ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 114 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2261 - 2280 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2261 | ขอเงินงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร ปี 2557 (ช่วงประสบภัยเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2557) | กษ | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร ปี ๒๕๕๗ (ช่วงประสบภัยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ส่วนเรื่องงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ กรณีการให้ความช่วยเหลือชาวประมงที่เรือประมงได้รับความเสียหายจากพายุคลื่นลมแรง จำนวน ๑๕ ลำ ใน ๕ จังหวัด ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ให้ความช่วยเหลือชาวประมงผู้ประสบภัยได้ตามระเบียบกรมประมงว่าด้วยการจ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหรือชาวประมงที่ประสบภัยธรรมชาติ พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกรมบัญชีกลางให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีจนถึงวันสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ภายในกรอบวงเงิน ๙๗๓,๕๐๐ บาท ๑.๒ กรณีการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย ภัยฝนทิ้งช่วง อัคคีภัย ภัยพายุลูกเห็บ และภัยอื่น ๆ (ช้างป่าทำลายพืชผลการเกษตร) รวม ๖ ประเภทภัย จำนวน ๓๖,๑๗๔ ราย ในพื้นที่ ๒๓ จังหวัด วงเงิน ๒๗๒,๘๐๕,๙๙๐ บาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และจังหวัดดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเพื่อขออนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการ และหรือขยายระยะเวลาให้ความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกำหนดก่อน หากได้ดำเนินการตามระเบียบแล้ว แต่ไม่ได้รับการอนุมัติให้ขยายวงเงินทดรองราชการ และหรือขยายระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือดังกล่าว จึงขอรับการจัดสรรเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรเพิ่มเติมต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการเร่งพัฒนาระบบประกันภัยพืชผลทางการเกษตรให้ครอบคลุมถึงผลิตผลทางการเกษตรทุกชนิดในระยะยาว ทั้งพืช ปศุสัตว์ และประมง เพื่อให้สามารถคุ้มครองภัยธรรมชาติทุกประเภทต่อเกษตรกรทุกกลุ่ม การประชาสัมพันธ์และกระตุ้นให้เกษตรกรเห็นถึงความสำคัญของระบบประกันภัย และสมัครเข้าร่วมการทำประกันภัยอย่างต่อเนื่อง การเร่งสำรวจความเสียหายและประมาณการสรุปค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเมื่อมีการประกาศเขตภัยพิบัติ และจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัดเพื่อให้ความเห็นชอบ รวมทั้งการจ่ายเงินให้เกษตรกรและการจัดทำฐานข้อมูลเกษตรกรจะต้องมีการจัดทำทะเบียนอย่างถูกต้อง ไม่รั่วไหล และเมื่อได้รับอนุมัติให้จ่ายเงินหรือให้ความช่วยเหลือด้านอื่น ๆ แก่เกษตรกรขอให้มีการตรวจสอบของภาคประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เหมาะสมและมีความคล่องตัวในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติมากยิ่งขึ้น ตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ขอเงินงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๗) ให้แล้วเสร็จโดยด่วน |
|||||||||||||||||||||
| 2262 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล พ.ศ. .... | สธ | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาลให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 2263 | ขออนุมัติโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | พณ | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงพาณิชย์โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้ามยุทธศาสตร์หรือไม่อยู่ในวัตถุประสงค์เดียวกัน แล้วขอทำความตกลงในรายละเอียดรวมทั้งปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ กับสำนักงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณภายใต้แผนงานดำเนินการตามกรอบข้อตกลงอาเซียน โครงการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน จากงบรายจ่ายอื่น ไปตั้งจ่ายงบลงทุนและงบรายจ่ายอื่น จำนวน ๖ รายการ เป็นเงิน ๓๔,๓๐๐,๒๐๐ บาท ๑.๒ โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณจากแผนงานส่งเสริมประสิทธิภาพการผลิต สร้างมูลค่าภาคการเกษตร และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรอย่างเป็นระบบ โครงการตรวจสอบคุณภาพ/ปริมาณผลิตสินค้าทางการเกษตร งบรายจ่ายอื่น จำนวน ๗,๘๔๐,๐๐๐ บาท สมทบกับงบประมาณในแผนงานเพิ่มประสิทธิภาพภาคการตลาด การค้า และการลงทุน ผลผลิตการค้าได้รับการส่งเสริม ปกป้อง และอำนวยความสะดวก งบรายจ่ายอื่น จำนวน ๘,๑๖๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไปตั้งจ่ายแผนงานเพิ่มประสิทธิภาพภาคการตลาด การค้า และการลงทุน ผลผลิตการค้าได้รับการส่งเสริม ปกป้อง และอำนวยความสะดวก งบลงทุน จำนวน ๑ รายการ เป็นเงิน ๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูล ประมวลผลข้อมูลการค้าผ่านแดน/ชายแดน โครงการปรับปรุงระบบสื่อสารสำหรับ Trade Solution Center และโครงการจัดทำระบบบริหารจัดการการระบายข้าว กระทรวงพาณิชย์ควรให้ความสำคัญต่อการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับหน่วยงานและระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินงานทั้งในด้านระบบการจัดการและด้านการปฏิบัติงาน รวมทั้งการตรวจติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องตามแผนงานที่กำหนด เพื่อให้สามารถรับทราบอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการดำเนินโครงการอย่างทันท่วงทีและสามารถปรับปรุงแก้ไขให้การดำเนินโครงการบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2264 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเงินเพิ่มค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ช.ค.บ.) ควบคู่ไปกับการปรับเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐชั้นผู้น้อย เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการปรับเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐชั้นผู้น้อย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. สำหรับภาระงบประมาณค่าใช้จ่ายในการปรับเพิ่มเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญดังกล่าว ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ไปดำเนินการในลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอ ก็ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
| 2265 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) | นร05 | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ระบุว่า “ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการเกี่ยวกับรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) และการเจรจากับบริษัทเอกชนสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงต่อขยายเพื่อให้สามารถมีรถไฟฟ้าสำหรับให้บริการประชาชนตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้โดยเร็ว” เป็น “ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการเกี่ยวกับรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) และการเจรจากับบริษัทเอกชนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ [เรื่อง ขออนุมัติดำเนินการตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยการเจรจาตรงกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ (งานสัญญาที่ ๕)] เพื่อให้สามารถมีรถไฟฟ้าสำหรับให้บริการประชาชนตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้โดยเร็ว” ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 2266 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง การอนุวัติกฎหมายไทยตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และเพื่อเตรียมรองรับการเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ รวมทั้งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย | อส | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายและกฎเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ตามเจตนารมณ์ของพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี ให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว ได้แก่ การอนุวัติกฎหมายภายในให้เป็นไปตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ และเพื่อเตรียมการรองรับการดำเนินการตามพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ และการเตรียมรองรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย (International Convention for the Protection of all Persons from Enforced Disappearance : CED) ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ๒. รับทราบสรุปผลการดำเนินงานของหน่วยงานราชการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อาทิ การยกร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ พ.ศ. .... การศึกษาความพร้อมของประเทศไทยในการเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ การแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ การจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมวิทยากร และหลักสูตรเผยแพร่หลักการและสาระสำคัญของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ และส่งมอบให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องนำไปฝึกอบรมภายในหน่วยงาน การประชุมเพื่อเผยแพร่หลักการและสาระสำคัญของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การฝึกอบรมหลักสูตรสิทธิมนุษยชน การเผยแพร่ความรู้เรื่องพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการทบทวนและปรับปรุงกฎหมาย ๒ ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติคุ้มครองพยาน พ.ศ. ๒๕๕๖ และพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๕ ให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เป็นต้น และให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ |
|||||||||||||||||||||
| 2267 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดชื่อสถานพยาบาล และการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อสถานพยาบาล ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล อัตราค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการและสิทธิของผู้ป่วย พ.ศ. .... | สธ | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดชื่อสถานพยาบาล และการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อสถานพยาบาล ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล อัตราค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการและสิทธิของผู้ป่วย พ.ศ. ..... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงชื่อสถานพยาบาลและการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อสถานพยาบาล ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล อัตราค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการและสิทธิของผู้ป่วย ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงการกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาลตามกฎกระทรวงว่าด้วยลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๕ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 2268 | รายงานผลการดำเนินงาน เรื่อง การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง | กค | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงาน เรื่อง การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ประเด็นการปรับปรุงระยะเวลาในขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการ e-Auction ให้มีความกระชับและสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง ๑.๑.๑ การอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ กรณีที่ปรากฏว่ามีผู้มีสิทธิเสนอราคาเพียงรายเดียว หรือมีผู้เสนอราคาเพียงรายเดียว เมื่อถึงเวลาเริ่มการเสนอราคา โดยปกติให้หัวหน้าหน่วยงานยกเลิกการประกวดราคาในครั้งนั้น แต่ถ้าคณะกรรมการประกวดราคาเห็นว่ามีเหตุผลสมควรที่จะดำเนินการต่อไป โดยไม่ต้องยกเลิกการประกวดราคา ก็ให้คณะกรรมการฯ ต่อรองราคากับผู้มีสิทธิเสนอราคารายนั้นแล้วเสนอหัวหน้าหน่วยงานพิจารณาต่อไป โดยไม่ต้องเริ่มดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างใหม่ ๑.๑.๒ ซักซ้อมความเข้าใจการปฏิบัติตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ และอนุมัติการดำเนินการจัดหาพัสดุด้วยวิธีการอื่นได้ โดยหากการจัดหาพัสดุครั้งนั้น เป็นการจัดหาในเรื่องการจ้างที่ปรึกษา การจ้างออกแบบและควบคุมงาน การซื้อการจ้างโดยวิธีพิเศษและวิธีกรณีพิเศษ หรือหากพัสดุที่จัดหาครั้งนั้นมีการแข่งขันน้อยราย มีความซับซ้อนหรือเทคนิคเฉพาะ เป็นสินค้าและบริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีประเภทระบบ IT ที่มีลักษณะเฉพาะ เป็นสินค้าที่มีความผันผวนทางด้านราคา หากหน่วยงานได้ดำเนินการจัดหาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ไปแล้ว ไม่ว่าอยู่ในขั้นตอนใด ต่อมายกเลิกการดำเนินการทั้งหมด หรือบางรายการ แล้วจัดหาใหม่ หน่วยงานสามารถดำเนินการจัดหาด้วยวิธีการอื่นได้โดยไม่ต้องขออนุมัติต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) แต่อย่างใด ๑.๑.๓ การเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ หน่วยงานภาครัฐที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ผลการพิจารณาคัดเลือกเบื้องต้นตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๙ (๓) หรือการพิจารณาผู้มีสิทธิเสนอราคาอุทธรณ์ผลการพิจารณาการเสนอราคาตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๑๐ (๕) หน่วยงานสามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปได้โดยไม่ต้องระงับการดำเนินการ ๑.๒ ประเด็นการพิจารณาปรับปรุงเกี่ยวกับการประกวดราคากลางสำหรับกรณีการจัดซื้ออุปกรณ์ทางเทคนิคจากภายนอกประเทศที่ผลิตเพื่อใช้งานเป็นการเฉพาะ หากสินค้าหรือบริการใดสามารถกำหนดราคากลางได้ ก็ให้นำราคานั้นมาเป็นราคากลางของสินค้าหรือบริการดังกล่าว แต่หากสินค้าหรือบริการใดไม่สามารถกำหนดราคากลางได้ก็ให้พิจารณาราคากลางที่นำมาอ้างอิงนั้น อาจเป็นราคาที่ได้จากการคำนวณราคาของพัสดุให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง พร้อมทั้งเหตุผลที่สามารถอธิบายถึงที่มาของราคานั้นได้ ก็ย่อมถือว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่สามารถกำหนดเป็นราคากลางได้ สำหรับกรณีที่หน่วยงานสืบราคาจากท้องตลาดมากได้มากกว่า ๑ ราย จะต้องใช้ราคาต่ำ ราคาสูง หรือราคาที่เฉลี่ยเพื่อประกาศเป็นราคากลางนั้น อยู่ที่เหตุผลของหน่วยงานที่จะนำมาประกอบการใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจว่าจะใช้ราคาใดเป็นราคากลาง ๑.๓ ประเด็นกรณีการตรวจสอบการเทียบเคียงอำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างของผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเสนอแนวทางการปรับปรุงให้มีความเหมาะสมแก่ระดับความรับผิดชอบและสภาพข้อเท็จจริง ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๙ กำหนดให้ผู้มีอำนาจดำเนินการตามระเบียบนี้จะมอบอำนาจเป็นหนังสือให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งใดก็ได้ โดยให้คำนึงถึงระดับ ตำแหน่ง หน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้ที่จะได้รับมอบอำนาจเป็นสำคัญ กระทรวงกลาโหมจึงสามารถพิจารณามอบอำนาจได้ตามนัยหลักการดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งมีการแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวงเงินในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันด้วยแล้ว ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย (นายวิษณุ เครืองาม) กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงแนวปฏิบัติในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้ได้มาซึ่งพัสดุหรืองานจ้างที่ตรงตามวัตถุประสงค์ของการจัดซื้อจัดจ้างและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ และเป็นไปตามหลักการประหยัด โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยไม่เกิดการทุจริต รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการ ความจำเป็น ในระยะยาวของหน่วยงานนั้น ๆ ด้วย ทั้งนี้ ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างควรมีคณะกรรมการของหน่วยงานที่ทำหน้าที่พิจารณากำหนดความต้องการในการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานในระยะยาวด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 2269 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำสถานพยาบาล พ.ศ. .... | สธ | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำสถานพยาบาล พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำสถานพยาบาล ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 2270 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล พ.ศ. .... | สธ | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงว่าด้วยวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาลทั้งฉบับ เนื่องจากได้มีการปรับปรุงกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาลทั้งฉบับด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 2271 | สรุปผลการจัดงานสานเสวนาการปฏิรูป "On the Path to Reform" | กต | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานสรุปผลการจัดงานสานเสวนาการปฏิรูป “On the Path to Reform” เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ โรงแรมแชงกรีลา กรุงเทพมหานคร โดยสาระสำคัญของงานสานเสวนาฯ ในครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา โปรตุเกส ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมนี และ ๑ องค์กร ได้แก่ Centre for Humanitarian Dialogue ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และบทเรียนด้านการปฏิรูปใน ๓ สาขา ได้แก่ การปฏิรูปด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน และการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยได้มีการนำเสนอบทเรียนจากต่างประเทศ อาทิ ระบบที่มาของนายกรัฐมนตรีและความเชื่อมโยงกับอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศต่าง ๆ การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยอาศัยการจัดทำรัฐธรรมนูญและการประนีประนอมระหว่างกลุ่มการเมืองและกลุ่มทหารในโปรตุเกส พัฒนาการทางการเมืองในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เทียบเคียงกับไทย การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบราชการโดยยึดหลักคุณธรรมในเกาหลี การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินของออสเตรเลีย รวมถึงตัวอย่างของการปกครองส่วนท้องถิ่นและการกระจายอำนาจในสวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนี ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศทั้งหมดมีความเห็นร่วมกันว่า ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปสำเร็จได้จำเป็นต้องเปิดให้ทุกฝ่ายสามารถมีส่วนร่วม รวมทั้งส่งเสริมความปรองดองเพื่อให้ผลของการปฏิรูปเป็นที่ยอมรับ
|
|||||||||||||||||||||
| 2272 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. .... | รง | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราค่ารักษาพยาบาลให้มีความเหมาะสมกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 2273 | รายงานผลการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชา | กห | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพร้อมคณะ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เข้าเยี่ยมคำนับ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา และพลเอก เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ พร้อมทั้งขอให้ฝ่ายกัมพูชาร่วมพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณแนวชายแดน จังหวัดตราด และจังหวัดสระแก้ว ที่มีพื้นที่ติดกับจังหวัดเกาะกง และจังหวัดบันเตียเมียนเจยของกัมพูชา เพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงด้านการค้า การลงทุน รวมทั้งแก้ปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนไปพร้อมกัน ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (กชท.) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๑๐ เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยมีการหารือเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การเสริมสร้างความมั่นคงและรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศภายใต้กรอบ กชท. รวมถึงการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว (๒) การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ การเอาเปรียบแรงงาน และกิจกรรมที่ผิดกฎหมายทุกรูปแบบในพื้นที่ชายแดน (๓) การปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนตามแนวชายแดนในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการค้าตามแนวชายแดนโดยการสนับสนุนการดำเนินการของรัฐบาลของทั้งสองประเทศในการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ด้านการเกษตร ด้านสาธารณสุข และด้านการท่องเที่ยว (๔) การเสริมสร้างพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนในการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยให้เป็นไปอย่างยั่งยืน และ (๕) การต่อต้านการก่อการร้าย โดยติดตามตรวจสอบอย่างเข้มงวดในกิจกรรมความเคลื่อนไหวของขบวนการก่อการร้าย และการลักลอบค้าอาวุธ พร้อมทั้งเพิ่มการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
| 2274 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2558 ครั้งที่ 1 | กค | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๙๖,๕๕๗.๗๒ ล้านบาท จากเดิม ๑,๒๕๕,๑๑๖.๐๘ ล้านบาท เป็น ๑,๓๕๑,๖๗๓.๘๐ ล้านบาท ๑.๒ การกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุน และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๒. รับทราบการปรับปรุงแผนบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๑๔,๑๘๖.๓๔ ล้านบาท จากเดิม ๑๔๑,๓๒๐.๙๗ ล้านบาท เป็น ๑๕๕,๕๐๗.๓๑ ล้านบาท |
|||||||||||||||||||||
| 2275 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ ในท้องที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... | สว | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ ในท้องที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... ว่า รัฐต้องดูแลและเยียวยาความเสียหายให้บุคคลผู้ถูกเวนคืนอย่างเป็นธรรม โดยคำนึงถึงความสมเหตุสมผลของการใช้อำนาจและผลกระทบทางกายภาพและสภาวะทางจิตใจ จึงเห็นสมควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาสภาพปัญหาอันเกิดจากการใช้อำนาจรัฐในการเวนคืนทรัพย์สินของบุคคลว่ามีผลกระทบอันจะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่บุคคลผู้ถูกเวนคืนอย่างไรบ้าง เพื่อนำผลการศึกษามาเป็นแนวทางในการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ต่อไป ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เสนอ ๒. รับทราบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ของกระทรวงคมนาคม ซึ่งได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยมีผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานคณะทำงาน มีอำนาจหน้าที่ศึกษาและพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ มีอำนาจเรียกเอกสารหรือบุคคลใด ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมมาให้ข้อมูลและข้อคิดเห็นต่อคณะทำงานฯ ได้ และรายงานผลการดำเนินการต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนสำนักอุทธรณ์เงินค่าทดแทนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 2276 | มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศและมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศ | กค | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ) และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศ) เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายในการปรับปรุงอัตราภาษี เพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศและมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ [เรื่อง แนวทางการส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarter : IHQ) และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Centers : ITC)] ๑.๒ ขอแก้ไขหนังสือกระทรวงการคลัง ลับ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๗๒๖/ล ๒๕๐๙ ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ หน้า ๖ โดยตัดข้อความในส่วนของผลกระทบตามข้อ ๕.๑ และข้อ ๕.๖ ออก ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ) และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
| 2277 | รายงานผลการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ | สว | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (นายวีระพันธ์ มุขสมบัติ) และนายโชติจุฑา อาจสอน กรรมการบริหารกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาบริหารโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) สรุปได้ว่า การดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่มีความล่าช้าไปกว่าที่กำหนด (กำหนดระยะเวลาก่อสร้าง ๙๐๐ วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ สิ้นสุดวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เนื่องจากมีการส่งมอบพื้นที่สำหรับดำเนินโครงการก่อสร้างล่าช้า จากเดิมที่กำหนดส่งมอบพื้นที่ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ แต่สามารถส่งมอบพื้นที่ได้จริงในวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ จำนวน ๑๐๒-๓-๗๖ ไร่ (ร้อยละ ๘๓.๕ ของพื้นที่ทั้งหมด) ยังเหลือพื้นที่ในส่วนของการปรับปรุงภูมิทัศน์ (บริเวณโรงเรียนโยธินบูรณะ ชุมชนองค์การทอผ้า และบ้านพักทหารของกรมการอุตสาหกรรมทหาร) อีกจำนวน ๒๐-๑-๒๘ ไร่ คาดว่าจะส่งมอบให้แก่ผู้รับจ้างได้ในช่วงเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ ปัจจุบันโครงการฯ อยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้างชั้นใต้ดิน โดยจะต้องทำงานเสาเข็มเจาะ งานระบบป้องกันดินพัง และงานขุดดิน ซึ่งมีขั้นตอนการก่อสร้างจากบนลงล่างเพื่อการก่อสร้างชั้นใต้ดิน ชั้น B2 ระดับความลึกที่ -๑๐.๓๐ ถึง -๑๖.๐๐ เมตร ใช้เวลาในการดำเนินการค่อนข้างมากถึง ๑๔ เดือน เมื่อเทียบกับแผนงานที่ได้รับอนุมัติทั้งโครงการ ๓๐ เดือน และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการขุดดินที่ระดับ -๑๐.๓๐ เมตร เพื่อเร่งรัดจัดงานก่อสร้างฐานรากบริเวณฐานเครื่องยอดส่วนที่เป็นสายงานวิกฤติและส่วนอื่น ๆ ให้สามารถเร่งรัดงานโครงสร้างรองรับส่วนเครื่องยอดได้ต่อไป ซึ่งความก้าวหน้างานโครงสร้างปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ ๒๕ งานเตรียมการอยู่ที่ร้อยละ ๖๐ ในขณะนี้งานเสาเข็มเจาะอาคารหลักแล้วเสร็จ งานฐานรากแล้วเสร็จ ๓๔ ฐาน ดังนั้น เมื่อเทียบความก้าวหน้าของโครงการทั้งหมด จะมีความก้าวหน้าของงานก่อสร้างอยู่ที่ร้อยละ ๘.๖๖ ล่าช้าไปจากแผนงานที่กำหนดไว้ คิดเป็นระยะเวลาล่าช้า จำนวน ๓๔๑ วัน และคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ได้แล้วเสร็จในช่วงปลายปี ๒๕๕๙ และสามารถเข้าใช้อาคารได้ในช่วงปลายปี ๒๕๖๐ ทั้งนี้ ในส่วนของดินที่ขุดขึ้นมาจากพื้นที่ก่อสร้าง ได้นำไปบริจาคให้กับมูลนิธิราชประชานุเคราะห์และวัดแก้วฟ้าจุฬามณี จำนวนประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ คิว นำไปขายทอดตลาดแล้ว จำนวนประมาณ ๒๔๐,๐๐๐ คิว และอยู่ระหว่างการดำเนินการขายทอดตลาดอีกจำนวนประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ คิว ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่ง โดยให้มีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ รวมทั้งโครงการที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงการสร้างถนนและสะพานเกียกกาย เป็นต้น แล้วให้นำผลการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ พร้อมทั้งให้จัดทำข้อเสนอแนะและแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 2278 | ข้อสั่งการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และค่าตอบแทนของพนักงานมหาวิทยาลัย | ศธ | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการตามข้อสั่งการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และค่าตอบแทนของพนักงานมหาวิทยาลัย โดยได้จัดประชุมเพื่อหารือร่วมกันระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้แทนที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ผู้แทนที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ผู้แทนที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ ผู้แทนที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และผู้แทนกรมบัญชีกลาง เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิของพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างด้วยเงินงบประมาณแผ่นดินที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. เงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิที่ยังค้างจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สถาบันอุดมศึกษาได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในสัดส่วนโดยเฉลี่ยร้อยละ ๕๐ ของเงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิที่ยังค้างจ่าย และส่วนที่เหลือให้สถาบันอุดมศึกษาใช้จ่ายจากเงินรายได้ ๒. เงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิที่ยังค้างจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้สถาบันอุดมศึกษาเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ๓. สถาบันอุดศึกษาที่ได้นำเงินรายได้สำรองจ่ายเพื่อเป็นเงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้แก่พนักงานมหาวิทยาลัยไปแล้ว จำนวน ๑๓ แห่ง เป็นเงิน ๑,๕๓๒.๐๖๔๔ ล้านบาท ให้สถาบันอุดมศึกษาเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อนำไปใช้จ่ายเป็นโครงการพัฒนามหาวิทยาลัย ๔. ที่ประชุมอธิการบดีทั้ง ๔ แห่ง ประกอบด้วยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ และที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล จะดำเนินการรวบรวมข้อมูลภาระงบประมาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิที่จ่ายให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยที่บรรจุก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ และ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ และนำเสนอสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเพื่อนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเพื่อขออนุมัติคณะรัฐมนตรีให้พนักงานมหาวิทยาลัยกลุ่มดังกล่าวได้รับจัดสรรเงินปรับเพิ่มคุณวุฒิตามแนวทางเดียวกับการปรับค่าตอบแทนภาคราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) ๕. เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ขอความร่วมมือจากที่ประชุมอธิการบดีทั้ง ๔ แห่ง เร่งรัดการพิจารณาดำเนินการเพื่อให้มีข้อมูลบัญชีถือจ่ายของพนักงานมหาวิทยาลัยที่เป็นจริง และจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการขอปรับค่าตอบแทนพนักงานมหาวิทยาลัยพร้อมกับการปรับค่าตอบแทนภาคราชการที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 2279 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 20 การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน - ประเทศคู่เจรจาและการหารือทวิภาคีระหว่างไทย - สปป.ลาว และไทย - ญี่ปุ่น | คค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๐ ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๓ ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๒ ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๕ และผลการหารือทวิภาคีระหว่างไทย-สปป.ลาว และไทย-ญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ เมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน (ATM) ครั้งที่ ๒๐ ประกอบด้วย ๑.๑ แผนงานด้านการขนส่งของอาเซียนหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ประชุมให้การรับรองวิสัยทัศน์และกรอบยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ได้แก่ วิสัยทัศน์ความร่วมมือด้านการขนส่งของอาเซียน หลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่กำหนดว่า “Towards greater connectivity, efficiency, integration, safety and sustainability of ASEAN transport to strengthen ASEAN’s competitiveness and foster regional inclusive growth and development” และกรอบยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ จำนวน ๕ สาขา คือ การขนส่งทางอากาศ ทางบก ทางน้ำ การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง และการขนส่งอย่างยั่งยืน ๑.๒ ด้านการขนส่งทางอากาศ ที่ประชุมรับทราบว่า ประเทศไทยได้ลงนามพิธีสาร ๒ ว่าด้วยสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ แนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียน-จีน เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ และการเริ่มต้นการเจรจาการจัดทำข้อผูกพัน ชุดที่ ๙ ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน ๑.๓ ด้านการขนส่งทางบกและการอำนวยความสะดวก ที่ประชุมรับทราบการก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่ของมาเลเซีย สายอิโป-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง ๓๒๙ กิโลเมตร ซึ่งได้แล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ โดยในส่วนของไทยมีความคืบหน้าของการเริ่มก่อสร้างสะพานรถไฟช่วงคลองลึก-ปอยเปต ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่เส้นทางจิระ-ขอนแก่น และประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งที่ประชุมขอให้ประเทศสมาชิกได้ข้อยุติการจัดทำร่างความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้โดยสารทางบกข้ามพรมแดน (ASEAN CBTP) ๑.๔ ด้านการขนส่งทางน้ำ ที่ประชุมให้การรับรองกรอบการดำเนินการการรวมตัวเป็นตลาดการขนส่งทางทะเลร่วมอาเซียน และประเทศสมาชิกร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยกลไกความร่วมมือในการเตรียมความพร้อมและการจัดการน้ำมันรั่วไหลของอาเซียน ๒. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๓ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการภายใต้ความตกลงด้านการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียน-จีน และพิธีสาร ๑ สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ แนบท้ายความตกลงฯ และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการขนส่งของอาเซียนเร่งรัดการให้สัตยาบันเพื่อการมีผลบังคับใช้ของพิธีสาร ๒ สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ภายใต้กรอบความตกลงฯ รวมทั้งรับทราบความคืบหน้าการก่อสร้าง/บูรณะเส้นทางรถไฟสายสิงคโปร์-คุนหมิง รวมทั้งกรณีที่จีนจะให้เงินสนับสนุนการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียน-จีน ภายใต้แนวทาง 21st Century Maritime Silk Road ๓. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๒ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการโครงการ ๒๓ โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการปากเซเรื่องความเป็นหุ้นส่วนด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น รวมทั้งให้การรับรอง “แนวทางการแนะนำระบบ Electronics Database Interchange (EDI) ของท่าเรือ” กลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางเรือระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น รายงานผลการสำรวจท่าอากาศยานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศสมาชิกอาเซียน และรายงานเบื้องต้นของการศึกษาเรื่องการขนส่ง Landbridge ในอาเซียน และให้การรับรองแผนงานการดำเนินงานหุ้นส่วนความร่วมมือด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น ปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ๔. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๕ ที่ประชุมให้การรับรองแผนงานความร่วมมือด้านการขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ฉบับปรับปรุง และรับทราบโครงการสำคัญที่จะดำเนินการในปี ๒๕๕๘ ได้แก่ การพัฒนาบุคลากรด้านรถไฟ ด้านโลจิสติกส์ การขนส่งอย่างยั่งยืน และการศึกษาเรื่องการปรับปรุงการขนส่งทางลำน้ำในไทยและกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม (CLMV) และเห็นชอบที่จะจัดให้มีการประชุมคณะทำงานเพื่อเจรจาการจัดทำว่าด้วยบริการเดินอากาศอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๕. การหารือทวิภาคระหว่างไทย-สปป.ลาว และไทย-ญี่ปุ่น โดยผลการหารือระหว่างไทย-สปป.ลาว ส่วนใหญ่เป็นประเด็นที่ฝ่ายลาวขอรับการสนับสนุนจากฝ่ายไทยในการพัฒนาเส้นทางถนน และโครงการก่อสร้างสะพาน สำหรับผลการหารือระหว่างไทย-ญี่ปุ่น จะเน้นเรื่องความร่วมมือด้านรถไฟไทย-ญี่ปุ่น
|
|||||||||||||||||||||
| 2280 | การแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัตืความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 (สำนักงานอัยการสูงสุด) | อส | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ จำนวน ๑๗ คน ประกอบด้วยอัยการสูงสุดหรือรองอัยการสูงสุดที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานคณะกรรมการ และนายชัชชม อรรฆภิญญ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณาแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้สอดคล้องกับสนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญาของภูมิภาคอาเซียน และมีหน้าที่ชี้แจงในประเด็นต่าง ๆ ของร่างกฎหมายฯ ต่อผู้เกี่ยวข้องจนกว่าจะเสร็จสิ้นการพิจารณาของรัฐสภา และให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อช่วยดำเนินการภายในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าวได้ตามความเหมาะสม ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ ๒. กรณีส่วนราชการใดเห็นควรให้มีการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการใดให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
.....
