ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 120 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2381 - 2400 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2381 | รายงานผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 8 ของแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (The Eighth IMT-GT Summit) | นร11 | 08/07/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบรายงานผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๘ ของแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (The Eighth Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Summit : IMT-GT) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยประเด็นสำคัญในการประชุม ได้แก่ การรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการของแผนงาน IMT-GT ระหว่างปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ตามที่ผู้แทนรัฐมนตรี IMT-GT เสนอ ความเห็นและข้อเสนอแนะของผู้แทนพิเศษของผู้นำสามประเทศ ได้แก่ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินโดนีเซีย นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และนายกรัฐมนตรีไทย รวมทั้งแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๘ ของแผนงาน IMT-GT (The Eighth IMT-GT Summit Joint Statement) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีความเห็นเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ การเจรจาหารือและการเข้าร่วมการประชุมกับต่างประเทศในเรื่องต่าง ๆ ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องกำหนดยุทธศาสตร์ในการเจรจาหารือให้ชัดเจนว่าจะเจรจาเรื่องใด อย่างไร โดยให้ถือผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของชาติเป็นหลัก ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ และ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) ๒.๒ การขยายและยกระดับโครงการเมืองยางพารา (Rubber City) เป็นโครงการระเบียงยางพารา (Rubber Corridor) สมควรเร่งดำเนินการ ซึ่งจะช่วยให้สามารถขยายตลาดยางพาราไปยังภูมิภาคอาเซียนให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ๒.๓ การจัดทำเมืองสีเขียว (Green City) ประเทศมาเลเซียได้เสนอให้รัฐมะละกาเป็น Green City ส่วนประเทศไทยจะเสนอจังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดนำร่อง อย่างไรก็ตาม เมืองสีเขียวควรจะดำเนินการในทุกจังหวัด จึงขอให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปประสานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อจัดทำแผนแม่บท (Roadmap) เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เพื่อให้แต่ละจังหวัดดำเนินการตามลำดับความสำคัญเร่งด่วนต่อไป ๒.๔ การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เห็นควรดำเนินการ ดังนี้ ๒.๔.๑ เส้นทางคมนาคมที่เชื่อมโยงแนวพื้นที่เศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor : NSEC) แนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC) ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาเส้นทางดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อเป็นการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งนี้ สายทางใดที่เป็นจุดคอขวดและมีปริมาณการจราจรจำนวนมาก ให้เร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๒.๔.๒ ด่านศุลกากรที่สำคัญ ๕ ด่าน ได้แก่ ด่านปาดังเบซาร์ ด่านสะเดา ด่านอรัญประเทศ ด่านแม่สอด และด่านคลองใหญ่ มอบหมายให้รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติรับไปประสานงาน โดยให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการขยายและปรับปรุงด่านศุลกากรที่สำคัญทั้ง ๕ ด่าน อย่างน้อย ๑ ด่าน ให้ทันในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ และที่เหลือภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนบริเวณชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านให้มากขึ้น ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดระเบียบการจราจรบริเวณด่านศุลกากรแต่ละแห่งให้มีความคล่องตัวด้วย ๒.๕ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดนไทย-ประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเรื่องที่สมควรเร่งรัดดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยยึดผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติเป็นหลัก และต้องพยายามหาแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ รวมทั้งข้อจำกัดของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย จึงมอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป และให้รายงานผลการดำเนินการให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบเป็นรายไตรมาสด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2382 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย (ระยะที่ 9) พ.ศ. 2557 - 2561 | มท | 08/07/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย (ระยะที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ วงเงิน ๓๖,๕๙๐,๐๐๐ บาท และสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาที่กำลังศึกษาต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๐๐ คน ในวงเงิน ๓,๘๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รองรับแล้ว ภายใต้แผนงานแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กรมการปกครอง และสำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการบูรณาการโครงการฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) เร่งดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นจำนวนผู้จบการศึกษา การประกอบอาชีพหลังจบการศึกษา และประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงพัฒนาการดำเนินโครงการต่อไป และให้รายงานผลการประเมินให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบด้วย ๓. ให้ฝ่ายความมั่นคง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการและประสานงานกับประเทศ/องค์กรต่างประเทศที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลนักศึกษา/นักเรียนไทยที่ได้รับทุนการศึกษาจากต่างประเทศ ทั้งในส่วนที่ได้รับทุนของรัฐบาลที่ให้ต่อรัฐบาล และส่วนที่ได้รับทุนโดยตรงจากภาคเอกชนและองค์กรต่างประเทศเพื่อดำเนินการให้เหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2383 | การปรับปรุงแก้ไขภาคผนวก 3 และข้อ 10 วรรค 1 ของภาคผนวก 8 ของความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน | พณ | 08/07/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อการปรับปรุงแก้ไขบัญชีกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้าของอาเซียน เป็นฉบับระบบฮาร์โมไนซ์ HS 2012 ซึ่งเป็นภาคผนวก ๓ ของความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) โดยมี ๑๖ รายการ มีเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าใหม่ ได้แก่ รายการในพิกัดศุลกากร ตอนที่ ๐๒ (ปลา สัตว์น้ำจำพวกครัสตาเชีย) ตอนที่ ๑๒ (เมล็ดถั่วลิสง) ตอนที่ ๒๘ (สารประกอบอนินทรีย์) และตอนที่ ๙๖ (ผลิตภัณฑ์เบ็ดเตล็ด ประเภทผ้าอนามัย) ๑.๒ เห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขข้อ ๑๐ วรรค ๑ เรื่องการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งเป็นภาคผนวก ๘ ของความตกลง ATIGA จากเดิม อนุญาตให้ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้ ๒ กรณี คือ (๑) ณ วันที่ส่งออก หรือ (๒) หลังจากวันที่ส่งออกสินค้า เป็น การเพิ่มเติมให้ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้ล่วงหน้าก่อนวันที่ส่งออกสินค้าได้อีกกรณีหนึ่ง โดยผู้ส่งออกจะต้องยื่นเอกสารต่อหน่วยงานผู้มีอำนาจในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าให้ครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามหนังสือแจ้งให้ความเห็นชอบไปยังเลขาธิการอาเซียนต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูล และการชี้แจงทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ประกอบการ รวมทั้งการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2384 | โครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ | นร12 | 08/07/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินโครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ให้รัฐสามารถให้บริการประชาชนและภาคธุรกิจเอกชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว มีช่องทางการบริการที่สะดวก ทันสมัย เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความโปร่งใส รวมทั้งป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันของภาครัฐ ซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๒. เพื่อให้การดำเนินการไม่เกิดความซ้ำซ้อน สามารถเชื่อมโยงข้อมูลและขั้นตอนการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ จึงมอบหมายให้ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและกระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดและกำกับการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ในการให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินโครงการในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเสนอการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการบูรณาการข้อมูลและงานบริการภาครัฐด้วย ๓. สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะใช้เงินส่วนที่เหลือจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามขั้นตอนตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2385 | การลงนามใน Memorandum of Agreement และ Side Letter ผลลัพธ์การหารือสองฝ่ายระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ ขอชดเชยการผ่อนผันไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีการเปิดคลาดสินค้าข้าวภายใต้องค์การการค้าโลกของฟิลิปปินส์ | พณ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบสารัตถะของร่าง Memorandum of Agreement (MOA) ผลลัพธ์การหารือสองฝ่ายระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ ขอชดเชยการผ่อนผันไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีการเปิดตลาดสินค้าข้าวภายใต้องค์การการค้าโลกของฟิลิปปินส์ และร่าง Side Letter ยืนยันว่า เมื่อใดที่ฟิลิปปินส์มีการให้ Tax Expenditure Subsidy (TES) กับการนำเข้าข้าวจะปฏิบัติต่อข้าวของไทยไม่น้อยไปกว่าข้าวที่นำเข้าจากแหล่งอื่น ๆ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกหรือผู้แทนลงนามใน MOA ผลลัพธ์การหารือสองฝ่ายฯ และ Side Letter ๓. ให้ผู้แทนไทยพิจารณาใช้ดุลพินิจตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสมในเรื่องอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อไทย หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญใน MOA และ Side Letter ดังกล่าว ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามใน MOA และ Side Letter ดังกล่าว ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการเจรจาและแสวงหาตลาดใหม่สำหรับสินค้าข้าวของไทยในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการระบายข้าว ทั้งนี้ ให้ดำเนินการปรับปรุงคุณภาพข้าวก่อนการส่งออก และกำหนดชนิดและระดับคุณภาพของข้าวให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละประเทศที่เป็นตลาดใหม่ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2386 | รายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ภาพรวมความต้องการอัตรากำลังภาครัฐต่อคณะรัฐมนตรีกรณีกระทรวงกลาโหมขออนุมัติการเปิดบรรจุกองร้อยทหารพรานและกรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอรับการสนับสนุนอัตรากำลัง | นร10 | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเปิดบรรจุกองร้อยทหารพราน จำนวน ๑ กองร้อยทหารพราน ให้แก่กรมทหารพรานที่ ๑๒ จังหวัดสระแก้ว ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้ดำเนินการในกรอบวงเงิน ๒๖,๘๔๕,๓๐๐ บาท โดยให้กองทัพบกพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติภารกิจดังกล่าวก่อน หากยังไม่เพียงพอให้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำรงสภาพปีถัดไป ให้กองทัพบกเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติอัตราข้าราชการตำรวจชั้นประทวนเพิ่มใหม่ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน ๕,๐๐๐ อัตรา ในปีแรกก่อน สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเนื่องจากต้องใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมในการสอบคัดเลือกและการฝึกอบรมก่อนบรรจุ ดังนั้น หากมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มาดำเนินการก่อน และหรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับกรอบอัตรากำลังที่เหลือ จำนวน ๙,๐๐๐ อัตรา ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทบทวนบทบาทภารกิจและปรับปรุงการดำเนินงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานตามภารกิจและการใช้กำลังคนอย่างเหมาะสมและคุ้มค่า พร้อมทั้งจัดทำแผนการกระจายอัตรากำลังตำรวจชั้นประทวนตามพื้นที่รับผิดชอบให้สอดคล้องกับปริมาณงานและความจำเป็นของภารกิจเสนอให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และให้รับความเห็นของฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. เกี่ยวกับการปรับบทบาทภารกิจ การบริหารจัดการงาน และการใช้อัตรากำลัง ในส่วนที่เป็นงานอำนวยการ งานสนับสนุน หรืองานที่สามารถถ่ายโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับไปดำเนินการ แยกออกจากงานภารกิจหลักด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมประเภทต่าง ๆ ให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ การดำเนินการข้างต้นอยู่ภายใต้กรอบอัตรากำลังของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ คปร. ยุบเลิก จำนวน ๑๔,๐๐๐ อัตรา ๓. คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังชั้นประทวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีสาเหตุประการหนึ่งเกิดจากการเลื่อนและแต่งตั้งข้าราชการตำรวจชั้นประทวนไปเป็นข้าราชการชั้นสัญญาบัตรจำนวนมาก ดังนั้น การดำเนินการดังกล่าวควรจะต้องพิจารณาถึงความจำเป็นเหมาะสม ภารกิจและหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่งที่เลื่อนขึ้น โดยจะต้องพิจารณาถึงการปรับปรุงโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2387 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2557 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2557 | กค | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ มีจำนวน ๕,๕๕๐,๓๙๐.๘๗ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๖.๐๗ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยเป็นหนี้ของรัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน ๓,๙๑๙,๓๙๘.๒๘ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๙๑,๘๙๔.๙๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน ๕๓๒,๑๘๓.๔๗ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๖,๙๑๔.๒๑ ล้านบาท ส่วนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไม่มีหนี้คงค้าง ๒. คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ ประกอบด้วย ๔ แผนย่อย และปรับปรุงแผนฯ ในระหว่างปี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินกู้และบริหารหนี้ ซึ่งหลังการปรับปรุงแผนฯ ครั้งที่ ๑ ทำให้วงเงินรวมในแผนฯ ที่จะบริหารจัดการมีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๓๑๖,๓๓๐.๘๔ ล้านบาท โดยในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้ เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๕๔๘,๖๕๖.๙๙ ล้านบาท ๓. ผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะในช่วง ๖ เดือนแรก ของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ (ตุลาคม ๒๕๕๖-มีนาคม ๒๕๕๗) กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๕๑๑,๘๑๑.๖๕ ล้านบาท โดยมีความก้าวหน้าคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๐๑ ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะทั้งปี ส่วนผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะในช่วง ๖ เดือนแรก ของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ รัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๓๖,๘๔๕.๓๔ ล้านบาท ทั้งนี้ จากการดำเนินการดังกล่าว กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๕๔๘,๖๕๖.๙๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๑.๖๘ ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะทั้งปี โดยแบ่งเป็น หนี้ของรัฐบาล จำนวน ๓๗๔,๔๙๐.๐๐ ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน จำนวน ๔๕,๙๒๔.๗๙ ล้านบาท และหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน จำนวน ๑๒๘,๒๔๒.๒๐ ล้านบาท ๔. ผลการบริหารหนี้ที่ได้ดำเนินการทั้งในส่วนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๗๓,๙๖๔.๒๗ ล้านบาท (๒๓๖,๖๓๐+๑๓๑,๗๖๘.๕๘+๒,๒๘๘.๙๐+๓,๒๗๖.๗๙) สามารถลดยอดหนี้ได้ทั้งสิ้น ๖๕,๐๓๑.๗๔ ล้านบาท รวมทั้งประหยัดดอกเบี้ยได้ทั้งสิ้น จำนวน ๑๗๓.๕๑ ล้านบาท (๑๑.๔๕+๐.๑๘+๗๕.๔๗+๓๓.๙๙+๕๒.๔๒)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2388 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี 2555/2556 | อก | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ เฉลี่ยทั่วประเทศในอัตราตันอ้อยละ ๙๙๙.๒๐ บาท ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส. และกำหนดราคาขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๕๙.๙๕ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. ต่อเมตริกตัน และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย เท่ากับ ๔๒๘.๒๓ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติในการหักเงินราคาอ้อยขั้นสุดท้าย กรณีที่ฤดูการผลิตใด ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายมีผลต่างที่สูงกว่าราคาอ้อยขั้นต้นรวมกับเงินช่วยเหลือและคุ้มต้นทุนการผลิตแล้ว เพื่อนำส่งเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเป็นรายได้สำหรับนำไปชำระหนี้ หรือลดภาระการกู้เงิน หรือใช้ในการให้ความช่วยเหลือชาวไร่อ้อยต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับแนวทางในการปรับลดต้นทุนการผลิต การกำหนดแนวทางปฏิบัติในการหักเงินราคาอ้อยขั้นสุดท้าย การดำเนินมาตรการควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล และติดตามผลการชำระหนี้ของกองทุนฯ การพิจารณาหาข้อยุติเรื่องการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของประเทศ การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน มีความเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการทบทวนโครงสร้างการคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อยเพื่อให้เป็นราคาที่เหมาะสมสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย สามารถนำไปใช้ในการวางแผน/ประมาณการได้อย่างเป็นปัจจุบัน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการประชาสัมพันธ์ชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ ให้ประชาชนผู้สนใจได้ทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง ทั้งนี้ การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย และผลตอบแทนการผลิตฯ ดังกล่าวเป็นมาตรการระยะสั้นเท่านั้น และจะมีการพิจารณากำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาราคาอ้อย และผลตอบแทนการผลิตฯ ในระยะยาวต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2389 | การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี 2556/2557 | อก | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในอัตราตันละ ๑๖๐ บาท ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ๑.๒ อนุมัติให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงิน (Straight loan) จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามนัยมาตรา ๒๗ (๖) แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อนำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ในอัตราตันอ้อยละ ๑๖๐ บาท โดยให้จ่ายตรงให้กับชาวไร่อ้อยในทุกตันอ้อยที่ส่งเข้าหีบในโรงงานน้ำตาลทรายในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ จากผลผลิตอ้อยทั้งสิ้น ๑๐๓.๗๐ ล้านตัน รวมเป็นเงินประมาณ ๑๖,๕๙๒ ล้านบาท หรือจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายตามปริมาณอ้อยเข้าหีบจริงฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ตามแผนชำระหนี้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๗ เดือน โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยให้ถึงมือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ มีการบันทึกบัญชีให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเป็นลูกหนี้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย และให้มีข้อมูลลูกหนี้แยกเป็นรายให้ชัดเจน อีกทั้งจัดระบบควบคุม ตรวจสอบ และกำกับดูแล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการด้วย ๑.๓ เห็นชอบให้คงการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศกิโลกรัมละ ๕ บาท เพื่อนำไปเป็นรายได้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายสำหรับนำไปชำระหนี้เฉพาะเงินกู้ที่นำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ จนกว่าจะใช้หนี้หมดเท่านั้น ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งในด้านปริมาณผลผลิตต่อไร่และค่าความหวาน การส่งเสริมให้มีการเพิ่มมูลค่าในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายตลอดห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) เพื่อลดภาระการอุดหนุนจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายลง การเพิ่มความสามารถในการพึ่งตนเองของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายอย่างยั่งยืน การควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล และติดตามการใช้เงินจากการจัดเก็บรายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อนำไปชำระหนี้เฉพาะเงินกู้ที่นำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อย การเร่งรัดการทบทวนสูตรการคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อย และการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาลทรายให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและสอดคล้องกับสถานการณ์ประเทศ การเร่งนำผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มาประกอบการพิจารณาปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในระยะยาวโดยเร็ว การเพิ่มองค์ประกอบของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของอุตสาหกรรม การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป การเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายให้ครอบคลุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในอุตสาหกรรม การเร่งรัดให้เกิดการส่งเสริมการพัฒนาด้านอ้อยตามระเบียบวาระอ้อยแห่งชาติ ระยะ ๕ ปี (ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๙) และเร่งปรับปรุงร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๓ ให้มีรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น การกำกับดูแลและตรวจสอบให้การช่วยเหลือบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด การควบคุมดูแลการเบิกจ่ายเงินโดยเคร่งครัด รวมทั้งร่วมกับส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งรัดพิจารณากำหนดแนวทางในการลดต้นทุนการผลิต และปรับปรุงประสิทธิภาพผลผลิตอ้อยแทนการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ลดภาระการใช้จ่ายเงินในการช่วยเหลือเยียวยา และเพื่อให้อุตสาหกรรมสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการประชาสัมพันธ์ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่องนี้ให้ประชาชนผู้สนใจได้ทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดอัตราเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยดังกล่าว คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้มีมติเห็นชอบแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๗ แต่เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองและได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ไม่สามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้ ๔. ให้รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบในระยะยาว แล้วนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2390 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 17/06/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ภาพรวม ๑.๑ ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่มีผลกระทบต่อประชาชนโดยรวมให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในระยะแรกซึ่งยังเหลือระยะเวลาอีกประมาณ ๒ เดือน โดยเฉพาะในเรื่องข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจ โดยให้ยึดหลักประสิทธิภาพ ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่มีการทุจริตในทุกขั้นตอน ส่วนในระยะที่ ๒ ต้องมีการปรับปรุงแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และในระยะยาวจะต้องมีแผนงาน/โครงการที่ชัดเจน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ ในการเสนอขออนุมัติโครงการต่าง ๆ ให้ส่วนราชการจัดทำรายละเอียดประกอบโครงการด้วยว่า ประชาชนจะได้รับผลประโยชน์อะไร อย่างไรบ้าง เช่น ประชาชนจะมีน้ำใช้เพิ่มขึ้นจำนวนเท่าไร ประชาชนจะได้รับการบริการที่ดีขึ้นอย่างไร เป็นต้น ๑.๒ ในการจัดทำโครงการต่าง ๆ ของทุกส่วนราชการ ให้ประกาศเชิญชวนผ่านสื่อทุกประเภทให้ประชาชนและผู้สนใจได้ทราบล่วงหน้าโดยทั่วกัน เพื่อให้มีการแข่งขันการประมูลอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ ให้จัดทำขอบเขตของงาน (TOR) ให้มีความรัดกุม และให้มีผู้แทนของหน่วยงานกลาง เช่น คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงบประมาณ เป็นต้น เป็นผู้สังเกตการณ์ในวันทำการประมูลเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและป้องกันการทุจริต ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณาปรับปรุงแนวทางการใช้จ่ายเงินทดรองราชการกรณีการเกิดภัยพิบัติ ในประเด็นเกี่ยวกับการเพิ่มวงเงินทดรองราชการให้แก่ส่วนราชการ แนวทางการจัดสรรเงินให้แก่ส่วนราชการ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้เพียงพอและทันต่อสถานการณ์ ๑.๔ ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณาตรวจสอบโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ จำนวน ๓๙๖ แห่ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มีความถูกต้องและเหมาะสม และให้นำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและปัญหาในการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วย ๑.๕ การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญในตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงซึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๗ นั้น ให้หัวหน้าฝ่ายทุกฝ่ายดำเนินการตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๖ ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาเพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชน และให้พิจารณาหาแนวทางการแบ่งปันผลประโยชน์ให้เป็นธรรม มิให้มีการผูกขาด รวมทั้งกำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์จากเงินรายได้เพื่อสาธารณประโยชน์เป็นหลักด้วย ๑.๗ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางการดำเนินการเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะจะต้องมีระบบติดตามมิให้ขับขี่เกินระยะเวลาที่กำหนด และมีระบบตรวจสอบว่าผู้ขับขี่มีความพร้อม ไม่เมาสุรา ไม่เสพยาเสพติด และมีการพักผ่อนที่เพียงพอ ๑.๘ ให้ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติเร่งรัดจัดการประชุมคณะกรรมการโดยเร็ว เพื่อขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศตามแนวทางของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑.๙ ให้ชะลอการดำเนินการจัดประชุมคลื่นความถี่ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ไว้ก่อน และให้ทบทวนการดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นคงและมีกลไกที่รัฐสามารถควบคุมกำกับดูแลระบบโทรคมนาคมได้อย่างเหมาะสม ๑.๑๐ ให้กระทรวงพลังงานเร่งพิจารณาหาแนวทางและมาตรการด้านพลังงานทั้งในระยะเวลา ๓-๕ ปีข้างหน้า และในระยะยาว โดยให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม หรือการหาวิธีการใช้พืชพลังงานและพลังงานทางเลือก ๒. เรื่องการประชาสัมพันธ์ ๒.๑ การประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ควรจัดตั้งคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ติดตามและกำหนดแนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และสามารถตอบข้อสงสัยของประชาชนได้ ทั้งนี้ ให้ประสานทำความเข้าใจกับสื่อมวลชน สมาคม และมูลนิธิต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มีแนวทางการสื่อสารที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วย ๒.๒ ให้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาของรายการบางรายการซึ่งเผยแพร่ทางกรมประชาสัมพันธ์ โดยให้เป็นการนำเสนอความก้าวหน้าในการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นระยะ ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานและผลการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังชี้แจงทำความเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการพัฒนารถไฟรางคู่ ทั้งในด้านประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับและพื้นที่ที่ต้องใช้ในการดำเนินโครงการ รวมทั้งขั้นตอนที่ต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ขนาดของรางรถไฟที่ใช้มีความเหมาะสมประการใด และการกู้เงินจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศมีข้อกำหนดประการใด ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อย่างไรด้วย ๓. เรื่องการปฏิรูปประเทศ ตามที่ได้มีการแถลงอย่างเป็นทางการถึงห้วงเวลาในการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ระยะ โดยในระยะที่ ๒ หลังจากมีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองชั่วคราว ซึ่งจะมีบทกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งสภาปฏิรูป โดยสภาปฏิรูปที่จัดตั้งนั้น จะประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน พรรคการเมือง และผู้ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง มีการกำหนดวิธีการในการคัดเลือก ซึ่งการปฏิรูปประเทศต้องให้ครอบคลุมในด้านต่าง ๆ ได้แก่ สังคม เศรษฐกิจ การเงิน การคลัง การเมือง กฎหมาย การปกครองส่วนท้องถิ่น พลังงาน สิ่งแวดล้อม สังคมจิตวิทยา การบริหารราชการ การศึกษา กระบวนการยุติธรรม คุณภาพคน มาตรการป้องกันแก้ไขการทุจริตคอร์รัปชัน สื่อสารมวลชน และอื่น ๆ ซึ่งเมื่อมีข้อสรุปจากสภาปฏิรูปที่ชัดเจนแล้วก็จะเข้าสู่ระยะที่ ๓ ต่อไป ๔. เรื่องโรงงานกำจัดขยะ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาขยะ และการกำจัดน้ำเสียจากโรงงาน รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะ โดยเริ่มต้นจากการให้ทุกส่วนราชการดำเนินมาตรการแยกประเภทและบริหารจัดการขยะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ ให้พิจารณาสร้างโรงงานกำจัดขยะบนพื้นที่ราชพัสดุหรือพื้นที่ทหารก่อน ๕. เรื่องโครงการจัดการน้ำและระบบสาธารณูปโภค ๕.๑ โครงการต่าง ๆ ที่มีความพร้อมในการดำเนินการและผ่านการตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมจากแต่ละฝ่ายและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐแล้ว ให้นำเสนอเรื่องต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ๕.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับการสร้างถนนทางสายหลักและทางสายรองในแต่ละเส้นทางว่ามีความจำเป็น คุ้มค่า และเป็นไปตามความต้องการของคนในพื้นที่ รวมทั้งพิจารณาหาแนวทางการดูแลซ่อมบำรุงถนนทั้งระบบ โดยเฉพาะการป้องกันการเสื่อมสภาพของพื้นที่ถนน เช่น การเลือกวัสดุที่ใช้ทำถนน การกำหนดน้ำหนักบรรทุกของรถ เป็นต้น นอกจากนี้ ให้สำรวจถนนที่มีการก่อสร้างขวางทางเดินน้ำและเร่งจัดทำท่อลอดเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขังในอนาคต ๕.๓ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาระบบการเดินรถไฟให้มีความเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ รวมทั้งการจัดสถานที่จอดรถสำหรับผู้ใช้บริการด้วย ๕.๔ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจเร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมโดยการรถไฟแห่งประเทศไทยทบทวนการบริหารจัดการกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทยระยะยาว โดยเน้นการปรับโครงสร้างองค์กร การเพิ่มประสิทธิภาพ การเพิ่มรายได้ การลดภาระรายจ่ายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งจัดทำแผนการเพิ่มทุน และการบริหารจัดการหนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๖. เรื่องแรงงานต่างด้าว ตามที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดทำรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report : TIP Report) ซึ่งประเทศไทยได้รับการประเมินอยู่ในสถานะระดับ ๒ (Tier 2 : Watch List) ซึ่งเป็นประเทศที่ถูกจับตามอง ดังนั้น เพื่อมิให้ประเทศไทยถูกลดระดับลง จึงมอบให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน เป็นต้น เร่งดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจกับต่างประเทศให้ถูกต้องและทั่วถึงเกี่ยวกับการใช้แรงงานในประเทศไทย รวมทั้งการที่ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างเต็มที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยเบื้องต้นได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว เพื่อทำหน้าที่จัดระเบียบและแก้ไขปัญหาแรงงานทั้งระบบด้วยการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศและประชาคมโลก โดยไม่ถูกลดระดับความน่าเชื่อถือ และให้ฝ่ายความมั่นคงเร่งจัดทำแผนและแนวทางการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวอย่า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2391 | การดำเนินการของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม | สลธ.คสช. | 17/06/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๑.๑ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นมี ๒ กรณี คือ กรณีครบวาระการดำรงตำแหน่ง และกรณีแทนตำแหน่งที่ว่าง เห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นเฉพาะกรณีครบวาระการดำรงตำแหน่ง แต่เนื่องจากประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๗/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ กำหนดให้ห้ามมิให้มั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใด ๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ ๕ คนขึ้นไป เป็นเหตุให้ไม่สามารถดำเนินการจัดการเลือกตั้งได้ ดังนั้น ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมร่วมหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้งเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวเพื่อดำเนินการต่อไป รวมทั้งหามาตรการเพื่อสนับสนุนให้การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นมีความโปร่งใส ยุติธรรม และไม่มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงด้วย ๑.๒ การปรับปรุงกฎหมาย ได้แบ่งกลุ่มกฎหมายออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ ๑.๒.๑ กลุ่มกฎหมายองค์กรอิสระ ๑.๒.๒ กลุ่มกฎหมายของกระทรวง กรม ซึ่งแบ่งย่อยออกได้เป็น ๔ ประเภท คือ ประกาศ หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กฎหมายที่ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา กฎหมายที่ให้คณะรัฐบาลชุดใหม่พิจารณา และกฎกระทรวง ในชั้นนี้ กฎกระทรวงสามารถดำเนินการต่อไปได้ จึงขอให้ส่วนราชการต่าง ๆ รวบรวมกฎกระทรวงที่อยู่ในความรับผิดชอบ และส่งให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อจัดประเภทกฎกระทรวงที่ควรเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จในระยะที่ ๑ ต่อไป ๒. ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไปรวบรวมกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวกับการค้า เศรษฐกิจ ที่ล้าสมัย หรือเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายที่จำเป็นต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน และหากไม่สามารถเสนอกฎหมายได้ภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้พิจารณาดำเนินการออกเป็นมาตรการชั่วคราวเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคเบื้องต้นด้วย หรือให้ไปดำเนินการในระยะที่ ๒ หรือระยะที่ ๓ เมื่อมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างกระทรวงยุติธรรมให้ไปดำเนินการในระยะที่ ๒ โดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2392 | การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | สลธ.คสช. | 10/06/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบแนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2393 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาเนปิดอว์ว่าด้วยการบรรลุการเป็นประชาคมอาเซียนปี ค.ศ. 2015 (Nay Pyi Taw Declaration On Realization of ASEAN Community by 2015) | กต | 06/05/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างปฏิญญาเนปิดอว์ว่าด้วยการบรรลุการเป็นประชาคมอาเซียนปี ค.ศ. ๒๐๑๕ (Nay Pyi Taw Declaration On Realization of ASEAN Community by 2015) ซึ่งจะมีการรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการระบุประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่ประเทศสมาชิกอาเซียนต้องเร่งดำเนินการเพื่อบรรลุการเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี ๒๕๕๘ โดยเป็นการเน้นย้ำในประเด็นที่ผู้นำอาเซียนได้เคยตกลงกันไว้แล้ว อาทิ การเร่งรัดดำเนินงานตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมอาเซียน การจัดทำวิสัยทัศน์อาเซียนภายหลังปี ๒๕๕๘ และการปรับปรุงกลไกการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับภายนอกภูมิภาค โดยไม่มีการเสนอข้อริเริ่มหรือการดำเนินการใหม่ ๆ แต่อย่างใด ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างปฏิญญาฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยก่อนการรับรอง ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ร่างปฏิญญาเนปิดอว์ว่าด้วยการบรรลุการเป็นประชาคมอาเซียนปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การให้ความเห็นชอบร่างปฏิญญาฯ จึงไม่มีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปอันเป็นข้อห้ามตามมาตรา ๑๘๑ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2394 | ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2556 นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค | 28/04/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ๑.๑ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วเสร็จ งานก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้ารวมร้อยละ ๗๑.๔๒ งานระบบรถไฟฟ้า ช่วงบางใหญ่-เตาปูน รฟม. ได้ลงนามในสัญญากับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BMCL) เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๖ ส่วนช่วงเตาปูน-บางซื่อ อยู่ระหว่างการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมงาน ๑.๒ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๙๘.๖๔ งานก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้าร้อยละ ๔๒.๓๗ งานระบบรถไฟฟ้าอยู่ระหว่างการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมงาน ๑.๓ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๙๙.๔๒ งานก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้าร้อยละ ๑๔.๙๒ งานศึกษาวิเคราะห์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ อยู่ระหว่างการพิจารณารูปแบบการดำเนินงานที่เหมาะสม ๑.๔ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ อยู่ระหว่างขั้นตอนการประกวดราคา ส่วนงานศึกษาวิเคราะห์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ดำเนินการพร้อมกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ๑.๕ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เนื่องจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้มีผลบังคับใช้แล้ว จึงต้องนำเสนอการอนุมัติโครงการให้คณะรัฐมนตรีชุดต่อไปพิจารณา ๑.๖ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-มีนบุรี งานศึกษาความเหมาะสม ได้ศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ออกแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคาและดำเนินการของตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้วเสร็จ งานขออนุมัติโครงการ เนื่องจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้มีผลบังคับใช้แล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงได้คืนเรื่องเพื่อให้กระทรวงคมนาคมพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ๑.๗ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม โดยมีความก้าวหน้าร้อยละ ๗๗.๒๓ ๑.๘ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม โดยมีความก้าวหน้าร้อยละ ๘๖.๑๕ ๒. ด้านการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ได้ปรับปรุงการให้บริการในด้านต่าง ๆ เช่น การอนุญาตให้เอกชนใช้พื้นที่บริเวณลานจอดรถของ รฟม. เป็นที่จอดรถรับส่งผู้โดยสาร การร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทยในการพัฒนาทางเดินเชื่อมต่อระหว่างสถานีเพชรบุรีกับสถานีมักกะสันของบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด การสร้างที่จอดรถเพิ่มเติมบริเวณสถานีพระราม ๙ และสถานีศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ การกำกับดูแลการเดินรถของผู้รับสัมปทานให้เป็นไปตามมาตรฐานบริการคุณภาพ ISO 9001 : 2008 และมาตรฐานการเดินรถ และการอนุญาตให้เอกชนเชื่อมต่ออาคารกับสถานีรถไฟฟ้า เป็นต้น ๓. ด้านการเงิน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รฟม. มีผลประกอบการกำไรสุทธิ ๑๕,๑๒๒.๕๘ ล้านบาท โดยมีรายได้รวม ๑๘,๕๐๔.๘๗ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม ๒,๕๗๔.๕๔ ล้านบาท และมีค่าดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการก่อสร้าง งานโยธา (สายเฉลิมรัชมงคล) ๘๐๗.๗๖ ล้านบาท ๔. ด้านการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรบุคคล ได้แก่ การดำเนินการตามแผนการดำเนินงานด้านการพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการภายใน และระบบสารสนเทศ การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีและวิชาการที่เกี่ยวข้องกับงานพัฒนาวิศวกรรมระบบรางเพื่อรองรับการเติบโตในอุตสาหกรรมระบบรางที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และการปรับปรุงอัตราเงินเดือนของพนักงานให้สามารถแข่งขันได้กับหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ การจ่ายโบนัสตามผลการประเมินการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการสร้างแรงจูงใจที่มิใช่ตัวเงิน เช่น การมอบโล่รางวัล และของที่ระลึกต่าง ๆ เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ ๕. ด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี ได้แก่ การกำหนดนโยบาย เป้าประสงค์ กลยุทธ์ และแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน และมีการดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ครบถ้วน การดำเนินกิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Corporate Social Responsibility) เช่น การมอบทุนการศึกษา มอบอุปกรณ์กีฬาแก่ศูนย์เด็กผู้ด้อยโอกาส การดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า รวมทั้งการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเพื่อนำมาใช้ในการบริหารจัดการข้อร้องเรียน และจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นต่อการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ของ รฟม. อย่างต่อเนื่อง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2395 | ขออนุมัติกู้เงินประจำปีงบประมาณ 2557 เพิ่มเติม ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 28/04/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกู้เงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพิ่มเติม ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๘๘๗.๐๘ ล้านบาท ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่เกิดจากการกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗ โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยในส่วนของการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้ รฟท. นำเสนอขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า การพิจารณาเรื่องนี้ของคณะรัฐมนตรีเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดและเป็นไปตามการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแล้ว มิใช่กรณีที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่อันมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2396 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. 2554 - 2559 ปีงบประมาณ 2556 | กษ | 22/04/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๙ ปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ประกอบด้วย แผนงานเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการตลาดส่งออก แผนงานส่งเสริมการผลิตกล้วยไม้คุณภาพ แผนงานพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม แผนงานพัฒนาองค์กร แผนงานส่งเสริมการใช้และสนับสนุนการส่งออก และการบริหารจัดการโครงการ ทั้งนี้ ผลกระทบจากการดำเนินการ ปริมาณการส่งออกดอกกล้วยไม้ของไทยในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน ๒๕๕๖ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๕๖ (ปี ๒๕๕๕ และปี ๒๕๕๖ ปริมาณการส่งออก ๑๔,๔๑๕ และ ๑๖,๐๘๕ ตัน ตามลำดับ) แต่คิดเป็นมูลค่าลดลงร้อยละ ๓.๒๔ (ปี ๒๕๕๕ และปี ๒๕๕๖ มูลค่าการส่งออก ๑,๕๒๕ และ ๑,๔๗๖ ล้านบาท ตามลำดับ) ส่วนปริมาณการส่งออกต้นกล้วยไม้ของไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๑๕ (ปี ๒๕๕๕ และปี ๒๕๕๖ ปริมาณการส่งออก ๒๒,๓๘๙ และ ๒๕,๓๓๔ พันต้น ตามลำดับ) เมื่อคิดเป็นมูลค่าแล้วส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๒๘ (ปี ๒๕๕๕ และปี ๒๕๕๖ มูลค่าการส่งออก ๔๓๗ และ ๔๕๒ ล้านบาท ตามลำดับ) เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคม สหกรณ์ และคลัสเตอร์กล้วยไม้ ทำให้เกิดความเข้มแข็งในองค์กรเกษตรกร มีแผนยุทธศาสตร์ด้านการวิจัยกล้วยไม้ ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๙ เกิดการขับเคลื่อนในเรื่องเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อทดแทนปัญหาแรงงานในสวนกล้วยไม้ รวมทั้งการใช้ปุ๋ยและสารเคมีให้มีประสิทธิภาพ และเกิดการขับเคลื่อนในเรื่องการแก้ไขปัญหาแรงงานในสวนกล้วยไม้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการศึกษาวิเคราะห์ตลาดและแนวทางการขยายตลาดเพิ่มเติมเพื่อขยายกลุ่มคู่ค้าใหม่ รวมถึงการศึกษาวิเคราะห์เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่มีต่อการส่งออกในตลาดคู่ค้าเดิม การส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกล้วยไม้ โดยประมวลผลงานและสรุปตามแต่ละห่วงโซ่การผลิตเพื่อให้สามารถประเมินได้ว่าห่วงโซ่ใดต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติม การปรับปรุงพันธุ์กล้วยไม้ใหม่ ๆ โดยใช้วิธีการตัดแต่งพันธุกรรม การวิจัยยังต้องจำกัดอยู่ในขั้นห้องทดลองเพื่อความปลอดภัยไม่ให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมการเกษตรควรปรับบทบาทให้สามารถดำเนินการติดตามงานและบูรณาการการขับเคลื่อนการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ผ่านกลไกของคณะกรรมการกล้วยไม้แห่งชาติเพื่อให้เกิดเอกภาพของการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ และสะท้อนภาพรวมของการพัฒนากล้วยไม้ของไทยได้อย่างชัดเจนมากขึ้น การทบทวนสถานการณ์เพื่อปรับปรุงยุทธศาสตร์ฯ ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในบริบทต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ฯ ที่กำหนดไว้ได้ การวิเคราะห์ปัญหาของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ฯ อย่างรอบคอบเพื่อให้สามารถกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้อย่างชัดเจนและสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม การใช้รูปแบบของคลัสเตอร์กล้วยไม้ราชบุรีเป็นต้นแบบในการจูงใจและส่งเสริมให้เกษตรกรเห็นความสำคัญและประโยชน์ที่เกิดขึ้นของการเข้าสู่ระบบ GAP อย่างเป็นรูปธรรม การใช้โครงการนำร่องที่ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่อยู่ในคณะกรรมการกล้วยไม้แห่งชาติ โดยพิจารณาเลือกโครงการที่มีผลกระทบในวงกว้างและสามารถทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้โดยเร็ว (Quick-Win) มาดำเนินการก่อน รวมทั้งการส่งเสริมบทบาทภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิดให้มากขึ้นเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ อย่างเข้มข้น ไปพิจารณาต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2397 | รายงานผลการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | ศธ | 22/04/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพบปะหารือกับ ดร.คำพัน วิพาวัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬาของ สปป.ลาว เกี่ยวกับความร่วมมือด้านการศึกษา และกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้แสดงความคิดเห็นเรื่องการพัฒนาการศึกษาของไทยว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังอยู่ระหว่างการปฏิรูปการศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องโอกาสทางการศึกษาและการเข้าถึงการศึกษาของประชาชน และยังต้องดำเนินการในเรื่องของคุณภาพทางการศึกษาต่อไป โดยเฉพาะเรื่องการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนทุกคน การแก้ปัญหาการออกกลางคันของนักเรียน การปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน เน้นให้ครูเปลี่ยนวิธีการสอนเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน รวมทั้งได้มุ่งเน้นพัฒนาการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศซึ่งต้องเร่งพัฒนาให้ครูสอนเพื่อการสื่อสารได้ สำหรับการศึกษาในสายอาชีวศึกษา ได้มีนโยบายให้นักเรียนเลือกเรียนสายอาชีพเพิ่มมากขึ้นในอัตราส่วน ๕๑ : ๔๙ ภายในปี ๒๕๕๘ โดยได้จัดทำหลักสูตรร่วมกับภาคเอกชน บริษัทหรือโรงงานเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติและมีรายได้ระหว่างเรียน นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้มีความร่วมมือกับ สปป.ลาว สนับสนุนการพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียนของลาว โดยการสนับสนุนอุปกรณ์และจัดสร้างอาคารศูนย์การเรียนชุมชนต้นแบบใน สปป.ลาว จำนวน ๗ แห่ง ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬาของ สปป.ลาว ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาการศึกษาของลาวว่า ได้ดำเนินการปฏิรูปการศึกษาระยะที่ ๑ เมื่อปี ๒๕๕๓ โดยปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและระบบการศึกษา จากเดิม ๑๑ ปี เป็น ๑๒ ปี (๕ : ๔ : ๓) เพื่อให้เทียบเท่ากับประเทศอาเซียน โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนทุกคนต้องจบชั้นประถมศึกษาภายในปี ๒๕๕๘ และพบว่า นักเรียนสนใจเลือกเรียนสายสามัญมากกว่าสายอาชีพ และนิยมเลือกเรียนระดับอุดมศึกษาในคณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ นอกจากนี้ ยังพบว่า มหาวิทยาลัยประสบปัญหาขาดแคลนอาจารย์สอนในระดับปริญญาตรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2398 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2556 และแนวโน้มปี 2557 | นร11 | 25/03/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๖ วัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวร้อยละ ๐.๖ โดยเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสสี่ขยายตัวจากไตรมาสสามของปี ๒๕๕๖ ร้อยละ ๐.๖ ในขณะที่เศรษฐกิจในภาพรวมยังมีเสถียรภาพ อัตราการว่างงานยังต่ำที่ร้อยละ ๐.๗ และอัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ ๑.๗ และเมื่อรวมทั้งปี ๒๕๕๖ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๒.๙ ๒. ภาวะเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๖ ๒.๑ เศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี ๒๕๕๖ ขยายตัวร้อยละ ๒.๙ ชะลอตัวค่อนข้างมากจากที่ขยายตัวร้อยละ ๖.๕ ในปี ๒๕๕๕ เนื่องจากฐานการใช้จ่ายครัวเรือนและการลงทุนภาคเอกชนในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ สูงกว่าแนวโน้มปกติ เป็นผลจากการดำเนินมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรกที่ส่งผลให้ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งสูงถึง ๒๑๑,๔๗๔ คัน ในไตรมาสสี่ปี ๒๕๕๕ ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศรวมชะลอตัวลงมาก ประกอบกับในช่วงปลายปีความเชื่อมั่นของประชาชนลดลง การใช้จ่ายของครัวเรือนโดยรวมทั้งปีจึงขยายตัวเพียงร้อยละ ๐.๒ การลงทุนภาคเอกชนหดตัวร้อยละ ๒.๘ และการใช้จ่ายรัฐบาลและการลงทุนภาครัฐชะลอตัวลง นอกจากนี้ ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการยังชะลอตัว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในช่วงแรกของการฟื้นตัว รวมทั้งสินค้าส่งออกเกษตรประสบปัญหาโรคตายด่วนในกุ้งและสินค้าอุตสาหกรรมกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไม่สามารถปรับตัวทันกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการผลิตหน่วยความจำของฮาร์ตดิสก์ที่ก้าวหน้ามากขึ้น โดยรวมทั้งปี ๒๕๕๖ มูลค่าการส่งออกเท่ากับ ๒๒๕,๓๙๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๐.๒ ๒.๒ การใช้จ่ายและการส่งออกที่ชะลอตัวส่งผลให้การผลิตในทุกสาขาชะลอลงทั้งปี ๒๕๕๖ ภาคเกษตรกรรมขยายตัวร้อยละ ๑.๔ ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๐.๑ ภาคการก่อสร้างขยายตัวร้อยละ ๑.๒ และสาขาโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวร้อยละ ๑๒.๑ โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งสิ้น ๒๖.๗ ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๖ ๒.๓ เศรษฐกิจยังคงมีเสถียรภาพที่มั่นคงโดยที่อัตราการว่างงานทั้งปีเท่ากับร้อยละ ๐.๗ อัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ ๒.๒ และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๖ ต่อ GDP ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๗ ๓.๑ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๓.๐-๔.๐ ดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๙ ในปี ๒๕๕๖ โดยมีปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวจากภาคการส่งออกที่คาดว่าจะฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๖ เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๓.๑ ในปี ๒๕๕๖ การท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ ๓.๐ ต่ำกว่าประมาณการครั้งก่อน และอัตราการขยายตัวในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา และการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในส่วนที่ได้มีการผูกพันไว้แล้ว รวมทั้งการลงทุนภาคเอกชนยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ โดยเฉพาะการลงทุนที่ขอรับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนไว้แล้วและสามารถเข้าสู่ขั้นตอนการอนุมัติในช่วงครึ่งหลังของปีได้ โดยคาดว่าการปรับปรุงนโยบายการส่งเสริมการลงทุนจะมีความชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ๓.๒ ข้อจำกัดของอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังอ่อนตัวจะทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจต่ำกว่าร้อยละ ๔.๐-๕.๐ เนื่องจากความล่าช้าของการดำเนินการตามแผนการลงทุนของภาครัฐและการบริโภคภายในประเทศที่ยังคงอ่อนตัวต่อเนื่อง ๓.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจคาดว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มที่จะอยู่ในช่วงร้อยละ ๑.๙-๒.๙ เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศยังขยายตัวไม่มาก ประกอบกับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นไม่มาก อัตราการว่างงานจะยังต่ำไม่เกินร้อยละ ๑ ดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งคาดว่าจะขาดดุลร้อยละ ๐.๒ ของ GDP ลดลงจากการขาดดุลร้อยละ ๐.๖ ของ GDP ในปี ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2399 | มาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง | ปช | 18/03/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามนัยมาตรา ๑๙ (๑๑) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังซึ่งสร้างผลตอบแทนให้แก่เกษตรกรในวงจำกัด แต่สร้างผลกำไรให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจำนวนมาก หากรัฐต้องการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างทั่วถึงพร้อมกับพึ่งพิงวิธีที่ไม่ฝืนกลไกตลาดในระยะยาว จะต้องนำการประกันความเสี่ยงด้านราคามาใช้ เป็นการประกันราคาขั้นต่ำให้เกษตรกร ทั้งนี้ ราคาประกันขั้นต่ำไม่ควรตั้งสูงจนเกินไป แต่ต้องสูงกว่าต้นทุนการผลิตโดยเฉลี่ยของเกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรสามารถอยู่ได้ มาตรการดังกล่าวมีข้อดี คือ เกษตรกรทุกรายที่ปลูกมันสำปะหลังสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ลดความวิตกของเกษตรกรในเรื่องความผันผวนของราคาตลาด กลไกตลาดยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ถูกบิดเบือน รัฐไม่มีภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าจ้างแปรรูป ค่าเก็บรักษา เป็นต้น นอกจากเงินชดเชยที่ต้องจ่ายในกรณีที่ราคาตลาดอ้างอิงต่ำกว่าราคาประกัน รัฐไม่มีภาระในการเก็บรักษาและการระบายผลผลิตซึ่งผิดกับการรับจำนำ เพราะรัฐไม่ต้องรับซื้อผลผลิตมาเก็บรักษา จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้มาก รวมทั้งลดโอกาสการทุจริตในเกือบทุกขั้นตอนและทุกระดับ ๑.๒ สนับสนุนเงินทุนให้เกษตรกรกู้ในตลาดอัตราดอกเบี้ยต่ำในระหว่างชะลอการขุดหัวมันไม่ให้ออกสู่ตลาดในคราวเดียวกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝน ๑.๓ สนับสนุนให้มีการสร้าง Cluster มันสำปะหลังระหว่างโรงงานกับเกษตรกร เพื่อให้มีการวางแผนการผลิตและการตลาดร่วมกัน ๑.๔ พัฒนาระบบฐานข้อมูลเกษตรกรและฐานข้อมูลการผลิตอย่างเป็นระบบและมีการปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อให้นโยบายการส่งเสริมหรือช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังของรัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น ๑.๕ ถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ให้แก่เกษตรกรในการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และใช้ท่อนพันธุ์มันสำปะหลังที่ดีและวิธีการเพาะปลูกที่เพิ่มเปอร์เซ็นต์แป้งให้มากขึ้น รวมถึงการร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการให้คำแนะนำและกำหนดแนวทางเพื่อช่วยแก้ไขการระบาดของเพลี้ยแป้ง เพราะเกษตรกรไทยยังขาดแคลนการพัฒนาศักยภาพการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดต้นทุนการผลิต และยกระดับคุณภาพของมันสำปะหลัง ๑.๖ ส่งเสริมการใช้มันสำปะหลังในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่สร้างมูลค่าเพิ่ม การผลิตเอทานอล เพื่อป้องกันอุตสาหกรรมการผลิตแก๊สโซฮอล์นับเป็นแนวทางหนึ่งที่เป็นไปได้ การพัฒนาทางเลือกนี้จะช่วยให้เกิดความต้องการใช้มันสำปะหลัง ทำให้ราคาหัวมันสำปะหลังมีเสถียรภาพมากขึ้นกว่าเดิม เพราะมีอุปสงค์รองรับ ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ กรณีเรื่องใดที่จะมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ก็ให้พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2400 | รายงานความก้าวหน้าโครงการสำคัญ (Flagship Project) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 25/02/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความก้าวหน้าโครงการสำคัญ (Flagship Project) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีโครงการสำคัญเพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ จำนวน ๘ โครงการ ดังนี้
๑. โครงการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจสำหรับสินค้าเกษตรที่สำคัญ (Zoning) การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การประกาศเป็นนโยบายการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ การรวบรวมข้อมูลองค์ความรู้ทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับความเหมาะสมของดิน (Land Suitability) ความต้องการของพืช ประมง ปศุสัตว์ (Production Requirement) และข้อมูลเกษตรจากทุกจังหวัด การประกาศเขตเศรษฐกิจสำหรับพืช ปศุสัตว์ และประมง ระหว่างวันที่ ๕ กุมภาพันธ์-๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ พร้อมจัดทำแผนที่ประกอบ จำนวน ๒๐ ชนิดสินค้า ประกอบด้วย พืช ๑๓ ชนิด ปศุสัตว์ ๕ ชนิด และประมง ๒ ชนิด การจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการในระดับจังหวัดและกระทรวง การปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตรที่ไม่เหมาะสมไปสู่พืช ประมง และปศุสัตว์ ในพื้นที่ที่เหมาะสม การเสนอแผนการบริหารจัดการพื้นที่และสินค้าเกษตรระดับจังหวัดของผู้ว่าราชการจังหวัด และการจัดทำแผนสนับสนุนปัจจัยการผลิตหลักทั้งในเรื่องดินและน้ำ รวมทั้งกิจกรรมที่จะดำเนินการต่อไปคือ การประกาศเขตเศรษฐกิจตามพระราชบัญญัติเศรษฐกิจการเกษตร พ.ศ. ๒๕๒๒ และการออกกฎกระทรวงหรือกฎหมายอื่นรองรับการดำเนินงานภายใต้โครงการ Zoning ๒. โครงการเมืองเกษตรสีเขียว (Green Agricultural City) การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าหน้าที่เกษตรใน ๖ จังหวัดเป้าหมาย ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ หนองคาย ศรีสะเกษ จันทบุรี ราชบุรี และพัทลุง ดำเนินการสร้างความเข้าใจกับเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ที่กำหนดเป็นเมืองเกษตรสีเขียว รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตโดยใช้สารเคมีอย่างถูกวิธีให้เกิดตำบลหรือหมู่บ้านสีเขียวต้นแบบ ๓. โครงการพัฒนาเกษตรกรและเจ้าหน้าที่เกษตรปราดเปรื่อง (Smart Farmer and Smart Officer) การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การตรวจสอบจำนวนและคุณสมบัติของเกษตรกรที่ทำการผลิตทั้งพืช ประมง ปศุสัตว์ การดำเนินการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโดยสนับสนุนนโยบาย Smart Farmer/Smart Office “หนึ่งบัตรประชาชนเพื่อเกษตรกรปราดเปรื่อง : One ID Card for Smart Farmer” ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาการจดทะเบียนเกษตรกรให้ทันสมัย การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลเกษตร หรือ War Room การจัดตั้งสถานีโทรทัศน์เกษตร (MOAC TV) เพื่อเป็นช่องทางในการเผยแพร่ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีการเกษตรระบบใหม่และเป็นสื่อกลางระหว่างทุกภาคส่วน การจัดทำโปรแกรมพัฒนาเกษตรกรเชื่อมโยงกับบัตรประจำตัวเกษตรกร การจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในการพัฒนาเกษตรกรให้เป็นเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer) การนำระบบ Training and Visiting (T&V) system มาใช้เต็มรูปแบบ การแต่งตั้งคณะทำงานระดับจังหวัดเพื่อดำเนินการสำรวจและคัดกรองเกษตรกร และการสร้างครูเกษตรกร ๔. โครงการพัฒนาสินค้าเกษตรสู่มาตรฐาน (Food Safety) การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การจัดทำมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารภายใต้พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๑ การส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าสู่ระบบการผลิต มาตรฐาน โดยรับรองมาตรฐานฟาร์มเกษตรกรเป็น CAP การตรวจสอบและรับรองโรงงานตามมาตรฐาน GMP และ HACCP การถ่ายโอนการตรวจรับรองให้ส่วนราชการหรือเอกชน การรับรองร้านอาหารและภัตตาคารที่ใช้วัตถุดิบจากฟาร์มเกษตรโดยใช้สัญลักษณ์ Q รวมทั้งการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบูรณาการเชื่อมโยงระบบการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพอาหารของประเทศโดยใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวสนับสนุน ๕. โครงการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การจัดตั้งกองเกษตรอาเซียนเพื่อเป็นศูนย์กลางการประสานงาน การจัดประชุมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ของแต่ละชนิดสินค้า วิเคราะห์กลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพ และกลุ่มที่ยังมีปัญหา การพัฒนามาตรฐานสินค้าเกษตรให้เป็นมาตรฐานอาเซียน การประสานงานกับกรมศุลกากรในการบูรณาการด่านพืช ประมง ปศุสัตว์ และห้องปฏิบัติการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าในพื้นที่ชายแดน จุดผ่านเข้าออกสินค้าระหว่างประเทศ การร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทำโครงการความร่วมมือทางวิชาการด้านการเกษตรและร่วมมือการผลิตในลักษณะทำการเกษตรแบบมีสัญญา (Contract Farming) และการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๖. โครงการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการผลิตเมล็ดพันธุ์พืชรองรับประชาคมอาเซียน (Seed Hub) การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาศูนย์วิจัยพันธุ์พืชและผลิตพันธุ์หลักเพื่อให้เกษตรกรผลิตพันธุ์ขยายจำหน่ายให้เกษตรกร การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของเกษตรกร การผลิตเมล็ดพันธุ์ดี การศึกษาวิจัยพันธุ์ข้าวและพันธุ์พืชที่เป็นลักษณะเฉพาะของประเทศไทย และเก็บรวบรวมพันธุ์ไว้เพื่อให้เกิดความมั่นคงอาหารและการเกษตรกรรมของประเทศ การสร้างเครือข่ายเกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์และดูแลธุรกิจผลิตเมล็ดพันธุ์พืชในประเทศเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและเป็นศูนย์กลางของอาเซียน รวมทั้งการสนับสนุนให้สหกรณ์หรือภาคเอกชนด้านปศุสัตว์ผลิตพันธุ์ปศุสัตว์และพัฒนาเกษตรกรของไทยให้จำหน่ายพันธุ์สัตว์ ๗. โครงการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรทดแทนแรงงานเกษตร การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ พัฒนาเครื่องจักรกลเกษตรเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าเกษตร การจัดทำยุทธศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรและอุปกรณ์การเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ เพื่อพัฒนาและสนับสนุนการปรับปรุงรูปแบบกระบวนการผลิตของประเทศ การจัดงานนิทรรศการเครื่องจักรกลเกษตรที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ เพื่อแสดงศักยภาพด้านเครื่องจักรกลการเกษตรของประเทศไทย และการสนับสนุนงานวิจัยเพื่อผลิตเครื่องจักรกลการเกษตร ๘. โครงการเพิ่มพื้นที่ชลประทาน การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การบริหารจัดการน้ำในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทานให้มีความชัดเจน โดยประกาศพื้นที่น้ำน้อย จัดพื้นที่ปลูกพืชตามปริมาณน้ำในเขื่อน จัดหาอาชีพและรายได้แก่เกษตรกรในภาวะน้ำแล้ง การมีระบบเตือนภัยเวลาเกิดน้ำท่วม ฝนแล้ง แจ้งเตือนแก่เกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มพื้นที่ชลประทานปีละ ๒๐๐,๐๐๐ ไร่ เป็นอย่างน้อย เพิ่มบ่อน้ำขนาดเล็กนอกเขตชลประทานปีละ ๑๐๐,๐๐๐ ไร่ และวางระบบเติมน้ำในแหล่งน้ำชุมชนให้สามารถใช้น้ำเพื่อการเกษตรในช่วงแล้ง การศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดการน้ำเข้าพื้นที่เกษตรเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเขตพืชไร่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งการนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เรื่องฝนหลวงมาใช้เพื่อแก้ปัญหาน้ำเพื่อการเกษตร |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
