าขนส่งให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดในจังหวัดที่ไม่มีโรงงานแปรรูปเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อขนส่งสับปะรดไปยังจุดรับซื้อหน้าโรงงานแปรรูป และขยายระยะเวลาการรับซื้อสับปะรด จากสิ้นสุด ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นสิ้นสุด ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี ๑.๖ อ.ต.ก. ได้รับแจ้งจากผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่าขณะนี้สถานการณ์ราคาสับปะรดผลสดหน้าโรงงาน ณ วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ส่วนใหญ่รับซื้อกิโลกรัมละ ๔.๐๐-๔.๒๐ บาท ซึ่งสูงกว่าราคารับซื้อตามโครงการฯ ๑.๗ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๔ ซึ่งรวมถึงเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนเพื่อดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรด ปี ๒๕๕๕ จำนวนเงิน ๕๐๐ ล้านบาท และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ประสานกับ อ.ต.ก. ว่าสามารถดำเนินการกู้เงินจาก ธ.ก.ส. ตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ๑.๘ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ดังกล่าว เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ซึ่งสิ้นสุดระยะเวลาการรับซื้อตามโครงการฯ แล้ว ประกอบกับสถานการณ์ราคาสับปะรดอยู่ในเกณฑ์ดี อ.ต.ก. จึงไม่ได้มีการลงนามในสัญญากู้เงินกับ ธ.ก.ส. เพื่อดำเนินการรับซื้อสับปะรดจากเกษตรกร โดยเห็นว่า หากดำเนินโครงการฯ ต่อไป จะไม่เกิดประโยชน์กับเกษตรกร และทำให้การใช้งบประมาณภาครัฐไม่คุ้มค่า ๑.๙ การใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ วงเงิน ๑๗๕,๖๘๘,๔๐๐ บาท อ.ต.ก. ได้รับอนุมัติค่าใช้จ่ายในการแปรรูปสับปะรดสด จำนวน ๔๐,๐๐๐ ตัน เป็นสับปะรดกระป๋อง วงเงิน ๑๗๒,๖๕๖,๕๐๐ บาท อ.ต.ก. ดำเนินการเบิกจ่ายไปแล้ว จำนวน ๕๙,๗๐๘ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ จำนวนเงินคงเหลือ ๑๗๒,๕๙๖,๗๙๒ บาท และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ได้รับอนุมัติค่าใช้จ่ายในส่วนของการประชาสัมพันธ์ของกรมประชาสัมพันธ์ และการบริหารจัดการโครงการ วงเงิน ๓,๐๓๑,๙๐๐ บาท โดยไม่มีการเบิกจ่าย ทั้งนี้ อ.ต.ก. และ สศก. ได้คืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่กรมบัญชีกลางเรียบร้อยแล้ว ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมกรณีที่โรงงานแปรรูปยังคงมีสับปะรดกระป๋องเหลืออยู่ปริมาณมากในสินค้าคงคลัง จากผลกระทบทางเศรษฐกิจของตลาดส่งออกหลัก ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อใด จึงมีผลต่อการสั่งซื้อ แนวทางแก้ปัญหาที่เหมาะสม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร หรือโรงงานแปรรูป เพื่อให้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายบนพื้นฐานข้อเท็จจริง เช่น ปริมาณผลผลิต กำลังการผลิต สินค้าแปรรูปคงคลัง เป็นต้น อันจะนำมาซึ่งกระบวนการในการแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบ ไปพิจารณาด้วย ๓. ให้ทุกหน่วยงานถือเป็นหลักปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นว่า หากหน่วยงานไม่สามารถใช้จ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นได้ตามเป้าหมายและมีเงินเหลือ ให้หน่วยงานส่งคืนเงินดังกล่าวให้สำนักงบประมาณเพื่อจะได้นำไปจัดสรรให้กับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 2637 | ผลการประชุมคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ครั้งที่ 5/2555 | นร | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ประธานกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปความก้าวหน้าในการดำเนินงานเพื่อพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย โดย ๑.๑ คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดฯ มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน ๔ ชุด ได้แก่ คณะอนุกรรมการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เสนอกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย คณะอนุกรรมการพิจารณากรอบแนวคิดด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม คณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณากรอบแนวคิดทางเทคนิควิชาการ ของผู้เสนอกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย และคณะอนุกรรมการชี้แจงข้อมูลโครงการเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ๑.๒ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับพัสดุในการดำเนินโครงการ เพื่อเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพัสดุสำหรับโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ขึ้น โดยมีระบบควบคุม ตรวจสอบ และติดตามการดำเนินการเป็นการเฉพาะเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะการดำเนินการของโครงการ ๑.๓ ขั้นตอนการยื่นข้อเสนอโครงการประกอบด้วย ปฏิทินขั้นตอนการดำเนินการ การจัดทำ และวิธีการยื่นข้อเสนอ วิธีการประเมิน Conceptual Plan เกณฑ์การพิจารณา Conceptual Plan และวิธีการคัดเลือกผู้รับจ้างในขั้นตอนสุดท้าย (Final Selection) ๑.๔ คณะอนุกรรมการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เสนอกรอบแนวคิดฯ ได้คัดเลือกผู้ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้น จำนวน ๘ กลุ่ม จากผู้ยื่นข้อเสนอทั้งสิ้น ๓๔ กลุ่ม ๑.๕ คณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณากรอบแนวคิดทางเทคนิควิชาการฯ ได้จัดทำเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอแนวคิดเพื่อเป็นหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกผู้เสนอให้เหลือ ๓ รายต่อกลุ่มแผนงาน รวมทั้งกำหนดวิธีการตรวจสอบเอกสารและกลั่นกรองข้อเสนอ Conceptual Plan ๑.๖ คณะอนุกรรมการชี้แจงข้อมูลโครงการเพื่อออกแบบก่อสร้างฯ ได้ชี้แจงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการให้กับกลุ่มผู้เสนอกรอบแนวคิด ๑.๗ การดำเนินงานถึงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ได้ดำเนินการถึงขั้นตอนที่ ๗ และได้เตรียมการในขั้นตอนที่ ๘-๑๑ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ๒. เห็นชอบการปรับปรุงคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย จำนวน ๓ ท่าน โดยเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายชัชชาติ สิทธิพันธ์) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่รองประธานกรรมการ แต่งตั้งอธิบดีกรมบัญชีกลางให้ทำหน้าที่กรรมการแทนประธานคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ และเปลี่ยนตำแหน่งกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ จากนายวีระพงษ์ แพสุวรรณ เป็นนางปราณี สริวัฒน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดฯ มีอำนาจหน้าที่ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้แล้วเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||
| 2638 | การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐและคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ | นร05 | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ และคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไปดังนี้
๑. แต่งตั้งรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ แทนรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ๒. แตั้งตั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เป็นรองประธานกรรมการคนที่ ๒ ในคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ แทนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล)
|
|||||||||||||||||||||
| 2639 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 1/2555 และผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 1/2555 | นร11 | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานร่วมฝ่ายไทย และนายญาณ ทุน รองประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เป็นประธานร่วมฝ่ายเมียนมาร์ และผลการประชุมของคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ มีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานร่วมฝ่ายไทย และนาย Aye Myint รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เป็นประธานร่วมฝ่ายเมียนมาร์ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ โรงแรมแชงกรี-ลา สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ ๑.๑.๑ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่วมกันในการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทั้ง ๓ ระดับ คือ คณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ ซึ่งเป็นกลไกระดับนโยบาย คณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ และคณะอนุกรรมการร่วม ใน ๖ สาขา ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง อุตสาหกรรมเฉพาะด้านและการพัฒนาธุรกิจ พลังงาน การพัฒนาชุมชนและการย้ายถิ่นฐาน กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และการเงิน ๑.๑.๒ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน รวม ๘ โครงการ คือ ถนน ท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าระยะเริ่มแรก น้ำและระบบบำบัดน้ำเสีย โทรคมนาคม การพัฒนาชุมชนและการย้ายถิ่นฐาน และรถไฟความเร็วสูง ๑.๑.๓ ที่ประชุมมอบหมายให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ รับผิดชอบ ๘ โครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน โดยคณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง รับผิดชอบโครงการถนน ท่าเรือน้ำลึก น้ำและระบบบำบัดน้ำเสีย โทรคมนาคม และรถไฟความเร็วสูง คณะอนุกรรมการด้านพลังงาน รับผิดชอบโครงการโรงไฟฟ้าระยะเริ่มแรก คณะอนุกรรมการด้านการพัฒนาชุมชนและการย้ายถิ่นฐาน รับผิดชอบโครงการพัฒนาชุมชนและการย้ายถิ่นฐาน และคณะอนุกรรมการด้านอุตสาหกรรมเฉพาะด้านและการพัฒนาธุรกิจ รับผิดชอบโครงการนิคมอุตสาหกรรม ๑.๑.๔ ที่ประชุมเสนอให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ทั้ง ๖ สาขา เร่งพิจารณาเงื่อนไขและแผนธุรกิจของแต่ละสาขา และนำเสนอต่อคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ และคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ พิจารณาต่อไป โดยข้อมูลเหล่านี้จะต้องพิจารณาร่วมกับการจัดทำแผนการเงินและแผนการลงทุนของโครงการทวาย และเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้ประกอบการปรับปรุง Framework Agreement ให้มีความชัดเจนและครอบคลุมการพัฒนาโครงการทวายในทุกภาคส่วน ๑.๑.๕ ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการจัดประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ ครั้งที่ ๒ ณ เมืองเนปิดอร์และเมืองทวาย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ในวันจันทร์สัปดาห์ที่สองของเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ ที่ประชุมมีมติมอบหมายภารกิจเร่งด่วนให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ฯ ทั้ง ๖ สาขาดำเนินการ รวมทั้งเห็นชอบการจัดประชุมครั้งต่อไปในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ โดยประธานร่วมจะกำหนดวันที่ชัดเจนในภายหลัง สำหรับภารกิจเร่งด่วนที่มอบให้คณะอนุกรรมการดังกล่าวดำเนินการ มีดังนี้ ๑.๒.๑ ให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ ทบทวนเงื่อนไขและแผนธุรกิจของโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน ประกอบด้วยถนน ท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าระยะเริ่มแรก น้ำและระบบบำบัดน้ำเสีย โทรคมนาคม การพัฒนาชุมชนและการย้ายถิ่นฐาน และรถไฟความเร็วสูง และรายงานผลต่อคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ ๑.๒.๒ ให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ จัดประชุมตามที่ประธานร่วมกำหนด และให้มีการประสานงานระหว่างอนุกรรมการของแต่ละสาขา ตามที่ประธานร่วมเห็นสมควร ๑.๒.๓ ให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ ดำเนินการเพื่อให้ทุกโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วนมีการประสานงานซึ่งกันและกัน และให้เริ่มดำเนินโครงการโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการถนน ต้องเริ่มดำเนินการภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ โดยมีเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๒.๔ ให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ จัดทำแผนธุรกิจสำหรับโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน โดยเน้นประเด็นที่สำคัญของแต่ละโครงการ โดยคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ด้านการเงินได้รับมอบหมายให้เสนอแนะโครงสร้างทางการเงินและรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน โดยคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ ทุกคณะจะต้องนำเสนอผลการทำงานต่อคณะกรรมการประสานงานร่วมไทย-เมียนมาร์ฯ ในการประชุมครั้งต่อไป ๒. รับทราบการกำหนดโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน ๘ โครงการ ประกอบด้วย ถนน ท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าระยะเริ่มแรก น้ำและระบบบำบัดน้ำเสีย โทรคมนาคม การพัฒนาชุมชนและการย้ายถิ่นฐาน รถไฟความเร็วสูง และเร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงฯ และผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมฯ ต่อไป ๓. เห็นชอบองค์ประกอบและแนวทางการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ทั้ง ๖ สาขา
|
|||||||||||||||||||||
| 2640 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนช่วงบ้านฮวก (จ.พะเยา) - เมืองคอบ - เมืองเชียงฮ่อน และเมืองคอบ - เมืองปากคอบ - บ้านก้อนตื้น สปป. ลาว | กค | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนช่วงบ้านฮวก (จ.พะเยา)-เมืองคอบ-เมืองเชียงฮ่อน และเมืองคอบ-เมืองปากคอบ-บ้านก้อนตื้น สปป.ลาว ตามประมาณการราคาเบื้องต้น จำนวน ๑,๔๗๓.๘๘ ล้านบาท และสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) จะได้ศึกษา สำรวจออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างให้เสร็จเรียบร้อย และจะได้นำผลศึกษาประมาณราคาค่าใช้จ่ายเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติรูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่เหมาะสมแก่โครงการฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างพร้อมทั้งประมาณการวงเงินค่าใช้จ่ายและแหล่งเงินของโครงการฯ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งก่อนดำเนินการ และพิจารณากำหนดลำดับความสำคัญของประเทศเพื่อนบ้านที่จะให้ความช่วยเหลือ รวมถึงสัดส่วนของการให้ความช่วยเหลือของ สพพ. ทั้งทางด้านการเงินและวิชาการ โดยแยกออกเป็นเงินกู้ เงินให้เปล่า และอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานด้านการให้ความช่วยเหลือกับประเทศเพื่อนบ้านให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
.....
