ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 118 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2341 - 2360 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2341 | มาตรการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยแล้ง ปี 2557/2558 | กษ | 14/10/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานการณ์น้ำ ซึ่งเป็นการสรุปปริมาณฝนในช่วงฤดูฝนปี ๒๕๕๗ สถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำแม่กลอง และลุ่มน้ำอื่น ๆ และเห็นชอบการงดส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปรังในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง โดยให้มีการออกประกาศทางราชการแจ้งพื้นที่ที่ให้งดการส่งน้ำและงดการทำนาปรังในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ รวม ๒๖ จังหวัด ทั้งนี้ การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยในพื้นที่งดส่งน้ำและงดทำนาปรัง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานตามมาตรการแก้ปัญหาผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ในกรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๓๗๗,๗๙๐,๐๐๐ บาท และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในระยะ ๓ เดือนแรก) โดยให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับการดำเนินโครงการเพื่อการปรับปรุง/ซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างที่มีอยู่เดิมมากกว่าการก่อสร้างใหม่ รวมทั้งให้พิจารณาใช้แรงงานจากประชาชนในพื้นที่เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ ด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยติดตามสถานการณ์ที่มีเกษตรกรบางส่วนยังคงปลูกข้าวนาปรังในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลองที่ให้งดการส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก และอาจได้รับความเสียหายจากการไม่มีน้ำเพียงพอได้ ๔. ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำของประเทศให้เหมาะสมสอดคล้องกับปริมาณน้ำที่กักเก็บได้ และความต้องการใช้น้ำในพื้นที่เกษตรกรรมทั้งที่อยู่ในเขตและนอกเขตชลประทาน รวมทั้งความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนการใช้พื้นที่การเพาะปลูกให้เหมาะสม (Zoning) และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เกษตรกรและสาธารณชนผู้สนใจได้รับทราบโดยทั่วถึงกันด้วย |
|||||||||||||||
| 2342 | การปรับปรุงคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค | นร04 | 07/10/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๒๑/๒๕๕๗ เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิรูปราชการในภูมิภาค เพื่อให้การตรวจราชการตามคำสั่งดังกล่าวครอบคลุมถึงการตรวจสอบความถูกต้องในการดำเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ และให้คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วย ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||
| 2343 | การปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่างๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี | นร04 | 07/10/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๓๒/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ เรื่อง ปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ และคณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||
| 2344 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี | นร | 07/10/2557 | ||||||||||||
|
ในคราวประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๑.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน เช่น การจัดหารถเมล์ NGV ใหม่ โรงงานกำจัดขยะ เป็นต้น ๑.๒ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการและจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการระยะ ๓ เดือน ๖ เดือน ๙ เดือน และ ๑ ปี พร้อมทั้งกำหนดผลสัมฤทธิ์และระยะเวลาแต่ละกิจกรรมเพื่อให้มีความชัดเจนในการปฏิบัติ รวมทั้งสามารถติดตามและประเมินผลการดำเนินการได้ แล้วส่งให้นายกรัฐมนตรีภายในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๗ ๑.๓ ให้ทุกส่วนราชการจัดเตรียมข้อมูลในความรับผิดชอบเพื่อชี้แจงประชาชนผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทยที่ออกอากาศทุกวันทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ทั้งนี้ หากส่วนราชการใดมีเรื่องจำเป็นจะต้องชี้แจงอย่างเร่งด่วนสามารถส่งเรื่องที่ต้องการชี้แจงให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาก่อนได้ ๑.๔ ให้ทุกส่วนราชการติดตามข้อมูลข่าวสารและความคิดเห็นจากสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับภารกิจหรือการดำเนินงานในความรับผิดชอบ เพื่อใช้ประกอบการปรับปรุงแก้ไขให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และหากข้อมูลใดที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงให้ส่วนราชการนั้นชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องด้วย ๑.๕ ตามที่มีข่าวแพร่หลายอยู่ในขณะนี้ว่า จะมีการยุบเลิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งชี้แจงสร้างความเข้าใจให้ส่วนราชการในสังกัดและประชาชนว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายในเรื่องดังกล่าว ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ในการพิจารณาอนุญาตเกี่ยวกับการกำหนดมาตรฐานของสินค้า บริการ และอื่น ๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หาแนวทางการลดขั้นตอนในการพิจารณาอนุญาตเพื่อให้มีความสะดวก รวดเร็ว และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินขึ้น โดยให้มีผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ รวมทั้งให้มีผู้แทนจากภาคเอกชนและภาคประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมการด้วย ๒.๓ โดยที่ปัจจุบันประชาชนนิยมสัญจรด้วยรถจักรยานส่งผลให้มีความต้องการซื้อรถจักรยานสูงขึ้น แต่เนื่องจากรถจักรยานที่มีประสิทธิภาพมักจะมีราคาแพงและประเทศไทยยังมีช่องทางเดินรถสำหรับรถจักรยานน้อย จึงให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาหาแนวทางการผลิตรถจักรยานที่มีมาตรฐานและจำหน่ายในราคาถูก และให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทยพิจารณาจัดช่องทางเดินรถที่มีความปลอดภัยสำหรับรถจักรยานในทุกจังหวัดด้วย ๓. ด้านสังคม ๓.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีนโยบายในการจัดระเบียบสังคม เช่น การจัดระเบียบทางเท้า การจัดระเบียบชายหาด การจัดระเบียบพื้นที่เกษตรกรรมที่บุกรุกป่าสงวน นั้น ส่งผลให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่เคยใช้ประโยชน์ในพื้นที่เหล่านั้นได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางการจัดพื้นที่ทำกินหรือใช้ประกอบอาชีพให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว เช่น การจัดตลาดนัดถนนคนเดินเพื่อให้ผู้ได้รับผลกระทบมีพื้นที่ในการค้าขายเป็นการชั่วคราว ๓.๒ ให้ทุกหน่วยงานนำข้อมูลโครงการในพระราชดำริต่าง ๆ แนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น เผยแพร่ต่อสาธารณชนในสื่อต่าง ๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะทางสื่อออนไลน์ เพื่อให้สะดวกในการเข้าถึงข้อมูล นอกจากนี้ ให้ห้องสมุดของสถานศึกษาจัดให้มีข้อมูลดังกล่าวเพื่อเป็นแหล่งความรู้ในสถานศึกษาด้วย ๔. ด้านการต่างประเทศ ๔.๑ ในการให้ความช่วยเหลือตามที่ต่างประเทศหรือองค์กรนานาชาติร้องขอ โดยการส่งบุคลากรเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ เช่น การฟื้นฟูภัยพิบัติ การระงับภัยจากโรคระบาด นั้น ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณาความจำเป็น เหมาะสม โดยคำนึงถึงความพร้อมของบุคลากร ความปลอดภัยและการป้องกันความเสี่ยงสำหรับบุคลากรที่จะต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศ ๔.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศประชาสัมพันธ์ชี้แจงการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีที่มุ่งเน้นการสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง ความสงบเรียบร้อยของประเทศ โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เพื่อให้ต่างชาติมีความเข้าใจที่ถูกต้องในแนวทางการทำงานข้างต้น ๔.๓ ในการเตรียมประเด็นเพื่อใช้ในการเจรจาระหว่างประเทศ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณานำ ๔ ประเด็นหลักที่ทุกเวทีโลกให้ความสำคัญ ประกอบด้วย ๑) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ๒) การแพร่ระบาดของโรคร้ายแรง (Pandemics) ๓) การก่อการร้ายของกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง (ISIS/ISIL) และ ๔) การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) รวมในประเด็นการเจรจา รวมทั้งให้มุ่งนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินการของรัฐบาลเพื่อเดินหน้าประเทศไทยตาม Roadmap ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
|
|||||||||||||||
| 2345 | มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ 3 เดือนแรก | นร | 01/10/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) แจ้งยืนยันและชี้แจง ดังนี้ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยืนยันว่า การดำเนินการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก (ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) ซึ่งประกอบด้วยมาตรการเพื่อการสร้างงานและมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอ คณะรัฐมนตรีมีอำนาจในการอนุมัติให้ดำเนินการได้โดยไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง ๑.๒ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณชี้แจงว่า มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ใช้สภาพคล่องเงินทุนของ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายเงินไปก่อนย่อมถือว่าเป็นข้อผูกพันงบประมาณที่จะต้องจ่ายเป็นเงินเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นไปตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๓ รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ชี้แจงว่า มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยเป็นการช่วยเหลือชาวนารายย่อยที่มีรายได้น้อยเพื่อให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ ไม่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือค่าปัจจัยการผลิตหรือชดเชยการขาดทุนแต่อย่างใด ๒. เห็นชอบในหลักการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก (ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการเพื่อการสร้างงาน ให้ส่วนราชการจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และรายการเสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แล้วขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินโครงการต่อไป โดยให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับการดำเนินโครงการเพื่อการปรับปรุง/ซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างที่มีอยู่เดิมมากกว่าการก่อสร้างใหม่ และให้พิจารณาใช้แรงงานจากประชาชนในพื้นที่เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมาตรการต่าง ๆ ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตด้วย ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งจัดทำแผนงาน/โครงการ เกี่ยวกับการปรับปรุงซ่อมแซมโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนตามแนวทางและขั้นตอนในข้อ ๒ เพื่อเสนอสำนักงบประมาณโดยด่วน ๔. ในการดำเนินการนำเงินเหลือจ่ายจากการดำเนินการตามโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ มาใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการเป็นเรื่องเร่งด่วนด้วย ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำทะเบียนเกษตรกรที่เป็นชาวนาให้ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ เพื่อใช้ประกอบการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวข้างต้น เพื่อให้ชาวนารายย่อยผู้มีรายได้น้อยได้รับประโยชน์โดยตรงและทั่วถึงต่อไป |
|||||||||||||||
| 2346 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 01/10/2557 | ||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการตรวจสอบสต็อกผลผลิตทางการเกษตรที่อยู่ในความรับผิดชอบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้คณะอนุกรรมการจัดทำบัญชีข้าวคงเหลือของรัฐเร่งดำเนินการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาหาแนวทางการบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรทุกชนิดอย่างเป็นระบบให้ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้งนี้ ให้ทุกส่วนราชการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ซึ่งผลิตจากวัตถุดิบในประเทศ เช่น ที่นอนยางพารา ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการศึกษาหาแนวทางและมาตรการในการลดภาระหนี้สินครัวเรือนและหนี้นอกระบบที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันให้เกิดเป็นรูปธรรมและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็ว ๑.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงมหาดไทยประสานงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการพิจารณากำหนดพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญที่สมควรจัดให้มีมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเป็นการเร่งด่วน ๑.๕ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) จัดให้มีเวทีการพบปะพูดคุยกับนักธุรกิจชั้นนำจากสาขาต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ๒. ด้านการต่างประเทศ ๒.๑ ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐอิตาลี ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดเตรียมข้อมูลให้ครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง รวมถึงความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนเสนอนายกรัฐมนตรีด้วย ๒.๒ ในการเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศในโอกาสต่าง ๆ ขอให้ทุกส่วนราชการบูรณาการการทำงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินการกำหนดท่าที การเจรจา และการเสนอความเห็นของประเทศไทยในเวทีต่าง ๆ มีความเป็นเอกภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ๓. ด้านการบริหารราชการ ๓.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกำชับให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในกำกับดูแลทำความเข้าใจและปฏิบัติตามแนวทางการทำงานของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกเพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรม โดยยึดมั่นในหลักความโปร่งใสและปราศจากการทุจริตในการปฏิบัติราชการทุกระดับ และมุ่งเดินหน้าสร้างความปรองดองควบคู่ไปกับการปฏิรูป ๓.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประสานงานกับทุกหน่วยงานในการบูรณาการการใช้ประโยชน์ร่วมกันจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ โดยปรับปรุงฐานข้อมูลที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ทันสมัยและพร้อมใช้งานทุกเวลา โดยเฉพาะฐานข้อมูลที่ใช้รองรับการให้บริการประชาชน เมื่อดำเนินการปรับปรุงแล้วเสร็จ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแจ้งศูนย์ดำรงธรรมทราบ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการให้บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service) ต่อไป ๔. ด้านสังคม ๔.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) ประสานงานกับทุกส่วนราชการเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนาซึ่งครอบคลุมใน ๓ มิติ คือ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนาคน และการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยให้บูรณาการงบประมาณในการดำเนินการจากกองทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและกองทุนอื่น ๆ ของทุกหน่วยงาน และให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องข้างต้น เพื่อนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) พิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔.๒ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณากำหนดแนวทางในการเตรียมความพร้อมของบุคลากรเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี ๒๕๕๘ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน นอกจากนี้ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาถึงการดูแลให้ความช่วยเหลือบุตรธิดาของเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สามารถศึกษาต่อจนจบหลักสูตรการศึกษาและมีโอกาสในการทำงานที่ดีด้วย ๔.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยกำหนดแนวทางการจัดระเบียบสังคมตามนโยบายของรัฐบาลในเรื่องต่าง ๆ เช่น การจัดระเบียบรถตู้และรถจักรยานยนต์โดยสารสาธารณะให้มีความต่อเนื่องและยั่งยืน โดยใช้กลไกเครือข่ายภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ ๕. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๕.๑ ตามที่ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประสานทุกส่วนราชการเพื่อจัดทำแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี นั้น ให้ทุกส่วนราชการเร่งเสนอร่างกฎหมายที่มีความจำเป็นเร่งด่วนโดยเร็ว และให้เร่งรัดจัดกลุ่มกฎหมาย แล้วส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อรวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ สำหรับกฎหมายเร่งด่วนหรือกฎหมายที่มีลักษณะพิเศษซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณานาน เช่น ภาษีมรดก อย่างน้อยให้ประกาศใช้บังคับก่อนไตรมาสที่ ๓ ๕.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาหาแนวทางในการดำเนินการเพื่อให้รัฐบาลสามารถขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนหรือนโยบายสำคัญตามแนวทางที่สอดคล้องกับร่างกฎหมายต่าง ๆ ที่รัฐบาลเสนอและอยู่ในระหว่างการพิจารณาในขั้นตอนทางนิติบัญญัติซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลานาน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาเร่งด่วนได้อย่างรวดเร็ว ๕.๓ ให้สำนักงานศาลยุติธรรมแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับแผนการจัดตั้งศาลแขวงและศาลจังหวัดในภาพรวมทั่วประเทศในระยะ ๕ ปี ไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๖. ด้านอื่น ๆ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ติดตามการรายงานและการพยากรณ์เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศและระดับน้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลว่า ภัยแล้งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในแต่ละพื้นที่อย่างไร โดยเฉพาะผลกระทบด้านการเกษตร
|
|||||||||||||||
| 2347 | การดำเนินการแก้ไขปัญหายางพารา | กษ | 01/10/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินการแก้ไขปัญหายางพารา โดยขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมวิสาหกิจชุมชน หรือองค์กรวิสาหกิจอื่นที่ทำธุรกิจยางพารา ตลอดจนหลักเกณฑ์และแนวทางดำเนินการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนแก่วิสาหกิจชุมชน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. เห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเพิ่มเติม ได้แก่ ๒.๑ เพิ่มปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นกรรมการ ๒.๒ ปรับเปลี่ยนอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ๒.๓ ปรับปรุงชื่อองค์กร จากประธานเครือข่ายยางพาราแห่งประเทศไทย เป็นประธานคณะกรรมการเครือข่ายชาวสวนยางระดับประเทศ |
|||||||||||||||
| 2348 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 32 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | พน | 23/09/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๒ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๒ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ ความพยายามของประเทศสมาชิกในการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ตามแผนปฏิบัติการพลังงานของอาเซียน ระหว่างปี ๒๕๕๓-๒๕๕๘ (ASEAN Plan of Actions on Energy Cooperation : APAEC 2010-2015) เพื่อให้ภาคพลังงานของอาเซียนสามารถบรรลุเป้าหมายสู่การเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี ๒๐๑๕ และการพัฒนาแผนปฏิบัติการพลังงานอาเซียน ระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ความพยายามของอาเซียนในการรักษาเสถียรภาพความมั่นคง และการพัฒนาพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รวมทั้งการผลักดันการดำเนินการโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติอาเซียน (Trans-ASEAN Gas Pipeline-TAGP) การพัฒนาและโครงการเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid-APG) การดำเนินตามเป้าหมายของการใช้พลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคให้เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕ ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด การส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาเซียน การพัฒนาขีดความสามารถของศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy : ACE) ๑.๑.๒ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ครั้งที่ ๑๑ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การให้ประเทศในกลุ่มอาเซียน+๓ สนับสนุนในเรื่องการแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ในสถานการณ์พลังงานของโลกและอาเซียน+๓ การแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ตลอดจนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศของประเทศสมาชิกและประเทศคู่เจรจา การพัฒนาแนวทางการสำรองน้ำมันในอาเซียน การพัฒนาและพิจารณาถึงผลกระทบจาก Shale Gas ในภูมิภาค การถ่ายทอดเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดและการสนับสนุนด้านการเงิน การส่งเสริมพลังงานสะอาดและการอนุรักษ์พลังงาน การเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรด้านพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติในอาเซียน ๑.๑.๓ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๘ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การประกาศจุดยืนที่จะร่วมมือกันอย่างจริงจังในสาขาพลังงานต่าง ๆ อาทิ การปรับปรุงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพเพื่อการขนส่งและวัตถุประสงค์อื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำฐานข้อมูลเชื้อเพลิงชีวภาพในประเทศเอเชียตะวันออก และการร่วมมือในโครงการมองภาพอนาคตด้านพลังงาน (Energy Outlook) ตลอดจนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ๑.๑.๔ ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนกับทบวงพลังงานระหว่างประเทศ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การร่วมมือในการสนับสนุนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านตลาดก๊าซธรรมชาติที่ให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนพัฒนาการตั้งศูนย์กลางการซื้อขายก๊าซในภูมิภาคนี้ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ นี้ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกดังกล่าวได้ ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง ๔ ฉบับ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวในที่ประชุมได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงพลังงานถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ด้านต่างประเทศ ด้วย |
|||||||||||||||
| 2349 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช | กษ | 23/09/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Memorandum of Understanding on Strengthening Sanitary and Phytosanitary Cooperation) โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นการกำหนดขอบเขตความร่วมมือเกี่ยวกับมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary Measures : SPS) การกำหนดกลไกในการดำเนินงาน และการคุ้มครองสิทธิของทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีการปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรให้ความสำคัญในประเด็น “การเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ : (Access and Benefit Sharing)” ที่ได้จากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ตามหลักของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity : CBO) และกฎหมายของแต่ละประเทศ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ด้านต่างประเทศ ด้วย |
|||||||||||||||
| 2350 | ขอเสนอร่างแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี 2558 - 2560 เข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ | นร51 | 23/09/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ประกอบด้วย ๙ กลยุทธ์ ได้แก่ การแก้ปัญหาด้านยาเสพติด ด้านผู้หลบหนีเข้าเมือง ด้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ ด้านความมั่นคงพิเศษ ด้านการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้านการสนับสนุน ส่งเสริมการดำเนินการตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ด้านการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ ด้านการดำเนินการภาคประชาชนเพื่อความมั่นคงของชาติ และด้านการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอ ๒. ให้ กอ.รมน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมสำหรับเผชิญสถานการณ์เร่งด่วน ควรมีการบูรณาการร่วมกับส่วนราชการในการจัดทำแผนร่วมกัน มีการกำหนดบทบาทของทุกส่วนราชการที่ชัดเจน รวมทั้งให้มีการซ้อมแผนอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนให้ภาคประชาชนและอาสาสมัครประจำหมู่บ้านดำเนินการเพื่อความมั่นคง หากมีเหตุการณ์รุนแรงจนถึงขั้นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต บุคคลเหล่านั้นควรได้รับการดูแลช่วยเหลือเพื่อชดเชยและให้ขวัญกำลังใจทั้งการให้ความช่วยเหลือด้านตัวเงินและด้านอื่น ๆ การปรับปรุงสารสนเทศข้อมูลแรงงานต่างด้าว ควรพัฒนาโปรแกรมการบันทึกข้อมูลสารสนเทศและการใช้ประโยชน์ของฐานข้อมูลร่วมกันของทุกส่วนราชการภายใต้ความมั่นคงด้านข้อมูลสารสนเทศเดียวกัน การรักษาพยาบาลและการควบคุมป้องกันโรคระบาดในกลุ่มประชากรตามแนวตะเข็บชายแดน ต้องให้การรักษาพยาบาลตามหลักมนุษยธรรม การควบคุม ป้องกัน สอบสวนและเฝ้าระวังโรคจะต้องมีแผนการแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างส่วนราชการต่าง ๆ และควรมีแผนการแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างจังหวัดของประเทศเพื่อนบ้านในการควบคุมกรณีมีการระบาดของโรค และการแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในส่วนของการจัดบริการรักษาพยาบาลสำหรับผู้บาดเจ็บที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ โดยเฉพาะการดูแลและการเคลื่อนย้าย ณ จุดเกิดเหตุ ต้องดำเนินงานร่วมกับฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจและอาสาสมัครในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการต่าง ๆ ตามอำนาจหน้าที่ตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีไว้ให้สอดคล้องกับแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ โดยให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการและคำนึงถึงสภาพปัญหารวมทั้งภัยคุกคามต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ความมั่นคง ความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นต้น ทั้งนี้ ภารกิจใดมีความจำเป็นเร่งด่วน ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จและเป็นรูปธรรมโดยเร็วภายใน ๓ เดือน ๔. การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับไปกำกับดูแลและบูรณาการการดำเนินงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น ให้เป็นเอกภาพและสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้แผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ต่อไป |
|||||||||||||||
| 2351 | ปรับปรุงองค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ | กษ | 16/09/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ เป็นรองประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธานกรรมการ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ และมีกรรมการอื่นอีก ๒๕ คน ๒. อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ๒.๑ เสนอแนะนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาและแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ กำหนดมาตรการระยะสั้นและระยะยาวให้เชื่อมโยงทั้งการผลิต การตลาด และการแปรรูปอย่างครบวงจร โดยครอบคลุมการขึ้นทะเบียนเกษตรกร การพัฒนาการผลิต การพัฒนาระบบตลาด การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า การควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน การวิจัยพัฒนาและเพิ่มการใช้ยางในประเทศ รวมทั้งแนวทางการเจรจาของไทยเกี่ยวกับยางพาราระหว่างประเทศต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๒.๒ กำหนดและเสนอมาตรการเพื่อดูแลระดับราคายางพาราให้เกษตรกรมีรายได้ที่เหมาะสม โดยเน้นกลไกตลาด เสนอแผนปฏิบัติการ รวมทั้งงบประมาณที่ต้องใช้ในการดูแลระดับราคายาง เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องและคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและอนุมัติตามขั้นตอน ๒.๓ ติดตามและกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบายและยุทธศาสตร์ มาตรการ และแผนปฏิบัติการตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ๒.๔ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน และคณะที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการศึกษา วิเคราะห์ และเสนอแนะแนวทางในการบริหารจัดการยางพาราต่อคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ๒.๕ เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงหรือขอเอกสารหลักฐาน โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของทางราชการให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ๒.๖ ดำเนินการอื่นตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
|
|||||||||||||||
| 2352 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 16/09/2557 | ||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการบริหาร ๑.๑ ในการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗ นั้น ได้มีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติอภิปรายและให้ข้อเสนอแนะในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล จึงให้ทุกส่วนราชการนำข้อเสนอแนะจากการอภิปรายของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญเร่งด่วนที่รัฐบาลมุ่งจะขับเคลื่อนให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรมในระยะเวลาอันใกล้ เช่น การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน การปฏิรูประบบการศึกษา การลดความเหลื่อมล้ำในสังคม การกำกับดูแลระดับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค การส่งเสริมการท่องเที่ยว ๑.๒ ตามที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการชะลอการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับออกไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่และกำหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน (ตามหนังสือที่อ้างถึง) นั้น หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีคำสั่งให้ยกเลิกข้อสั่งการดังกล่าวแล้ว จึงขอให้ทุกส่วนราชการดำเนินการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๓ ให้ทุกส่วนราชการจัดระบบการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลโดยเน้นการประชาสัมพันธ์เฉพาะเรื่องที่ดำเนินการมีผลสัมฤทธิ์แล้ว และระมัดระวังการประชาสัมพันธ์เรื่องที่อยู่ระหว่างการดำเนินการและทิศทางการทำงานของรัฐบาล ทั้งนี้ ให้ทุกส่วนราชการโดยเฉพาะส่วนราชการที่ดูแลด้านผลผลิตทางการเกษตรซึ่งมักจะมีการชุมนุมเรียกร้องบ่อยครั้ง จัดตั้งคณะทำงานประจำกระทรวงประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้เกี่ยวกับประเด็นข้อเรียกร้องและมีทัศนคติที่พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชน เพื่อทำหน้าที่เจรจาและตอบข้อซักถามของผู้เรียกร้องในกรณีต่าง ๆ ด้วย ๑.๔ ในการเดินทางไปอบรมหรือศึกษาดูงานในต่างประเทศ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณากำหนดกิจกรรมให้เหมาะสมกับระยะเวลา ไม่ควรเปลี่ยนแปลงกำหนดการโดยปรับลดกิจกรรมโดยไม่จำเป็น และให้รายงานผลที่ได้รับจากการอบรมหรือศึกษาดูงานที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานให้หัวหน้าส่วนราชการทราบทุกครั้ง ๒. ด้านความมั่นคง ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) ดูแลผู้ลี้ภัยและเร่งดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ควบคุมผู้ลี้ภัยทั้งหมดให้มีสภาพที่เหมาะสมเพียงพอต่อการพำนักในช่วงระหว่างรอการส่งกลับประเทศต้นทาง นั้น ให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเร่งดำเนินการตามมติดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยอาจพิจารณาย้ายพื้นที่ควบคุมไปยังศูนย์พักพิงต่าง ๆ และเร่งการดำเนินการเพื่อผลักดันผู้ลี้ภัยดังกล่าวกลับประเทศต่อไป ๓. ด้านต่างประเทศ ๓.๑ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ และ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการเจรจาหรือการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศในเรื่องต่าง ๆ ให้ส่วนราชการดำเนินการจัดทำบทสรุปวิเคราะห์ สาระสำคัญของประเด็นการเจรจาหรือความตกลงระหว่างประเทศ ท่าทีของไทยในการเจรจา ผลดีและผลเสีย รวมทั้งผลกระทบในการดำเนินการต่อประเทศไทยเพื่อประกอบการพิจารณา และในการเจรจาให้ยึดถือผลประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศเป็นหลัก นั้น ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการตามมติข้างต้นอย่างเคร่งครัด โดยในการเจรจาหรือจัดทำความตกลงระหว่างประเทศแต่ละครั้ง คณะผู้เจรจาควรมีการบูรณาการข้อมูลจากหลายหน่วยงาน ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงด้วย นอกจากนั้นในกรณีที่ส่วนราชการต้องรายงานผลการดำเนินการต่อองค์การระหว่างประเทศ เช่น กรณีการจัดส่งแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทยไปยังสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) การส่งรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (Trafficking In Persons Report : TIP Report) ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบหลักจัดส่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการเจรจา เช่น ข้อมูลด้านกฎหมาย ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ปฏิบัติหรือเจ้าหน้าที่ สถิติทางคดี และงบประมาณในการดำเนินการให้แก่กระทรวงการต่างประเทศด้วย ๓.๒ ในการเดินทางเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่จะมีการเยี่ยมเยือนประเทศเพื่อนบ้านและประเทศต่าง ๆ รวมทั้งการเข้าร่วมประชุมสุดยอดระดับผู้นำ นั้น ให้ทุกส่วนราชการที่รับผิดชอบจัดเตรียมประเด็นการหารือ ท่าทีของฝ่ายไทย รวมทั้งข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเสนอนายกรัฐมนตรีผ่านรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการ เพื่อพิจารณาก่อนการเดินทางทุกครั้ง ๔. ด้านเศรษฐกิจ ๔.๑ ให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ และ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ ที่ให้เร่งผลักดันโครงการต่าง ๆ ที่จะมีการลงทุนในประเทศไทย โดยคำนึงถึงผลตอบแทนที่ประเทศจะได้รับเป็นสำคัญโดยเฉพาะการส่งเสริมนักลงทุนต่างชาติที่มีแผนการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับคนไทยและการใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นลำดับแรก ๔.๒ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เห็นชอบพื้นที่ที่มีศักยภาพเหมาะสมในการจัดตั้งเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๕ พื้นที่ชายแดน และเห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการสนับสนุนการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรในพื้นที่เพื่อให้สามารถรองรับกิจกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจและเชื่อมโยงประเทศในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางในการจัดตั้งศูนย์รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรตามแนวชายแดนและพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ เพื่อป้องกันการลักลอบนำผลผลิตจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาปะปนกับผลผลิตในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินค้าที่จะส่งออก รวมทั้งรายได้ของเกษตรกรด้วย ๔.๓ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดถ้อยคำเพื่อแสดงถึงภาพลักษณ์ (Branding) ของประเทศไทยที่เป็นประเทศพัฒนา มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และก้าวไปสู่ความเป็นสากล โดยไม่ละทิ้งความเป็นไทย
|
|||||||||||||||
| 2353 | การปรับปรุงโครงสร้างในส่วนภูมิภาคของกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 02/09/2557 | ||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบในหลักการและแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างในส่วนภูมิภาคของกระทรวงพาณิชย์ ดังนี้ ๑.๑ ตำแหน่ง “พาณิชย์จังหวัด” เป็นตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานพาณิชย์ประเภทอำนวยการระดับสูง โดยต้องประเมินค่างานใหม่ที่เป็นค่างานเชิงยุทธศาสตร์สอดคล้องกับภารกิจในแต่ละจังหวัดและผลสัมฤทธิ์ของตำแหน่ง (Key Result Area) ในการเป็นผู้ที่มีสมรรถนะในการวางยุทธศาสตร์และบูรณาการการทำงานเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านการพาณิชย์ของจังหวัด/กลุ่มจังหวัดที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒ ควรมีการวางเส้นทางความก้าวหน้าแก่บุคลากรที่มีส่วนประเมินค่างานตำแหน่ง ตามข้อ ๑.๑ บุคลากรในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ส่วนภูมิภาคทุกหน่วย (ปัจจุบันมีกรมการค้าภายใน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์) มีสิทธิเท่าเทียมกันในการได้รับการพิจารณาแต่งตั้งในตำแหน่งพาณิชย์จังหวัด (ประเภทอำนวยการระดับสูง) ตามความรู้ ความสามารถ สมรรถนะ และผลสัมฤทธิ์ของงานอย่างเป็นธรรม ๑.๓ ให้มีการกำหนดตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ในสายงานของตนเอง หากค่างานของตำแหน่งนั้นมีคุณภาพและปริมาณงานที่สูงขึ้น สามารถเป็นระดับเชี่ยวชาญได้ ซึ่งบุคลากรที่มีความสามารถ สามารถประเมินเข้าสู่ตำแหน่งได้ตามวิธีการประเมินค่างานตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.พ. กำหนด และมีสิทธิที่จะโอนกลับหน่วยงานต้นสังกัดเดิมได้หากมีความประสงค์ ๑.๔ ก่อนที่จะมีการดำเนินการ ควรมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความเข้าใจและความร่วมมืออันดีต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในการปรับปรุงโครงสร้างในส่วนภูมิภาคใหม่นี้ กระทรวงพาณิชย์จะต้องมีการบูรณาการเชื่อมโยงการปฏิบัติงานของบุคลากรกับส่วนราชการอื่น ๆ ในพื้นที่ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น เพื่อให้เป็นไปตามข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับเรื่อง การบูรณาการงานบริหารภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ และสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียวด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของคณะรักษาความสงบแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การกำหนดตัวชี้วัดผลงาน (KPI) ส่วนราชการ นั้น ควรพิจารณาปรับปรุงตัวชี้วัดดังกล่าวให้เหมาะสม โดยให้มุ่งเน้นการประเมินผลสัมฤทธิ์ของงานในหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานที่เป็นรูปธรรม ตลอดจนผลการประสานงานหรือบูรณาการการปฏิบัติงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก โดยไม่ควรกำหนดตัวชี้วัดเกิน ๕ ตัว และให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ทุก ๆ ๓ เดือน |
|||||||||||||||
| 2354 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - คาซัคสถาน | คค | 02/09/2557 | ||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ระหว่างสาธารณรัฐคาซัคสถานและราชอาณาจักรไทย ซึ่งระบุถึงผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-คาซัคสถาน เกี่ยวกับใบพิกัดเส้นทางบิน การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน และการปรับปรุงสิทธิความจุความถี่ รวมถึงร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของประเทศไทยและคาซัคสถาน ก่อนมอบกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ขอให้กระทรวงการต่างประเทศปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาที่กระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางตามที่มีการกำหนดขอบเขตหรือความหมายไว้ในมาตรา ๒๓ วรรคสามของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง |
|||||||||||||||
| 2355 | การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง | กค | 02/09/2557 | ||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีนโยบายให้ส่วนราชการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ในทางปฏิบัติพบว่าส่วนราชการประสบปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง ได้แก่ การจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ที่ใช้ระยะเวลานาน การจัดซื้ออุปกรณ์ทางเทคนิคจากภายนอกประเทศที่ผลิตเพื่อใช้งานเป็นการเฉพาะสำหรับกรณีไม่สามารถประกาศราคากลางได้เนื่องจากไม่มีราคาเทียบเคียงและกรอบวงเงินในอำนาจการสั่งซื้อหรือจัดจ้างของผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบันที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพต้องรับผิดชอบการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่มีมูลค่าสูงมาก จึงมอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดังนี้
๑. ปรับปรุงระยะเวลาในขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการ e-Auction ให้มีความกระชับและสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง ๒. พิจารณาปรับปรุงเกี่ยวกับการประกาศราคากลางสำหรับกรณีเฉพาะข้างต้นที่ไม่สามารถกำหนดราคากลางได้ โดยให้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติด้วย ๓. ตรวจสอบการเทียบเคียงอำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างของผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเสนอแนวทางการปรับปรุงให้มีความเหมาะสมแก่ระดับความรับผิดชอบและสภาพข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ให้การดำเนินการโดยยึดหลักความโปร่งใส เป็นธรรม และประสิทธิภาพ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||
| 2356 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงาน พ.ศ. .... | อก | 26/08/2557 | ||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง ข้อเสนอแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (ฉบับปรับปรุง)] ในส่วนที่เกี่ยวกับการขยายเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ ๒ และจำพวกที่ ๓ ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ จากเดิม “ที่สิ้นสุดในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ออกไปอีก ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙” เป็น “ให้ขยายเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ ๒ และจำพวกที่ ๓ ออกไปอีก ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐” ๑.๒ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานเป็นเวลาสามปี และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การสนับสนุนด้านการพัฒนาผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและการเติบโตของธุรกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว โดยกระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาสนับสนุนที่ปรึกษาผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ตามภารกิจของหน่วยงานในสังกัดเพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาแนะนำผู้ประกอบการในการปรับปรุงเทคโนโลยี กระบวนการผลิต และการบริหารจัดการทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||
| 2357 | ขออนุมัติให้ดำเนินการตามแนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ | กษ | 26/08/2557 | ||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการแนวทางการพัฒนายางพาราทั้งระบบ ประกอบด้วย ๒ มาตรการ (มาตรการเร่งด่วน และมาตรการต่อเนื่อง) ๙ แนวทาง ๑๒ โครงการ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยในส่วนของงบประมาณสำหรับมาตรการเร่งด่วน จำนวน ๙๗๗.๗๕ ล้านบาท ให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ส่วนมาตรการต่อเนื่อง ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นปี ๆ ไปตามความเหมาะสม ในกรอบวงเงินรวมไม่เกิน ๕,๙๓๘.๒๕ ล้านบาท ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติรับไปพิจารณากำหนดแนวทางบูรณาการการดำเนินการของหน่วยงานด้านวิจัยและพัฒนายางของภาครัฐที่มีอยู่แล้ว เช่น สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และศูนย์วิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยางไทย รวมทั้งสถาบันในภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมมือกันศึกษาวิจัยเพื่อการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพยาง การแปรรูป และการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางพาราต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่ประสบปัญหาราคายางตกต่ำและรายงานความคืบหน้าให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบด้วย ทั้งนี้ ในการพิจารณากำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหายางพารา ควรมีการหารือในทุกภาคส่วน และจัดทำเป็นแผนระยะสั้น-ระยะยาวให้ชัดเจน โดยรวมถึงการจัดเขตพื้นที่ (Zoning) เพาะปลูกยางพาราให้เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีและเกิดความสมดุลระหว่างอุปสงค์-อุปทานของยางพาราด้วย |
|||||||||||||||
| 2358 | แผนการลงทุนหลัก โครงการเพื่อการพัฒนา ปี 2557 (เพิ่มเติม) ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 26/08/2557 | ||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนการลงทุนหลัก โครงการเพื่อการพัฒนา ปี ๒๕๕๗ (เพิ่มเติม) ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ โครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขารังสิต โครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเกาะสมุย โครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาหาดใหญ่-สงขลา และโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาปทุมธานี วงเงินลงทุนรวม ๑๐,๘๓๑.๒๑๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๗ โดยให้ กปภ. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการจัดการน้ำประปาอย่างมีระบบเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพเป็นมาตรฐานเดียวกันอย่างทั่วถึงและเพียงพอ การเร่งจัดทำแผนแม่บทการจัดหาและพัฒนาแหล่งน้ำดิบให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการเพื่อรองรับการขาดแคลนน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาอย่างยั่งยืน การเร่งจัดทำแผนแม่บทการลดน้ำสูญเสียให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการแรงดันน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประปาและการบริหารต้นทุนการผลิต การจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environmental Examination : IEE ) การเสนอแผนการใช้น้ำล่วงหน้าทั้งระยะสั้นและระยะยาวให้กรมชลประทานเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาวางแผนการจัดสรรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด การพิจารณาหาแหล่งน้ำดิบที่มีปริมาณน้ำเพียงพอตลอดปี การจัดหาแหล่งเก็บกักน้ำสำรองไว้เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับปัญหาความเค็มและน้ำเสียในแผนการลงทุนโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขารังสิต และสาขาปทุมธานี การประสานในเรื่องน้ำต้นทุนและการจัดสรรน้ำกับกรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะสมุย รวมทั้งการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ได้กำหนดตามแผนการลงทุนหลักฯ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การดำเนินโครงการส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่น้อยที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. เนื่องจากผลประกอบการของ กปภ. ยังมีความไม่แน่นอนด้านรายได้ รวมทั้งการขึ้นราคาค่าน้ำประปาจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภค ดังนั้น จึงให้ กปภ. เร่งดำเนินการปรับปรุงการบริหารจัดการของ กปภ. ทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีขึ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบการผลิต ระบบท่อส่งน้ำ และระบบการจ่ายน้ำ เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ รวมตลอดถึงการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ปัญหาอัตราน้ำสูญเสียสูง ปัญหาน้ำประปากร่อยในบางพื้นที่ ซึ่งควรพิจารณานำเอาระบบหมุนเวียนน้ำ (Recycle) มาใช้ ปัญหาการจ่ายน้ำให้กับผู้ขอใช้น้ำที่มีคุณสมบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นผู้บุกรุกปลูกสร้างที่อยู่อาศัยทำให้เรียกเก็บค่าน้ำประปาจากผู้ใช้ไม่ได้ เป็นต้น ทั้งนี้ ให้ กปภ. จัดทำเป็นแผนปฏิบัติงานประจำปีให้ชัดเจนเพื่อดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||
| 2359 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ 12 เดือน ปี พ.ศ. 2556 | กค | 26/08/2557 | ||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ ๑๒ เดือน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ภาพรวมธุรกิจประกันภัยของไทย รอบ ๑๒ เดือน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๐๔ จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีเบี้ยประกันภัยรวมทั้งสิ้น ๖๔๔,๓๖๒ ล้านบาท ประกอบด้วย เบี้ยประกันภัยรับโดยตรงจากธุรกิจประกันชีวิต ๔๔๑,๓๔๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๐๒ และเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงจากธุรกิจประกันวินาศภัย ๒๐๓,๐๑๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๐๘ สำหรับอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันภัยของปี ๒๕๕๗ จะมีอัตราการเติบโตแต่ในอัตราที่ชะลอตัว ประมาณร้อยละ ๗.๔๐ โดยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม ๖๙๒,๐๖๘ ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ร้อยละ ๕.๖๐ ๒. ผลการดำเนินการตามกรอบแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗) ตามมาตรการหลักทั้ง ๔ ประการของแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ ๒ ๒.๑ มาตรการที่ ๑ เสริมสร้างความเชื่อมั่นและเข้าถึงระบบประกันภัย ได้แก่ การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการสร้างความรู้ความเข้าใจและสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยแก่ประชาชน การจัดกิจกรรมส่งเสริมการประกันภัยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การจัดตั้งโครงการอาสาสมัครประกันภัย และโครงการยุวชนประกันภัยในสถานศึกษา การส่งเสริมภาพลักษณ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย การปรับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในที่ไม่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล การปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและอัตราเบี้ยประกันภัยของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น การพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายให้เข้าถึงประชาชนทุกระดับ รวมทั้งการส่งเสริมการประกันภัยรายย่อย (Micro Insurance) โดยจัดให้มีรูปแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยรายย่อยแบบพื้นฐาน ๒.๒ มาตรการที่ ๒ เสริมสร้างเสถียรภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ การพัฒนาแนวทางการกำกับโดยการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ซึ่งเป็นเครื่องมือการจัดการความเสี่ยงที่มีความจำเป็นต่อหน่วยงานกำกับดูแลและบริษัทประกันภัย การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการลงทุนประกอบธุรกิจอื่นให้เหมาะสม สอดคล้องต่อธุรกิจหลักของบริษัทประกันภัย การปรับปรุงระบบสัญญาณเตือนภัย (Early Warning System : EWS) รวมทั้งการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ๒.๓ มาตรการที่ ๓ การพัฒนาการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย ได้แก่ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านประกันภัย การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์อุทกภัย การเพิ่มประสิทธิภาพการจ่ายค่าสินไหมทดแทนผ่านระบบสินไหมอัตโนมัติ (E-Claim) การจัดให้มีการประกันภัยรถผ่านระบบออนไลน์ (Online-Real Time) ๒.๔ มาตรการที่ ๔ ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย ได้แก่ การพัฒนากฎหมายแม่บทด้านการประกันภัยเพื่อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงกฎหมายแม่บทด้านการประกันชีวิตและวินาศภัยให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมทั้งผลักดันการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว การจัดทำโครงสร้างฐานข้อมูลการประกันภัย (Insurance Bureau System) เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านการประกันภัย การนำหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาใช้โดยเป็นไปตามกรอบแนวทางธรรมาภิบาลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และการพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการประกันภัย โดยจัดทำโครงการศึกษาสภาพแวดล้อม ศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจประกันภัยไทย การพัฒนาระบบทรัพยากรบุคคล การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมและความรู้ให้กับบุคลากรประกันภัยทั้งภายนอกและภายในด้านการประกันภัย การเงินและการลงทุน การบริหารความเสี่ยง และสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||
| 2360 | ขออนุมัติเงินงบกลางเพื่อเบิกจ่ายเป็นเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการอัยการ | อส | 26/08/2557 | ||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการอัยการ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ โดยให้ข้าราชการอัยการ ชั้น ๓ ขั้น ๖๖,๔๔๐ บาท ถึงชั้น ๘ และอัยการอาวุโสได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวเช่นเดียวกับที่ได้เห็นชอบในส่วนของผู้พิพากษาชั้น ๓-๕ และผู้พิพากษาอาวุโสแล้ว ภายในกรอบวงเงิน ๓๘๙,๑๐๙,๖๐๐ บาท โดยให้สำนักงานอัยการสูงสุดปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้ว จำนวน ๑๘๙,๑๐๙,๖๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ รับเรื่องนี้ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง สำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร รายการเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม) ที่ให้พิจารณาร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการปรับปรุงค่าตอบแทนหรือเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งองค์กรอิสระและองค์กรอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญให้เกิดความเป็นธรรม เท่าเทียม และมีการยึดโยงกันอย่างเหมาะสม เพื่อให้บุคลากรดังกล่าวมีรายได้ที่เพียงพอและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน และให้นำเรื่องนี้เสนอสภาปฏิรูปแห่งชาติด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่จะจัดตั้งขึ้นตามแนวทางปฏิรูปประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในระยะที่ ๒ เพื่อพิจารณาต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
.....
